คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #55 : ภาค2 ตอนที่ 1 บทนำว่าที่นักเรียนเข้าใหม่
ภาค2 ตอนที่ 1 บทนำว่าที่นักเรียนเข้าใหม่
...กาลเวลาที่ผ่านไปหลังเหตุการณ์ที่เลวร้ายนั้น ก็มักที่จะมีความฝันความหวังและเส้นทางใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังเช่นเดียวกับโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติสาขาญี่ปุ่นที่ได้เริ่มเปิดการเรียนการสอนอีกครั้ง
เอี๊ยด…เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับครูสาวที่เดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างช้าๆและหยุดลงที่โต๊ะกลางห้องเรียน
"เอาล่ะ...ทุกคนนั่งที่ให้เรียบร้อย วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำให้รู้จัก"
คำพูดของคุณครูประจำชั้นทำให้นักเรียนทั้งหมดรู้สึกงุนงง เพราะมันเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีคนที่สามารถเข้าเรียนกลางเทอมในโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติได้ ด้วยข้อจำกัดเรื่องอายุที่ต้องสอบเข้าตอนอายุ16ปีเท่านั้น ดังนั้นทุกคนในห้องจึงหันไปซุบซิบกันจนหนาหู
"ครูรู้ว่าทุกคนอาจจะกำลังสงสัยกันอยู่ ว่าทำไมถึงได้มีนักเรียนเข้ามาใหม่กลางเทอมแบบนี้ แต่ความจริงแล้วเธอไม่ใช่นักเรียนเข้าใหม่อะไรหรอกนะ พอดีว่าเธอมีอาการป่วยหลังจากการทำการสอบเสร็จก็เลยต้องดรอปเรียนไปในช่วงแรก แต่ตอนนี้เธอหายดีแล้วก็เลยกลับมาเข้าเรียนใหม่ได้อีกครั้ง"
พอคุณครูประจำชั้นอธิบายจบ นักเรียนในห้องก็ต่างเงียบเสียงกันลง และเมื่อเห็นอย่างนั้นครูประจำชั้นก็หันไปส่งเสียงเรียกคนที่กำลังยืนอยู่ข้างนอกประตูให้เข้ามาในห้อง
"อ่าว...เธอเข้ามาสิ"
คนที่อยู่หน้าประตูพยักหน้ารับพร้อมกับเดินตรงเข้ามาในห้อง เธอมีรูปร่างที่เล็กราวกับเด็กแต่ด้วยดวงตาสีแดงบริสุทธิ์ที่ทรงอำนาจนั้นทำให้เธอดูราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลก และถ้ามองแค่เพียงดวงตาสีแดงนั้นคงจะไม่มีใครยอมเชื่อแน่ว่าเธอเคยป่วยมาก่อน
แต่พอมองดูผมสีม่วงอมดำที่ถูกกัดกินจนกลายเป็นสีขาวไปส่วนใหญ่แล้ว ก็ทำให้ทุกคนในห้องเข้าใจได้โดยทันทีว่าเธอคงจะป่วยมาก่อนแล้วเหมือนกับที่ครูประจำชั้นว่าเอาไว้
แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับทำให้เธอดูเด่นราวกับเป็นตุ๊กตาภูตที่ยังมีชีวิตอยู่ซะมากกว่า
"สวัสดี ฉันเฟรนดี้ อาเคเซีย ยินดีที่ได้รู้จัก"
เฟรนดี้ที่อยู่ในชุดนักเรียนสีเทาของโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติกล่าวทักทายทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนพร้อมกับส่งรอยยิ้ม ที่ราวกับจะสามารถกลืนกินชีวิตและวิญญาณของทุกคนในห้องได้
"เอาล่ะถ้าอย่างั้น...."
ครูประจำชั้นกล่าวพร้อมกับพยายามมองหาโต๊ะเรียนที่ว่างอยู่ แต่กลายเป็นว่ามันไม่มีที่นั่งว่างอยู่เลย เพราะที่โรงเรียนนี้ไม่เคยมีนักเรียนเข้าใหม่หรือเข้าช้าแบบเฟรนดี้มาก่อนนั้นเอง ดังนั้นจึงไม่ได้มีการเตรียมโต๊ะเรียนเหลือเอาไว้ในห้องเลยสักตัวเดียว
"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันหาที่นั่งเองได้"
เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับเดินไปยังมุมห้องด้านหลังที่อยู่ริมหน้าต่าง ที่นั่นมีนักเรียนชายร่างใหญ่ที่ดูกร่างนั่งอยู่ หรือจะบอกให้ชัดก็คือเขาเป็นหัวโจกประจำห้องเรียนนี้นั้นเอง
"นี่นาย... ช่วยลุกออกไปหน่อยได้ไหม? ฉันจะนั่ง"
คำพูดของเฟรนดี้นั้นทำให้คนทั้งห้องราวกับโดนแช่แข็ง พวกเขารู้ได้ทันทีว่าต้องมีเรื่องกันแน่ๆ เพราะชายที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็คือโชจิโร่ ผู้ที่เป็นหัวหน้านักเลงประจำชั้นปีที่1 และเขายังเป็นผู้ที่ติดอยู่ใน10อันดับแรกของผู้ที่สอบเข้าได้ด้วยคะแนนสูงสุดของโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติในปีนี้ด้วย
ดังนั้นตอนนี้ทุกคนในห้องก็เลยต่างคิดไปในทางเดียวกันว่า ตายแน่!!...เด็กใหม่ต้องตายแน่ๆ
"ไม่เข้าไปช่วยหน่อยเหรอ?"
"ไม่เอาน่า ฉันยังไม่อยากตายนะเธอ"
คนที่โดนเพื่อนถามรีบตอบกลับไปโดยทันที และสีหน้าของคนทั้งห้องก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยนั้นเอง
"คะ...ครูว่าเฟรนดี้เธอไปหาโต๊ะเรียนที่อยู่ในห้องเก็บของมาใหม่จะดีกว่านะ"
ครูประจำชั้นพยายามพูดจาไกล่เกลี่ยเพราะเธอพอจะรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนใหม่ของเธอ แต่พอโดนสายตาของเฟรนดี้ที่จ้องกลับมาอย่างไม่พอใจ ครูก็ต้องเงียบเสียงลงอย่างไม่ตั้งใจ...อะไรกันสายตานั้นมันไม่น่ากลัวเกินเด็กไปหน่อยหรือไงครูประจำชั้นคิดในใจ พร้อมกับเหงื่อเย็นที่หยดลงมา
"อ่าว!? นี้นายหูหนวกหรือยังไงฉันบอกให้นายลุกขึ้นยังไงล่ะ ฉันจะนั่งไม่ได้ยินเหรอ?"
เฟรนดี้หันกลับมาพูดกับชายร่างโตที่นั่งอยู่ซ้ำอีกครั้ง และนั้นก็ทำให้โชจิโร่ที่กำลังนั่งนิ่งอยู่ได้สติกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เพราะครั้งแรกนั้นเขานึกว่าเขาหูฝาดไปเองก็เลยไม่ได้ตอบอะไรเด็กสาวที่ยืนพูดคำพูดโง่ๆอยู่ด้านข้าง
แต่คราวนี้ไม่ใช่แล้ว!! เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองหู และด้วยศักดิ์ศรีของหัวหน้าแก๊งประจำชั้นปีที่1 เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดังและหันกลับไปตะโกนใส่หน้าเด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างทันทีด้วยความโมโห และด้วยร่างกายใหญ่โตที่เกือบจะเป็นสองเท่าของเด็กสาวนั้นก็ยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวเข้าไปอีก
"ยายเด็กบ้านี้!! เธอไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร!! ฉันนะเป็นหัวหน้าแก๊งของ...."
ยังไม่ทันที่โชจิโร่จะได้พูดจบ ตัวของเขาก็ถูกแรงที่มองไม่เห็นกระแทกเข้าใส่จนทะลุกำแพงหน้าต่างออกไปข้างนอกอาคารเรียนเรียบร้อยแล้ว
และทันทีที่ตัวของเขาลอยกระเด็นหายไปข้างนอก กำแพงที่พังลงก็ย้อนกลับมากลายเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง พร้อมๆกับที่เฟรนดี้ค่อยๆนั่งลงไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วกล่าวออกมาอย่างเบื่อหน่ายเบาๆว่า
"หมอนั่นมันจะพูดมากไปถึงไหน? แค่ลุกให้ฉันนั่งแทนนี้มันจะยากเย็นอะไรนักหนา"
นักเรียนในห้องที่ได้เห็นโชจิโร่ลอยกระเด็นออกไปข้างนอกอาคารเรียนก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก ส่วนบางคนก็มีหันไปมองนอกหน้าต่างเพื่อมองหาโชจิโร่ที่ลอยกระเด็นออกไป และก็มีบ้างคนที่มองไปยังเฟรนดี้อย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองด้วยเช่นกัน
ครูประจำชั้นเองก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรออกมาดีจึงพูดออกไปเหมือนเวลาปกติว่า
"เอาล่ะทุกคนเรามาเริ่มคาบแรกกันเลยดีกว่า"
ซึ่งแน่นอนเธอว่าได้หนีความจริงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนั้นก็ราวกับเป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนในห้องกลับมานั่งที่เดิม เพื่อที่จะได้เริ่มคาบแรกของวันนี้
******
ในระหว่างที่เฟรนดี้ไปเข้าห้องเรียนอยู่นั้น ทางด้านยามิเองก็กำลังเดินชมอาคารพร้อมกับครูสาวคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน
"คุณยามิเองนี้ก็เก่งนะคะ อายุแค่นี้ก็ได้เป็นครูสอนประจำแล้ว ส่วนฉันนี้ตั้งนานกว่าจะได้เป็น"
ครูสาวอายุน่าจะเกินสามสิบพูดกับยามิพร้อมกับถอยหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ และนั้นก็ทำให้ยามิรู้สึกกระอักกระอ่วนจนพูดออกมายากอยู่เหมือนกัน เพราะที่เธอได้มาเป็นครูในโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติแห่งนี้ ก็มาจากเส้นสายของเรนอิจิที่เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนนี้นั้นเอง และวิชาที่เธอเข้าสอนก็คือวิชาใหม่ที่เกี่ยวกับวิธีการป้องกันตัวจากศาสตร์มืด
"ก็ไม่รู้สินะคะ... คงเป็นเพราะฉันมีความรู้เฉพาะทางล่ะมั้งคะ"
ยามิพยายามตอบครูสาวพร้อมกับหัวเราะออกมาแบบฝืนๆ
"นั่นสินะคะ ถ้าฉันอายุน้อยกว่านี้คงจะมีคนเข้ามาจีบฉันบ้างแล้วแท้ๆ"
ครูสาวที่อายุเกินสามสิบกล่าวออกมาพร้อมกับทำหน้าเศร้าๆ แต่ยามิอยากจะถามจริงๆเลยว่ามันไปเกี่ยวอะไรกับที่พูดกันอยู่ก่อนหน้านี้ตรงไหนกันเนี้ย...หรือว่านี้จะเป็นอาการเพ้อของสาวโสดอายุเกินสามสิบที่เขาร่ำลือกัน!! คิดได้อย่างนั้นยามิเองก็เริ่มหนักใจขึ้นมาทันที
แต่ถึงอย่างนั้นยามิก็ได้แต่ตามน้ำไปเรื่อยๆ เพราะจากที่ฟังมานานครูสาวคนนี้คงอยากจะแค่บ่นอะไรให้เธอฟังเล่นระหว่างทางเท่านั้นเอง
แต่ในระหว่างที่ยามิกับครูสาวกำลังเดินชมโรงเรียนอยู่นั้นก็มีเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งลอยกระเด็นออกมานอกอาคารและลอยผ่านหัวของพวกเธอไป
"นะ...นั่นมันอะไรนะ!!"
ยามิรู้สึกตกใจที่มีเด็กนักเรียนลอยผ่านบนหัวของตัวเองไป แต่ครูสาวกลับมองด้วยสายตาเฉยเมยและพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับว่าสิ่งที่ลอยข้ามหัวเธอไปนั้นเป็นเพียงแค่ก้อนหินไร้ค่าก้อนหนึ่งเท่านั้น
"อย่าไปสนใจเลยค่ะคุณยามิ พอช่วงใกล้มีการแข่งขันก็เป็นแบบนี้ประจำแหละค่ะ เราไปเดินชมโรงเรียนต่อกันดีกว่านะคะ"
"มะ..มันจะดีเหรอคะแบบนั้นนะ"
ยามิตอบกลับไปอย่างไม่แน่ใจ พร้อมกับหันไปมองเด็กนักเรียนที่ตอนนี้ลอยไปตกในบ่อน้ำที่อยู่ไกลออกไป
"เอาเถอะค่ะเชื่อฉันสิค่ะคุณยามิ ดูนั่นสิค่ะ...เห็นไหมเขาว่ายกลับขึ้นมาเองได้แล้ว"
ครูสาวพูดพร้อมกับให้ยามิหันกลับไปดูที่บ่อน้ำที่เด็กนักเรียนชายคนนั้นตกลงไป และเมื่อยามิหันกลับไปมอง เธอก็พบกับเด็กนักเรียนชายที่กำลังว่ายน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำจริงๆ
และหลังจากที่เขาว่ายขึ้นมาจากบ่อน้ำได้ เขาก็รีบวิ่งตรงเข้าไปในอาคารเรียนต่อทันทีด้วยความรวดเร็ว จนยามิยังต้องมองดูเขาด้วยสายตาแบบงงๆ
"นะ...นั่นสินะคะ...คงจะไม่เป็นไรหรอก"
ยามิเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินตามครูสาวไปโดยทันที แต่หลังจากที่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวข้างหลังของยามิก็มีเด็กนักเรียนชายคนเดิมที่ลอยกระเด็นออกมาจากอาคารเรียนและลงไปตกที่บ่อน้ำเช่นเดิม
แต่พอยามิหันกลับไปสนใจ เธอก็เห็นว่าเด็กนักเรียนชายคนนั้นว่ายน้ำขึ้นมาจากบ่อและวิ่งตรงเข้าไปในอาคารเรียนเช่นเดิมเหมือนกับก่อนหน้านี้ด้วยหน้าตาที่บูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม
"เด็กนักเรียนที่นี่ดูเขาจะฟิตกันจังเลยนะคะ"
ยามิกล่าวพร้อมกับที่เห็นเด็กนักเรียนชายคนเดิมกระเด็นออกมานอกหน้าต่างเป็นครั้งที่3 แต่ครั้งนี้เขาดูจะเหนื่อยๆยังไงก็ไม่รู้
"แน่นอนสิค่ะ ก็กำลังจะมีการแข่งขันของสมาพันธ์ฯแล้วนี้ค่ะ ทุกคนก็เลยต้องพยายามกันหน่อย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ถ้าพวกเขาได้รับบาดเจ็บภายในโรงเรียนพวกเขาก็จะถูกเวทเคลื่อนย้ายไปยังห้องพยาบาลทันทีเลยค่ะ"
ครูสาวกล่าวอธิบาย ซึ่งยามิเองก็เริ่มที่จะเข้าใจอะไรบ้างแล้วเหมือนกัน
"อย่างงั้นเหรอคะ? เข้าใจแล้วค่ะ"
ยามิพยักหน้าเข้าใจพร้อมกับเดินชมโรงเรียนกับอาจารย์สาวต่อทันที
หนึ่งเดือนหลังจากการโจมตีของเทพอสูรพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ โรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติสาขาญี่ปุ่นก็กลับมาเปิดเรียนเป็นปกติอีกครั้ง
และคนที่กำลังโด่งดังที่สุดในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นเหล่าสี่สาวจากสภานักเรียนชั้นปีที่1 ที่ได้เข้าร่วมต่อสู้กับเทพอสูรพญางูขาว และนักเรียนในชั้นปีที่1ก็ต่างยกย่องพวกเธอให้เป็นไอดอลประจำโรงเรียน ด้วยการผกรูปภาพหรือของที่ระลึกที่เป็นรูปของพวกเธอเอาไว้กับตัว
และแน่นอนว่าสี่สาวสภานักเรียนนั้นจะต้องมีกลุ่มแฟนคลับทั้งชายและหญิงที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาทันที เพราะด้วยความเก่งกาจที่รู้กันและรูปร่างหน้าตาที่สวยใสไปกันคนละแบบนั้นก็ยิ่งทำให้พวกเธอกลายเป็นกลุ่มสี่สาวที่มีคนค่อยติดตามข่าวสารและเข้าร่วมเป็นแฟนคลับกันอย่างมากมาย
ต่างกับฮาสึโนะที่ตอนนี้เธอกำลังเก็บข้าวของใส่ใต้โต๊ะของตัวเองอยู่คนเดียวเพื่อออกไปพักกลางวัน สองตาของเธอนั้นยังคงมีแว่นสายตาขอบกลมหนาๆสวมใส่อยู่ และผมยาวสีทองของเธอก็ยังคงถูกมัดรวบเอาไว้แบบขอไปทีด้วยผ้าผืนเดียวอย่างเช่นเคย
ความจริงแล้วตอนแรกฮาสึโนะก็เดินมาโรงเรียนด้วยความตื่นเต้นเพราะคิดว่าอาจจะมีคนจำเธอได้หลังจากที่ได้เห็นภาพของเธอในโทรทัศน์ และเข้ามาทักทายทำความรู้จักกับเธอ พร้อมกับให้เธอช่วยโพสต์ท่าเพื่อถ่ายรูปเก็บเอาไว้เป็นที่ระลึก
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันช่วงโหดร้าย เพราะเธอเดินมาถึงห้องเรียนของตัวเองโดยที่ไม่มีใครสามารถจำเธอได้ และไม่มีใครคิดที่จะสนใจเธอเลยแม้แต่น้อย
‘ฮื่อๆ...ไม่ได้น้อยใจนะ!!...ไม่ได้น้อยใจ....แต่อย่างน้อยก็ช่วยพูดถึงฉันบ้างไม่ได้หรือยังไงกัน!!’
ฮาสึโนะบ่นอยู่ในใจพร้อมกับเดินออกจากห้องเรียนของตัวเองอย่างคอตกเพื่อที่จะไปรับประทานอาหารกลางวัน
รอบๆข้างของฮาสึโนะนั้นต่างก็มีแต่คนพูดถึงเรื่องของอากาเสะ ซามิยะ มิซากิและโทโมเอะที่เป็นเพื่อนของเธอกันทั้งนั้น แต่ดันไม่มีใครพูดถึงเธอที่เป็นผู้สังหารเทพอสูรเลยแม้แต่คนเดียว หรือว่านี้จะเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่าความเจ็บปวดของฮีโร่กันแน่นะ...ฮาสึโนะคิดในใจ
'แปลก!! นี้มันจะแปลกเกินไปแล้วนะ!!'
ฮาสึโนะอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆ แต่เธอก็ต้องสะกดใจของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนหาว่าเธอเป็นบ้าอย่างแน่นอนที่มาร้องตะโกนแบบแปลกๆอยู่ที่ระเบียงทางเดินของโรงเรียน
แต่ในระหว่างนั้นเองฮาสึโนะก็เหลือบไปเห็นกลุ่มคนแปลกๆที่รวมตัวกันอยู่ที่ต้นไม้ด้านล่างของอาคารเรียน ฮาสึโนะเดินเข้าไปมองใกล้ๆที่ขอบหน้าต่างเพื่อจะได้มองเห็นภาพข้างล่างอย่างชัดๆ
และภาพที่เธอเห็นอยู่ข้างล่างนั้นก็คือเฟรนดี้ที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้และถูกกลุ่มคนที่ดูท่าทางจะอันตรายหลายร้อยคนล้อมรอบอยู่ ฮาสึโนะมองภาพนั้นพร้อมกับยกมือของตัวเองขึ้นมากุมศีรษะด้วยความปวดหัวทันที
"เฮ่ย...เจ้าพวกบ้านั้นมันหาเรื่องตายหมู่กันหรือยังไงกัน"
ยังไม่ทันที่ฮาสึโนะจะได้พูดจบ เหล่ากลุ่มคนนับร้อยที่กำลังล้อมรอบตัวของเฟรนดี้อยู่นั้นก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นจับเหวี่ยงให้หัวของพวกเขาฟาดลงไปกับพื้น และพอมีคนที่พยายามจะลุกขึ้นยืน เขาก็จะมีอาการลื่นล้มพร้อมกับหัวของตัวเองที่กลับลงไปฟาดพื้นเหมือนเช่นเดิมจนมีบางคนถึงกับสลบและถูกเวทเคลื่อนย้ายระยะสั้นส่งไปยังห้องพยาบาลทันทีเพราะลงผิดท่า
และยิ่งพวกเขาพยายามที่จะลุกขึ้นยืนมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งจะเจ็บตัวเร็วขึ้นและหนักขึ้นไปอีกเท่านั้น ฮาสึโนะเองเมื่อมองแวบเดียวเธอก็รู้ทันทีเลยว่านั่นเป็นการทรมานในแบบที่เฟรนดี้ชื่นชอบ เพราะมันเป็นการทรมานทั้งทางด้านจิตใจและทางด้านร่างกายไปพร้อมๆกัน
และยิ่งเห็นคนกำลังดิ้นทุรนทุรายด้วยความพยายามของตัวเองแล้ว เฟรนดี้ก็ยิ่งที่จะฉีกยิ้มกว้างขึ้นอย่างชอบใจ และนั่นก็ทำให้ฮาสึโนะนึกถึงภาพแย่ๆตอนที่ได้ฝึกกับเฟรนดี้หรือพูดให้ถูกก็คือเธอโดนเล่นและก่อกวนอยู่ฝ่ายเดียวอย่างเจ็บปวดเหมือนกับเป็นของเล่น
"อุ๊บ!!....ให้ตายสิ!! เจ้าพวกบ้านั้นมันทำให้ฉันนึกถึงภาพแย่ๆขึ้นมาอีกจนได้"
ฮาสึโนะพูดพร้อมกับรู้สึกคลื่นไส้ที่หน้าท้องขึ้นมาอย่างหนัก และเที่ยงนี้เธอคงจะไม่ได้กินอะไรแล้วเพราะถึงเธอจะกินเข้าไปก็คงจะคลายออกมาทางเก่าซะมากกว่าที่จะลงไปอยู่ในท้อง ดังนั้นเธอจึงคิดที่จะไปนั่งเล่นที่ห้องสภานักเรียนเพื่อที่จะได้พูดคุยกับพวกอากาเสะเป็นการฆ่าเวลาเล่น
******
เมื่อมาถึงห้องของสภานักเรียนชั้นปีที่1 ภาพที่ฮาสึโนะเห็นก็ไม่ต่างไปจากที่เธอคิดสักเท่าไร นั้นก็คืออากาเสะกำลังนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ของตัวเองอยู่ที่โต๊ะขนาดใหญ่ใจกลางห้อง และมีโทโมเอะที่กำลังนั่งช่วยพิมพ์งานบนโต๊ะอีกตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างๆกัน
และเมื่อฮาสึโนะหันไปมองที่โซฟาเธอก็เห็นซามิยะที่ตอนนี้กำลังนั่งถักไหมพรมอยู่ ส่วนมิซากินั้นก็เป็นที่แน่นอนว่าตอนนี้เธอกำลังนอนเล่นเกมอยู่ที่หน้าทีวีขนาดใหญ่พร้อมกับถุงขนมที่กองอยู่ข้างๆพร้อมกับขวดน้ำอัดลม
"อ่าว!! สวัสดีฮาสึโนะ"
พอมิซากิกล่าวขึ้นทุกคนในห้องก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวต้อนรับฮาสึโนะด้วยกันทันที แต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่มิซากิดันเป็นคนแรกที่เอ่ยทักทายฮาสึโนะขึ้นมาก่อนคนอื่น แต่คงเป็นเพราะเธอเป็นคนว่างที่สุดในห้องนี้แล้วก็เป็นได้
"อืม...สวัสดีทุกคน" ฮาสึโนะกล่าวตอบ
"เข้ามานั่งก่อนสิค่ะ คุณฮาสึโนะ เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมน้ำชากับขนมหวานมาให้"
ซามิยะกล่าวเชิญให้ฮาสึโนะเข้ามานั่งที่โซฟา แล้วตัวเองก็ลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อไปจัดเตรียมน้ำชาและขนมในห้องครัวมาให้กับฮาสึโนะ
"อืม...รบกวนด้วยนะ"
ว่าแล้วฮาสึโนะก็เดินไปที่โซฟาทันที แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้นั่งลง มิซากิก็ดันชวนเธอให้มาเล่นเกมด้วยกันซะก่อน
"ฮาสึโนะมาเล่นเกมกันเถอะ!! ฉันมีเกมใหม่ให้ลองด้วยนะ"
เสียงเรียกของมิซากิทำให้ฮาสึโนะรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
"เอาสิ ฉันเองก็ว่างๆอยู่"
พูดเสร็จฮาสึโนะก็รีบเดินไปนั่งข้างๆของมิซากิทันที และพอเธอนั่งลงซามิยะก็เอาน้ำชากับขนมเข้ามาเสิร์ฟให้
"ขอบคุณนะ" ฮาสึโนะกล่าวขอบคุณซามิยะ
"อืม ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วค่ะ" ซามิยะกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งนั่นก็ทำให้ฮาสึโนะนึกถึงคุณเมดขึ้นมาทันที
"อ่า...ถ้าแต่งชุดให้อีกหน่อยคงจะเหมือนเลยสินะ..." ฮาสึโนะกล่าวขึ้นมาอย่างลอยๆ แต่มิซากิกลับกล่าวตอบรับฮาสึโนะออกมาอย่างเข้าใจกัน
"ใช่ไหมล่ะ! ฉันก็ว่าอย่างนั้นแหละ"
"เอ๋?.."
ดูเหมือนว่าจะมีแต่ซามิยะคนเดียวในห้องเท่านั้นที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่ทั้งคู่พูด
"อา...วันนี้มันเหนื่อยจริงๆเลยแฮะ!! ซามิยะฉันหิวแล้วช่วยทำอะไรมาให้กินหน่อยสิ"
เสียงของเฟรนดี้ที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนกล่าวขึ้นมาพร้อมกับนอนแผ่ลงบนโซฟายาวที่อยู่ตรงหน้าตัวเองอย่างอ่อนแรง
"ค่ะ รอแป๊บหนึ่งนะคะคุณเฟรนดี้ แต่ว่าทุกคนจะกินข้าวเที่ยงพร้อมกันเลยไหมคะ? ฉันจะได้ทำให้เลยทีเดียว"
"เอาสิ ฉันเองก็หิวแล้ว" อากาเสะที่นั่งทำงานอยู่นานกล่าวขึ้นมาเป็นคนแรกพร้อมกับวางมือจากงานตรงหน้าที่กำลังทำอยู่
"ฉันขอไข่หวานแบบพิเศษด้วยนะคะคุณซามิยะ" โทโมเอะร้องขอเมนูพิเศษ ซึ่งซามิยะก็พยักหน้าตอบรับให้ทันที
"ได้สิค่ะ รอแบบหนึ่งนะ"
ซามิยะกล่าวเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องครัวทันทีเพื่อเตรียมอาหาร
....และเวลาก็ผ่านไปประมาณ15นาที....
“อาหารเสร็จแล้วค่ะ พวกเรามากินกันเถอะ”
อาหารทั้งหมดก็ถูกจัดเตรียมขึ้นบนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับผ้ากันเปื้อนของซามิยะที่กำลังโบกไปมาอย่างน่ารัก
คนอื่นๆเองเมื่อเห็นอย่างนั้นก็รีบเข้ามานั่งล้อมโต๊ะอาหารและเตรียมตัวรับประทานกันโดยทันที
"อะ...อร่อย...!!"
ฮาสึโนะที่นึกว่าเที่ยงนี้เธอคงจะกินอะไรไม่ลงแล้ว กลับต้องร้องออกมาว่าอร่อยหลังจากที่ได้กินเข้าไปเป็นคำแรก และหลังจากนั้นเธอก็รีบร้อนกินอาหารต่างๆที่อยู่ตรงหน้าตัวเองต่อทันทีอย่างรวดเร็ว
"อืม...รสชาติยังดีเหมือนเดิมเลยนะ ซามิยะ" เฟรนดี้กล่าวชม
"ขอบคุณค่ะ" ซามิยะเองก็ยิ้มอย่างดีใจที่ทุกคนชื่นชอบอาหารของเธอ
"เอาไว้ คราวหลังฉันจะทำให้เธอทานบ้างก็แล้วกัน" เฟรนดี้พูดเสร็จฮาสึโนะก็ทำตาโตขึ้นมาทันที
"วันไหน!! บอกฉันด้วยสิ ฉันจะไปกินด้วย" ฮาสึโนะพูดขึ้นทั้งๆที่ข้าวยังติดอยู่เต็มปาก
"วันไหนก็ได้ ที่ไม่มีแกอยู่นะแก้ว"
เฟรนดี้พูดออกมาเป็นภาษาไทยเสร็จฮาสึโนะก็แทบที่จะร้องไห้โฮออกมาโดยทันที ซึ่งท่าทางแบบนั้นของฮาสึโนะก็ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที
"อาหารของคุณเฟรนดี้อร่อยขนาดนั้นเลยหรือฮาสึโนะ?" อากาเสะที่สงสัยขึ้นมาก็เลยหันไปถามฮาสึโนะ
"แล้วเธอรู้จักอาหารที่ไม่มีอยู่บนโลกนี้หรือเปล่าล่ะ? นั้นแหละอาหารของเฟรนดี้" ฮาสึโนะพูดเสร็จก็ทำให้ทุกคนก็ทำหน้างงเข้าไปอีก
"แล้วมันคือยังไงล่ะ?" อากาเสะถามซ้ำอีกครั้ง
"ก็ตามนั้นแหละ... อาหารที่ไม่มีอยู่บนโลกก็คือไม่มีอยู่บนโลก"
คำพูดที่กำกวมของฮาสึโนะนั้นทำให้ทุกคนต่างก็ถอนหายใจออกมา และเลิกที่จะถามฮาสึโนะต่อ เพราะถึงจะถามไปก็คงจะไม่ได้เรื่องอะไรขึ้นมาแล้วล่ะถ้าพูดกันอยู่แบบนี้
"อืม..แล้ววันนี้พวกเธอเป็นยังไงบ้าง ได้มีคนตามถ่ายรูปกันบ้างหรือเปล่า?"
ฮาสึโนะถามออกมาอย่างสงสัย แต่นั้นทำให้ทั้งสี่สาวที่กำลังกินข้าวอยู่ถึงกับชะงักและเริ่มจะมีสีหน้าที่ดูไม่ดีกันเอามากๆ
"เป็นอะไรกันไปล่ะ? หน้าตาของพวกเธอดูไม่ค่อยดีเลยนะ"
ฮาสึโนะเองก็เริ่มที่จะทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นอากาเสะ ซามิยะ มิซากิและโทโมเอะ ต่างก็ทำหน้าสลด
"ว่ากันตามจริงนะ...วันนี้พวกเรายังไม่ได้ออกจากห้องนี้ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ"
มิซากิเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นมา และทอดสายตาไปยังอากาศที่ว่างเปล่าอย่างเหม่อลอย
"ทำไมล่ะ!!" ฮาสึโนะรู้สึกตกใจมากที่พวกอากาเสะไม่ได้เข้าเรียนในคราบเช้าของวันนี้
"ก็ตามที่มิซากิว่านั้นแหละ... พอพวกเรามาถึงโรงเรียน พวกนักเรียนแถวนั้นก็ร้องเรียกชื่อพวกเราขึ้นมาเสียงดังแล้วหลังจากนั้นมันก็กลายเป็นเหมือนกับนรก พวกเราต่างก็โดนรุมล้อมโดยพวกนักเรียน จนต้องหนีมาตั้งหลักกันที่ห้องนี้แหละ"
อากาเสะกล่าวพร้อมกับสายตาที่ดูไม่ค่อยจะดีด้วยเช่นกัน
"ใช่แล้วค่ะ! พวกนั้นเหมือนกับพวกซอมบี้ในตอนนั้นเลยค่ะ น่ากลัวมากๆเลยค่ะ" โทโมเอะพยักหน้ารับรัวๆให้กับคำพูดของอากาเสะ
"อย่างงั้นเหรอ? ท่าทางพวกเธอจะลำบากกันน่าดูเลยนะ...” ฮาสึโนะพยายามยิ้มแต่ในใจของเธอนั้นกลับกำลังอยากจะร้องออกมาดังๆว่า...แบบนี้มันไม่ใช่ว่ามันน่าอิจฉาเกินไปแล้วเหรอ!! ที่ทุกคนต่างก็พยายามสรรเสริญพวกเธอนะ!!
“แล้วเธอล่ะเฟรนดี้เป็นยังไงบ้างกับการเข้าเรียนในวันแรก"
คำถามของฮาสึโนะทำให้ทุกคนสนใจขึ้นมาโดยทันที และต่างก็หันไปมองหน้าเฟรนดี้เพื่อรอคำตอบ
"อืม... ก็เหมือนกับการเข้าเรียนของฉันเมื่อหลาย100กว่าปีก่อนนั้นแหละ โรงเรียนนี้มันยังมีเรื่องสนุกๆให้ฉันทำอยู่เหมือนเดิม ทั้งข่มขู่ กรรโชก หาเรื่อง ทำร้ายร่างกาย แล้วก็รีดไถ.."
คำพูดของเฟรนดี้ทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะอาหารของเธอถึงกับพูดอะไรไม่ออก และทุกคนก็ต่างคิดไปทางเดียวกันว่า....นั้นมันใช่โรงเรียนเราแน่แล้วเหรอ!! ไม่แน่นอน!!....นั้นคือความคิดที่ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกัน
แต่ทุกคนก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรกันออกมาเพราะพวกเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าโรงเรียนเมื่อหลายร้อยปีก่อนนั้นมันเป็นยังไงกันแน่นะ
ความคิดเห็น