คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #39 : ตอนที่ 38 ข่าวสารที่ถูกถ่ายทอด
ตอนที่ 38
ข่าวสารที่ถูกถ่ายทอด
ตั้งแต่ที่เจ้างูตัวนั้นดูดพลังจากใบไม้แห่งรากไปใช้แบบตรงๆ ฮาสึโนะก็ไม่เคยใช้เวทจากไม้กวาดของเธอที่เป็นกิ่งก้านแห่งรากได้อีกเลยเพราะด้วยพลังทั้งหมดนั้นได้ถูกส่งไปทางนั้นจนหมด จะกล่าวคือตอนนี้เทพอสูรพญางูขาวกำลังทำตัวเป็นปลิงดูดเลือดขนาดใหญ่ที่กำลังทำให้เธอเป็นหนี้ก้อนโตขนาดที่ว่าเธออาจจะต้องทำงานข้ามชาติ ทำชาตินี้ไปใช้หนี้หมดเอาชาติหน้า
"วันนี้ฉันจะต้องจับเจ้างูนั่นมารีดเลือดใช้หนี้ให้หมด"
แววตาของฮาสึโนะกระหายเลือดขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธ ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องรีบสังหารเทพอสูรตัวนั้นให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้มันดูดเครดิตของเธอไปมากกว่านี้ และถ้าเธอฆ่ามันสำเร็จเธอก็จะได้ก้อนผลึกพลังปีศาจที่ประเมินค่าไม่ได้กลับมาใช้หนี้เฟรนดี้
"เอาล่ะ! ฉันจะต้องรีบไปจัดการมันให้เร็วที่สุด ก่อนที่มันจะดูดเครดิตเวทของฉันไปมากกว่านี้"
ฮาสึโนะกล่าวเสร็จก็รีบเดินออกจากตึกไปทันที
ทางด้านการต่อสู้ของเทพอสูรพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์กับนักปราบผี
หลังจากที่กลุ่มของนักปราบผีทั้งหลายทำการตอบโต้และโจมตีกลับ นั่นก็เป็นเหมือนการปิดฉากการต่อสู้ของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน
เพราะยังไม่ทันได้ถึง5นาทีพวกเขาก็ตายกันไปแล้วกว่าครึ่ง และไม่ใช่เท่านั้นพวกเขายังไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้แบบถวายหัวแล้วก็ตาม แต่ด้วยพลังที่ต่างกันเกินไป ทำให้พวกเขาไม่ต่างอะไรไปกับไข่ที่คิดจะชนก้อนหินให้แตก
เสียงโอดครวญร้องโหยหวนของผู้คนดังก้องไปทั่วจนทำให้ที่นี้ไม่ต่างอะไรไปกลับดินแดนนรก จะมองซ้ายมองขวาก็เจอแต่ซากศพและผู้คนที่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
"อ๊ากกกก!! เจ็บ!! เจ็บเหลือเกิน"
"นะ...นี้มันนรกอะไรกัน!!"
"ยะ...อย่าเข้ามานะ อย่า...อ๊ากกกก!!" ชายคนนั้นพยายามกวัดแกว่งอาวุธของเขาก่อนที่เขาจะโดนเทพอสูรกินเข้าไป
ตอนนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกเหมือนกันกำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น เทพอสูรพญางูขาวสามารถเข่นฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องออกแรงมาก ความสิ้นหวังต่างเกาะกินหัวใจของพวกเขาทั้งหลายให้จมลงไปในความมืดที่ไม่มีแสงสว่างและทางออก
"ไม่มีทาง.... พวกเราไม่มีทางสู้มันได้เลย มันจบแล้ว... ทุกอย่างบนโลกนี้มันจบแล้ว"
พวกเขาต่างพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง แต่แล้วท่ามกลางความสิ้นหวังเหล่านั้นกลับมีเสียงโห่ร้องและเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากทิศตะวันตก
"นั้นมันเสียงอะไรนะ?"
หมู่คนที่กำลังตกอยู่ในความสิ้นหวังต่างก็หันไปมองทางทิศนั้นด้วยความสนใจ และสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือกลุ่มหนักปราบผีกลุ่มใหม่ที่นำโดยตระกูลชิชิโด
พวกเขาโห่ร้องและเข้าโจมตีเทพอสูรราวกับฝูงหมาป่าพยัคฆ์คำราม
"หึๆ! ตระกูลชิชิโดแล้วยังไง ถึงมาก็ทำอะไรเทพอสูรตัวนี้ไม่ได้หรอก"
"ใช่แล้ว...พวกเขามาตายเปล่ากันแท้ๆ"
และนั่นคือสิ่งที่นักปราบผีทั้งหมดในที่นี้คิดเหมือนกัน แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อหนึ่งในนั้นที่เริ่มเข้าไปโจมตีเทพอสูรก่อนสามารถเรียกเลือดจากมันได้ และไม่ใช่เท่านั้นพอคนที่สองคนที่สามมาถึงพวกเขาก็สามารถระเบิดชิ้นเนื้อของเทพอสูรให้ปลิวหายไปได้อีก
"นะ...นี้มันอะไรกัน!!"
พวกเขาแทบจะไม่อยากเชื่อสายตาที่เห็นกลุ่มนักปราบผีที่นำโดยตระกูลชิชิโดประมาณสามพันคนสามารถทำการโจมตีเทพอสูรได้อย่างดุเดือดแบบนี้
และพอเอาพวกเขามาเทียบกับชูเซนย์ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบยอดฝีมือของญี่ปุ่นที่ต้องออกแรงอย่างมากกว่าจะเรียกแผลจากเทพอสูรได้นั้น พวกเขาดูจะเหนือกว่าชูเซนย์เป็นอย่างมาก
"หรือว่า!! ตระกูลชิชิโดจะมียอดฝีมือที่เหนือกว่าสิบยอดฝีมืออยู่ถึงสามพันคน!!"
นั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่านี้คงจะเป็นยุคของตระกูลชิชิโดแล้วที่จะขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นแทนตระกูลยูโนะซากิที่ได้ข่าวว่าแพ้ไม่เป็นท่ากลับไปแล้วทั้งๆที่เอาคนมามากกว่าตระกูลชิชิโดถึง10เท่า
"พวกเจ้ารีบเปิดทางให้ข้า!! ข้าอันดะผู้นี้จะเข้าไปตัดหัวของมันลงมาเอง"
เสียงสั่งการของอันดะทำให้นักปราบผีทั้งสามพันคนต่างเร่งโจมตีเปิดทางด้วยท่าใหญ่ใส่เทพอสูร จนหัวข้างหนึ่งของมันเริ่มที่จะง่อนแง่น
"ท่าชักดาบตัดภูผา!!"
อันดะพุ่งตัวเข้าหาหัวที่ง่อนแง่นจากการโจมตีเปิดของคนอื่น และจัดการฟันตัดผ่านหัวนั้นไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าชักดาบตัดภูผาของเขา
ชิ้ง!! ฉับ!!
เสียงคมดาบที่ถูกชักดังแสบแก้วหูไปทั่วทั้งท้องฟ้า
"หัวข้างหนึ่งของเจ้าเป็นของข้าแล้ว"
อันดะกล่าวพร้อมกับเก็บดาบเข้าฝักและทันทีที่ตัวดาบประกบกลับเข้าฝักดาบเสร็จสมบูรณ์ หัวข้างหนึ่งของเทพอสูรพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ก็ร่วงหล่นลงมากระทบกับพื้นเสียงดังสนั่น
โครมมมม!!!!
เสียงที่ดังราวกับแผ่นดินไหวนั้น ทำให้ทุกคนต่างก็จ้องมองกันอย่างตกตะลึง แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาพวกเขาก็ต้องโห่ร้องกันออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นหัวข้างหนึ่งของเทพอสูรตกลงสู่พื้น
"เฮ้!!! พวกเขาทำได้"
"พวกชิชิโดทำได้!!"
"พวกเขาสุดยอดมาก!! พวกเรามีทางสู้แล้ว"
"คุณอันดะอย่างเท่เลย!! พวกนายเห็นตอนที่เขาชักดาบออกจากฝักไหม ฉับเดียวหัวขาดเลย!! สุดยอด!!"
เสียงชื่นชมยินดีต่างก็ดังไปทั่ว พลังใจของพวกเหล่านักปราบผีที่เคยสิ้นหวังกลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง และตอนนี้อันดะก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ในใจของพวกเขาเหล่านี้ไปแล้วพร้อมๆกับชื่อเสียงของตระกูลชิชิโด
"ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งที่สุด!!"
หลังจากที่พวกของอันดะได้ใช้เมล็ดพันธุ์จากสวรรค์เพื่อเพิ่มพลัง พวกเขาก็แข็งแกร่งราวกับเป็นยอดมนุษย์ พลังที่มีอยู่มากมายทำให้พวกเขาอยากที่จะปลดปล่อยและแสดงมันออกมาให้ทุกคนได้เห็นว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
"พวกเจ้าช่วยข้าจัดการหัวต่อไป"
เมื่ออันดะสั่งการเสร็จ สายตาเขาก็กวาดไปมองเครื่องสอดแนมไร้คนขับของสำนักข่าวต่างๆที่กำลังบินถ่ายภาพอยู่โดยรอบ ยิ่งมองเห็นมันมีจำนวนมากขึ้นเท่าไร รอยยิ้มที่น่ารังเกียจของเขาก็ยิ่งกว้างขึ้นเท่านั้น จนตอนนี้มุมปากของเขาไม่สามารถที่จะหุบรอยยิ้มที่กำลังกว้างขึ้นเรื่อยๆนี้ได้อีกแล้ว
"ใช่แล้ว!! ถ่ายอีกถ่ายเข้าไป!! แล้วทีนี้พวกเจ้าจะได้รู้ว่าตระกูลชิชิโดนั้นแข็งแกร่งที่สุดในญี่ปุ่น"
ความบ้าคลั่งของอันดะที่ต้องการเป็นที่หนึ่งนั้นไม่เคยลดน้อยลงเลย ถึงแม้ว่าอายุของเขาจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามวันและเวลา แต่ความต้องการที่จะเป็นที่หนึ่งของเขานั้นไม่เคยจางหายไปจากใจเลยแม้แต่วันเดียว
"ฮ่าๆๆ เจ้าสัตว์ปีศาจ เจ้าจงภูมิใจซะที่จะได้เป็นแท่นเหยียบให้ข้าและตระกูลชิชิโดขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น"
เมื่ออันดะหัวเราะเสร็จ เขาก็พุ่งเข้าไปฟันใส่หัวของเทพอสูรที่กำลังบาดเจ็บจากการโจมตีของคนอื่นให้หลุดลงมาได้อีกหัวหนึ่ง ดูๆไปตอนนี้ก็คงจะไม่มีใครสามารถหยุดความโด่งดังของตระกูลชิชิโดที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับมังกรได้อีกต่อไปแล้ว
แล้วต่อจากนี้ไปคงจะเป็นยุคทองของตระกูลชิชิโดอย่างแน่นอน
******
ภายในสำนักข่าวต่างๆที่ตอนนี้กำลังชมภาพการต่อสู้ของอันดะผ่านทางเครื่องสอดแนม ก็กำลังวิ่งวุ่นทำการตัดต่อภาพให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ถ่ายทอดสดผ่านช่องรับสัญญาณต่างๆเป็นเจ้าแรก
"เร็วเข้าสิเจ้าพวกโง่! ถ้าตัดต่อภาพช้าแบบนี้อย่าหวังว่าปีนี้พวกนายจะได้รับโบนัสเลย แล้วนี้ผู้ประกาศข่าวที่จะใช้รายงานสดไปไหน ยังมาไม่อีกเหรอ!!"
"เออ...คือว่าเธอกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ"
"ไปตามเธอมาเดี๋ยวนี้เลย!!"
การแข่งขันเรื่องข่าวสารนั้นแม้แต่วินาทีหนึ่งก็มีมูลค่ามหาศาล และการถ่ายทอดสดเป็นเจ้าแรกก็หมายถึงผู้เข้าชมที่มากมายด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเร่งรีบถึงแม้ว่าจะแค่วินาทีเดียวก็ตาม
"วันนี้มันวันบ้าอะไรเนี้ย! ไหนจะต้องอพยพ ไหนจะต้องแหกขี้ตาตื่นมาทำงาน ฉันนะอยากจะนอนอยู่บ้านสบายๆในวันหยุดประจำสัปดาห์นะ"
คาเอเดะผู้ประกาศข่าวสาวประจำสถานีข่าวKKNบ่นใส่กระจกในห้องน้ำพร้อมกับแต่งหน้าของเธอไปด้วย
"ทำไมฉันต้องมาเป็นผู้ประกาศข่าวด้วยเนี้ย มันต้องเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดในชีวิตของฉันอย่างแน่นอน ฉันน่าจะเรียนให้น้อยเกาะพ่อแม่กินแล้วเก็บตัวอยู่แต่ในห้องหาแฟนและเพื่อนทางเน็ต แล้วก็นอนเหมือนหมีที่จำศีลไปเป็นเดือนๆในวันที่หิมะตก ใช่แล้ว!!...ชีวิตฉันมันน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่า?...มันผิดพลาดที่ไหนกันทำไมฉันที่น่าจะเป็นฮิคิโคโมริ(พวกชอบเก็บตัว) ถึงได้มาเป็นผู้ประกาศข่าวสาวที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่นกัน โลกนี้มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆเลย ใช่แล้วมันต้องบ้าไปแล้ว"
คาเอเดะบ่นพึมพำอยู่หน้ากระจกราวกับเธอกำลังสะกดจิตตัวเองอยู่ยังไงยังงั้น
"คุณคาเอเดะเสร็จแล้วยังค่ะ!! ได้เวลาแล้วนะค่ะ"
เสียงเรียกที่อยู่หน้าห้องน้ำทำให้คาเอเดะตื่นขึ้นจากภวังค์
"ค่ะ ฉันเสร็จแล้ว"
คาเอเดะตอบพร้อมกับเดินออกไปจากห้องน้ำแล้วตรงไปห้องส่งทันที
ภายในห้องส่งสำรองที่อยู่นอกเขตเมืองหลวง ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้คงจะมีแค่สำนักข่าวของKKNเท่านั้นที่สามารถรายงานสดได้ในตอนนี้
"นับถอยหลัง 10....9...8..."
เสียงนับถอยหลังที่ดังขึ้นมาเรื่อยๆ ทำให้คาเอเดะต้องกวาดสายตามมองแผ่นกระดาษข่าวหลายสิบแผ่นแบบต่อวิและทำสรุปมันเข้าหัวเธอให้มากที่สุด
"จะมองกี่ครั้งก็ยังสุดยอดเหมือนเดิมเลยนะค่ะ คุณคาเอเดะเนี้ย"
"ใช่แล้ว ฉันเองอยากจะเป็นคนเก่งแล้วก็สวยเหมือนกับคุณคาเอเดะเหมือนกัน"
เสียงชื่นชมของผู้หญิงในห้องส่งต่างก็ออกมาเป็นทำนองเดียวกัน และกลุ่มผู้ชายเองก็เหมือนกันแต่ต่างออกไปอยู่นิดหน่อย
"คุณคาเอเดะก็สวยอยู่นะ หล่อๆอย่างนายไม่ลองเข้าไปจีบดูบ้างล่ะ?"
"จะบ้าเหรอ! เธอเก่งซะขนาดนั้นฉันเองก็ไม่ไหวหรอก ฉันนะขอน้องหนูชั้นรองๆลงมาหน่อยดีกว่า" หนุ่มหล่อตอบกลับทันควันที่โดนเพื่อนถาม
"แล้วนายล่ะไม่ลองเข้าไปจีบเธอหน่อยเหรอ?" หนุ่มหล่อถามเพื่อนของตัวเองกลับ
"ไม่ไหวหรอก.... อย่างคุณคาเอเดะฉันคงจะต้องไปเกิดใหม่ชาติหน้าให้ดูดีก่อนล่ะมั้งถึงจะพอมีหวังกับเขาบ้าง"
"ฮ่าๆๆ นายเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกันเหรอ" หนุ่มหล่อตอบพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
"3....2...1..."
ในที่สุดเสียงนับถอยหลังก็จบลงพร้อมกับเสียงของคาเอเดะที่ดังขึ้น
"สวัสดีค่ะ ฉันคาเอเดะจากสำนักข่าวKKN หลังจากที่ได้มีการโจมตีของเทพอสูรที่มีรูปร่างคล้ายงูแปดหัวขนาดยักษ์ รัฐบาลก็ออกคำสั่งประกาศอพยพผู้คนเป็นการเร่งด่วน"
หลังจากที่คาเอเดะพูดจบภาพของเทพอสูรพญางูขาวก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรทัศน์ให้ทุกคนได้เห็นพร้อมกับภาพของนักปราบผีนับแสนคนที่กำลังต่อสู้กับมันอยู่
"ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่โตของมันทุกคนก็คงจะเห็นแล้วว่ามันใหญ่โตขนาดไหน ช่วงแรกนั้นแทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ได้เลย แต่มันเป็นการสังหารหมู่อยู่ฝ่ายเดียวของเทพอสูรซะมากกว่า"
คาเอเดะรายงานพร้อมกับภาพของเทพอสูรที่กำลังฆ่าสังหารนักปราบผีราวกับพวกเขาเป็นมดปลวกตัวเล็กๆที่มาเกาะอยู่ตามร่างกายให้น่ารำคาญ มันดูไม่จริงจังเลยกับการฆ่าสังหารมดตัวเล็กๆ
แต่เมื่อชีวิตเหล่านั้นที่โดนฆ่าสังหารไม่ใช่มดแต่เป็นคน มันกลับดูโหดร้ายอย่างที่สุดในสายตาของเหล่าผู้ชมที่กำลังรับฟังข่าวอยู่ในตอนนี้
"แต่หลังจากนั้นไม่นานความหวังของพวกเราก็มาถึง เมื่อกลุ่มนักปราบผีที่นำโดยตระกูลชิชิโดสามารถตัดศีรษะของเทพอสูรลงมาได้สำเร็จ"
ภาพศีรษะของเทพอสูรที่ตกลงพื้นนั้นทำให้เหล่าผู้ชมโห่ร้องกันขึ้นมาอย่างดีใจ และทันทีที่หัวที่สองของเทพอสูรตกลงพื้นพวกเขาก็แทบที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
ในเวลาเดียวกันทางด้านของฮาสึโนะและกลุ่มเพื่อนของเธอก็กำลังมองดูเทพอสูรอยู่ไกลๆเช่นกัน
"อุว้า!! หัวที่สามขาดไปอีกแล้ว"
มิซากิกล่าวพร้อมกับหัวที่สามของเทพอสูรที่ถูกตัดลงพื้น
"มะ...ไม่จริงใช่ไหม!! นี้มันต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆเลย ตอนที่ฉันไปสู้กับมันมันออกจะเก่งเวอร์ซะขนาดนั้น พวกเธอไม่รู้หรอกว่าตอนมันสร้างหลุดดำได้นั้นมันน่ากลัวขนาดไหน!!"
ฮาสึโนะถึงกับทรุดลงกับพื้นทันที เมื่อพบว่าเรื่องที่ยากลำบากสำหรับเธอนั้นกำลังจะกลายเป็นเรื่องขี้ๆสำหรับพวกเขาที่กำลังจะฆ่าเทพอสูรได้สำเร็จ
"พวกนั้นคงจะเป็นกลุ่มนักปราบผีที่ถูกนำโดยตระกูลชิชิโดนะ เพราะฉันได้เห็นตอนที่พวกนั้นกำลังเตรียมตัวกันอยู่นิดหน่อย"
หลินกุ่ยพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มองดูมีเลศนัย ในใจของเธอนั้นแทบที่จะรอให้พวกเขาฆ่าเจ้าเทพอสูรนั้นจนทนไม่ไหวแล้ว ลองคิดดูสิว่าข่าวของเธอจะดังแค่ไหน ถ้าฮีโร่ของพวกเขากลายเป็นตัวร้ายที่วางแผนให้คนอื่นเข้าไปตายก่อน
"แต่ถ้าพวกเธออยากมองดูภาพใกล้ๆเพื่อเป็นการยืนยัน ก็ลองเอามือถือขึ้นมาเปิดข่าวดูก็ได้ ตอนนี้น่าจะมีสักสถานีหนึ่งแหละที่กำลังถ่ายทอดสดอยู่"
หลินกุ่ยพูดพร้อมกับเอามือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดด้วยเหมือนกัน
"โทรได้ด้วยหรือค่ะ! ไม่ใช่ว่ามันโทรไม่ติดหรือค่ะ?"
โทโมเอะเอ่ยถามอย่างสงสัย ซึ่งคำถามนั้นก็ทำให้หลินกุ่ยต้องกุมขมับทันที
"เธอนี้น้า! การถ่ายทอดสดของโทรทัศน์นะมันเป็นการส่งทางเดียว เพราะงั้นมันดูได้อยู่แล้วเอามือถือของเธอขึ้นมาแล้วเปิดดูเถอะน่า"
หลินกุ่ยกล่าวตัดจบพร้อมกับเอามือถือขึ้นมาเปิดช่องข่าวต่อทันที
"ให้ตายสิ พวกKKNนี้มันขึ้นข่าวได้ไวดีจริงๆ" หลินกุ่ยกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
"เอ๊ะ...นั่นมันคุณอันดะไม่ใช่เหรอ?"
เรนอิจิพูดออกมาทันทีที่เห็นผู้นำของตระกูลชิชิโดกำลังฟาดฟันเทพอสูรอยู่ในจอมือถือ
"เรนอิจินายรู้จักตาลุงที่ท่าทางเก่งๆนั้นด้วยเหรอ?" ฮาสึโนะเอ่ยถาม
"อืม...รู้จักสิ แต่เมื่อก่อนเขาไม่ได้ดูเก่งขนาดนี้หรอกนะ"
เรนอิจิเองก็ดูแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ผู้นำตระกูลชิชิโดสามารถเก่งขึ้นได้ขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนว่าเขาจะลืมอะไรที่สำคัญมากๆไปสักอย่างเมื่อเขามองดูอันดะผ่านหน้าจอมือถือ
"ว้าย! หัวที่สี่ไปแล้วค่ะ อีกไม่นานมันคงจะตายแล้วสินะค่ะ?" โทโมเอะกล่าวพร้อมกับแววตาที่กำลังจ้องมองมือถืออย่างตื่นเต้น เมื่อหัวที่สี่ของเทพอสูรตกลงสู่พื้น
"มันก็ไม่แน่หรอก.... พวกเธอไม่เห็นหรือว่าเจ้าพวกนั้นมันตัดหัวเทพอสูรได้ช้าลง"
เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับวาดนิ้วบนอากาศเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อสร้างภาพขนาดใหญ่ขึ้นมาให้คนอื่นดู ซึ่งมันเป็นภาพในมุมที่ต่างจากที่มีการถ่ายทอดสดอยู่ในตอนนี้ และภาพของเฟรนดี้นั้นก็ดูใกล้และดูดีกว่ามากจนเหมือนกับเดินเข้าไปถ่ายด้วยตัวเองเลย
"ว้าว!! เทคโนโลยีแบบใหม่หรือค่ะ" หลินกุ่ยมองดูนิ้วของเฟรนดี้อย่างตื่นเต้นพร้อมกับเอาปากกาขึ้นมาจดๆจ้องๆ
"ก็ประมาณนั้น....ล่ะมั้ง" เฟรนดี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจและหันกลับมาชี้บนหน้าจออีกครั้งเพื่อขยายมันเข้าไปที่ใบหน้าของผู้นำตระกูลชิชิโด
"พวกเธอเห็นไหมว่าเจ้านั่นมันดูจะเหนื่อยเกินไปทั้งๆที่ฟันไปได้แค่สี่ดาบ"
"ท่าฟันของเขาอาจจะต้องใช้พลังมากก็ได้นิ?" อากาเสะกล่าวพร้อมกับแสดงความเห็น
"ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ ท่าฟันที่รุนแรงขนาดนั้นน่าจะเปลืองแรงน่าดู"
ซามิยะเองก็แสดงความเห็นออกมาทางเดียวกันกับอากาเสะ เพราะจากความรู้ด้านแพทย์รักษาของเธอนั้นทำให้สามารถดูออกว่าอันดะกำลังมีอาการของคนที่สูญเสียพลังเวทไปเป็นจำนวนมากอยู่
"แล้วถ้าเขาไม่ได้สูญเสียพลังไปเพราะท่าฟันล่ะ?" เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวเป็นที่สุด
"นะ...นั่นมันก็"
ทุกคนที่ได้ฟังสิ่งที่เฟรนดี้พูดก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันที และรีบหันกลับไปดูที่ภาพเพื่อมองให้ชัดๆอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเฟรนดี้ก็ขยายพื้นที่หน้าจอภาพให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ดูกันอย่างชัดๆ
"พวกเธอดูตรงนั้นสิ!!"
หลินกุ่ยที่มีสายตาที่ดี ชี้ไปยังจุดเล็กๆของภาพทางมุมขวาล่าง ซึ่งจุดนั่นก็มีคนของตระกูลชิชิโดที่อยู่ดีๆก็สลบไปทั้งยืนอยู่
ถ้าแค่คนเดียวพวกเธออาจจะไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อมีคนที่สองที่สามและที่สี่พวกเธอก็เริ่มไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างการใช้พลังจนหมดแรงอีกต่อไป แต่มันเป็นอะไรสักอย่างที่ตอนนี้พวกเธอเองก็ยังไม่รู้
แต่ไม่ใช่ว่ามันจะจบลงเท่านั้นเมื่อร่างที่ล้มลงเหล่านักปราบผีค่อยๆซูบผอมลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับมีแมกไม้โผล่แทงออกมาจากร่างกายของพวกเขา
"แย่แล้วนั่นมัน!! เมล็ดพันธุ์ปีศาจ"
ยามิที่ดูอยู่ร้องอุทานออกมาทันทีที่เห็นภาพนั้น เพราะเธอจำได้แล้วว่ามันคืออะไร
"มันคืออะไรเหรอ?" ฮาสึโนะเอ่ยถามอย่างสงสัย
"มันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรมีอยู่บนโลก ถึงมันจะสามารถเพิ่มพลังเวทให้กับผู้ใช้ได้อย่างมหาศาล แต่มันต้องแลกมาด้วยพลังชีวิตของพวกเขาเอง" ยามิกล่าวพร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหล
"เธอหมายความว่าพวกเขากำลังจะตายเหรอ?" อากาเสะถาม
"ไม่หรอก...ถ้าพวกเขาตายไปนะยังดีซะกว่า เพราะหลังจากนี้ต่างหากที่เป็นความสามารถที่แท้จริงของมัน ไม่นะ!!.... ฉะ...ฉันไม่น่าทำมันเลย มันเป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้น!!"
ยามิกล่าวโทษตัวเองพร้อมกับนั่งลงร้องไห้กับพื้น ถึงแม้ตอนนั้นเธอจะทำไปเพราะคำสั่งของนากามูระเซนโจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคิดว่านี่เป็นความผิดของเธออยู่ดี
"แล้วมันคืออะไรนะความสามารถที่แท้จริงของมัน?" ฮาสึโนะถามต่อ
"ฉันขอโทษๆๆ ฉันผิดไปแล้วมันจบแล้ว ทุกอย่างมันจบแล้ว!! ทุกอย่างมันเป็นความผิดของฉันเอง"
ยามิได้แต่ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ออกมาราวกับคนบ้า และเพ้อจนไม่ได้ยินเสียงฮาสึโนะที่กำลังถามเธออยู่เลยแม้แต่น้อย
จนในที่สุดฮาสึโนะก็ทนไม่ไหวเข้าไปตบหน้ายามิเสียงดังเพี้ย!! จนทุกคนต้องตกใจกับการกระทำของเธอ
"เลิกโทษตัวเองได้แล้วยามิ แล้วบอกฉันมาว่าต่อไปพวกเขาจะเป็นยังไง"
ฮาสึโนะกระชากคอเสื้อของยามิขึ้นมาอย่างไม่ไยดี เพราะเธอทนไม่ได้ที่ต้องเห็นยามิมาทำตัวอ่อนแอแบบนี้ ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งยามิเคยเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีกับเธอมาแล้ว
ดังนั้นการที่เธอเห็นยามิร้องไห้แบบนี้เธอจึงทนไม่ไหวและตบหน้ายามิไป
"พะ...พวกเขาจะถูกควบคุมด้วยเมล็ดพันธุ์ปีศาจ และลุกขึ้นมาอีกครั้ง" ยามิกล่าว
ทางด้านสนามรบอันดะเองก็กำลังกังวลใจอยู่เหมือนกันที่หัวที่ห้าของเทพอสูรนั้นดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าหัวก่อนหน้านี้มาก จนลูกน้องของเขาไม่สามารถสยบมันให้เขาเข้าไปฟันได้สักที
"ชักช้าจริงๆเจ้าพวกบ้า!! อย่าออมแรงกันสิ!! ใส่พลังของพวกแกเข้าไปอีก"
อันดะพยายามสั่งการให้เร่งโจมตีใส่หัวที่ห้า แต่ก็ยังไม่เป็นผลจนในที่สุดอันดะก็ทดไม่ไหวต้องเข้าไปลุยกับมันเอง
ปลายดาบที่ถูกชักออกมานั้นยังคงว่องไวเช่นเดิม แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับฟันมันเขาไปได้แค่ครึ่งทาง และไม่สามารถตัดหัวมันให้ขาดได้อย่างสมบูรณ์
"บ้าจริง!!! ทำไมมันถึงได้แข็งแกร่งขึ้นแบบนี้"
อันดะพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งๆที่ความจริงแล้วเทพอสูรไม่ใช่แค่แข็งแกร่งขึ้น แต่พวกเขาเองก็อ่อนแอลงด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นอันดะดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองนั้นอ่อนแอลงแค่ไหน และเขาเองก็ยังไม่สนใจด้วยว่าลูกน้อยของเขาที่ล้มลงไปนั้นเป็นเพราะอะไร
สิ่งที่เขาคิดอยู่เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือต้องล้มเทพอสูรที่อยู่ตรงหน้านี้ให้จงได้ เพื่อเกียรติของเขาและตระกูลชิชิโด ดังนั้นการจะสูญเสียใครไปก็ไม่สำคัญ ขอให้เขาเป็นคนจัดการเทพอสูรได้เป็นพอ
"โจมตีเข้าไปๆ!! อย่าออมแรงของพวกแกเป็นอันขาด"
อันดะสั่งการราวกับคนเป็นบ้าเมื่อเห็นทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เขาวางเอาไว้
"แกทำไมไม่ใส่แรงเข้าไปอีก!!"
อันดะตวาดคนที่อยู่ใกล้ๆทันทีที่เขาเห็นลูกไฟลูกเล็กๆที่ถูกปล่อยออกมาจากฝ่ามือของคนๆนั้น
"ผะ..ผม ผม..."
ชายคนนั้นพยายามตอบอันดะ แต่อยู่ๆเขาก็หมดสติไปและหล่นลงสู่พื้น และซึ่งแน่นอนว่าอันดะไม่สนใจแม้แต่จะไปรับร่างของชายคนนั้นให้เสียเวลา
"เพราะอ่อนแอถึงต้องตาย..."
อันดะกล่าวคำนั้นเสร็จก็หันไปสนใจเทพอสูรต่อทันที จนไม่รู้ว่าเหล่าลูกน้องของเขาที่ตกลงไปก่อนหน้านั้นกำลังลุกขึ้นมาเดินได้อีกครั้งแล้ว
******
"และเมื่อเมล็ดพันธุ์ปีศาจเข้าครบคุมร่างได้โดยสมบูรณ์ มันจะเข้าโจมตีคนที่อยู่ใกล้ๆเพื่อปลูกถ่ายกิ่งพันธุ์เข้าไป"
พอพูดได้ถึงตอนนี้ยามิก็เริ่มหน้าซีด
"และหลังจากที่มันได้ปลูกกิ่งพันธุ์เข้าไป ในไม่กี่นาทีหลังจากนั้นคนๆนั้นก็จะกลายเป็นพวกมันและหันไปโจมตีคนอื่นต่อทันที"
เมื่อยามิพูดจบทุกคนที่ได้ฟังก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
"นี้เธอกำลังจะบอกว่า พวกนั้นจะกลายเป็นซอมบี้แล้วไปไล่กัดคนอื่นเหมือนกับในหนังยังงั้นเหรอ?"
มิซากิถามยามิต่อทันที ซึ่งแน่นอนว่าเธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อ เพราะถึงในเกมจะมีซอมบี้ออกมาเดินอยู่มากมาย แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นเธอเคยเห็นแค่พวกที่นอนอยู่แต่ในโลงเฉยๆให้คนอื่นเขาเดินชมตามพิพิธภัณฑ์เท่านั้นเอง
"ถ้าเหมือนในหนังมันก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าเป็นซอมบี้บวกกับนักปราบผีล่ะ? เธอคิดว่าจะเป็นยังไง"
ยามิเอ่ยถามมิซากิกลับด้วยแววตาที่มืดมน ซึ่งคนอื่นก็เริ่มคิดตามคำพูดของยามิ และถ้าเป็นไปตามคำพูดของยามิ ที่สนามรบแห่งนั้นคงจะกำลังกลายเป็นนรกที่ยิ่งกว่าในตอนนี้ซะแล้ว
ความคิดเห็น