ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธสัญญารักนักปราบผีสาว (ฟรี)

    ลำดับตอนที่ #31 : ตอนที่ 30 การโจมตีของพ่อบ้านฮายาชิ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.25K
      20
      30 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 30

    การโจมตีของพ่อบ้านฮายาชิ


    การมาครั้งนี้ของพ่อบ้านฮายาชิทำให้ยามิจับมีดสั้นไอกุชิขึ้นมาอย่างฉับพลันเพราะเธอรู้กฎของบ้านนากามูระเป็นอย่างดีว่าพวกเขาจะจัดการกับผู้ที่ทำงานพลาดยังไง

    “โอ้! ถึงกับกล้าหันมีดใส่ฉันคนนี้แล้วหรือเนี้ย เธอคงอยากจะตายมากใช่ไหม?”

    คำพูดของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิทำให้ยามิก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายของเธอราวกับต้องการที่จะคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อขอโทษในสิ่งที่เธอทำลงไป แต่จิตใจที่แข็งแกร่งทำให้เธอยืนหยัดปฏิเสธมันถึงแม้ว่าแขนขาของเธอจะสั่นจนยากที่จะควบคุมแล้วก็ตาม

    “ฉะ...ฉัน ฉันจะไม่กลับไปเป็นอย่างเดิมอีกแล้ว!!”

    ยามิประกาศก้องพร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิด้วยประกายสายฟ้า ฉับ!!...ปลายมีดไอกุชิผ่าร่างของพ่อบ้านฮายาชิออกเป็นสองท่อนได้อย่างแม่นยำ แต่ไม่นานร่างที่ยามิฟันไปก็แตกออกเป็นใบไม้กลุ่มหนึ่งหาใช่ร่างเนื้อคนไม่

    “ใจร้อนเสียจริง แต่ก่อนที่ฉันจะเอาตัวเธอไปให้ท่านนากามูระลงโทษ ฉันอยากจะถามเธอว่าเธอรู้หรือไม่ว่าเกล็ดของพญางูขาวแปดเศียร3ชิ้นสุดท้ายที่ฉันให้เธอหานั้นอยู่ที่ไหน”

    “ฉันไม่รู้!!” ยามิตอบกลับทันควันเพื่อปิดซ่อนในสิ่งที่เธอรู้

    “โอ...ไม่ๆๆเธอรู้ ฉันคิดว่าเธอรู้อย่างแน่นอนยามิ เพราะงั้นจงรีบบอกมาซะ ไม่ยังงั้นจะไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอกนะที่จะต้องตาย”

    “แก!!”

    “อย่าเพิ่งโกรธสิยามิ ฉันแค่ต้องการรู้ที่อยู่ของเกล็ดพญางูขาวแปดเศียรที่เหลือ3ชิ้นสุดท้ายกับต้องจับตัวเธอไปลงโทษเท่านั้น ส่วนเรื่องที่จะต้องฆ่าใครหรือไม่นั้นคงจะต้องให้เธอเป็นคนตัดสินใจเองแล้วล่ะ”

    คำพูดของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชินั้นทำให้ยามิเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะคำพูดของเขานั้นก็สื่อความหมายตรงตัวอยู่แล้ว

    “ก็ได้ฉันจะบอกนายทุกอย่างและจะตามนายกลับไปด้วย แต่นายต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ทำอะไรพวกเธอ”

    ยามิพูดขึ้นพร้อมกับตั้งเงื่อนไขให้หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิเอ่ยสัญญา เพราะเธอรู้ว่าพ่อบ้านฮายาชินั้นรักษาสัญญามากแค่ไหนจากการที่เขารับใช้ท่านเจ้าบ้านนากามูระมาเป็นเวลานานและไม่เคยทรยศ

    “โอ...ไม่น่าเชื่อว่าเดี๋ยวนี้เธอรู้จักการต่อรองเป็นด้วย ได้สิฉันสัญญาว่าจะไม่ฆ่าพวกเธอ แค่จะไม่ฆ่าเท่านั้นนะ”

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิกล่าวพร้อมกับส่ายนิ้วชี้ของตัวเองไปมา ราวกับว่ากำลังจะบอกเธอว่าจะร้ายจะดีก็ขึ้นอยู่กับคำตอบและการกระทำของเธอต่อจากนี้ไป

    “แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว”

    ยามิตอบพร้อมกับเดินเข้าไปหาหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิ ถึงแม้เวลาที่มีความสุขของเธอจะสั้นเพียงแค่ครึ่งวัน แต่เธอก็รู้สึกคุ้มค่าแล้วที่จะแลกทุกสิ่งกับมันทั้งเพื่อนทั้งบรรยากาศอบอุ่นที่เธอเคยฝันถึงเธอก็ได้รับรู้มันจนครบถ้วนแล้วเพราะอย่างนั้นเธอควรที่จะพอใจกับมัน

    แต่แล้วไม่รู้ทำไมก่อนที่เธอจะจับมือหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิเพื่อที่จะให้เขาพาตัวเธอกลับไปสำเร็จโทษ ดวงตาของเธอก็มีน้ำตาไหลออกมา

    ยามิยกมือขึ้นซับมันอย่างแปลกใจ น้ำตาคนอย่างเธอนี้นะจะมีน้ำตา ยามิแทบจะหัวเราะไม่ออก นี้คงจะเป็นการลงโทษสำหรับเธอแล้วที่เป็นคนบาป พระเจ้าคงจะให้เธอเจอกับทุกสิ่งที่เธอรักและต้องการก่อนที่เขาจะแยกมันไปจากเธอเพื่อสร้างความเจ็บปวด ใช่แล้ว!!...มันเจ็บปวดซะจนเธอแทบแตกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ การลงโทษของพระเจ้านั้นมันช่างโหดร้ายสำหรับเธอยิ่งนัก

    “ไปได้แล้วยามิ!! เราจะมัวแต่ชักช้าไม่ได้เธอเองก็รู้ดีว่าท่านนากามูระไม่ต้องการอย่างนั้น”

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิเอ่ยเร่งยามิพร้อมกับเดินเข้าไปจับมือของเธอเอาไว้ เพราะถ้าเป็นตอนนี้เขาอาจที่จะพอพูดอะไรได้บ้าง แต่ถ้าสายกว่านี้ทุกอย่างอาจจะเลวร้ายลงจนเขาเองก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้แล้ว

    แต่ยังไม่ทันที่หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิจะได้จับมือยามิ เขาก็รู้สึกตัวว่ามีคนเดินเข้ามาจนเขาต้องกระโดดตัวลอยออกห่างจากยามิไปช่วงใหญ่ นี้นับว่าเป็นปฏิกิริยาตอบสนองโดยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองจนแม้แต่เขายังต้องตกใจ

    “ยามิ...นะยามิ ไหนเธอบอกว่าจะทำธุระแค่แป๊บเดียวไง นี้นานซะจนฉันต้องออกมาตามเธอเองเลยนะรู้ไหม?”

    เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับเดินเข้ามากลางวงด้วยท่าทางที่สบายๆ แต่ท่าทางที่สบายๆของเธอนั้นกลับทำให้หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิถึงกับก้าวขาไม่ออก เพราะเขารู้ว่าถ้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียวเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้

    “คะ...คุณเฟรนดี้มาได้ยังไงค่ะ ไม่ใช่สิคุณเฟรนดี้รีบออกห่างจากชายคนนั้นเร็ว”

    ยามิรีบร้องเตือนด้วยความที่เธอเกรงว่าเฟรนดี้จะเป็นอะไรไป เพราะเธอรู้ดีว่าฝีมือของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชินั้นร้ายกาจขนาดไหน

    “อ้อ!! เรื่องนั้นเธอไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ถ้าจะเป็นห่วงก็ไปเป็นห่วงเขาจะดีกว่า” เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์

    “เธอ!!! เธอเป็นตัวอะไรกันแน่!!”

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิกล่าวออกมาอย่างตื่นตระหนก จนแม้แต่ยามิเองก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

    “เรื่องนั้นฉันไม่ขอตอบก็แล้วกัน เอาเป็นว่าตอนนี้นายกำลังยุ่งกับของๆฉันอยู่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ฉันไม่ชอบใจสุดๆไปเลยล่ะ”

    เฟรนดี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนแทบที่จะแช่แข็งหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิได้ เขารู้ดีว่าไม่ควรที่จะสู้กับเธอคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้นหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิก็ไม่สามารถที่จะกลับไปมือเปล่าได้ เพราะท่านเจ้าบ้านนากามูระนั้นจะไม่รออีกต่อไปแล้ว และแผนการทั้งหมดก็ต้องดำเนินต่อไป

    เมื่อตัดสินใจได้แล้วหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิก็โยนระเบิดแสงระเบิดควันและระเบิดเพลิงทั้งหมดใส่เฟรนดี้พร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหายามิเพื่อคว้าตัวเธอเอาไว้

    “ยามิมานี้เราต้องไปกันแล้ว”

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิกล่าวพร้อมกับรวบจับตัวยามิเอาไว้เพื่อที่จะหลบหนี แต่เมื่อเขารู้ตัวอีกทีเขาก็รู้สึกโล่งๆที่แขนซ้ายซะแล้ว และเมื่อเขามองกลับไปดูแขนซ้ายที่ใช้จับยามิก็พบว่ามันได้หายสาบสูญไปแล้ว

    “อ้ากกกก!!!”

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อพบว่าแขนซ้ายของตัวเองได้หายไปแล้วพร้อมๆกับที่มีเลือดสีแดงไหลออกมาเป็นจำนวนมาก

    เขามองหน้าเฟรนดี้ที่ถือร่มสีขาวเปื้อนเลือดอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมวิชาใบไม้สลายร่างของเขาถึงไม่ทำงาน แล้วไหนจะวิชาใบไม้พรางตาที่เขาใช้หลังจากการปาระเบิดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจนั่นอีก เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกอย่างมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้

    “เฮ่ย....ฉันล่ะเบื่อพวกหนอนแมลงที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องจริงๆเลย ไม่ใช่ว่าฉันบอกนายไปแล้วเหรอว่าฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของๆฉันนะ”

    ยามิเองตอนนี้ก็รู้สึกตกใจมากเพราะหลังจากที่เธอโดนวิชาใบไม้พรางตาไปเธอก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลยจนกระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิโดนตัดแขนซ้ายไปแล้ว

    เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากจนแม้แต่หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิที่ถือว่าเก่งกาจรองจากท่านเจ้าบ้านนากามูระก็ยังไม่รู้ว่าทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วไหนจะระเบิดที่เขาปาไปอีก ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่ามันหายไปไหน

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิจ้องมองเฟรนดี้อีกครั้งอย่างไม่วางใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า เพื่อที่จะใช้อุปกรณ์ส่งสัญญาณฉุกเฉิน

    “เอ๊ะๆ อย่าขยับสิ”

    เฟรนดี้แค่วาดมือลงหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิก็ถึงกับทรุดตัวลงแนบกับพื้นด้วยแรงกดทับอันมหาศาล และแรงกดทับนั้นก็ทำให้หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิถึงกับกระอักเลือดออกมา

    หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิรู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เขาไม่นึกเลยว่าคนอย่างเขาจะมาพ่ายแพ้แบบนี้ คนข้างหน้านี้เป็นใครกันแน่ทำไมสายข่าวของเขาถึงไม่รู้จักเธอเลยทั้งๆที่เธอเองก็มีพลังฝีมือขนาดนี้ชื่อเสียงของเธอก็น่าจะดังผ่านหูเขาบ้างแต่นี่กลับไม่มีเลย หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

    “ของที่นายอยากได้ก็คือก้อนหิน3ก้อนนี้ใช่ไหม?”

    เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับยื่นมือเข้าไปในหลุมมิติและหยิบเอาเกล็ดของพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ออกมา หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิที่เห็นเกล็ดของพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์3ชิ้นสุดท้ายในมือของเฟรนดี้ก็ถึงกับตาลุกวาวขึ้นมาทันที

    “เอาไปสิ”

    ว่าแล้วเฟรนดี้ก็โยนเกล็ดของพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ไปที่พื้นตรงหน้าของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิ หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิเมื่อเห็นก็รีบก้มลงไปหยิบมันทันที แต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะยื่นไปถึงก็ปรากฏรอยแยกขึ้นมาบนพื้นดินจนเขาต้องรีบดึงมือกลับมา

    “เอ๊ะ!? อย่าเพิ่งใจร้อนสิ คนฉลาดอย่างนายคงจะรู้สินะว่าทุกอย่างนั้นมันจำเป็นต้องมีสิ่งของแลกเปลี่ยน”

    เมื่อได้ยินคำพูดของเฟรนดี้ หัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิก็หันไปมองหน้ายามิสักพักก่อนที่จะหันกลับมาพูดกับเฟรนดี้

    “ยามิได้ตายในระหว่างปฏิบัติหน้าที่เก็บกู้เกล็ดของพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์3ชิ้นสุดท้าย ส่วนผมเสียแขนไปในระหว่างช่วยเธอต่อสู้กับสัตว์อสูรที่ว่านั่น”

    “อะฮ้า...ใช่เลยตามนั้นแหละ” เฟรนดี้กล่าว

    “ไปกันเถอะยามิ พวกเราหมดธุระที่นี่แล้ว”

    เฟรนดี้พูดเสร็จก็เดินนำออกไป ยามิหันไปมองหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิอย่างไม่มั่นใจนักเพราะเธอเองก็พอจะรู้มาบ้างว่าเกล็ดของพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์นั้นมีเอาไว้ใช้ทำอะไรหลังจากที่เธอได้ตามหามันมาแล้วหลายชิ้น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้แต่หันหลังและเดินตามเฟรนดี้ออกไป

    “คุณเฟรนดี้จะดีหรือค่ะที่ให้ของสิ่งนั้นกับหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิไป” ยามิถามขณะที่เดินตามหลังเฟรนดี้มาติดๆ

    “ก็ไม่ค่อยดีนักหรอก แต่เธอคิดหรือว่าสักวันหนึ่งพวกนั้นจะไม่ได้มันไป และถึงจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็ใช่ว่าพวกนั้นจะทำการเรียกเทพอสูรพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ไม่ได้สักหน่อย เพราะงั้นฉันก็เลยเอามันมาแลกกับเธอก่อนยังไงล่ะ”

    เฟรนดี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ เพราะยังไงเธอก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าโลกนี้มันจะเป็นยังไง ในเมื่อเธอเองก็มีหน้าที่ของเธอ และการที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของพวกมนุษย์นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่รากอย่างเธอจะทำอยู่แล้ว ก็นะประมาณว่ามันจะทำโลกให้แตกก็เป็นเรื่องของมันไม่ได้เกี่ยวกับเธอ

    “อ้าว? ยืนทำอะไรกันอยู่ทำไมสีหน้าถึงดูไม่ดีแบบนั้น”

    เฟรนดี้กล่าวขึ้นขณะที่เดินออกจากสวนต้นไม้ข้างหลัง และเห็นพวกเพื่อนๆของเธอที่กำลังมองหาอะไรก็ไม่รู้อยู่รอบๆ

    “เอ๊ะ? คุณเฟรนดี้กับคุณยามิไปไหนกันมาค่ะ รู้ไหมว่าพวกเราตกใจมากแค่ไหนที่เห็นพวกคุณหายไป ฉะ...ฉันนึกว่าพวกคุณจะโดนคนไม่ดีจับตัวไปซะแล้ว”

    ซามิยะกล่าวออกมาอย่างเป็นห่วงเพราะยังไงพวกเฟรนดี้และยามิก็เป็นผู้หญิง การที่พวกเธอหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงพออยู่แล้ว

    “เฮอะ!! อย่างยายนั้นนะจะโดนจับตัวไป ฉันล่ะสงสารคนที่จับตัวเธอไปจริงๆ” ฮาสึโนะกล่าวพร้อมกับส่ายหัวไปมา

    “ก็นะฉันเองก็คงจะรู้สึกสงสารมันเหมือนกัน ใช่ไหมยามิ” เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับหันไปขอความเห็นจากยามิ

    “ชะๆ....ใช่แล้วค่ะ เขาคงจะดูน่าสงสารน่าดูเลยค่ะ” ยามิกล่าวพร้อมกับสีหน้าที่ดูซีดลง เพราะเธอเองก็ไม่คิดหรอกนะว่าการเสียแขนไปข้างหนึ่งนั้นจะเรียกว่าน่าสงสารเฉยๆ

    “แล้วพวกคุณเฟรนดี้ไปไหนกันมาค่ะ ทำไมถึงไม่ยอมรอพวกเรากลับมากันก่อน” ซามิยะกล่าวพร้อมกับทำสีหน้าเหมือนกับคุณแม่ที่กำลังดุลูกสาวอยู่ ซึ่งแน่นอนเฟรนดี้ที่เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกไม่ดีสักเท่าไรจึงตอบบ่ายเบี่ยงกลับไป

    “เออ...ก็พอดียามิอยากจะเข้าห้องน้ำนะฉันเลยต้องพาเธอไป” เมื่อเฟรนดี้โยนภาระให้กับยามิเสร็จเธอก็หลบสายตาของซามิยะทันที และแน่นอนยามิที่โดนกล่าวหาก็หน้าแดงขึ้นมาทันทีเมื่อถูกพูดต่อหน้าเพื่อนๆแบบนี้

    “คุณเฟรนดี้นี้ละก็!!”

    ยามิเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกันเมื่อเจอเฟรนดี้พูดแบบนี้ ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตาด้วยความอายเท่านั้น เพราะยังไงก็คงจะบอกความจริงออกไปไม่ได้อยู่แล้วว่าพวกเธอทั้งสองคนนั้นไปทำอะไรกันมา

    “เอาเถอะถ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”

    อากาเสะกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเธอเองก็เป็นห่วงสองคนนั้นเหมือนกันที่อยู่ดีๆก็เล่นหายไปโดยไม่บอกกล่าวอะไรพวกเธอสักคำ

    “ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วฉันว่าพวกเราไปหาที่นั่งกินอาหารเย็นพร้อมกับเขียนคำอธิษฐานกันเถอะ”

    มิซากิกล่าวออกมาพร้อมกับลูบท้องของตัวเองไปด้วย ซึ่งท่าทางของมิซากิก็เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆของเธอได้เป็นอย่างดี

    “พวกเธอจะหัวเราะกันไปทำไมเนี้ย! ฉันหิวจะตายอยู่แล้วนะขอบอก” มิซากิกล่าวพร้อมกับทำสีหน้างอแงเหมือนกับเด็กๆ


    ว่าแล้วพวกเจ็ดสาวก็ได้ไปหาซื้ออาหารกับของกินเล่นในงานมาเพิ่มเติมและไปนั่งกินอาหารเย็นกันที่โต๊ะอาหารสี่เหลี่ยมใต้ต้นไม้ที่อยู่ห่างจากเขตตั้งร้านค้าออกไปเล็กน้อย ซึ่งโดยรอบข้างของพวกเธอก็มีโต๊ะตัวอื่นที่มีคนนั่งอยู่แล้วด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนๆหนึ่งที่ไม่พอใจกับสถานะที่ตัวเองเป็นอยู่

    “เดี๋ยวก่อนสิทำไมฉันต้องเป็นคนนั่งพื้นด้วยเนี้ย?”

    มิซากิกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกอย่างมันดูเหมือนกับจะไม่ถูกต้อง เมื่อโต๊ะสี่เหลี่ยมนั้นไม่เหลือที่นั่งสำหรับเธอที่เป็นส่วนเกินเหลืออยู่อีกแล้ว ด้วยความที่ว่าหัวโต๊ะและท้ายโต๊ะนั้นนั่งได้คนละหนึ่ง ส่วนด้านซ้ายกับด้านขวานั้นนั่งได้ด้านละสองคนซึ่งครบก็หกคนพอดี

    “ก็เพราะที่นั่งมันเต็มแล้วไม่ใช่เหรอค่ะ ก็เลยต้องมีคนนั่งพื้นคนหนึ่ง” โทโมเอะกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจนักพร้อมกับเริ่มแกะกล่องอาหารของตัวเอง ซึ่งคนอื่นก็เริ่มทำเหมือนกัน

    “เออ...พวกเธอจะช่วยขยับกันสักหน่อยหนึ่งไม่ได้เลยเหรอ?”

    มิซากิกล่าวออกมาอย่างมีความหวัง ถึงแม้ในใจของเธอจะไม่ได้คิดอย่างนั้นเพราะในความจริงมันก็ไม่เหลือที่สำหรับให้เธอเบียดเสียดเข้าไปนั่งแล้ว

    “อ้าวนั้นมันมิซากิไม่ใช่เหรอ? เธอมาเที่ยวงานเทศกาลนี้ด้วยเหมือนกันหรือเนี้ยทำไมไม่เห็นจะบอกพวกฉันบ้างเลยจะได้มาด้วยพร้อมกัน”

    เสียงของเด็กผู้ชายดังขึ้นไม่ไกลจากโต๊ะที่มิซากิยืนอยู่นัก และเมื่อมิซากิหันไปมองเธอก็พบกับกลุ่มเด็กผู้ชายทั้งห้าคนที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี

    “อ้าว!? พวกนายเองเหรอ? มากันได้ยังไงล่ะเนี้ย”

    มิซากิกล่าวออกมาอย่างดีใจพร้อมกับเข้าไปนั่งร่วมวงด้วยทันทีราวกับพวกเธอนั้นรู้จักกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งท่าทางสนุกสนานและเป็นกันเองของมิซากิกับกลุ่มเด็กหนุ่มหน้าตาดีทั้งห้าคนนั้นก็ทำให้พวกเพื่อนๆของเธอรู้สึกเหมือนกับถูกมิซากินำห่างออกไปไกล

    “ฉะ...ฉันไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่ามิซากิจะมีหนุ่มหน้าหล่อเก็บเอาไว้ตั้งห้าคน”

    อากาเสะกล่าวออกมาพร้อมกับมองมิซากิอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เพราะถ้าพวกเขาคิดเป็นแค่เพื่อนกับมิซากิพวกเธอก็คงจะไม่คิดมากอะไร แต่หนึ่งในนั้นกลับสามารถจูบมือมิซากิได้อย่างไม่มีเคอะเขินซึ่งที่เหลือก็ทำอะไรที่คล้ายๆกัน ถึงแม้จะมีต่างกันไปบ้างในบางคน แต่โดยรวมแล้วดูยังไงก็คงจะไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาๆอย่างแน่นอน

    “ฮะๆๆ พวกนายนี้ละก็ไม่เห็นจะต้องทำเหมือนอย่างกับฉันเป็นเจ้าหญิงแบบนี้ก็ได้ ฉันเองก็เขินเป็นเหมือนกันนะ”

    เสียงกล่าวของมิซากิที่ดังขึ้นมานั้นทำให้เหล่าเด็กสาวทั้งหลายที่นั่งอยู่โต๊ะรอบข้างถึงกับทำตะเกียบหักกันเป็นแถว พร้อมกับในใจที่คิดขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ยายผู้หญิงหน้าตาระรื้นนั้นมันมีอะไรดีนักหนาถึงได้สามารถควงหนุ่มหล่อหน้าตาดีได้พร้อมกันทีเดียวถึงห้าคนแบบนี้

    พวกเธออยากรู้จริงๆว่าพวกผู้ชายทั้งห้าคนนั้นมันเอาตาไปไว้ที่ไหนสมองคิดเป็นหรือเปล่า ทั้งๆที่พวกเธอต่างก็คิดว่าตัวเองนั้นมีดีกว่ายายผู้หญิงหน้าตาระรื้นนั่นตั้งเป็นร้อยเท่าเป็นพันเท่า แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมสนใจพวกเธอเลยทั้งๆที่พวกเธอเองก็นั่งอยู่ใกล้ๆ

    พวกหนุ่มหล่อมันตาต่ำแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง เด็กสาวโดยรอบต่างก็คิดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×