ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธสัญญารักนักปราบผีสาว (ฟรี)

    ลำดับตอนที่ #29 : ตอนที่ 28 ของที่ทิ้งเอาไว้

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.29K
      25
      30 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 28

    ของที่ทิ้งเอาไว้


    ว่าแล้วฮาสึโนะก็พาทั้งสองคนเดินเข้ามาในห้องของตัวเองเพื่อที่จะได้สะดวกในการต้อนรับ แต่สิ่งหนึ่งที่ฮาสึโนะไม่ทันคิดก็คือการที่มียามิกำลังนั่งอยู่ในห้องนี้ด้วย และเรนอิจิก็รู้จักหน้าค่าตาของเธอเป็นอย่างดี

    “พวกเธอถอยห่างออกจากตรงนั้นเร็ว!!”

    เรนอิจิร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อมองเห็นหน้าของยามิ เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองจะมาเจอกับศัตรูในที่แห่งนี้ เรนอิจิพุ่งเข้าไปหายามิและทำปางมืออย่างรวดเร็วเพื่อเรียกใช้วิชาองเมียวที่ตัวเองถนัด

    ส่วนทางด้านยามิเองก็รีบลุกขึ้นยืนและเอามือไปจับด้ามมีดไอกุชิตามสัญชาตญาณที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก การต่อสู้ที่กำลังจะประทุขึ้นทำให้คนที่อยู่ในห้องต่างสะดุ้งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

    แกร้ง!!

    เสียงเคาะแก้วดังกังวานขึ้น คนทั้งห้องยกเว้นฮาสึโนะต่างก็ล้มนั่งลงกับพื้นด้วยอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน ทั้งเรนอิจิและยามิต่างก็รู้สึกสับสนและมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าอยู่ดีๆทำไมร่างกายของพวกเขาถึงได้อ่อนแรงลงและไม่สามารถขยับตัวได้แบบนี้

    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเธอมีเรื่องอะไรกันมาก่อน แต่ตอนนี้ฉันกำลังอารมณ์ดีอยู่เพราะงั้นช่วยรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารด้วย”

    เฟรนดี้พูดเท่านั้นทั้งห้องก็เกิดความเงียบ และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างผ่านไปแล้วเฟรนดี้ก็หยิบตะเกียบขึ้นมารับประทานอาหารต่อและทำเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็เป็นฮาสึโนะเองที่ต้องตบมือเรียกสติของทุกคนให้กลับคืนมา

    แปะๆๆ

    “เอาล่ะทุกคนเชิญทำตัวตามสบาย นึกซะว่าเป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกัน”

    ฮาสึโนะพูดอย่างยิ้มแย้มซึ่งทุกคนก็เริ่มผ่อนคลายลงและขยับตัวได้อีกครั้งถึงแม้ว่ายังรู้สึกเกร็งๆอยู่บ้างก็ตาม

    ฮาสึโนะรู้สึกว่าบรรยากาศในห้องมันหนักๆอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนเธอก็รู้สึกว่ามันจะดูอึดอัดไปซะหมด และยิ่งเรนอิจิเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะเล่นจ้องตาเธอเขม็งมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว

    สุดท้ายฮาสึโนะก็เริ่มทนแรงกดดันไม่ไหวจึงหันไปหาอาจารย์ชิสึกิที่นั่งอยู่ใกล้ๆเพื่อที่จะหาเรื่องคุยเล่นเป็นการปรับบรรยากาศที่ตึงเครียดแบบนี้

    “อาจารย์ชิสึกิทำไมถึงมาหาหนูที่ห้องพักได้ล่ะค่ะ? หรือว่าจะมาเพื่อแอบขโมยชุดชั้นในของสาวๆ”

    “ฮ่าๆ ก็มีบ้างเป็นบางครั้ง เฮ้ย!!...ไม่ใช่แล้ว เธอเองก็พูดเกินไปฮาสึโนะ หนุ่มหล่ออย่างฉันจะไปขโมยชุดชั้นในสาวๆได้ยังไง”

    อาจาร์ชิสึกิพูดพร้อมกับลูบหัวตัวเองแก้เขิน ซึ่งฮาสึโนะก็รีบแซวเสริมทันที

    “แหม่…อาจารย์ชิสึกินี้ก็ไม่ค่อยจะหลงตัวเองเลยนะค่ะ”

    ความสนิทสนมของทั้งคู่ทำให้พวกอากาเสะพากันหัวเราะออกมาทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พวกเธอยังคงนั่งเงียบเพราะเกรงใจผอ.เรนอิจิกับคุณเฟรนดี้ที่กำลังนั่งกินอาหารอยู่เลย

    แต่ตอนนี้ทุกคนเริ่มหันกลับมาพูดคุยกันอย่างปกติอีกครั้งแล้วหลังจากที่ฮาสึโนะมอบเสียงหัวเราะให้ ยกเว้นแต่เรนอิจิที่ฮาสึโนะรู้สึกตึงเครียดมากขึ้นไปอีกอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเจอกับท่าทางที่นิ่งเงียบจนผิดปกติของเขา

    จนสุดท้ายฮาสึโนะก็เริ่มที่จะทนแรงกดดันของเขาไม่ไหวจึงได้พูดระเบิดอารมณ์ออกมา

    “เรนอิจิถ้านายจะมานั่งร่วมวงแล้วพาคนอื่นเครียดแบบนี้ก็อย่ามาซะเลยจะดีกว่า ฉันล่ะพยายามที่จะทำให้บรรยากาศในห้องนี้มันดีขึ้นแล้วนะแต่นายกลับกำลังจะทำให้มันแย่ลง”

    เรนอิจิที่ถูกออกปากไล่ต่อหน้าก็ได้แต่กำหมัดเอาไว้แน่นพร้อมกับริมฝีปากที่สั่นระรัว

    “ฮาสึโนะ...อย่างเธอจะไปรู้อะไร”

    เรนอิจิพูดแค่นั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและเดินตรงออกไปจากห้องทันทีจนทำให้ผู้คนในห้องต่างก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที

    “นี้ฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ? ตานั่นถึงทำยังกับฉันเป็นคนผิดแบบนี้ทั้งๆที่ทั้งหมดเป็นความผิดของเขาแท้ๆที่ทำให้บรรยากาศในห้องมันกร่อย”

    ฮาสึโนะอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้ เพราะเธอเองก็ไม่เข้าใจเรนอิจิในตอนนี้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะหลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาลมาเขาก็ค่อนข้างที่จะทำตัวแตกต่างไปจากเดิมยังไงก็ไม่รู้

    “ไม่รู้สินะ แต่ที่ครูอยากรู้ก็คือทำไมท่านผอ.เรนอิจิถึงมาอยู่ที่นี้ได้ ตอนแรกที่ครูเห็นเขาครูตกใจแทบตายเลยนะ”

    อาจารย์ชิสึกิกล่าวพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะเขาเองก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกันเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนใหญ่คนโตแบบนี้

    “เรื่องนั้นคุณครูคงต้องถามฮาสึโนะดูแล้วค่ะ เพราะข่าวลือของเธอที่เป็นเด็กเส้นก็ค่อนข้างที่จะดังอยู่”

    อากาเสะกล่าวพร้อมกับมองหน้าฮาสึโนะ ซึ่งการมองของอากาเสะก็สร้างความกดดันต่อฮาสึโนะไม่น้อย เพราะเธอเองก็ไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้กับใครสักเท่าไร เพราะถึงพูดไปก็คงจะไม่มีใครยอมเชื่อ ด้วยความที่ตัวเธอในตอนนี้กับตอนที่ประกาศตัวเป็นคู่พันธสัญญาเชื่อมวิญญาณกับเรนอิจินั้นดูแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน

    หลังจากที่ปิดประตูลงเรนอิจิก็ทิ้งร่างพิงบานประตู เขาเอามือกุมหน้าอกของตัวเองแน่น ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ยังคงไม่จางหาย ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้เรนอิจิเอ่ยถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนที่จะล้วงกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋ากางเกงของตัวเอง

    ภายในกล่องนั้นไม่ใช่อย่างอื่นแต่มันเป็นแหวนเพชรที่เขาจะเอามาขอเธอแต่งงานในวันนี้ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าผู้ที่จะมาเป็นเจ้าของมันไม่ได้ต้องการที่จะรับมันเลย

    “บ้าเอ้ย!!”

    เรนอิจิกำกล่องกำมะหยี่สีแดงเอาไว้แน่น ดูไปแล้วท่าทางเขาจะเป็นคนบ้าคนเดียวที่คิดเองเออเองว่าอีกฝ่ายจะรักเขาเช่นเดียวกับที่เขารักเธอ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่ เพราะเธอคนนั้นไม่เคยรักเขาเลย

    ว่าแล้วเรนอิจิก็นำกล่องกำมะหยี่สีแดงกลับเข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเอง แต่ด้วยความรีบร้อนและไม่ระวังทำให้กล่องกำมะหยี่สีแดงใบนั้นตกลงสู่พื้นโดยที่เรนอิจิเองก็ไม่รู้ตัว

    ******

    “เรื่องก็เป็นประมาณนี้แหละค่ะคุณครู”

    สุดท้ายฮาสึโนะที่โดนรบเร้ามากๆเข้าก็ต้องเอ่ยถึงรายละเอียดปีกย่อยที่แม้แต่พวกอากาเสะเองก็ยังไม่รู้ออกมา

    พวกอากาเสะที่ได้ยินว่าตอนแรกฮาสึโนะสอบเข้าโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติสาขาญี่ปุ่นไม่ผ่านนั้นก็ดูจะตกใจมาก ราวกับว่าพวกเธอไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่เก่งกาจอย่างฮาสึโนะจะสอบตกไปได้

    ซึ่งแน่นอนฮาสึโนะก็พยายามอธิบายว่าทำไมเธอถึงสอบตกให้ทุกคนฟัง และทุกคนก็เข้าใจโดยดียกเว้นเฟรนดี้ที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเตียงของฮาสึโนะหลังจากที่ได้กินอาหารเช้าเสร็จ และก็เป็นซามิยะและยามิที่ทำหน้าที่ล้างจาน

    “เฮอะ!!...มันสมองเท่าหนอนแมลงอย่างเธอนะ ฉันไม่เห็นจะแปลกใจเลยที่เธอจะสอบตก เพราะยังไงซะพวกหนอนแมลงมันก็อ่านหนังสือไม่ออกอยู่แล้ว”

    เฟรนดี้พูดพร้อมกับมองฮาสึโนะด้วยสายตามุมต่ำราวกับว่าตอนนี้เธอกำลังมองดูพวกหนอนแมลงชั้นต่ำอยู่ ซึ่งแน่นอนฮาสึโนะต้องมอบของขวัญอันแสนวิเศษให้กับเพื่อนสาวของเธอเป็นกระบี่เหล็กอาบพลังปราณด้วยความที่น้ำเสียงของเพื่อนสาวเธอนั้นฟังดูช่างไพเราะเพราะพริ้งและระคายหูซะเหลือเกิน

    และทันทีที่พวกเธอจะเข้าปะทะกัน เฟรนดี้ก็เลือกที่จะโยนของสิ่งหนึ่งเข้าขวางฮาสึโนะ ซึ่งแน่นอนฮาสึโนะก็สามารถฟันมันออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายด้วยกระบี่พลังปราณของเธอ

    “วันนี้แหละ!! ฉันจะต้องล้มเธอให้ได้เฟรนดี้ อาเคเซีย”

    ฮาสึโนะประกาศก้องพร้อมกับง้างกระบี่ขึ้นสูงอีกครั้ง และแน่นอนครั้งนี้จะต้องเป็นหัวของเฟรนดี้ที่จะต้องถูกผ่าออกเป็นเหมือนกับลูกแตงโมผ่าครึ่ง แต่ว่าตอนที่ฮาสึโนะกำลังจะลงกระบี่อยู่นั้นเฟรนดี้กลับเอามือปิดปากตัวเองพร้อมกับชี้นิ้วไปยังพื้นข้างล่าง และนั้นก็เป็นเหตุให้ฮาสึโนะต้องละสายตาจากเฟรนดี้ไปมองยังพื้นข้างล่างที่ซึ่งเธอชี้ไป

    และภาพที่ฮาสึโนะเห็นนั้นก็คือตุ๊กตากิ้งกือหน้าตาสุดแบ๊วของรักของหวงของเธอที่ถูกผ่าออกเป็นสองท่อนพร้อมกับๆที่มีไส้นุ่นไหลย้อยออกมา

    ฮาสึโนะราวกับได้ยินเสียงสั่งเสียของมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะสิ้นใจไป

    “ละ...ล้างแค้นให้ผมด้วยนะครับนายหญิง”

    “กิ้งกือเนะจัง!!”

    ฮาสึโนะร่ำร้องออกมาพร้อมกับวิ่งเข้าไปกอดมันเอาไว้อย่างสุดซึ้ง กิ้งกือเนะจังนั้นเป็นหนึ่งในคอลเลคชั่นตุ๊กตาชุดแมลงของเธอ ความน่ารักของมันไม่อาจที่จะอธิบายให้ใครฟังได้ เพราะถึงจะพูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจถึงความน่ารักของมัน

    “กิ้งกือเนะจัง ไม่ต้องห่วงฉันจะล้างแค้นให้นายเอง” ฮาสึโนะพูดพร้อมกับหันกลับมาจ้องเฟรนดี้ตาเขม็ง เธอไม่นึกเลยว่าเฟรนดี้จะกล้าเอาตุ๊กตาสุดรักสุดหวงของเธอมาเป็นโล่แบบนี้

    “เอ๋? เธออย่ามองหน้าฉันแบบนี้สิแก้ว เธอเป็นคนส่งมันขึ้นสวรรค์ไปกับมือเองนะ ฉันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยสักหน่อย”

    เฟรนดี้กล่าวเสียงสดใสพร้อมกับใช้แขนซ้ายที่ว่างอยู่ของเธอโอบกอดตุ๊กตาเต่าทองของฮาสึโนะอีกตัวเอาไว้ ซึ่งแน่นอนการกระทำของเธอนั้นไม่ต่างอะไรไปกับการจับตัวประกันเอาไว้เลย

    “คุณเฟรนดี้ อย่าไปแกล้งคุณฮาสึโนะแบบนั้นสิค่ะ ดูสิเธอจะร้องไห้แล้วเห็นไหม?”

    ซามิยะที่ล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกมากล่าวห้ามเฟรนดี้เอาไว้ ซึ่งก็น่าแปลกที่เฟรนดี้ค่อนข้างที่จะรับฟังคำพูดของเธอ

    “ก็ได้ถ้าซามิยะว่ายังงั้น วันนี้ฉันจะละเว้นเธอไว้สักครั้งก็แล้วกัน” เฟรนดี้กล่าวพร้อมกับหันกลับไปนอนเล่นบนเตียงต่อ โดยไม่ลืมที่จะคว้าบรรดาตุ๊กตาของฮาสึโนะที่อยู่บนเตียงเอาไปหนุนกอดเล่น

    “ยายบ้า!! ออกห่างจากตุ๊กตาของฉันเลยนะ”

    ฮาสึโนะตะเบ็งเสียงใส่เฟรนดี้พร้อมกับกอดซากตุ๊กตากิ้งกือที่ขาดครึ่งท่อนของเธอเอาไว้แน่น ซึ่งแน่นอนการกระทำของคนทั้งคู่นั้นทำให้ทุกคนในห้องต่างส่ายหัวในความเป็นเด็กของพวกเธอทั้งสองคนที่ไม่รู้ว่าจะแกล้งกันไปถึงไหน

    “คุณฮาสึโนะค่ะ ขอฉันดูตุ๊กตาตัวนั้นหน่อยได้ไหมค่ะ พอดีฉันเรียนการตัดเย็บมานิดหน่อยอาจจะพอช่วยอะไรได้บ้าง”

    ซามิยะที่เห็นตุ๊กตาของฮาสึโนะขาดอยู่ก็เข้าไปขอเพื่อที่เธอจะได้ดูสภาพของมันได้อย่างชัดเจน

    “เธอซ่อมมันได้ด้วยเหรอ?”

    ฮาสึโนะเอ่ยเสียงอ่อยพร้อมกับตั้งความหวังเอาไว้กับเพื่อนสาวมากความสามารถด้านแม่บ้านแม่เรือนของกลุ่มคนนี้

    “อืม...ได้สิค่ะ ฉันจะช่วยซ่อมเด็กคนนี้ให้เอง”

    ซามิยะกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะจากที่เธอดูสภาพแล้วมันก็สามารถที่จะซ่อมได้ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนเดิม100%ก็ตาม เพราะด้วยความที่มันโดนพลังปราณของฮาสึโนะเผาไปบางส่วนทำให้การที่จะให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม100%นั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับซามิยะ ด้วยความที่เธอเองไม่มีทางหาเนื้อผ้าที่เหมือนเดิม100%ได้ในตอนนี้นั่นเอง ดังนั้นเธอจึงคิดที่จะดัดแปลงมันนิดหน่อยจากเศษผ้าที่เหลืออยู่

    “ขอบคุณเธอจริงๆนะซามิยะ เธอช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ ต่างกับใครบางคนที่เอาแต่กินกับนอนและใช้เวลาว่างอันเปล่าประโยชน์ไปกับการแกล้งคนอื่นเล่น”

    ฮาสึโนะกล่าวพูดเหน็บแนมโดยไม่เอ่ยชื่อ และแน่นอนผู้ที่โดนข้อกล่าวหาก็แค่ยักไหล่และไม่ตอบรับข้อกล่าวหาใดๆที่ได้ไม่ระบุชื่อบุคคล

    ในระหว่างที่ทุกคนกำลังดูซามิยะซ่อมตุ๊กตาอยู่นั้นอาจารย์ชิสึกิก็พลันเอ่ยขึ้นมา

    “ฮาสึโนะเธอเป็นคู่พันธสัญญากับผอ.เรนอิจิจริงๆเหรอ?”

    “ก็ใช่นะสิค่ะ อาจารย์ชิสึกิจะถามอีกทำไมค่ะเนี้ย หรือว่าอาจารย์จะไม่เชื่อเรื่องที่หนูพูด” ฮาสึโนะทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันทีเมื่อถูกถาม เพราะถึงยังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่จะชอบพูดโกหกใครๆอยู่แล้วถ้าไม่มีเหตุผลที่จำเป็น

    “ก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ครูแค่สงสัยว่าทำไมเธอถึงไม่ลองเปิดใจรับฟังเสียงหัวใจของเขาดูบ้างเท่านั้นเอง เพราะจากที่ครูดูอยู่นั้นท่าทางเธอจะใช้วิธีพิเศษอะไรบางอย่างในการปิดกั้นเสียงหัวใจของอีกฝ่ายอยู่”

    อาจารย์ชิสึกิกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง ซึ่งแน่นอนฮาสึโนะก็สะบัดหน้าอย่างไม่พอใจทันที

    “ก็มันน่ารำคาญนิค่ะที่ต้องมารับรู้ความรู้สึกของคนอื่นแบบนั้น และหนูเองก็ไม่อยากที่จะให้ใครมารับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตัวหนูเองด้วยเหมือนกัน”

    คำพูดของฮาสึโนะทำให้อาจารย์ชิสึกิต้องถอยหายใจออกมา เพราะเขาเองก็พอที่จะเข้าใจเหตุผลของเธออยู่บ้างเหมือนกันแต่ว่า...

    “ฮาสึโนะครูเองก็ไม่อยากที่จะก้าวก่ายความคิดและการตัดสินใจของเธอหรอกนะ แต่ว่าเธอควรที่จะเปิดใจรับฟังเสียงหัวใจของเขาบ้าง เพราะยังไงซะพวกเธอก็เป็นคู่พันธสัญญาที่จะต้องอยู่ร่วมกันไปจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะต้องตายจากกัน และมันคงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าถ้าคู่พันธสัญญาไม่ยอมเป็นเปิดใจรับฟังเสียงของกันและกัน และเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าใจกันได้จนถึงแม้จะตายจากกันไปก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำแบบนั้นแบบนี้ด้วย”

    ******

    “ฮาสึโนะๆ ดูสิๆน่ารักใช่ไหม?”

    มิซากิกล่าวออกมาอย่างร่าเริงพร้อมกับพยายามอวดตุ๊กตากิ้งกือตาแบ๊วที่ซามิยะซ่อมเสร็จแล้วให้ฮาสึโนะดูราวกับว่าเธอเป็นคนซ่อมมันเอง

    “อะ...อา ใช่แล้วล่ะ มันดูน่ารักมากเลย ขอบคุณนะ”

    ฮาสึโนะตอบกลับด้วยท่าทางฝืนๆพร้อมกับรับตุ๊กตาจากมิซากิเอาไว้ ถึงแม้ว่าตุ๊กตาที่เธอได้รับมามันจะดูน่ารักกว่าเดิมมากด้วยโบสีแดงสดใสที่ซามิยะผูกเพิ่มให้ แต่เพราะจิตใจที่สับสนของฮาสึโนะทำให้รอยยิ้มของเธอนั้นดูฝืดๆไปจากเดิม และนั่นก็ทำให้เธอดูผิดสังเกตจนอากาเสะจับได้

    “คุณฮาสึโนะเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ หรือว่าอาจารย์ชิสึกิจะพูดอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจบอกฉันได้นะค่ะเดี๋ยวฉันจะจัดการเขาให้เอง”

    อากาเสะกล่าวพร้อมกับจ้องจับผิดอาจารย์ชิสึกิเต็มที่ เพราะจากที่เธอดูฮาสึโนะกับอาจารย์ชิสึกิคุยกัน ทำให้เธอค่อนข้างที่จะแน่ใจว่าอาจารย์ชิสึกิจะต้องพูดอะไรสักอย่างที่ไม่ดีกับเพื่อนของเธออย่างแน่นอน ถึงได้ทำให้ฮาสึโนะมีอาการผิดปกติไปแบบนี้

    “ไม่ใช่หรอก อากาเสะเข้าใจผิดแล้ว อาจารย์ชิสึกิไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ฉันไม่สบายใจสักหน่อย เพียงแค่เมื่อคืนฉันนอนน้อยไปหน่อยก็เลยรู้สึกเพลียๆนะ”

    ฮาสึโนะออกตัวแก้ต่างให้กับอาจารย์ชิสึกิที่นั่งอยู่ใกล้ๆพร้อมกับใช้เหตุผลที่เธอไม่ได้นอนเมื่อคืนเข้าช่วย ซึ่งอาจารย์ชิสึกิเองก็ช่วยพยักหน้ารับตามน้ำไปเพื่อเป็นการยืนยันให้ประธานนักเรียนชั้นปีที่1ได้เข้าใจตรงกัน

    “อย่างนั้นเหรอค่ะ? แน่ใจนะค่ะว่าไม่ใช่เป็นเพราะเขา”

    อากาเสะยังคงจ้องตาอาจารย์ชิสึกิไม่ยอมห่าง

    “อืมไม่ใช่หรอก พอดีฉันง่วงนอนอยู่จริงๆนะเลยทำให้ดูซึมๆไปบ้าง ต้องขอโทษด้วยนะที่ทำให้เธอต้องเป็นห่วง”

    ฮาสึโนะพูดพร้อมกับออกปากหาวเพื่อเป็นการยืนยันว่าเธอง่วงนอนจริงๆ

    “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นพวกเราคงต้องขอตัวกลับก่อนนะค่ะ จะได้ปล่อยให้คุณฮาสึโนะได้นอนพักผ่อน แต่อย่าลืมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ด้วยนะค่ะเพราะเรามีนัดไปเที่ยวงานเทศกาลขอบคุณเทพเจ้าที่ในเมืองกัน เวลาก็เอาเป็นบ่าย3โมงครึ่งที่หน้าสถานีรถไฟก็แล้วกันนะค่ะ”

    อากาเสะกล่าวนัดแนะเสร็จก็ลุกขึ้นยืนพร้อมๆกับเพื่อนๆในสภานักเรียนของเธอ

    “ครูเองก็ต้องขอตัวกลับบ้างแล้วเหมือนกัน เพราะครูเองก็มีงานเหลืออยู่อีกเยอะที่ต้องกลับไปเคลียร์ให้เสร็จ”

    อาจารย์ชิสึกิเองก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวขอตัวกลับด้วยเหมือนกัน เพราะยังไงซะตอนแรกเขาก็แค่อยากจะแวะมาดูอาการของฮาสึโนะศิษย์รักที่ขาดเรียนไปโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวเขาก่อนเท่านั้นเอง

    “แล้วคุณเฟรนดี้ล่ะค่ะ มีธุระไรหรือเปล่าค่ะ?” ซามิยะเอ่ยถาม

    “ก็ไม่มีนะ กะว่าจะอยู่ที่นี้สักพักก่อนออกไปเหมือนกัน” เฟรนดี้พูด

    “ถ้างั้นไปเที่ยวที่ห้องสภานักเรียนของพวกเราต่อไหมค่ะ? พอดีฉันทำขนมเค้กทิ้งเอาไว้เลยอยากจะให้คุณเฟรนดี้ได้กินด้วยกัน”

    “ได้สิไม่มีปัญหา ไปกันเถอะยามิ” เฟรนดี้กล่าวพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มเมื่อได้ยินซามิยะชวนเธอไปกินขนมเค้กต่อที่ห้องของสภานักเรียน 

    และเมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกคนก็พากันเดินออกจากห้องของฮาสึโนะ โดยที่มีเจ้าตัวเดินออกมาส่งที่หน้าประตูห้อง

    “คุณฮาสึโนะนอนพักให้สบายๆนะค่ะ แล้วเจอกันตอนบ่าย3โมงครึ่ง”

    “ได้สิแล้วเจอกัน”

    ฮาสึโนะกล่าวตอบพร้อมกับโบกมือลาทุกคนที่หน้าประตู ถึงแม้ว่าเช้านี้จะดูวุ่นวายไปบ้างเพราะมีหลายคนมาหาเธอที่ห้อง แต่นั่นก็ทำให้ฮาสึโนะรู้ว่าเธอนั้นยังคงมีเพื่อนที่ดีและคอยเป็นห่วงเธออยู่เหมือนกัน

    แล้วเรนอิจิล่ะ...ฮาสึโนะพอนึกถึงเรนอิจิขึ้นมาเธอก็รู้สึกแน่นหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก ความเศร้าแทรกซึมเข้ามาในจิตใจจนทำให้รอยยิ้มของเธอหยุดลง จะบอกว่าเขาเป็นคนผิดเหรอที่ทำกับทุกคนลืมเรื่องที่ไม่ดีของเธอไปแบบนั้น แล้วเธอล่ะการที่เธอหลอกผู้คนด้วยการไม่พูดอะไรออกไปก็คงจะเป็นคนผิดด้วยเหมือนกันสินะ

    “ให้ลองเปิดใจรับฟังอีกฝ่ายอย่างนั้นเหรอ?”

    ฮาสึโนะบ่นพึมพำถึงคำพูดของอาจารย์ชิสึกิ ดูท่าการเปิดใจรับฟังคำพูดและความคิดของคนอื่นบ้างอาจจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเธอในตอนนี้ก็เป็นได้

    “ฮือ? อะไรเนี้ย”

    ฮาสึโนะกล่าวออกมาอย่างสงสัยเมื่อเธอเห็นอะไรแปลกๆตกอยู่ข้างกำแพงหน้าห้องเธอที่ซึ่งเป็นจุดอับสายตา ฮาสึโนะเดินเข้าไปพร้อมกับหยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงที่อยู่บนพื้นนั้นขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ

    “ใครมาทำตกเอาไว้ล่ะเนี้ย?”

    ******

    บ่าย3โมงครึ่ง ฮาสึโนะเดินมาถึงสถานีรถไฟฟ้าของโรงเรียนตามที่ได้นัดหมายเอาไว้กับพวกอากาเสะเมื่อตอนเช้า มือของฮาสึโนะนั้นยังคงล้วงอยู่ในกระเป๋าเสื้อคลุมของตัวเองด้วยจิตใจที่ดูสับสน ภายในกระเป๋าเสื้อของเธอได้บรรจุกล่องกำมะหยี่สีแดงสดที่เคยตกอยู่หน้าห้องเอาไว้

    ความจริงแล้วฮาสึโนะก็ไม่อยากจะคิดหรอกนะว่ามันจะเป็นของที่เขาคนนั้นได้ทิ้งเอาไว้ แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธมันเพราะตรงขอบในของแหวนวงนั้นได้ถูกสลักชื่อของเธอกับเขาเอาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ จนเธอไม่อาจที่จะบอกว่ามันเป็นของคนอื่นไปได้

    ระหว่างที่ฮาสึโนะกำลังครุ่นคิดเรื่องของเรนอิจิด้วยความสับสนอยู่นั้น เสียงเรียกชื่อเธอที่หน้าสถานีรถไฟฟ้าก็ดังขึ้น

    “คุณฮาสึโนะ ทางนี้ค่ะ...ทางนี้”

    โทโมเอะร้องเรียกอย่างดีใจเมื่อเธอเห็นฮาสึโนะเดินมาจากที่ไกลๆ

    “ว้าว!! ทุกคนแต่งตัวกันสวยๆทั้งนั้นเลย”

    ฮาสึโนะร้องออกมาอย่างดีใจ เมื่อเห็นพวกเพื่อนสาวของเธอต่างก็แต่งกายด้วยชุดกิโมโนซึ่งเป็นชุดประจำชาติกันอย่างน่ารักและสวยงาม

    อากาเสะนั้นแต่งกายด้วยชุดกิโมโนสีน้ำเงินของท้องทะเลซึ่งเข้ากับตัวเธอมากในความคิดของฮาสึโนะ ส่วนมิซากินั้นแต่งกายด้วยชุดกิโมโนสีส้มดูสดใสและร่าเริงในแบบฉบับของเธอ

    ทางด้านซามิยะเด็กสาวจิตใจงามประจำกลุ่มนั้นก็ได้แต่งตัวมาในชุดกิโมโนสีขาวล้วนลายกล้วยไม้ดูเรียบร้อยและสะอาดตา ต่างกับโทโมเอะที่มาในชุดกิโมโนสีชมพูหวานสดและดึงดูดตา ซึ่งฮาสึโนะก็ไม่รู้ว่าใครเลือกให้เธอถึงได้เหมาะเจาะแบบนี้

    “ทุกคนดูน่ารักกันมากๆเลย แต่ว่านั่นมันอะไรนะ?...เมดซังเหรอ”

    ฮาสึโนะทำหน้างงงวยขึ้นมาทันทีเมื่อพบกับยามิที่กำลังอยู่ในชุดคุณเมด ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนกับชุดกิโมโนบ้างในบางส่วน แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เพราะมันเหมือนกับชุดแฟนซีที่ใช้สำหรับแต่งคอสเพลย์ซะมากกว่า

    “อย่าบอกนะว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเธอเฟรนดี้”

    “อ่าใช้แล้วล่ะ แล้วทำไมเธอถึงเดาถูกล่ะแก้ว?”

    เฟรนดี้เอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีเลศนัยในแบบของเธอ เย็นนี้เฟรนดี้มาด้วยชุดกิโมโนสีดำคาดแดงไร้ลวดลายที่ทำให้เธอดูลึกลับและน่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง มือซ้ายของเธอนั้นได้ถือร่มกระดาษสีแดงแทนร่มลูกไม้สีดำที่เคยใช้อยู่เป็นประจำ

    “ก็นะ ไม่เห็นจะต้องเดาเลย รู้ๆกันอยู่ว่าทั้งหมดนี้ใครเป็นคนต้นคิด” ฮาสึโนะตอบพร้อมกับท่าทางที่ดูเบื่อหน่ายราวกับว่านี้เป็นเรื่องที่เธอพบเจออยู่เป็นประจำ

    “ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงจะรู้แล้วนะว่าจะโดนอะไร?”

    เฟรนดี้ตอบด้วยใบหน้าที่ดูยิ้มแย้มจนน่าขนลุก พร้อมๆกับเหล่าเพื่อนสาวของเธอที่ค่อยๆยิ้มขึ้นมาตามเฟรนดี้ไปด้วย

    “ยะ...แย่แล้วสิ!!”

    ด้วยความรู้เท่าทันทำให้ฮาสึโนะรีบหันหลังวิ่งหนีทันที

    “จะไปไหน”

    เฟรนดี้พูดพร้อมกับดีดนิ้ว ซึ่งแน่นอนฮาสึโนะก็ล้มลงหน้าคว่ำกับพื้นทันที

    “คะ...ใครมันจะไปยอมกัน”

    ฮาสึโนะฝืนดันตัวขึ้นจากพื้นอีกครั้งอย่างทุลักทุเล

    “จับตัวเธอเอาไว้!!”

    สิ้นเสียงคำสั่งของอากาเสะผู้เป็นประธานนักเรียนสาวชั้นปีที่1 เหล่าเพื่อนๆทั้งหมดก็ต่างกระโดดเข้าทับตัวฮาสึโนะทันทีเพื่อไม่ให้เธอได้ขยับตัวหนีไปไหนอีก

    “อ้าก!! ขอร้องล่ะปล่อยฉันไปเถอะ” ฮาสึโนะกล่าวออกมาพร้อมกับคอของเธอที่โดนมิซากิล็อกเอาไว้เรียบร้อยแล้วอย่างแน่นหนายากที่จะดิ้นหลุด

    “ยอมแพ้เถอะค่ะคุณฮาสึโนะ ไหนๆพวกเราก็โดนคุณเฟรนดี้จับแต่งชุดกิโมโนกันหมดแล้ว เหลือแต่คุณฮาสึโนะคนเดียวแหละค่ะที่ยังไม่ได้แต่ง มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลยนะค่ะ”

    ซามิยะกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียดอย่างที่ฮาสึโนะไม่เคยนึกฝันที่จะได้เห็นมาก่อน ดูท่าทางที่พวกเธอโดนเฟรนดี้จับแต่งตัวนั้นมันจะไม่ค่อยโสภาสักเท่าไรนักสำหรับพวกเธอที่ไม่เคยพบเจอกับการกลั่นแกล้งของเฟรนดี้



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×