ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธสัญญารักนักปราบผีสาว (ฟรี)

    ลำดับตอนที่ #20 : ตอนที่ 19 ฮาสึโนะที่หายไป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.51K
      20
      30 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 19

    ฮาสึโนะที่หายไป


    โทโมเอะพยายามจะกระโดดออกไปคว้าร่างของฮาสึโนะเอาไว้ แต่เธอก็โดนอากาเสะห้ามและรั้งตัวของเธอเอาไว้ซะก่อน

    โทโมเอะพยายามดิ้นสะบัดร่างกายให้หลุดรอดจากการกอดรัดของอากาเสะอย่างสุดกำลัง แต่อากาเสะก็ไม่คิดที่จะยอมปล่อยเธอออกไปง่ายๆ เพราะถึงพวกเธอจะกระโดดตามฮาสึโนะออกไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว เพราะทันทีที่ร่างของฮาสึโนะลอยหลุดออกจากหลังคารถไฟร่างของเธอก็หายไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วของรถไฟที่กำลังวิ่งอยู่ ดังนั้นถึงพวกเธอจะกระโดดออกไปช่วยฮาสึโนะในตอนนี้ร่างของฮาสึโนะและพวกเธอก็คงจะอยู่ห่างกันไปหลายกิโลจนมองหากันไม่เจอแล้ว

    “อากาเสะปล่อยฉันไปเถอะ ฉันจะไปตามคุณฮาสึโนะมา”

    โทโมเอะร่ำร้องทั้งน้ำตาขอร้องให้อากาเสะยอมปล่อยตัวเธอ แต่อากาเสะก็ใจแข็งและกอดโทโมเอะเอาไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม อากาเสะเองก็เสียใจเหมือนกันที่ไม่ได้กระโดดออกไปช่วยฮาสึโนะในตอนนั้น แต่ถึงจะมานั่งคิดตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธอจึงทำได้แค่กอดร่างของโทโมเอะเอาไว้แน่นและไม่ให้เธอกระโดดหายไปด้วยอีกคน


    เวลาผ่านเลยไปไม่นานหลังจากที่ฮาสึโนะปลิวหายไป รถไฟฟ้าที่พวกอากาเสะนั่งก็มาจอดถึงหน้าสถานีเกาะลอยน้ำที่17ของโรงเรียนสอนปราบผีนานาชาติสาขาญี่ปุ่น

    และทันทีที่ประตูรถไฟฟ้าเปิดออกพวกที่แต่งตัวคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุดสีดำปกปิดร่างกายอย่างมิดชิดก็พุ่งเข้ามาพร้อมกับอาวุธปืนที่มีอยู่ในมือ

    พวกเขาเคลื่อนตัวกันอย่างรวดเร็วและครอบคลุมพื้นที่ภายในตู้ขบวนรถไฟจนหมดสิ้นในเวลาไม่นาน และเมื่อพวกเขาพบเจอกับพวกอากาเสะ พวกเขาก็ยกปืนขึ้นมาพร้อมกับห้อมล้อมพวกของอากาเสะเอาไว้

    สีดำของกระบอกปืนสร้างความตื่นกลัวให้กับพวกอากาเสะเป็นอย่างมาก เพราะพวกเธอไม่รู้ว่ากระบอกปืนสีดำเหล่านั้นมันจะลั่นกระสุนออกมาใส่พวกเธอเมื่อไร

    แต่แล้วระหว่างที่พวกเธอกำลังตกใจอยู่นั้นก็มีเสียงขบขันดังขึ้นมาจากข้างหลังของพวกกลุ่มคนชุดดำที่กำลังถือปืนกันอยู่

    “ฮ่ะๆ คุณหนูโทโมเอะจากกันไม่ทันจะข้ามคืนข้ามวันเราก็เจอกันอีกแล้วนะครับ”

    และเมื่อเขาเดินผ่านกลุ่มตำรวจชุดดำออกมา โทโมเอะก็จำเขาได้ทันที

    “คุณตำรวจ!! เออ...?”

    โทโมเอะพยายามที่จะนึกชื่อของนายตำรวจที่อยู่ตรงหน้าแต่ไม่ว่าเธอจะนึกชื่อของเขามากสักเท่าไรเธอก็นึกไม่ออกสักที จนในที่สุดนายตำรวจคนนั้นจึงเลือกที่จะเอ่ยแนะนำตัวออกมาแทน

    “ผมผู้หมวดอากิระครับ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งครับคุณหนูโทโมเอะ”

    ผู้หมวดอากิระกล่าวแนะนำตัวออกมาอย่างสุภาพ พร้อมกับมองพวกอากาเสะอย่างไม่วางสายตา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าพวกเธอจะสามารถกำราบผู้ใช้วิชาที่มีจำนวนมากกว่าพันคนตามที่หน่วยข่าวกรองของเขารายงานมาได้ด้วยจำนวนคนเพียงแค่นี้

    ผู้หมวดอากิระมองพวกเธออย่างชื่นชม

    หลังจากนั้นพวกอากาเสะและโทโมเอะก็ผลัดเปลี่ยนกันเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ผู้หมวดอากิระฟัง ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงเรื่องที่ฮาสึโนะโดนดาบแทงจากข้างหลังด้วย

    “ไม่ต้องห่วงครับคุณหนูโทโมเอะ เพราะตอนนี้พวกผมกับพวกองเมียวของตระกูลยูโนะซากิกำลังช่วยกันค้นหาอยู่เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงเจอครับ”

    ผู้หมวดอากิระตอบออกมาอย่างมั่นใจ เพราะเขาเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกันว่าพวกองเมียวมากความสามารถอย่างตระกูลยูโนะซากิก็ยังมาช่วยค้นหาคนในครั้งนี้ด้วย และด้วยความร่วมมือของพวกองเมียว ทำให้เขาตอนนี้ได้ตัวพวกนักเลงที่ใช้วิชาปราบผีทำร้ายผู้คนมาจนเกือบครบถ้วนแล้วตามจำนวนที่ได้รับรายงานมาแล้ว

    และเรื่องนี้ก็ทำให้เขาอดที่จะอมยิ้มมาไม่ได้ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งหน้าที่และการเงินให้ดีขึ้น


    “ยังหาไม่เจออีกเหรอ!! งั้นก็รีบขยายขอบเขตการค้นหาเข้าสิ”

    ท่ามกลางทะเลกว้างใหญ่ เรนอิจิร้องตะโกนสั่งการพวกองเมียวทั้งในสังกัดและนอกสังกัดของตัวเองอย่างดุดัน เขาไม่เคยรู้สึกอารมณ์รุนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน เพราะหลังจากที่เขาได้รับฟังข่าวของฮาสึโนะ เขาก็แทบที่จะไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป

    เขาออกคำสั่งเด็ดขาดและรวบรวมผู้คนออกจากตระกูลใหญ่โดนไม่สนใจคำคัดค้านของใครทั้งสิ้นเพื่อออกค้นหาตัวฮาสึโนะเพียงคนเดียว

    เรือลำน้อยไร้ใบพายล่องลอยไปตามผืนน้ำเค็มอย่างทั่วทิศทางเพื่อออกค้นหาตัวฮาสึโนะ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครพบร่องรอยของเธอ

    เรนอิจิได้แต่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับเรือลำเล็กที่ล่องลอยไปตามน้ำทะเล ความเจ็บปวดและความกังวลใจของเขาในขณะนี้ยากที่จะมีใครสามารถเข้าใจได้

    “เราน่าจะดูแลเธอให้ดีกว่านี้”

    ซุ่มเสียงแผ่วเบาที่เปล่งออกมาของเรนอิจินั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวดที่ล้ำลึกซะจนยากจะขุดดึงขึ้นมา เขาไว้วางใจในความสามารถของฮาสึโนะมากจนเกินไป มากซะจนมันกลับมาทำร้ายตัวเธอเอง

    ******

    ภายใต้พื้นน้ำทะเลอันกว้างใหญ่และลึกล้ำจนถึงก้นบึ้ง ร่างของหญิงสาวผมสีทองเงาประกายกำลังนอนแน่นิ่งอยู่ในผืนน้ำพร้อมกับดาบยาวที่หลุดออกจากร่างไปแล้ว

    ‘เจ็บปวดหรือเปล่า?’

    ‘ไม่เจ็บปวดเลย’

    เลือดของฮาสึโนะไหลหลั่งดั่งแม่น้ำสีเลือด

    ‘โกรธแค้นเขาไหม?’

    ‘ไม่โกรธแค้นเลย’

    บาดแผลของฮาสึโนะถูกน้ำทะเลกัดซะจนแลดูไม่ได้

    ‘อยากแก้แค้นไหม?’

    ‘ไม่อยากแก้แค้นเลย’

    ดวงตาของเธอค่อยๆปิดลงอย่างห้ามไม่อยู่

    ‘ทุกข์ทรมานหรือเปล่า?’

    ‘ไม่ทุกข์ทรมานเลย’

    เสียงถามตอบสลับกันไปมาตลอดเวลาที่ฮาสึโนะได้จมลงสู่ท้องทะเล เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านเลยไปมากเท่าไร เธอไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงใครและกำลังพูดอยู่กับใคร มันอาจจะเป็นตัวเธอเองที่กำลังพูดอยู่กับตัวเธอเอง หรือมันอาจจะเป็นอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเธอเอง ฮาสึโนะก็ไม่อาจที่จะรับรู้ได้ เธอได้แต่ตอบคำถามกับสิ่งนั้นไปมาด้วยสติที่เลือนรางจนคล้ายกับเธอกำลังอยู่ในห้วงความฝันที่ไม่เป็นจริง

    ‘กดพลังไปที่ท้องน้อย’

    ‘กดพลังไปที่ท้องน้อย’

    ‘กดพลังลงไปให้เล็กเท่าเม็ดทราย’

    ‘กดพลังลงไปให้เล็กเท่าเม็ดทราย’

    ไม่รู้ว่าทำไมฮาสึโนะถึงทำตามคำพูดนั้น อาจจะเพราะการพูดคุยที่ยาวนานทำให้เธอกลายเป็นมันมันกลายมาเป็นเธอ จนไม่รู้ว่าอันไหนเป็นจริงอันไหนเป็นเท็จ ความคิดของเธอกลายเป็นความคิดของมัน ความคิดของมันกลายเป็นความคิดของเธอ

    ‘รวมพลังให้เท่ากับเม็ดฝุ่นที่มองไม่เห็น’

    ‘รวมพลังให้เท่ากับเม็ดฝุ่นที่มองไม่เห็น’

    เธอพูดและทำตามมันจนเผลอละเลยข้อปฏิบัติต้องห้ามของการฝึกพลังไปจนหมดสิ้น ความร้อนเพิ่มขึ้นนะจุดๆเดียวอย่างมหาศาลจากพลังที่มารวมตัวกันอยู่ที่ท้องน้อย และเมื่อพลังไม่ได้หมุนเวียนไปทางไหนสุดท้ายมันก็จะตีกลับจนเลือดลมเดินผิดทิศทำให้เกิดธาตุไฟเข้าแทรกและถึงแก่ความตาย

    ขณะที่ฮาสึโนะกำลังทุกข์ทรมานกับพลังที่กำลังจะตีกลับอยู่นั้นซุ่มเสียงในความคิดของเธอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

    ‘รวมพลังให้มันเล็กจนหายไปเหมือนกับไม่มีอยู่’

    ‘รวมพลังให้มันเล็กจนหายไปเหมือนกับไม่มีอยู่’

    คำพูดในความคิดนั้นเหมือนกับการสั่งให้ฮาสึโนะไปตายอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เพราะพลังงานที่มากมายนั้นไม่มีทางที่จะกดจนมองไม่เห็นหรือไม่รู้สึกถึงมันได้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมฮาสึโนะถึงเชื่อคำพูดไร้สาระนั้นจนเหมือนกับคำพูดของตัวเอง

    ฮาสึโนะรวบรวมพลัง กด...กดให้พลังมันหายไปเหมือนกับไม่มีอยู่จริง ความทุกข์ทรมานนั้นสุดที่จะบรรยายออกมาได้ จนเธอคิดว่าเธอน่าจะปล่อยให้ธาตุไฟเข้าแทรกแล้วตายๆไปซะยังจะสบายกว่าที่เป็นอยู่นี้หลายร้อยหลายพันเท่า แต่ฮาสึโนะก็ยังคงเลือกที่จะเชื่อคำพูดที่อยู่ในหัวของเธอดั่งคำพูดของตัวเธอเอง

    เวลา1ชั่วโมงแห่งการทุกข์ทรมานยืดยาวราวกับ1ปีในขุมนรกที่เปลวไฟพวยพุ่งและเดือดดาลเหมือนกับทะเลไฟที่บ้าคลั่ง ความคิดที่อยากจะตายไปซะของฮาสึโนะมีมากมายหลายพันครั้ง จนเธอลืมเลือนไปแล้วว่าตัวเองยังคงเป็นคนอยู่หรือเปล่า

    เวลาผ่านเลยไปอีก1ชั่วโมง ช่องแสงของฮาสึโนะก็เปิดออก เมื่อเธอรู้สึกถึงการหายไปของพลัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นจุดเล็กๆที่มองไม่เห็น แต่เธอก็เชื่อว่ามันหายไปจริงๆ

    ความทุกข์ทรมานที่เหมือนกับการตายทั้งเป็นนั้นยาวนานไปอีก7ชั่วโมง แต่ความหวังของฮาสึโนะก็ยังไม่ได้ดับลง เธอยังคงมองเห็นมันอยู่และเริ่มที่จะมองเห็นมันได้ชัดเจนมากขึ้น

    เวลาผ่านเลยไปอีกเป็นเท่าตัว ในที่สุดฮาสึโนะก็ไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของมันอีก ร่างกายของเธอเหมือนกับภาชนะที่ว่างเปล่าแต่ไม่ว่างเปล่า สายน้ำยังคงสงบนิ่งและไหลเอื่อยๆ บาดแผลไม่รู้ว่าจางหายไปตอนไหน ร่างกายของฮาสึโนะเบาสบายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาจจะเป็นเพราะความทุกข์ทรมานที่ยาวนานมันจบลงแล้วก็ได้ ถึงทำให้ฮาสึโนะรู้สึกสบายตัวจนเธอค่อยๆละทิ้งสติของตัวเองลงสู่เบื้องลึกแห่งการหลับไหลใต้ท้องทะเลของปะการังและหมู่ปลาที่ยากพบ

    ******

    เปรี้ยงๆ!! เครือๆๆ

    เสียงเมฆฝนและสายฟ้า ดังไปทั่วผืนป่าลึกลับ ร่างของเด็กสาวในชุดกิโมโนขาสั้นและเปียกปอนกำลังวิ่งไปตามพื้นดินที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำอย่างว่องไว

    สายตาของเด็กสาวจับจ้องไปที่ปีศาจต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีแขนขาและร่างกายราวกับสิงโตป่าอย่างไม่วางสายตา ในมือของเด็กสาวมีอาวุธอยู่เพียงชิ้นเดียวก็คือไอกุชิมีดสั้นขนาดเล็กที่ยาวไม่กี่นิ้ว

    แต่ถึงมันจะเล็กขนาดไหน ปีศาจต้นไม้ในร่างสิงโตก็ไม่กล้าที่จะสบประมาทมัน เพราะมันได้ฉีกกระชากแขนขาของเขาให้หายไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    “คามิไร!!”

    “อืม”

    ยามิร้องตะโกนเรียกออกมาด้วยท่าทางที่แน่วแน่ และเมื่อมีเสียงตอบรับกลับมา ดาบสั้นในมือเธอก็พลุ่งพล่านไปด้วยสายฟ้าสีดำอันน่ากลัว

    เมื่อเห็นยามิวิ่งใกล้เข้ามาปีศาจสิงโตที่มีร่างกายเป็นต้นไม้ก็ไม่ยอมอยู่เฉย มันอ้าปากพร้อมกับพ่นลำแสงสีเขียวออกมาอย่างรุนแรงจนพื้นดินแตกกระจายออกเป็นระลอกคลื่นราวกับเศษฝุ่น

    ลำแสงสีเขียวที่น่ากลัวไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับยามิเลยแม้แต่น้อย เธอกระชับมีดสั้นที่มีอยู่ในมือเอาไว้แน่นพร้อมกับตวัดเฉียงเข้าใส่ลำแสงนั้นทันทีที่มันตรงเข้ามาถึง

    แรงปะทะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก่อนที่ลำแสงสีเขียวนั้นจะถูกมีดสั้นที่อยู่ในมือของยามิเบี่ยงเบนทิศทางออกไป

    ร่างของยามิสั่นไหวอีกครั้งก่อนที่เธอจะกลายเป็นสายฟ้าและไปปรากฏตัวอยู่ข้างหลังของปีศาจสิงโตต้นไม้ ใบมีดในมือของยามิส่องแสงสว่างจ้าหมายที่จะสังหารปีศาจสิงโตต้นไม้ให้ตายในดาบเดียว แต่มีหรือที่ปีศาจสิงโตต้นไม้จะยอมจบชีวิตของมันลงง่ายๆ ปีศาจสิงโตต้นได้หันหลังกลับมาอย่างว่องไวพร้อมกับโจมตีใส่ยามิกลับด้วยท่วงท่าแลกชีวิต

    ยามิเองก็ไม่คิดที่จะหลบหนี เธอใส่พลังในมีดเข้าไปอีกและโจมตีใส่ศีรษะของปีศาจสิงโตต้นไม้ที่มีเกล็ดงูสีเขียวทรงข้าวหลามตัดขนาดใหญ่ประดับอยู่ตรงกลางหน้าผาก ปีศาจสิงโตต้นไม้เองก็ไม่รอช้าตวัดกรงเล็บที่รวบรวมพลังทั้งหมดของมันใส่ร่างของยามิด้วยพร้อมกัน

    ยามิโจมตีใส่เกล็ดงูสีเขียวของปีศาจสิงโตต้นไม้ ปีศาจสิงโตต้นไม้โจมตีใส่ร่างกายของยามิ ทั้งสองแลกท่วงท่ากันโจมตีอย่างไม่เกรงกลัวต่อความตายที่กำลังจะมาถึง

    มีดสั้นของยามิบรรลุถึงหน้าผากของปีศาจสิงโตต้นไม้ กรงเล็บของปีศาจสิงโตต้นไม้เองก็บรรลุถึงเอวของยามิ

    เกล็ดงูสีเขียวทรงข้าวหลามตัดขนาดใหญ่ปริแตกออกมาจากหน้าผากของปีศาจสิงโตต้นไม้ทันทีที่มีดของยามิกระทบถึง เช่นเดียวกับกรงเล็บของปีศาจสิงโตต้นไม้ที่เรียกเลือดสีแดงสดออกจากร่างกายของยามิได้เช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่กรงเล็บของมันจะบดขยี้เข้าถึงกระดูกของยามิ ร่างของเธอก็ปรากฏสายฟ้าสีดำขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างกายของเธอที่หายไปด้วยความเร็วแสง

    เปรี้ยง!!

    เสียงสายฟ้าดังสนั่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เสียงของสายฟ้าธรรมดา แต่มันเป็นเสียงของเปลวไฟสายฟ้าสีดำที่ยามิสร้างขึ้นมาจากมีดสั้นไอกุชิที่อยู่ในมือ

    ทันทีที่ร่างของยามิปรากฏขึ้นข้างหลังของปีศาจสิงโตต้นไม้ เธอก็ตวัดมีดผ่าเป็นดาบสายฟ้าสีดำขนาดใหญ่แยกร่างของปีศาจสิงโตต้นไม้ออกเป็นสองส่วนพร้อมกับเปลวไฟสีดำที่กำลังแผดเผาร่างกายของมันให้ไหม้เป็นเถ้าถ่าน 

    ปีศาจสิงโตต้นไม้ร่ำร้องออกอย่างเจ็บปวดเพราะมันไม่สามารถสมานร่างกายกลับมาได้อีกครั้งเหมือนกับที่แล้วๆมา เนื่องจากเกล็ดงูสีเขียวที่เคยประดับอยู่ตรงหน้าผากของมันได้ปริแตกออกไปแล้วนั่นเอง

    โฮกกกก!!

    ปีศาจสิงโตต้นไม้ร้องโฮกออกมาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างกายของมันจะค่อยๆแตกสลายออกไปราวกับเศษแก้วที่ร่วงหล่น และเมื่อร่างกายของปีศาจสิงโตต้นไม้แตกสลายหายไปจนหมด มันก็เหลือเกล็ดงูสีเขียวทรงข้าวหลามตัดขนาดเล็กเอาไว้บนพื้น

    ยามิกวักมือเพียงครั้งเดียวเกล็ดงูสีเขียวขนาดเล็กก็ลอยขึ้นมาจากพื้นและลอยเข้าหามือของยามิอย่างช้าๆ

    และเมื่อเกล็ดงูสีเขียวนั้นลอยมาถึง ยามิก็กำมันเอาไว้แน่นโดยไม่คิดที่จะสนใจบาดแผลขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงช่วงเอวของเธอเลย ราวกับว่าเกล็ดงูสีเขียวทรงข้าวหลามตัดขนาดเล็กนั้นมีความสำคัญซะยิ่งกว่าบาดแผลขนาดใหญ่ของเธอ

    “ยามิห้ามแผลก่อนเถอะ เดี๋ยวจะแย่เอา ข้ายังต้องการร่างกายที่สมบูรณ์ของเจ้าอยู่นะ ช่วยรักษามันให้ดีๆหน่อย”
    ความจริงแล้วคามิไรก็ไม่อยากที่จะพูดอะไรมาก แต่ว่าช่วงนี้ยามิดูจะใช้ร่างกายของเธอสิ้นเปลืองซะเหลือเกิน

    แม้ว่าร่างกายกึ่งอสูรของเธอจะมีการฟื้นฟูที่มากกว่าร่างกายปกติ แต่ถึงอย่างนั้นอีกครึ่งหนึ่งของเธอก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้ออยู่ ซึ่งเลือดสีแดงที่กำลังไหลออกมาจากบาดแผลของยามินั้นก็เป็นหลักฐานได้เป็นอย่างดี

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็หายไปเองเหมือนทุกครั้งนั้นแหละ”

    ยามิพูดออกมาอย่างกับว่ามันไม่ใช่บาดแผลของเธอเอง พร้อมกับเก็บเกล็ดงูสีเขียวขนาดเล็กเอาไว้ในปกเสื้อข้างใน

    “ฮึ!!...พูดยังกับว่าโดนแมวข่วนเลยนะ”

    “ก็โดนแมวข่วนจริงๆไม่ใช่เหรอไง?” ยามิตอบ

    “แมวบ้านของเธอสิ ตัวใหญ่ขนาดนั้นเขาเรียกว่าสิงโตแล้วโว้ย!!”

    คามิไรพูดจาเหน็บแนมออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะถ้าเป็นคนปกติธรรมดาได้มีบาดแผลแบบยามิแล้วละก็มันคงจะร้องบ้านแตกไปนานแล้ว และนั่นยังไม่ร่วมถึงว่าเขาจะมีชีวิตรอดต่อไปอีกหรือไม่หลังจากที่เลือดไหลออกมาไม่หยุดเป็นเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง

    หลายวันหลังจากค่ำคืนที่ไปบุกโจมตีคฤหาสน์ของตระกูลยูโนะซากิ ยามิก็ได้รับภารกิจใหม่จากเจ้าบ้านนากามูระอีกครั้ง นั้นก็คือการเสาะหาและเก็บกู้เกล็ดพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานของเทพอสูรพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ ซึ่งตอนนี้เธอก็เก็บรวบรวมมาได้แล้วมากกว่า16ชิ้นจากที่มีทั้งหมด36ชิ้น

    แต่ละครั้งที่เธอเข้าเก็บกู้ ยามิก็จะมีบาดแผลขนาดใหญ่กลับมาด้วยทุกครั้งเพื่อแลกกับการที่เธอมีชีวิตกลับมาแบบเป็นๆ และนั่นก็ยิ่งทำให้เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเธอรวบรวมจนครบทั้ง36ชิ้นแล้วส่งมอบให้กับเทพอสูรพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์แล้วมันจะมีพลังอำนาจสะเทือนฟ้าสะเทือนดินขนาดไหน

    แต่เรื่องนั้นถึงจะคิดไปมันก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะถึงยังไงเธอก็ต้องเก็บรวบรวมเกล็ดของพญางูขาวแปดเศียรกลืนสวรรค์ให้ครบอยู่ดีตามคำสั่งของท่านเจ้าบ้านนากามูระ


    เมื่อกลับมาถึงตระกูลนากามูระ ยามิก็จัดการส่งมอบเกล็ดพญางูสีเขียวธาตุไม้ให้กับหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิต่อทันที

    “วันนี้เธอทำได้ดีมาก ไปนอนพักซะ”

    “ค่ะ ท่านหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิ”
    ยามิตอบรับคำของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิพร้อมกับโค้งคำนับอย่างสุภาพ และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาร่างของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิก็หายไปจากสายตาแล้ว

    ยามิถอนหายใจออกมาอย่างอึดอัด เธอไม่รู้ว่าเธอจะต้องต่อสู้แบบนี้ไปอีกนานเท่าไร และเลือดเนื้อจะต้องเปรอะเปื้อนมือเธอไปอีกมากแค่ไหน แต่ที่รู้ๆถ้าเธอหยุดต่อสู้และวางมีดลงตอนนี้เธอก็ต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของหัวหน้าพ่อฮายาชิหรือไม่ก็ลูกน้องของท่านเจ้าบ้านนากามูระอย่างแน่นอน


    กลางคืนที่ลมหนาวยังคงพัดผ่าน ยามิหาได้กลับห้องไปนอนหลับตามคำสั่งของหัวหน้าพ่อบ้านฮายาชิไม่ เธอกลับใช้เวลานี้ในการร่ายรำเพลงมีดอยู่ในสวนหลังห้อง

    คืนนี้ไม่รู้เป็นคืนที่เท่าไรแล้วที่เธอไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกับมนุษย์ธรรมดา

    ทุกครั้งที่ร่ายรำมีดสั้นไอกุชิเธอจะคอยทบทวนท่วงท่าและการใช้วิชาในวันนี้เพื่อที่จะเพิ่มความก้าวหน้าของตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเธอจะตาย ไม่ด้วยน้ำมือของสัตว์ปีศาจที่เกล็ดพญางูสิงสู่ ก็ด้วยความอ่อนหัดของตัวเธอเอง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มันจะฆ่าเธอให้ตายในสนามรบ ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้ก็คือการฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อที่จะเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตให้ได้มากขึ้นในวันพรุ่งนี้

    มีดสั้นไอกุชิตัดผ่านอากาศได้อย่างไหลลื่นขึ้นทุกครั้งที่ยามิก้าวผ่านความเป็นความตาย การเคลื่อนไหวของเธออย่างกับว่าสามารถเปลี่ยนแปลงผิดแปลกได้เป็นร้อยแปดในหนึ่งกระบวนท่า ความงามของยามิเปล่งประกายออกมาอยู่ตลอดเวลาที่เธอร่ายรำท่ามกลางวงแสงจันทร์ ใบมีดไอกุชิของเธอกวักแกว่งร่ายรำราวกับการเต้นรำของหมู่มวลสาวงามที่มีค่าควรเมือง

    ใบมีดถูกร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ในใบมีดมีเธอ ในเธอมีใบมีด ชีวิตของเธอได้ขึ้นอยู่กับใบมีดใบนี้แล้วหลังจากที่เธอขายชีวิตให้กับมัน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่มีทางให้หันกลับมาเสียใจอีก เพราะด้วยมีมันเธอจึงสามารถมีลมหายใจอยู่ได้ในตอนนี้

    การทำสัญญากับคามิไรนั้น ขั้นแรกมันจะกลืนกินครึ่งหนึ่งของความเป็นมนุษย์ของเธอ ขั้นที่สองมันจะกลืนกินครึ่งของครึ่งที่เหลือของความเป็นมนุษย์ของเธอ และขั้นที่สามมันจะกลืนกินความเป็นมนุษย์ของเธอไปจนหมดและนั่นก็หมายรวมไปถึงดวงวิญญาณของเธอด้วย

    ตอนนี้ยามิได้ทำสัญญากับคามิไรในขั้นที่1ไปแล้ว ซึ่งในขั้นนี้ยังถือว่าเธอยังคงเป็นเจ้าของร่างกายของเธออยู่ แต่เมื่อผ่านเลยไปถึงขั้นที่2 ยามิจะสามารถควบคุมร่างกายได้แค่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นและตกเท่านั้น ส่วนตอนกลางคืนที่เหลือนั้นก็จะเป็นของเทพอสูรสายฟ้าคามิไร และเมื่อถึงขั้นที่3เธอก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเทพอสูรสายฟ้าคามิไร

    ข้อสัญญาทั้ง3นั้นคามิไรได้บอกเธอจนหมดสิ้นอย่างไม่มีปิดบัง เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปิดบังผู้ที่จะทำสัญญา ด้วยความที่ว่ายังไงซะมันก็เชื่อว่าผู้ที่ก้าวผ่านเส้นแบ่งความเป็นมนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่งก็จะไม่มีหนทางให้หันหลังกลับไปได้อีกนอกจากจะต้องเดินไปเรื่อยๆจนถึงสุดปลายทาง ดังนั้นในตอนนี้ที่คามิไรจะทำก็เพียงแค่การเฝ้ารอ เฝ้ารอว่าสักวันร่างของยามิจะตกเป็นของมัน

    ยามิเองก็เข้าใจถึงความต้องการของคามิไรเป็นอย่างดี ดังนั้นเพื่อที่จะรักษาร่างกายและจิตใจของเธอเอาไว้ ยามิจึงต้องฝึกฝนร่างกายให้มากขึ้นและหนักขึ้นเพื่อที่จะให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่จะไม่ให้ต้องใช้พลังของคามิไรในขั้นที่2และขั้นที่3 เพราะถึงแม้พลังเพลิงสายฟ้าทมิฬจะมีอำนาจมากสักแค่ไหน แต่เมื่อเทียบกับชีวิตของเธอแล้ว มันก็ไม่ได้ดูจะมีค่าสักเท่าไร

    ยามิตวัดมีดเป็นวงอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยคำพูดออกมา

    “ฉันจะไม่ยอมให้นายกลืนกินฉันอีกเป็นครั้งที่2”

    ยามิให้คำมั่นกับตัวเองพร้อมกับตวัดปลายมีดไปข้างหน้าด้วยจิตใจที่แน่วแน่ราวกับจะให้คามิไรได้รับรู้ถึงความต้องการภายในจิตใจของเธอ

    ******

    หลังจาก10วันนับตั้งแต่วันแรกของการออกค้นหาตัวฮาสึโนะ พวกองเมียวและตำรวจก็ยังไม่สามารถค้นหาตัวเธอที่จมหายไปกับพื้นน้ำทะเลได้พบ วิชาตรวจจับร่องรอยของพวกองเมียวเหมือนกับไม่สามารถใช้ได้กับเธอคนนี้รวมทั้งพวกอุปกรณ์จำพวกเรดาร์ด้วย ทำให้พวกเขาได้แต่ใช้วิธีธรรมดาในการค้นหาตัวเธอด้วยการดำน้ำ

    “ยังหาเธอไม่เจออีกเหรอ!!”

    ไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เรนอิจิต้องทนฟังคำๆนี้จากพวกลูกน้องของเขา ไม่พบ ไม่เจอ กำลังตามหาอยู่ ให้บ้าตายสิ!!...นี้เขาจะต้องทนฟังคำพูดพวกนี้จากลูกน้องของเขาอีกมากสักเท่าไรกันถึงจะพบตัวฮาสึโนะ

    หลายวันมานี้เรนอิจิแทบที่จะไม่ได้กินไม่ได้นอน เขาล่องเรือออกตามหาฮาสึโนะอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนแต่ก็ยังไม่พบแม้แต่ร่องรอยของเธอผู้เป็นที่รักของเขาเลยแม้แต่น้อย

    ใช่!!...เขารู้ตัวแล้วว่ารักเธอมากแค่ไหนหลังจากที่ต้องทนสูญเสียเธอไปกว่า10วัน สิ่งเดียวที่ยังคงยึดเหนี่ยวจิตใจเขาเอาไว้ได้ในตอนนี้ก็คือผลของพันธสัญญาที่ยังไม่ได้สูญสลายหายไป และนั่นก็หมายถึงการมีชีวิตอยู่ของฮาสึโนะ

    แต่แล้วไม่นานข่าวดีก็มาถึง

    “ท่านเรนอิจิครับเราพบตัวเธอแล้ว!!”

    ลูกน้องที่อยู่ใกล้ตัวเรนอิจิกล่าวออกมาทันทีที่เขารับโทรศัพท์ที่โทรมารายงาน

    “ว่าไงนะ!! ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”

    เรนอิจิรีบร้อนถามกลับไปพร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เพราะนี้นับว่าเป็นข่าวดีในช่วงหลายวันมานี้เลยทีเดียว



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×