ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พันธสัญญารักนักปราบผีสาว (ฟรี)

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่ 9 เขตอุตสาหกรรม

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.75K
      38
      30 มิ.ย. 62

    ตอนที่ 9

    เขตอุตสาหกรรม


    กลางคืนอันเงียบสงบไร้ซึ่งซุ่มเสียงของสายลม ข้างบนยอดตึกสูงกว่า100ชั้นในเขตอุตสาหกรรมสำคัญ ได้มีร่างเด็กสาวผมสั้นที่ใส่ชุดนักเรียนม.ต้นกำลังยืนมองดูเขตอาคมที่นักปราบผีใช้กักขังเทพปีศาจทั้ง3ตัวอยู่ เธอมองสิ่งนั้นอยู่นิ่งๆราวกับกำลังเฝ้ารออะไรสักอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

    และไม่นานหลังจากนั้น ในที่สุดสิ่งที่เธอกำลังเฝ้ารอก็มาถึง เมื่อมีรถยนต์สีดำคันหนึ่งกำลังวิ่งเข้าไปในเขตแดนที่ใช้กักขังเทพปีศาจไม่ให้ออกไปไหน

    “เป้าหมายมาถึงแล้ว ดำเนินแผนการต่อไปได้”

    ยามิพูดผ่านใบไม้สื่อสารที่ใช้ลงอาคมเชื่อมต่อไปยังคู่สัญญาณอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นใบไม้เหมือนกัน

    “เอ่อ...จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”

    คากิยะหัวหน้าหน่วยอสูรฟ้าตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจกับการที่มียามิเป็นคนคอยออกคำสั่ง แต่ถึงแม้เขาจะไม่พอใจเธอมากยังไงเขาก็ยอมปฏิบัติตามอยู่ดี เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการของท่านเจ้าบ้านนากามูระที่วางเอาไว้แล้วนั้นเอง

    และแผนนั้นก็คือการล่อให้ยอดฝีมือของตระกูลยูโนะซากิออกมาต่อสู้กับเทพปีศาจ เพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าบุกเข้าโจมตีคฤหาสน์ที่เป็นที่ตั้งของตระกูลยูโนะซากิได้สะดวก

    “ทั้งหมดบุกโจมตี!! ฆ่าและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า อย่าให้พวกยูโนะซากิเหลือรอดไปได้แม้แต่คนเดียว”

    สิ้นเสียงคำสั่งของคากิยะหัวหน้าหน่วยอสูรฟ้า คนมากกว่า120คนในหน่วยอสูรฟ้าก็ฮึกเหิมบุกเข้าเขตแดนของตระกูลยูโนะซากิอย่างไม่เกรงกลัว เหมือนกับพวกเขาเฝ้ารอเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่จะได้แสดงฝีมือที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากให้โลกได้ประจักษ์ถึงพลังของพวกเขา พลังแห่งอนาคตที่รวมพลังของปีศาจและพลังของมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน

    ทันทีที่พวกหน่วยอสูรฟ้ากระโดดเข้ามาในเขตแดนของตระกูลยูโนะซากิ เสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นทั่วทั้งคฤหาสน์

    “มาแล้วสินะ…”

    ชินอิจิเอ่ยขึ้นเงียบๆในห้องนอนของตัวเองพร้อมกับมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

    ผู้คนในตระกูลยูโนะซากิต่างวิ่งวุ่นกันไปมาอย่างตื่นตระหนกและสับสน พวกเขาไม่รู้เลยว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลังเมื่อโดนบุกโจมตีแบบกะทันหันแบบนี้ เพราะนี้ถือเป็นครั้งแรกที่พวกเขาโดนบุกโจมตีแบบสายฟ้าแลบ

    ถึงแม้จะมีการเตรียมการและวางแผนป้องกันเอาไว้บ้างแล้ว แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นกลับเป็นคนละเรื่อง เพราะตอนนี้บางคนก็กำลังนอนหลับอยู่ บางคนก็กำลังกินข้าวอยู่ หรือไม่บางคนก็กำลังอาบน้ำอยู่ ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่คนในตระกูลยูโนะซากิจะวุ่นวายกันไปหมดแบบนี้


    ทางด้านเรนอิจิที่ขับรถเข้ามาในเขตแดนกักปีศาจแล้วจึงถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ และไม่มีทางรู้เลยว่าตอนนี้ตระกูลยูโนะซากิของเขากำลังถูกบุกโจมตีจากกองกำลังอสูรฟ้าอยู่

    “จอดตรงนี้แล้วกัน”

    เรนอิจิพูดขึ้นพร้อมกับขับรถไปจอดตรงข้างถนน ซึ่งถ้ามองจากตรงนี้ก็จะสามารถมองเห็นเทพปีศาจทั้ง3ตัวได้จากที่ไกลๆ

    เทพปีศาจทั้ง3ตัวนั้นมีรูปร่างที่แตกต่างกันไปตามแต่ละตัว ทั้งที่เป็นยักษ์สี่แขน ทั้งที่เป็นตะขาบตัวใหญ่เท่าตัวตึก และสุดท้ายก็เป็นร่างวิญญาณขนาดใหญ่ที่กำลังถือเคียวเล่มโตลอยไปลอยมา

    “งั้นฉันไปก่อนนะ เธอนั่งเฝ้ารถดีๆแล้วกัน”

    พูดเสร็จเรนอิจิก็ลงจากรถ ตอนนี้เขาอยู่ในชุดองเมียวเต็มสูทพร้อมกับดาบเทพสุริยันที่ทั้งเป็นอาวุธคู่กายและยังเป็นสมบัติวิเศษประจำตระกูลของตระกูลยูโนะซากิที่ถูกส่งต่อกันมาเป็นทอดๆในแต่ละรุ่นให้กับผู้สืบทอดที่จะเป็นผู้นำของตระกูลในอนาคต

    “ครั้งนี้เราจะไม่ประมาทเหมือนกับครั้งที่แล้วอีก”

    เรนอิจิระลึกถึงวันที่ต่อสู้กับปีศาจงูขาวธารหิมะที่เป็นปีศาจในระดับเทพปีศาจตัวแรกที่เขาต่อสู้ด้วย ก่อนที่เขาจะมุ่งตรงเข้าไปหาเทพปีศาจทั้ง3ตัวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว ท่าเท้าเวหาของเขาเหยียบอากาศได้ราวกับเดินบนพื้นดิน แรงส่งของการกระโดดแต่ละครั้งนั้นพาเขาไปได้ไกลกว่า100เมตร

    และนี้ก็แสดงให้เห็นถึงพลังฝีมือของเรนอิจิที่ได้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดหลังจากที่ได้ทำพันธะสัญญาเชื่อมวิญญาณกับฮาสึโนะ

    ทางด้านฮาสึโนะที่กำลังนั่งอยู่ในรถหลังจากที่เรนอิจิหายไปได้สักพัก เธอก็ก้าวลงมาจากรถด้วยอาการเบื่อหน่าย การที่จะให้เธอนั่งอยู่นิ่งๆแต่ในรถนั้นมันเป็นอะไรที่น่าเบื่อหน่ายมากสำหรับฮาสึโนะซะเหลือเกิน

    “ไปเดินดูแถวนี้หน่อยดีกว่า”

    ถึงแม้ฮาสึโนะจะกังวลอยู่บ้างที่ปล่อยให้เรนอิจิไปสู้คนเดียว แต่เธอก็เชื่อว่าพลังที่เพิ่มขึ้นของเรนอิจินั้นจะต้องทำให้เขาสามารถต่อกรกับปีศาจระดับเทพปีศาจได้อย่างแน่นอน และถึงจะโดนรุมพร้อมกัน3ตัวเธอก็เชื่อว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย

    ฮาสึโนะเดินสำรวจเขตอุตสาหกรรมแห่งนี้ไปเรื่อยๆอย่างสนใจ เพราะเธอเคยอยู่แต่ในชนบทของประเทศไทยมาตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงใหญ่และทำขึ้นจากเหล็กทั้งแท่งแบบนี้บ่อยนัก

    ด้วยความเป็นอยู่ในชนบทของเธอนั้นค่อนข้างที่จะให้ความสำคัญกับการใกล้ชิดกับธรรมชาติและอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขมากกว่าการสร้างอารยธรรมต่างๆเพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ให้สะดวกสบายขึ้น

    แต่ในขณะที่เธอกำลังเดินเล่นอยู่นั้นเองก็เกิดได้ยินเสียงที่ไม่น่าจะมีอยู่ในที่แห่งนี้ได้ นั้นก็คือเสียงของเด็กผู้หญิงที่กำลังส่งเสียงร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว

    “ฮื่อๆ!! ไม่นะอย่าเข้ามานะ”

    เสียงนั้นบ่งบอกได้ถึงความหวาดกลัวที่อยู่ในจิตใจของเธอได้เป็นอย่างดี เด็กสาวตัวน้อยที่อายุไม่ถึง9ขวบปีกำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นพร้อมกับร่างของเทพปีศาจยักษ์แดงสี่กรที่กำลังเดินเข้ามาใกล้

    เท้าของมันได้ก้าวเข้าใกล้เด็กสาวมากขึ้นทุกขณะ ต่างกับเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งสั่นกลัวและร้องไห้อยู่กับพื้นไม่ไปไหน

    ร่างกายของเด็กสาวได้แต่นั่งสั่นกลัวและไม่ขยับเขยื้อน แข้งขาของเธอก็อ่อนแรงลงจนไม่สามารถรู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของมัน

    เด็กสาวตัวน้อยได้แต่เงยหน้าขึ้นมองฝ่าเท้าขนาดใหญ่ของยักษ์แดงสี่กรที่ตอนนี้ได้ก้าวขึ้นมาอยู่เหนือหัวของเธอ และเธอเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากการนั่งร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว

    “ฮื่อๆ แม่จ้าช่วยหนูด้วย”

    ฮาสึโนะที่เพิ่งมาถึงและเห็นภาพนั้นเข้าพอดีจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาวคนนั้นทันที

    ตูม!!...ควันสีขาวของฝุ่นซีเมนต์แตกกระจายทันทีที่ฝ่าเท้าอันใหญ่โตของยักษ์แดงนั้นกดลงกระแทกกับพื้น ตึกรอบข้างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงด้วยพลังที่มหาศาลของมัน

    หลังจากที่เสียงดังนั้นหายไปได้สักพัก เด็กสาวที่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอยู่ด้วยความกลัวก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามอง ภาพที่เธอเห็นก็คือพี่สาวสองคนที่กำลังกางบาเรียป้องกันเท้าที่ใหญ่โตของยักษ์แดงสี่กรเอาไว้

    “ไม่เป็นไรนะ”

    เสียงของทั้งคู่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพียงกัน

    “เอ๊ะ? เธอ”

    ฮาสึโนะเองก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยนอกจากเด็กสาวที่เธอวิ่งเข้ามาช่วยด้วยก้าวย่นปฐพีที่เป็นส่วนหนึ่งของท่าเท้าท่องพิภพที่ช่วยในการเคลื่อนไหวระยะใกล้

    ส่วนเด็กสาวอีกคนที่ได้เข้ามาช่วยก็รู้สึกแปลกใจเช่นกันที่มีคนสามารถตามความเร็วของเธอได้ทันทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอเองก็มองไม่เห็นใครอยู่ตรงนี้มาก่อนเลย นอกจากเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นคนเดียวนี้

    “พาเด็กออกไปก่อน”

    ยามิตะโกนบอกหญิงสาวอีกคนที่อยู่ด้านข้างอย่างรีบร้อนเมื่อมองเห็นหมัดข้างหนึ่งของยักษ์แดงที่พุ่งตรงเข้ามา ยามิไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงสาวผมสีทองที่ยืนอยู่ด้านข้างของเธอตอนนี้คือใคร แต่ว่าตอนนี้เธอต้องช่วยเด็กคนนี้เอาไว้ก่อน

    “อืมได้สิ ระวังตัวด้วยนะ”

    ฮาสึโนะรับคำและหันหลังกลับไปอุ้มเด็กผู้หญิงที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ออกวิ่งทันที ในขณะเดียวกันยามิเองก็กางบาเรียเพื่อป้องกันหมัดของยักษ์แดงที่กำลังโจมตีเข้ามา

    แก๊กๆ...เพล้ง!!

    เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่ตั้งรับการโจมตีของยักษ์แดงสี่กร บาเรียที่ยามิกางขึ้นก็เริ่มที่จะมีรอยร้าวและแตกสลายไปราวกับเศษแก้ว

    หมัดของยักษ์แดงต่อยทะลุกำแพงบาเรียลงไปกระแทกกับพื้นดินอย่างรุนแรงจนพื้นดินยุบตัวลงไปกว่า5เมตร แต่แล้วเมื่อยักษ์แดงดึงหมัดของตัวเองขึ้นมาก็ปรากฏว่าร่างที่สมควรจะนอนจมอยู่กับพื้นดินนั้นได้หายไปแล้ว ยักษ์แดงสี่กรดูสับสนมากที่อยู่ดีๆเหยื่อของตัวเองก็หายไป มันจึงเลือกที่จะหันกลับไปทำลายตึกสูงในเขตอุตสาหกรรมนี้ต่อเพื่อระบายอารมณ์

    ก่อนหน้านี้หลังจากที่ยามิรายงานสถานการณ์ให้กับคากิยะที่เป็นหัวหน้าของหน่วยอสูรฟ้าเสร็จ เธอก็มุ่งตรงเข้ามาในเขตแดนที่ใช้กักขังเทพปีศาจทั้ง3ตัวทันที เพื่อที่จะได้เฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในได้อย่างสะดวก

    แต่ทันทีที่เธอได้ก้าวเข้ามาในเขตแดนกักปีศาจนี้ เธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กผู้หญิงที่ดังมาจากที่ไกลๆ

    เธอเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงได้มีผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในเขตแดนนี้ได้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่ด้วยหน้าที่สังเกตการณ์ของเธอ เธอจึงมีหน้าที่ที่จะต้องไปดูมัน

    และทันทีที่ยามิมาถึงเธอก็เห็นยักษ์แดงสี่กรกำลังจะเดินเหยียบเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่พอดี จึงได้รีบตรงเข้าไปช่วยอย่างไม่ทันได้คิด

    ยามิเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอต้องเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเด็กสาวที่เธอไม่เคยรู้จักด้วย แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายของเธอก็พุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลือเด็กสาวคนนั้นก่อนที่สมองของเธอจะได้ครุ่นคิดถึงเหตุผลต่างๆซะแล้ว

    “เด็กเป็นยังไงบ้าง?”

    มาที่ปัจจุบันเหนือดาดฟ้าของตึกสูงขนาดใหญ่ ยามิได้เอ่ยถามขึ้นหลังจากที่เธอวิ่งตามฮาสึโนะออกมาโดยใช้ฝุ่นผงซีเมนต์ที่ฟุ้งกระจายไปทั่วเป็นที่อำพรางสายตาของยักษ์แดงสี่กร

    “เธอยังคงกลัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”

    ฮาสึโนะตอบให้กับยามิ ก่อนที่จะหันกลับมาถามเด็กสาวตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของตัวเองต่อ

    “แล้วเธอล่ะแม่หนูน้อยทำไมเธอถึงได้มาเล่นซนแถวนี้ หนูไม่รู้เหรอ? ว่าคุณพ่อคุณแม่ของหนูจะเป็นห่วงได้ถ้าหนูหายไปไหนนานๆ”

    ฮาสึโนะเอ่ยถามแกนตำหนิเด็กสาวที่เกือบจะเอาชีวิตเข้ามาเสี่ยงกับเทพปีศาจที่อาศัยอยู่ภายในเขตแดนปิดกั้นแห่งนี้

    “ฮื่อๆ...หนูขอโทษค่ะ หนูไม่รู้จริงๆ หนูตื่นขึ้นมาอีกทีรอบๆตัวหนูก็ไม่เหลือใครแล้ว”

    เด็กสาวตัวน้อยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยและตื่นกลัว เพราะภาพของยักษ์แดงสี่กรที่กำลังจะเหยียบย่ำตัวเธอนั้นยังคงติดอยู่ในความรู้สึกและไม่จางหายไปไหน

    “ไม่ต้องกลัวหรอกพี่สาวอยู่นี้แล้ว ถ้ายักษ์แดงนั่นมาอีกเดี๋ยวพี่สาวจะไล่มันไปเอง”

    ฮาสึโนะพูดออกมาอย่างมั่นใจเพื่อปลอบขวัญเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังตื่นกลัวอยู่

    “จริงๆนะค่ะ พี่สาวพูดจริงๆนะค่ะ”

    เด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของฮาสึโนะถามซ้ำด้วยประกายแสงแห่งความหวังที่ส่องประกายผ่านดวงตาของเธอ

    “จริงสิพี่สาวจะไล่มันไปเองถ้ามันโผล่หน้ามาให้พี่สาวเห็นอีก”

    ฮาสึโนะเน้นย้ำคำพูดของตัวเองด้วยความมั่นใจ

    “ถะ...ถ้าอย่างนั้นช่วยเกี่ยวก้อยสัญญากับหนูได้ไหมค่ะว่าพี่สาวจะไล่มันไปจริงๆถ้ามันมาอีก”

    “ได้สิทำไมจะไม่ได้ ถ้าพี่ผิดสัญญาพี่ยอมกลืนเข็มพันเล่มเลยเอา”

    และทันทีที่ปลายนิ้วก้อยของทั้งคู่เข้าเกี่ยวก้อยกันเพื่อสร้างสัญญา เด็กสาวที่เคยตื่นกลัวก็ยิ้มร่าเริงขึ้นมาได้อีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนกับว่าความมั่นใจของพี่สาวที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นได้ส่งผ่านมาถึงตัวเธอด้วยเช่นกัน ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัยจากพี่สาวที่อยู่ตรงหน้า

    “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ”

    ยามิเอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหันจนฮาสึโนะต้องรีบหันกลับมารั้งเธอเอาไว้

    “เดี๋ยวก่อนสิเธอจะไปไหนนะ”

    “เรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอ”

    ยามิเอ่ยขึ้นพร้อมกับทิ้งร่างลงจากยอดตึกสูง ฮาสึโนะเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงตกใจและรีบวิ่งเข้าไปดู แต่เมื่อเธอมองลงไปด้านล่างของตึกเธอก็ไม่เห็นร่างของหญิงสาวปริศนาคนนั้นแล้ว


    ทางด้านของเรนอิจิเองก็กำลังต่อสู้กับเทพปีศาจที่เป็นร่างวิญญาณสีขาวขนาดใหญ่และมีเคียวแหลมคมเป็นอาวุธ ท่าโจมตีของวิญญาณขาวนั้นไม่มีอะไรมาก มีเพียงแค่ท่าฟาดฟันอย่างง่ายๆเท่านั้น

    แต่นั้นกลับเป็นปัญหาสำหรับเรนอิจิ เพราะท่าฟันที่เรียบง่ายไร้ซึ่งเสียงบวกกับทักษะหายตัวของร่างวิญญาณนั้นสร้างปัญหาให้กับเขาจนไม่สามารถที่จะตอบโต้มันกลับไปได้เลยสักครั้ง เพราะทันทีที่มันปรากฏร่างจู่โจมเสร็จมันก็จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยทันที

    “ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากสู้กับเทพปีศาจที่เป็นสายวิญญาณเลยจริงๆ”

    เรนอิจิอดที่จะบ่นออกมาไม่ได้เพราะตอนแรกเขากระจะเลือกเทพปีศาจตะขาบหมื่นขาเป็นคู่ต่อสู้ตัวแรก แต่ดันมาเจอกับเทพปีศาจวิญญาณขาวที่เข้ามาขวางทางเข้าซะก่อนจึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น โดยปกติแล้วนั้นพวกสายวิญญาณจะเป็นปีศาจระดับต่ำที่แม้แต่นักปราบผีมือสมัครเล่นหรือพวกนักเรียนปราบผีฝึกหัดก็ยังสามารถปราบมันได้อย่างง่ายๆสบายๆ

    แต่เมื่อพวกสายวิญญาณได้ยกระดับกลายเป็นเทพปีศาจแล้วพวกมันกลับเป็นตัวยุ่งยากซะจนนักปราบผีทั้งหลายยังต้องส่ายหัวและไม่ของยุ่งเกี่ยวกับมัน

    เทพปีศาจวิญญาณขาวโผล่ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับตวัดเคียวฟันร่างของเรนอิจิจากข้างหลัง เสียงลมของใบเคียวที่ฝ่าผ่านอากาศมาเป็นสิ่งเดียวที่สามารถเตือนให้เขารู้ตัวก่อนที่จะถูกมันฟันขาดเป็นสองท่อน

    ใบเคียวสีดำแห่งรัตติกาลที่กลืนกินไปกับบรรยากาศของค่ำคืนนั้น ทำให้สายตาของเรนอิจิไม่สามารถมองเห็นอาวุธโจมตีของมันได้ชัดเจนเลยสักครั้ง เขาได้แต่หวังพึ่งประสาทหูและประสาทสัมผัสของตัวเองที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแล้วเท่านั้นในสถานการณ์แบบนี้

    “เทพเพลิงสุริยัน!!”

    หลังจากที่เรนอิจิก้มตัวหลบใบเคียวสีดำได้อย่างหวุดหวิด เขาก็หันหลังกลับไปโจมตีกลับด้วยเปลวไฟของดาบเทพสุริยัน แต่เมื่อเปลวไฟพุ่งยาวออกไปร่างของเทพปีศาจวิญญาณขาวก็หายไปซะแล้ว

    ความเงียบที่มาพร้อมกับความตายนั้นทำให้นักปราบผีทั้งหลายที่ได้เจอกับมันถ้าไม่ตายก็กลายเป็นคนบ้าสติฟั่นเฟือนที่หวาดกลัวความมืดไปตลอดชีวิต

    “ช่วยไม่ได้ สงสัยต้องเอาจริงกันหน่อยแล้ว”

    เรนอิจิรอยตัวขึ้นสูงและตัดสินใจใช้ไพ่ตายสุดท้ายของตัวเองทันทีอย่างไม่รีรอ เขารวบรวมพลังทั้งหมดของตัวเองจนก่อเกิดเป็นพลังปราณแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่ห่อหุ้มไปทั่วทั้งตัว เทพปีศาจวิญญาณขาวเองก็ถึงกับชะงักเมื่อต้องเผชิญกับแสงสว่างอันร้อนแรงราวกับดวงอาทิตย์ของเรนอิจิ

    เรนอิจิไม่ปล่อยโอกาสให้เทพปีศาจวิญญาณขาวได้ตั้งตัว เขาเร่งพลังของตัวเองขึ้นไปอีกขั้นจนกลายเป็นว่าบริเวณโดยรอบนั้นสว่างไสวดุจดังเที่ยงวัน

    เทพปีศาจวิญญาณขาวไม่มีที่จะให้หลบหรือซ่อนตัวอีกต่อไป มันดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดและเผยร่างอันใหญ่โตออกมา แสงปราณอาทิตย์ที่ร้อนแรงแผดเผามันจนต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดรวดร้าว เสียงแหลมนั้นดังลั่นจนแม้แต่เรนอิจิยังรู้สึกเจ็บระบมที่แก้วหู

    “อย่าอยู่เลย ‘ดาบเพลิงฝ่าสวรรค์

    เรนอิจิชูดาบขึ้นฟ้า เปลวเพลิงลุกท่วมขึ้นสูงจนทะลุถึงชั้นเมฆ สายลมกระโชกอย่างรุนแรงและพร้อมที่จะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบเข้ามาหาตัวดาบเพลิงที่ตั้งสูงขึ้นฟ้า

    สายลมที่ถูกดึงดูดเข้าหาสู่จุดศูนย์กลางของเปลวเพลิงอันร้อนแรงนั้นรุนแรงมากซะจนแม้แต่เทพปีศาจวิญญาณขาวก็ยังไม่สามารถที่จะขยับตัวไปไหนได้และค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าหาตัวดาบนั้นอย่างช้าๆไม่อาจฝืน

    “พิฆาต...มาร~!!”

    และในเสี้ยววินาทีที่เรนอิจิเอ่ยชื่อท่าจบ ดาบเพลิงขนาดใหญ่ก็ถูกฟันลงมายังร่างของเทพปีศาจวิญญาณขาวที่อยู่ตรงหน้า เปลวเพลิงสีส้มที่ฟาดฟันลงมานั้นกลืนกินร่างของเทพปีศาจวิญญาณขาวเข้าไปหมดทั้งตัว

    ร่างของมันจมอยู่ในเปลวเพลิงสีส้มและค่อยๆโดนเปลวเพลิงอันร้อนแรงของดาบเทพสุริยันแผดเผาจนมอดไหม้และเหลือทิ้งเอาไว้แต่ก้อนผลึกพลังปีศาจกับเศษซากของตุ๊กตาไม้ที่ติดไฟอยู่

    เรนอิจิที่ใช้พลังจนอ่อนแรงค่อยๆลอยตัวลงสู่พื้นพร้อมๆกับเก็บก้อนผลึกพลังปีศาจและเศษซากของตุ๊กตาไม้ที่เทพปีศาจวิญญาณขาวเหลือทิ้งเอาไว้เข้ามาไว้ในมือ

    เรนอิจิมองของทั้งสองสิ่งที่อยู่ในมือนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง

    “โดนพวกมันหลอกเข้าจนได้”

    เรนอิจิกัดฟันกรอดและบดขยี้ตุ๊กตาไม้ที่อยู่ในมืออย่างแรงจนมันแตกออกเป็นชิ้นๆ ถึงแม้เขาจะมั่นใจว่ากองกำลังของตระกูลจะสามารถรับมือกับผู้บุกรุกทั้งหลายได้ แต่ถ้าเป็นพวกมันที่สามารถเรียกเทพปีศาจออกมาได้พร้อมกับทั้ง3ตัวนั้นเขากลับไม่มีความมั่นใจเอาซะเลยว่าคนในตระกูลยูโนะซากิจะสามารถรับมือกับผู้บุกรุกเหล่านี้ได้

    เรนอิจิไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าเขารีบเร่งกลับไปยังรถยนต์ที่จอดทิ้งเอาไว้ทันทีอย่างไม่รีรอ เพราะด้วยความที่ว่าทุกวินาทีต่อจากนี้ของเขานั้นมันคือจำนวนชีวิตของคนในตระกูลยูโนะซากิ ดังนั้นเขาจึงช้าไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว

    เรนอิจิที่กลับมาถึงที่จอดรถ เขาก็พบกับฮาสึโนะที่กำลังนั่งเล่นกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กอยู่ในรถ เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่มีเด็กอยู่ในที่แบบนี้ แต่ว่ายังไงซะตอนนี้เขาก็กำลังเร่งรีบอยู่จึงก้าวขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็วพร้อมกับเริ่มสตาร์ทรถทันที

    “ฮาสึโนะเราจะมุ่งหน้ากลับตระกูล”

    “เอ๊ะ? อะไรนะ”

    เรนอิจิไม่ตอบอะไรฮาสึโนะและรีบกลับรถอย่างรีบร้อนจนฮาสึโนะกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้วยต้องกลิ้งไปกองกันอยู่ที่ประตูรถ

    “เรนอิจินายจะรีบร้อนอะไรนักหนาเนี้ย!”

    ฮาสึโนะบ่นออกมาพร้อมกับอาการปวดต้นคอตอนที่กลิ้งไปชนกับหน้าต่างประตูรถ

    “เราโดนพวกมันหลอกให้ออกมา ตอนนี้ตระกูลยูโนะซากิน่าจะกำลังโดนพวกมันโจมตีอยู่”
    เรนอิจิพูดออกมาแค่นั้นก่อนจะเร่งเครื่องเข้าไปอีกเพื่อที่จะได้หลุดออกจากเขตแดนปิดกั้นแห่งนี้ไวๆ เพื่อที่เขาจะได้สามารถติดต่อกลับไปยังตระกูลยูโนะซากิได้

    “เรนอิจิข้างหน้า!!”

    ฮาสึโนะเอ่ยเตือนไม่ทันไรก็มียักษ์แดงสี่กรและเทพปีศาจตะขาบหมื่นขาพุ่งออกมาจากมุมตึกเพื่อขวางทางรถของพวกเขาเอาไว้

    “ฉันไม่ยอมปล่อยให้พวกนายกลับไปได้ง่ายๆหรอกนะ”

    ยามิที่ยืนอยู่บนยอดตึกเอ่ยขึ้นมาเบาๆ และเป็นเธอเองที่ได้ควบคุมเทพปีศาจทั้งสองตัวให้มาขวางทางของเรนอิจิเอาไว้

    “บ้าจริง!!”

    เรนอิจิหักหลบอย่างกะทันหันเมื่อเจอกับเท้าของยักษ์แดงสี่กรที่เข้ามาขวาง แต่ด้วยความกระชั้นชิดทำให้ส่วนท้ายของรถไม่อาจเลี้ยวหลบฝ่าเท้าขนาดใหญ่ของยักษ์แดงสี่กรได้ทัน  แรงกระแทกตรงส่วนท้ายทำให้รถที่เรนอิจิขับอยู่สะบัดอย่างรุนแรง

    “พี่สาวช่วยด้วย”

    เด็กสาวร้องออกมาอย่างตื่นกลัว ฮาสึโนะเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากกอดเด็กสาวคนนั้นเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บ

    เรนอิจิพยายามควบคุมรถให้กลับมาเป็นปกติอย่างเดิมอีกครั้ง แต่กลับไม่สามารถทำได้และชนเข้ากับที่กั้นถนนตรงไหล่ทาง รถจอดแน่นิ่งไม่ขยับพร้อมกับควันที่ลอยฟุ้งออกมาจากกระโปรงหน้ารถ

    เทพปีศาจทั้งสองตัวเมื่อเห็นอย่างนั้นจึงค่อยๆโอบล้อมเข้ามา พวกมันดูเหมือนจะไม่รีบร้อนอะไรเลยเมื่อเจอกับเหยื่อที่ไม่สามารถตัวขยับไปไหนได้แบบนี้

    “ฮาสึโนะรีบลงจากรถเร็ว!”

    เรนอิจิตะโกนขึ้นมาเมื่อมองเห็นหมัดของยักษ์แดงที่พุ่งตรงมายังรถ เรนอิจิรีบกระโดดออกจากตัวรถพร้อมกับฮาสึโนะที่พาเด็กสาวกระโดดออกมาด้วยเช่นกัน

    หมัดของยักษ์แดงพุ่งเข้าทำลายรถที่เรนอิจินั่งมาอย่างไม่เหลือซาก เสียงระเบิดดังขึ้นโครมใหญ่พร้อมกับเศษซากของรถที่ระเบิดกระจายออกเป็นวงกว้าง

    “ฮาสึโนะไม่เป็นอะไรนะ?”

    “อืม ไม่เป็นอะไร”

    ฮาสึโนะเอ่ยตอบเรนอิจิ แต่เมื่อเธอหันกลับมามองที่มือของเธอก็พบกับคราบเลือดสีแดงที่เปื้อนอยู่ ฮาสึโนะมองลงไปให้ชัดเจนอีกครั้งก็พบว่ารอยเลือดนั้นมาจากร่างของเด็กสาวที่เธออุ้มอยู่ เด็กสาวในมือของเธอมีรอยแผลขนาดใหญ่ที่ท้อง เลือดของเด็กสาวไหลออกมาจนชุ่มไปทั้งชุดเสื้อ มันย้อมชุดของเธอให้เป็นสีแดงและค่อยๆไหลลงไปสู่พื้นที่อยู่เบื้องล่างอย่างช้าๆ

    น้ำตาของฮาสึโนะแตกออกมาทันทีที่มองเห็นภาพนั้น สีของขอบตาของเธอเปลี่ยนไปจนเป็นสีแดงสด

    “ไม่น้า~!!!”

    เธอร้องออกมาพร้อมกับพลังปราณขนาดใหญ่ที่แผ่ขยายและกระแทกทุกสิ่งทุกอย่างให้กระเด็นออกไป ร่างของเทพปีศาจทั้งสองที่ทนพลังปราณของฮาสึโนะไม่ไหวลอยกระเด็นออกไปชนทะลุตึกสูงมากกว่า2หลังก่อนที่จะหยุดลง

    ยามิที่มองอยู่ไกลๆก็รู้สึกตกใจกับพลังปราณขนาดใหญ่ที่ระเบิดออกมาอย่างกะทันหันของฮาสึโนะเหมือนกัน

    “เธอคนนั้น!”

    ยามิเริ่มจำได้แล้วว่าคนที่กำลังระเบิดพลังปราณอยู่ตรงนั้นคือคนที่เธอเพิ่งจะได้พบเจอกันเมื่อสักครู่ และเมื่อเธอมองไปยังมือของฮาสึโนะที่อยู่ไกลๆ เธอก็เห็นร่างของเด็กสาวตัวเล็กที่เธอเคยช่วยเหลือกำลังนอนแน่นิ่งอยู่พร้อมกับคราบเลือดสีแดงขนาดใหญ่ที่ติดอยู่บนชุดเสื้อ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×