คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ♥ Fallin' 06 ♥
♥ Fallin’ 06 ♥
His strange symptoms!
อาการประหลาดของเฮียวี!
ฉันที่กำลังจะเคลิ้มหลับสะดุ้งเพราะคำถามของเฮียวี กะพริบตาปริบๆก่อนจะหันไปทางคนที่นั่งข้างๆ วันนี้โปมารับหน้าที่สารถี ตำแหน่งที่นั่งของฉันเลยต้องย้ายมาเบาะหลัง กระจกที่ติดฟิล์มสีขุ่นถูกปิดไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ดวงตาสีเข้มมองมาก่อนจะทวนคำถามอีกครั้งราวกับรู้ทันว่าเมื่อกี้ฉันไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด
“งานหนักเหรอวันนี้” น้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า เว้นวรรคครู่เดียวก่อนจะพูดต่อในสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเฮียวีก็ช่างสังเกตรายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับฉันเหมือนกัน “ปกติน้องไม่ง่วง”
ฉันพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนหลุดปากหาววอด งานวันนี้ไม่ได้ทำให้ฉันง่วงหรือรู้สึกเหนื่อย แต่เพราะเป็นงานพิเศษตอนกลางคืนของเมื่อวานต่างหาก ห่างหายจากเรื่องนั้นไปนาน คงต้องปล่อยให้ร่างกายปรับสภาพอีกสักนิดเพราะสถานการณ์ที่ทรหดกว่านั้นฉันก็ผ่านมาแล้ว
เผลอตัวแค่วูบเดียวฉันก็ถูกรั้งให้นอนหนุนบนหน้าตักแกร่ง วินาทีแรกฉันคิดจะขยับหนี แต่พอทบทวนดูแล้วคงเปล่าประโยชน์ถ้าจะปฏิเสธเฮียวี หากไม่ยอมตามใจ เขาก็จะหาทางบังคับฉันจนได้อยู่ดี
ขอนิยามเฮียวีเอาไว้ว่าเป็นคนขี้หวง จอมเอาแต่ใจ และเดาทางไม่ถูก
“ตอนเด็กๆหลังเลิกเรียนม๊าก็ให้เฮียหนุนตักแบบนี้” เขาว่าตอนที่ฉันผินหน้ามองคนที่แบ่งปันหน้าตักแกร่งให้นอนหนุน พอได้ยินอย่างนั้นฉันก็อมยิ้มน้อยๆก่อนจะตอบกลับไป
“เฮียวีกับม๊าเจียมีแต่เรื่องน่ารักตลอดเลยเนอะ”
คุณอาเจียกับเฮียวีเป็นคู่แม่ลูกที่มีแต่เรื่องน่ารักจริงๆ ความจริงก็ทั้งคุณอาชางด้วย บรรยากาศในครอบครัวน่ารักอยู่เสมอจนดูไม่เหมือนครอบครัวของผู้ทรงอิทธิพลเลยสักนิด เห็นว่าร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะย้อนถาม
“แล้วม๊าแอนน์?”
“อืม แอนน์ไม่ค่อยอยู่บ้านหรอกค่ะ งานเธอค่อนข้างยุ่ง” ตอบกลับเสียงค่อย ลดระดับเสียงลงตอนที่พูดถึงงานของแอนน์ ไม่ลงรายละเอียดอะไรมากมายนัก “บางทีก็หายออกจากบ้านไปหลายเดือนกว่าจะกลับมาทีหนึ่ง แต่เราก็ชินแล้วล่ะ มีพ่ออยู่ด้วยก็ไม่ได้เหงาเท่าไหร่”
“เด็กขี้เหงา”
ฉันมองค้อนพร้อมกับเบะปากกับคำแซวของเฮียวี ชะงักกึกพลางเลื่อนสบสายตากับเขาตอนที่นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าออกให้ ความอุ่นจากปลายนิ้วแล่นผ่านตรงหน้าผาก แต่กลับทำให้ใจกระตุกวูบได้ดื้อๆ
“เราถามได้มั้ยคะ” ฉันว่าหลังจากที่เม้มปากลงเพื่อระงับความรู้สึกแปลกๆที่เต้นตึกตักในอกข้างซ้าย อยู่ๆก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่นึกสงสัยตั้งแต่ย้ายไปอยู่กับเฮียวีวันแรกๆ “ครอบครัวเฮียเป็นมาเฟียมานานแล้วหรือยัง”
“ก็ตั้งแต่เหล่ากง” เฮียวีตอบกลับมา เขาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งก่อนจะย้อนถาม “กลัวเฮียหรือเปล่า”
“ตอนนี้ยังค่ะ” ฉันบอกหลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวานก่อนที่ถูกลอบโจมตีระหว่างกลับคฤหาสน์ตระกูลคิม หลุบสายตาลงพลางระบายลมหายใจออกมาสั้นๆแล้วพูดออกไปตามความคิดเห็นของตัวเอง “ดูเหมือนเฮียจะร้าย แต่เฮียก็ไม่ได้ฆ่าคนพวกนั้น”
เขายิง แต่ไม่ถูกจุดสำคัญ พวกที่เป็นต่อในตอนแรกมีสภาพสะบักสะบอมจนแทบไม่มีแรงยืน ฉันเห็นพวกเขาหลังจากที่เฮียวีพาออกมาจากพื้นที่รกร้างข้างทาง แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นเสียชีวิตเลยสักคนแม้ว่าเสียงปืนหลายนัดที่ได้ยินจะฟ้องอีกอย่าง
…ตอนนั้นก็เป็นอีกตอนที่ฉันคิดว่าผู้ชายคนนี้เดาใจยากเหลือเกิน
“เฮียไม่เบียดเบียนชีวิตใครง่ายๆ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ทำ” เสียงทุ้มบอกอย่างเนิบนาบ เราสบสายตากันอีกหนก่อนที่น้ำเสียงราบเรียบนั้นจะแฝงไปด้วยความดุดันจางๆที่วูบหนึ่งฉันนึกหวาดกลัว “แต่กับบางเรื่องถ้าไม่เด็ดขาดมันจะย้อนกลับมาทำร้ายเราทีหลัง”
ฉันนึกคล้อยตามกับคำพูดที่ว่าง่ายดาย โลกนี้ไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม บางอย่างอาจจะโหดร้าย แต่ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกัน
“ส่วนเรื่องมาเฟียน่ะ ป๊าถอนตัวออกจากธุรกิจมืดมานานหลายปีแล้ว” เฮียวีบอกต่อหลังจากที่ผ่อนลมหายใจเบาๆ “ธุรกิจทุกอย่างทำอย่างถูกกฎหมาย ไม่อย่างนั้นพ่อของน้องคงไม่ยอมให้น้องแต่งงานกับเฮียหรอก”
เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ฉันเกือบจะเปลี่ยนแปลงความคิดเกี่ยวกับเฮียวีอยู่แล้วเชียว แต่ท้ายที่สุดก็ยังต้องยืนยันคำเดิมว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวมากจริงๆ ถ้อยคำราบเรียบพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆนั่นสวนทางกับความหมายแสนเลือดเย็นสิ้นดี
“แต่อีกอย่างนะน้องเพ่ย บางคนก็สมควรมีชีวิตที่จมอยู่กับความทรมานมากกว่าจะตายซะอีก”
เย็นวันเดียวกันหลังจากจบมื้อเย็น ฉันก็ขึ้นมาจัดการธุระส่วนตัวก่อนจะย้ายมานั่งที่โต๊ะทำงานที่หันหน้าเข้าหาหน้าต่างบานใหญ่ ก่อนหน้านั้นจัดหากระถางเล็กๆน่ารักๆที่ปลูกแคคตัสและอิงลิชไอวี่วางประดับเพื่อตกแต่งให้พื้นที่ทำงานดูมีสีสันมากขึ้น
สมุดไดอารี่เล่มเก่าของเพื่อนสนิทถูกหยิบออกมาจากลิ้นชัก ฉันค่อยๆพลิกเปิดหน้าแรกอย่างระมัดระวัง คลี่ยิ้มน้อยๆตอนเห็นรูปโพลาลอยด์ของเธอกับฉันที่ถูกแปะเอาไว้ตรงหน้าที่สอง ลูบไล้บนรูปถ่ายช้าๆก่อนพลิกเปิดหน้าถัดไป
I like this name ‘Lily’ and you are my ‘Phlox’. (ฉันชอบชื่อลิลลี่นะ และเธอก็คือฟล็อกซ์ของฉัน)
หยดน้ำที่เปื้อนลงบนหน้ากระดาษทำให้ต้องรีบปิดไดอารี่เล่มนี้ลง ใช้มือข้างซ้ายปาดเช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นอย่างง่ายดายเมื่อเป็นเรื่องของเธอ
ฉันต้องพยายามให้มากกว่านี้ พยายามเพื่อเกว็น เพื่อนที่ดีที่สุดตลอดกาลของฉัน
ใช้เวลาสักพักเพื่อสงบสติอารมณ์อ่อนไหว ฉันเก็บสมุดไดอารี่ของเพื่อนรักลงในลิ้นชักและปิดล็อกเป็นอย่างดี ไอแพดเครื่องพิเศษถูกเปิดใช้งาน ฉันลากนิ้วไปยังห้องแชทที่ถูกสำรองข้อมูลเอาไว้อย่างแน่นหนา กรอกรหัสที่ถูกตั้งไว้ก่อนจะคลิกเลือกข้อมูลที่คนในทีมหาได้เกี่ยวกับเป้าหมายและสถานที่ปฏิบัติการ รูปถ่ายจากสถานที่จริงถูกฉันเลื่อนดูจนจำได้ขึ้นใจก่อนจะหยุดลงตรงข้อมูลของคิมทาวน์ที่จาเร็ดรวบรวมมาได้
จริงๆแล้วคิมทาวน์ก็ไม่ต่างกับเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และสงวนสิทธิ์ไว้สำหรับลูกค้าของคิมทาวน์เท่านั้น อย่างที่เคยบอกว่าอาณาจักรของคิมทาวน์ถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วนใหญ่ๆ และอาจจะมีการขยับขยายต่อไปอีกในอนาคต
โซนเอ คลับที่ฉันแฝงตัวเข้าไปทำงาน คลับขนาดใหญ่ที่รองรับนักเที่ยวราตรีทั้งชั้นบนและล่างดูจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ว่าความจริงแล้วมีทางลับใต้ดินที่กำลังอยู่ระหว่างสืบหาว่าสร้างด้วยจุดประสงค์และต้องการใช้เพื่ออะไรกันแน่
โซนบี คาสิโนถูกกฎหมายที่ได้รับการรับรองเมื่อหลายปีก่อน เป็นคาสิโนอันดับต้นๆของประเทศ มีเงินสะพัดหลายสิบล้านต่อวันเนื่องจากนักพนันจากทั่วทุกสารทิศเข้ามาใช้บริการ ทั้งยังมีเลาจน์ขนาดใหญ่และบริการที่ดีเยี่ยมเอาไว้คอยรองรับลูกค้า
โซนซี คอมมูนิตี้มอลล์ที่รวบรวมหลายแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า เครื่องประดับ หรือแม้แต่รถหรูนำเข้า รวมทั้งยังมีร้านอาหารชื่อดังหลากหลายร้านให้เลือกใช้บริการ และเป็นโซนที่มีความซับซ้อนน้อยที่สุด
โซนอี โรงแรมขนาดใหญ่ที่รองรับทั้งแขกในประเทศและต่างประเทศ กินพื้นที่เศษหนึ่งส่วนสามของคิมทาวน์ ถูกจัดสรรให้ความเป็นส่วนตัวกับลูกค้าเป็นอย่างดีรวมถึงบริการคมนาคมสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังโซนอื่นๆหรือนอกเหนือพื้นที่ของคิมทาวน์
โซนดี เป็นพื้นที่ที่เพิ่งจะเปิดตัวเมื่อไม่กี่เดือนก่อน สนามแข่งรถแบบถูกกฎหมาย จัดแข่งทุกวันพุธ เสาร์และอาทิตย์ เป็นสถานที่แข่งที่ใช้จัดแมตช์แข่งขันสำคัญๆมาหลายแมตช์แล้ว
ดวงตาหม่นแสงลงเมื่อเลื่อนมาถึงข้อมูลของคนที่ต้องการตัว ไร้รูปถ่ายหรือลักษณะของคนคนนั้น มีเพียงแต่ชื่อที่ฉันจำได้จนขึ้นใจ
Kirisawa Clark
ผู้ชายคนนั้นฉันเคยเจอเขาแค่หนเดียว คืนพระจันทร์เสี้ยวที่อ่าวซานฟรานซิสโก ภายใต้ฮู้ดตัวใหญ่สีดำ เขาลั่นไกปืนและพรากชีวิตของเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันไป
ถ้าหากให้สารภาพตามความจริง ฉันไม่ได้เป็นแค่คุณครูอนุบาลที่ต้องคอยรับมือเจ้าเด็กๆจอมซนทุกวัน แต่อีกด้านหนึ่ง ฉันเป็นหน่วยข่าวกรองของ FNIA
Codename PHLOX
ฉันที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จกำลังสางผมสีน้ำตาลของตัวเองช้าๆอยู่หน้ากระจก
สมองครุ่นคิดไปถึงเรื่องของคลาร์กที่ยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม
ภายใต้ชื่อของฟล็อกซ์ หน้าที่ของฉันคือการสืบหาข้อมูลของบุคคลที่องค์กรต้องการตัว
เครือข่ายของFNIAกระจายตัวอยู่ทั่วโลก
แต่ละทีมย่อยทำหน้าที่แตกต่างกันไปและรับคำสั่งผ่านสังกัดใหญ่ที่ประจำอยู่อีกทีหนึ่ง
สำหรับหน้าที่หลักของทีมคือการสืบข่าวและระบุพิกัดของพวกอาชญากรหรือใครก็ตามที่องค์กรต้องการ
แฝงตัวให้แนบเนียนและหลีกเลี่ยงการปะทะ
นั่นเป็นเรื่องที่จาเร็ดหัวหน้าทีมคอยเน้นย้ำกับสมาชิกในทีมอยู่เสมอ
ข้อมูลที่ได้จากฝ่ายไอทีชี้ว่าคลาร์กน่าจะซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ของคิมทาวน์
แต่พวกเขาจับสัญญาณที่แน่ชัดไม่ได้จึงไม่สามารถระบุได้ว่าคลาร์กอยู่ในส่วนไหนกันแน่
เพราะแบบนั้นทีมเราจึงต้องแฝงตัวเข้าไปเพื่อตามหาอาชญากรที่หลบหนีมาตลอดสองปีอย่างเขาให้ได้
หลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงเคาะประตูจากห้องที่เชื่อมติดกันดังขึ้น
ผ่อนลมหายใจเล็กน้อยก่อนจะเดินไปประตูให้คนฝั่งตรงข้าม เอียงหน้ามองร่างสูงเมื่อแง้มเปิดประตูแค่ครึ่งเดียว
“ม๊าใกล้ตั้งโต๊ะแล้ว
เฮียเลยมาเตือน”
“เราก็กำลังจะลงไปพอดีค่ะ”
ฉันตอบก่อนจะลากสายตาสำรวจเครื่องแต่งกายของเฮียวี เสื้อเชิ้ตสีดำและกางเกงยีนดูจะไม่ใช่ชุดที่เหมาะกับการทานข้าวเย็น
เลื่อนสายตาสบกับดวงตาคมกริบแล้วถามออกไป “แล้วเฮียจะไปไหนเหรอคะ”
“มีนัดเลี้ยงสังสรรค์กับหุ้นส่วนใหม่”
เขาตอบกลับมาโดยไม่ปิดบัง เราสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่เฮียวีจะย้อนถาม
“น้องอยากไปด้วยมั้ย”
“อืม
ไม่ดีกว่าค่ะ”
สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะเสียงกุกกักตรงประตูที่เชื่อมระหว่างห้องฉันกับเฮียวี
สะบัดผ้าห่มออกไปอีกทางก่อนจะเดินลากเท้าอย่างงัวเงียไปเปิดประตู
ใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าไล่ความง่วงแล้วออกปากถามร่างสูงที่ยึดลูกบิดฝั่งตรงข้าม
“เฮียจะทำอะไรคะ
นี่ห้องเรานะ” ฉันว่าพลางขมวดคิ้ว ใช้มือข้างหนึ่งดันแผ่นอกแกร่งเมื่ออีกคนมีท่าทีซวนเซคล้ายกับจะโน้มเข้ามาหา กลิ่นฉุนกึกของแอลกอฮอล์ลอยกระทบจมูกจนเผลอเบ้หน้า “เมาก็อย่ามากวนเราสิ”
“อ่า
นึกว่าห้องน้ำ” เสียงทุ้มพึมพำกึ่งยานคาง แต่ถึงปากจะว่าแบบนั้น
แต่อุ้งมือหนากลับเคลื่อนเข้าจับมือฉันที่ดันอกกว้างอยู่ก่อนหน้า ดึงจนเลื่อนขึ้นไปอยู่ระดับเดียวกับใบหน้าคมคาย
ใกล้ชิดจนแทบจะสัมผัสผิวแก้มของเฮียวีได้
ทุกอย่างเกิดภายในชั่วพริบตาเดียว
คนเมาฉวยจังหวะหนึ่งรั้งให้ท่อนแขนฉันโอบรอบคอเขา แผ่นหลังถูกดันจนชิดกับผนังห้อง
ลมหายใจขาดห้วงในวินาทีนั้น เฮียวีในตอนนี้เหมือนเสือที่เพิ่งตื่นจากห้วงนิทราแสนยาวนาน
ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความดุดัน ริมฝีปากหยักเหยียดยิ้มคล้ายใจดีมาให้
แต่กลับสัมผัสความปรานีของเขาไม่ได้สักนิด และแน่นอนว่าถ้าหากเสือตื่น
ต่อมามันก็เตรียมตัวจะตะครุบเหยื่อ
และโชคร้าย
เพราะดูเหมือนว่าเหยื่อที่ว่านั่นก็คือฉันเอง
ฉันจิกเล็บลงกับไหล่กว้างอย่างแรงในตอนที่เฮียวีโน้มตัวเข้ามาหา
ขาแกร่งข้างหนึ่งแทรกกลางระหว่างขาฉัน ตัดช่องทางการหลบหนีไปโดยปริยาย
ตัวสะท้านเฮือกเมื่อบางอย่างร้อนชื้นนาบลงกับซอกคอ
ฝืนสูดหายใจอย่างยากลำบากก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฮ…เฮียจะทำอะไรน่ะ”
เขาเมินคำถามของฉัน
ปลายจมูกโด่งกดลงชิดใบหู ปล่อยลมหายใจร้อนจัดรินรดทั่วผิวกาย
ขนอ่อนลุกชันยามลิ้นชื้นตวัดไล่เลียเนิบนาบบนผิวนุ่มนิ่ม สัมผัสชื้นแฉะนั่นลากไล้ลงไปตามซอกคอและลาดไหล่ ความรู้สึกวูบโหวงเล่นงานตอนที่เฮียวีเม้มฝีปากแรงๆ
และราวกับเอาคืน มือหนาที่โอบรัดรอบเอวเพิ่มแรงมือขยุ้มลงมาหลังจากที่ฉันบีบไหล่เขาแรงขึ้น
หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อรับรู้ว่าเฮียวีกำลังทำอะไรบางอย่างกับซอกคอของตนเอง เสียงสูดลมหายใจเข้าที่ค่อยๆทวีความรุนแรงนั่นทำเอาขนลุกเกรียวเป็นหนที่สอง
“เฮียทำแบบนี้กับเราไม่ได้…” เสียงโต้แย้งหยุดลงยามที่นิ้วหัวแม่มือของอีกคนเคลื่อนมาสัมผัส
บดคลึงริมฝีปากล่างของฉันอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา เขาหลุบสายตามองอวัยวะที่ตัวเองกำลังสัมผัสอยู่ก่อนจะเลื่อนนัยน์ตาลุ่มลึกขึ้นมองสบกัน
เรียวปากสั่นระริกถูกครอบครองอย่างรวดเร็ว
กลีบปากทั้งบนล่างถูกบดขยี้ตั้งแต่ต้นจนชาหนึบ
เพิ่มความรุนแรงขึ้นทีละนิดก่อนจะใช้ฟันคมขบลงมาอย่างกลั่นแกล้ง เฮียวีหลุดเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆพลางใช้มือข้างหนึ่งช้อนจับท้ายทอยฉันไว้แน่นตอนที่ฉันพยายามดีดดิ้นอย่างไร้ประโยชน์
บดริมฝีปากร้อนจัดลงมาซ้ำๆและบีบบังคับให้ต้องยอมรับจุมพิตดุดันจากเขาอยู่ฝ่ายเดียว
เนิ่นนานในความรู้สึกของฉันกว่าที่เฮียวีจะยอมผละจูบออก
มือหนาประคองกรอบหน้าฉันไว้ ลูบไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้มร้อนผ่าว เขามองฉันด้วยดวงตาที่ติดจะฉ่ำปรือเล็กน้อย
ท่อนแขนแกร่งอีกข้างยังโอบรัดและฉุดรั้งฉันเอาไว้ในวงแขน ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอหนืดเมื่อร่างสูงขยับมากระซิบถามใกล้ๆ
“ต่อกันเลยดีมั้ย”
ฉันไม่คิดว่าเฮียวีแข็งแรงขนาดที่จะช้อนตัวฉันขึ้นอุ้มได้ด้วยแขนข้างเดียว
สองแขนรีบโอบรอบคอคนตัวสูงเพื่อทรงตัว เขาก้าวเท้าแค่ไม่กี่ทีก็ถึงเตียงควีนไซซ์
ร่างฉันถูกโยนลงไปอย่างไม่ค่อยนุ่มนวล และยังไม่ทันได้ขยับตัวหนี
ร่างกำยำก็คร่อมทับ เขาใช้ท่อนแขนทั้งสองกักตัวให้ต้องยอมจำนนอยู่ใต้อาณัติ
เฮียวีระบายรอยยิ้มจางๆ
ดวงตาสีสวยที่อัดแน่นด้วยความปรารถนาบางอย่างจับจ้องฉัน
วินาทีที่เขาค่อยๆโน้มลงมาจนปลายจมูกเราเสียดสีกันเป็นช่วงเวลาที่ฉันเกลียดที่สุด
เฮียวีเว้นระยะที่ริมฝีปากของเราแตะกันเบาๆ เขานิ่งราวกับลองเชิงอะไรสักอย่าง
และตอนที่ฉันเผลอขยับเรียวปากนั่นก็กลายเป็นสิ่งที่เขาตีความว่าฉันเพิ่งจะให้คำตอบแบบที่เขาต้องการ
“That’s
right, lil brat” (อย่างนั้นแหละเด็กดื้อ)
เขาปล่อยเสียงแหบพร่าระหว่างริมฝีปากของเราทั้งคู่
ริมฝีปากหยักลึกสัมผัสฉันเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าคมคายเอียงปรับองศาก่อนกดจูบให้แนบแน่นยิ่งขึ้น
ในห้องนอนเงียบๆตอนนี้กลับคลอเคล้าด้วยเสียงสัมผัสชื้นแฉะจากริมฝีปากที่เสียดสีของฉันกับเฮียวี เรียวปากร้อนขบเม้มกลีบปากของฉันแรงบ้างเบาบ้างสลับกันไป
ก่อนที่วินาทีถัดมาเขาจะขบกลีบปากล่างจนฉันเผลอเปิดโอกาสให้อีกคนได้รุกรานเข้ามา
ใบลิ้นร้อนแทรกสอดเข้าดูดซับและตักตวงความอ่อนนุ่มอย่างเอาแต่ใจ
ช่วงอกที่เบียดเสียดระหว่างกัน ฉันรับรู้ถึงจังหวะหนักแน่นที่อกซ้ายของร่างสูง
ใบหน้าขยับเคลื่อนตามแรงจูบรุกเร้าก่อนทุกอย่างที่ดำเนินอย่างดุดันตั้งแต่เริ่มต้นจะกลับกลายเป็นนุ่มนวลและอ่อนหวานอย่างไร้สาเหตุ
“Damn
it”
ส่งเสียงสบถเบาๆตอนที่พอมีช่องว่างระหว่างริมฝีปากของฉันกับเฮียวี
สัมผัสอ่อนโยนทำเอาฉันใจเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆ ยิ่งเขากดจูบเบาๆตรงข้างแก้ม
มือที่เคยดันอกกว้างให้ถอยห่างกลับไร้เรี่ยวแรงจนทำได้เพียงแค่ขยุ้มเชิ้ตสีดำของคนตัวโต
ลมหายใจฉันแผ่วไปเล็กน้อยตอนที่ปลายลิ้นร้อนแตะมาที่ช่องว่างของเนื้อนุ่มหยุ่น
คราวนี้ฉันโอนอ่อนตามร่างสูงได้อย่างง่ายดาย
คล้ายกับถูกมอมเมาด้วยรสชาติขมปร่าของแอลกอฮอล์ที่คลุ้งอยู่ในโพรงปากร้อนและตัดกับรสหวานๆของลูกอมสตรอว์เบอร์รี่ที่ติดอยู่ปลายลิ้นร้อนชื้น
…ฉันจูบเฮียวีตอบในที่สุด
เสียงครางฮือในลำคอบ่งบอกให้รู้ว่าคนตัวโตพอใจพอควรกับสัมผัสนี้
รสขมปนหวานจากปากเฮียวีถูกแบ่งปันให้ฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ความร้อนจัดจากริมฝีปากถูกจุดขึ้นและลามไปทั่วทั้งกรอบหน้า
เสียงหอบหายใจผะแผ่วกับเสียงจูบดังคลออยู่รอบกาย ลมหายใจที่กักเก็บไว้หายไปทีละน้อยจนต้องกระตุกเสื้อของอีกคนประท้วง
สบกับดวงตาสีเข้มอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายยอมผละออกมา
ระยะห่างคับแคบอบอ้าวจากลมหายใจร้อนผ่าวที่แทบหลอมละลายเป็นหนึ่งเดียว
รีบกอบโกยสูดหายใจในช่วงเวลานั้น
ส่งเสียงลอดริมฝีปากเป็นเชิงห้ามตอนที่เฮียวีทำท่าจะโน้มลงมาขโมยจูบอีกครั้ง
มือข้างหนึ่งเคลื่อนขึ้นสัมผัสสันกรามสวย
ไล้ปลายนิ้ววนเบาๆตรงลำคอโดยที่ไม่ละสายตาไปจากเขาสักวินาทีเดียว
“ตอนที่เฮียเมาเนี่ย”
ลากเสียงท้ายประโยคเร้าความสนใจ ฉันกระตุกยิ้มจางๆก่อนจะสบประมาทอย่างไม่กลัวเกรง
“จูบห่วยกว่าที่เราคิดเยอะเลยนะ”
ลมหายใจถูกระบายออกมาเสียงดังเฮือกตอนที่ร่างสูงล้มฟุบทับบนร่าง ฉันเกือบจะเคลิ้มตามจุมพิตของเฮียวีจริงๆนั่นแหละ
แต่จะยอมให้เกิดเรื่องเกินเลยไม่ได้เด็ดขาด ฉวยโอกาสเบี่ยงเบนความสนใจก่อนฟาดสันมือลงตรงท้ายทอยของเขาเพื่อที่จะทำให้ร่างสูงนอนหลับสนิทไปจนถึงเช้า
เอียงคอมองคนตัวโตที่ถูกผลักออกไปยังพื้นที่ว่างบนเตียง
ฉันพลิกตัวนอนตะแคงเพื่อจะมองหน้าเฮียวีชัดๆ เอื้อมแขนไปหาเฮียวีพลางใช้นิ้วเกลี่ยผมที่ปรกหน้าของเขาออกให้ก่อนรีบดึงมือกลับมาเมื่อนึกได้ว่าคนที่นอนหลับปุ๋ยเพิ่งจะฉวยโอกาสกับตัวเองไป
“คนที่ดื้อก็คือเฮียนั่นแหละ”
ฉันเดินขึ้นไปส่งคุณอาเจียนอนกลางวันที่ชั้นสามของบ้านซึ่งเป็นพื้นที่ของเธอและคุณอาชาง
ตอนที่เดินลงมาก็เพิ่งจะนึกได้ว่ายังไม่เคยแวะมาที่เธียเตอร์รูมที่ปีกขวาของชั้นสองเลยสักครั้ง
สองเท้าชะงักกึก ที่กำลังเพลิดเพลินกับการวางโปรแกรมภาพยนตร์ไว้ในหัวสะดุดลงเมื่อเผลอสบตากับคนที่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องทำงาน
หลังจากจัดการให้เฮียวีฟุบหลับไป
ฉันก็ยกห้องให้เขาเป็นเจ้าของหนึ่งคืน ส่วนตัวเองก็ย้ายไปนอนที่ห้องของคนตัวโต
เหมือนกับแลกห้องกันนอนนั่นแหละ และพอตื่นเช้าขึ้นมา ฉันก็หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสามีจอมปลอม
ไม่รู้ว่าเขาจดจำเรื่องราวเมื่อคืนได้มากน้อยแค่ไหน
ที่สำคัญที่สุดฉันไม่อยากรื้อฟื้นถึงมัน
แม้ว่าบนริมฝีปากจะยังถูกเคลือบด้วยจุมพิตของเมื่อคืน
และดูท่าจะไม่ยอมจางหายไปง่ายๆ
รู้ตัวว่าเผลอแสดงท่าทีแปลกประหลาดออกมา
สูดหายใจเข้าเฮือกสั้นๆก่อนยกยิ้มให้เฮียวีคล้ายกับทุกอย่างเป็นปกติดี
ฉันมองเขาต่อแค่ครู่เดียวพลางค้อมหัวให้นิดหน่อย
สองเท้าขยับถอยหลังเล็กน้อยก่อนจะเบี่ยงฝีเท้าเดินลงบันไดอย่างเร่งรีบ
แต่ทุกอย่างเร็วกว่าจะวางใจ
ฉันได้ยินเสียงก้าวเท้าจากทางด้านหลัง จังหวะถี่รัวคล้ายกับจะวิ่งตามซะจนต้องเร่งฝีเท้าเข้าแข่งบ้าง
เฮียวีเข้าใกล้และไล่ต้อนฉันจนถึงสระว่ายน้ำ
พอหมดทางหนีก็ต้องจำใจเผชิญหน้ากับร่างสูงที่เพิ่งจะขยับมาถึงตัว
ระยะห่างแค่หนึ่งช่วงศอกทำฉันหายใจไม่ทั่วท้องมากเท่าไหร่
“น้องหลบหน้าเฮีย”
เขาเปิดประเด็นอย่างไม่รีรอ ใบหน้าคมคายบึ้งตึงแสดงความไม่ชอบใจเต็มเปี่ยม
“ไม่นะคะ เราว่าเฮียคิดไปเองแล้วล่ะ”
ปฏิเสธหน้าตายกลับไป ไหวไหล่ในประโยคที่สองก่อนขยับตัวหนีไปอีกทาง
แต่ก็ช้ากว่าเฮียวีที่ถือวิสาสะคว้าแขนฉันไว้พลางดึงให้เซถลาเข้าไปหา รีบใช้มือดันกับแผ่นอกกว้างป้องกันไม่ให้เราใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้
“โกหก” เสียงทุ้มตอกกลับหลังจากเว้นช่วงทิ้งลมหายใจ
ดวงตาคมกริบมองสบสายตาก่อนจะปรามาสด้วยถ้อยคำสั้นๆ “เด็กดื้อ”
แย่ที่สุดเมื่อภาพเหตุการณ์เมื่อคืนย้อนกลับมาในหัวเพราะสรรพนามที่เฮียวีใช้เรียกแทนนั่น
ฉันลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ฝืนทำหน้านิ่งทั้งที่แก้มร้อนวูบ
จังหวะตรงอกซ้ายก็ดูจะแปลกไป
แต่ทุกอย่างที่ว่ามานั่นไม่สำคัญเท่าว่าฉันจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร
“แล้วทำไมเราถึงต้องโกหกล่ะ” ลองเสี่ยงตั้งคำถามกับเขา
แม้ว่าจะรู้ดีว่าถ้าหากเฮียจดจำเรื่องเมื่อคืนได้
คำถามของฉันจะกลายเป็นช่องให้เขาโต้กลับมาได้มากก็ตาม
“ถ้าน้องว่าแบบนั้น เฮียก็คง…”
เฮียวีจงใจทิ้งท้ายน้ำเสียงให้ฉันจดจ่อกับสิ่งที่เขาจะพูด
แต่กลับฉวยโอกาสประกบริมฝีปากลงมาแนบชิด ฟันคมขบลงตรงกลีบปากล่างจนต้องยอมปล่อยเรียวปากให้ลิ้นร้อนแทรกเข้ามา
เขาเกี่ยวกระหวัดหยอกเย้าความอ่อนนุ่มในโพรงปากอย่างร้อนแรงและตักตวงเอาจากฉันไม่หยุดหย่อน
มือหนาข้างหนึ่งกดท้ายทอยไว้ไม่ให้ฉันขยับหนี
ท่อนแขนอีกข้างรับหน้าที่โอบรัดฉันไว้แน่นจนขยับตัวแทบไม่ได้
ส่งเสียงร้องอื้ออึงในลำคอตอนที่เฮียวีแกล้งกัดริมฝีปากจนรับรู้ถึงรสชาติเค็มปร่าจางๆของเลือด
ฉันเกลียดที่สุดตอนที่เผลอรู้สึกดีกับสัมผัสของเฮียวี
เขาช่ำชองและชวนให้เคลิบเคลิ้ม แกล้งขบเม้มด้วยแรงหนักและเบาสลับกันคล้ายต้องการหยอกล้อฉันด้วยจุมพิต
ปลายลิ้นชื้นไล่เลียบนริมฝีปากเบาๆราวกับปลอบประโลมและไถ่โทษกับบาดแผลที่เขาทิ้งเอาไว้
วินาทีที่เฮียวียอมผละออกไป
ฉันก็รีบสูดหายใจกอบโกยเอาออกซิเจนเข้าปอด เม้มริมฝีปากที่เพิ่งถูกครอบครองแน่น
ตวัดสายตาไม่พอใจมองคนตัวสูงที่เหยียดรอยยิ้มมุมปาก ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราแทบชนกัน
น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ถามอย่างเนิบนาบทำเอาฉันไม่รู้ว่าควรรู้สึกตกใจหรือเจ็บใจดี
“เฮียยังจูบห่วยอยู่มั้ย”
เฮียวีกระตุกยิ้มอีกหนกับปฏิกิริยาเข่นเขี้ยวของฉัน
ดวงตาคมกริบที่ฉายแววเหนือกว่ามองจ้องเข้ามา เขายักคิ้วขึ้นทีหนึ่งพร้อมกับบอกด้วยโทนเสียงน่าหมั่นไส้
“สบประมาทเฮียทีหนึ่ง เฮียก็จะเอาคืนให้ใจเสีย”
ไม่บ่อยหรอกที่ฉันอยากจะระบายความรู้สึกผ่านเสียงกรี๊ด
แต่ว่าหนนี้เฮียวีทำเอาฉันอยากจะตะโกนเสียงแหลมสูงออกมาดังๆให้สาสมกับความรู้สึกที่มันจุกอยู่ตรงอก
และโชคร้ายที่ฉันถอยหลังอีกก้าวโดยที่ลืมไปซะสนิทว่าด้านหลังเป็นสระว่ายน้ำ
เสียงตู้มดังขึ้นในวินาทีถัดมา
ฉันตกลงไปในสระน้ำเย็นเฉียบ พอก็ตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็ไอโขลกใหญ่ รู้สึกแสบคอ
แสบหูไปหมดเพราะตกลงมาแบบไม่ทันตั้งตัว ผมสีน้ำตาลเข้มแนบลู่ไปกับหัวไม่ต่างกับเสื้อยืดตัวใหญ่สีขาว
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำให้ฉันหัวเสียยิ่งกว่าเดิม
เฮียวีย่อตัวลงนั่งริมสระ
ดึงมุมปากเป็นรูปโค้ง เขาเอียงหน้าแนบลงกับมือก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยียวน
“โดนเฮียเอาคืนทีเดียว น้องถึงขั้นขาอ่อนเลยเหรอ”
“เอาเราขี้นไปเลยนะ”
ฉันบอกด้วยน้ำเสียงฉุนจัด ยากที่จะเก็บความฮึดฮัดใต้อารมณ์หงุดหงิดแบบนี้
ตีหน้างอเข้าไปอีกเมื่อเฮียวีหัวเราะร่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมยื่นมือช่วย
และชั่ววูบนั่นความคิดร้ายๆก็ผุดขึ้นมาในหัว
เอื้อมมือจับแขนเฮียวีทั้งสองข้าง ดึงให้เขาโน้มลงมาให้ปลายจมูกเราชนกัน
ยกยิ้มหวานให้คนที่มองสบตาด้วย เขาดูจะอึ้งที่ฉันทำแบบนี้
แต่ก็วินาทีเดียวเท่านั้นแหละก่อนที่เฮียวีจะรู้ตัวว่าพลาดไปก้าวหนึ่ง
ฉันหัวเราะเสียงดังตอนที่ดึงเฮียวีลงมาในสระได้
เสียงทุ้มตะโกนลั่นอย่างเหลืออด
ตอนนี้เฮียวีมีสภาพเปียกปอนเหมือนลูกหมาไม่ต่างจากฉันสักนิด
“เพ่ยอิง!”
ฉันไม่รอให้เฮียวีพูดอะไรต่อ
สองมือวักน้ำขึ้นสาดคนตัวโตรัวๆไปหลายทีก่อนจะรีบดันตัวเองขึ้นไปด้านบน
ยังไม่ได้สนใจตัวที่เปียกโชกแต่รีบหันกลับไปแลบลิ้นให้คนตัวโตที่ยังอยู่ในสระ ท้าทายเฮียวีอีกหนราวกับหลงลืมเรื่องร้ายกาจที่เพิ่งเกิดไป
“คราวหน้าเราขอใจเสียมากกว่านี้อีกนะคะ”
มื้อเย็นผ่านไปอย่างเรียบร้อย
ฉันเป็นคนออกปากอาสาขอคุณอาเจียช่วยล้างจานทั้งหมด เหตุผลก็เพราะอยากจะหลบเลี่ยงลูกชายของเธออย่างเฮียวี
ค่อยโล่งใจหน่อยตอนที่คู่แม่ลูกย้ายไปห้องนั่งเล่น ฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีระหว่างรับหน้าที่แม่บ้าน
ใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จ แต่วินาทีที่หันหลังกลับก็พบว่าร่างสูงยืนอยู่ตรงข้าม
“เฮียมีเรื่องจะคุยกับน้อง”
“แต่เราไม่คุย” ฉันแย้งคนที่เข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียงเสียงแข็งพร้อมกับหมุนตัวกะจะเดินหนีไปอีกทาง
เขาคว้าแขนฉันเอาไว้รวดเร็ว
เฮียวีไม่ได้ดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้า แต่กลับขยับเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง
บังคับทั้งสองแขนให้ไขว้กันอยู่ตรงหน้าท้องจนฉันหาทางต่อต้านไม่ได้ เฮียวีเกยคางลงบนไหล่โดยไม่สนใจเสียงร้องท้วงของฉัน
ปลายจมูกโด่งซุกลงตรงซอกคอ แข้งขาอ่อนเมื่อได้ยินเสียงฟึดฟัดคล้ายสูดกลิ่น การกระทำที่ว่าพาลทำเอาขนอ่อนลุกเกรียวไปหมด
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้ อย่าดมด้วย”
“อ่อนไหวจัง” เสียงทุ้มพึมพำแผ่วเบาชิดใบหู
ยอมผละออกแค่เล็กน้อยพร้อมกับบอกอย่างเอาแต่ใจ “คืนนี้เฮียจะนอนกับน้อง”
“ไม่ได้นะ” ฉันโต้กลับทันควัน ลดเสียงลงในประโยคที่สองเพราะกลัวเรื่องที่เคยตกลงกันไว้จะเล็ดลอดออกไปถึงหูคนอื่น
“เฮียออกปากว่าจะนอนแยกห้องกับเราตั้งแต่คืนแรก”
ไม่ยอมให้เฮียวีกลับคำง่ายๆหรอก
ประเด็นความเป็นส่วนตัวถูกปัดไปเป็นเหตุผลรอง
แต่เป็นเพราะว่าภารกิจสุดท้ายในฐานะของฟล็อกซ์ทำให้ฉันไม่สามารถแชร์ห้องนอนกับเขาได้
ขืนถูกเฮียวีจับได้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
“เฮียเป็นChronic
insomnia” เขาเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
นั่นทำให้ฉันนึกย้อนไปถึงตอนที่เจอLorazepamในเพนท์เฮ้าส์ซึ่งเฮียวีน่าจะใช้รักษาอาการนอนไม่หลับเรื้อรังของตัวเอง
เสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆก่อนที่เสียงทุ้มจะพูดต่อ “สามปีแล้วที่เฮียนอนไม่หลับ
และทุกคืนก็ต้องกินยาเพื่อให้ข่มตานอนได้”
“เฮียเกือบตายเพราะยานอนหลับ”
เฮียวีพูดถึงเรื่องความเป็นความตายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น
ในขณะที่ฟังคนอย่างฉันกลับตกใจมากกว่า เพราะถ้าเป็นอย่างที่เขาบอก
อาการเฮียวีก็ดูน่าห่วงพอควร
“แต่ว่าทุกครั้งที่เรานอนบนเตียงเดียวกัน”
โทนเสียงนุ่มทุ้มบอกเนิบนาบ เว้นจังหวะไปครู่เดียวก่อนที่จะพูดต่อด้วยประโยคที่ทำให้ฉันใจเต้นแรง
“กลิ่นวนิลลาบนตัวน้องทำให้เฮียนอนหลับ”
“ร…เราไม่เชื่อเฮียหรอก” หลุดเสียงตะกุกตะกักตอบกลับไป
ลมหายใจกระตุกไปเมื่อวงแขนแกร่งกระชับโอบรัดให้แนบแน่นขึ้น
เรียวปากร้อนจัดเสียดสีกับใบหูก่อนที่เสียงทุ้มจะต่อรองด้วยโทนเสียงแหบพร่า
“งั้นน้องก็ให้เฮียพิสูจน์สิ”
ใครไม่กรี้ด gif เฬาว์โกดดดดดดด
Let's talk with me
เฬาว์ยังไม่ได้ตุยค่ะ แม้จะหายไปหลายวันมั่กๆ แค่อยู่ในช่วงพักเสยๆนะคะ เผื่อใครที่ยังไม่รู้ สามารถไปอ่านเพิ่มเติมที่ทวิตได้ค่ะ แต่ที่แอบกลับมาอัพวันนี้เนื่องในโอกาสพิเศษบังทันเดบิ้วครบ7ปีค่ะ คนอย่างเฮียวีไม่เคยจะหยุดรว้ายหรอกค่ะ เก่งนักนะเรื่องไล่ต้อนอ่ะ แต่น้องเพ่ยก็ยั่งเก่งนะ ยั่วโมโหค่ะ เฮียเขาไม่โกดหรอกที่เมียสับคอ แต่โกดที่เมียหยามว่าจูบห่วย ยอมไม่ได้เรยค่ะ ต้องเอาคืน!!! เมื่อคืนกะตอนบ่ายเฮียเขาได้จูจุ๊บๆ ส่วนคืนนี้เฮียก็จะนอนกับน้องค่ะ เอาเส่ เฬาว์จะรอดูว่าเฮียวีจะทยายไปหยุดความรว้ายที่เลเวลไหน!!! อาจจะดูซับซ้อนนะคะ แต่จีงๆแร้วแค่ปมเยอะ แต่บางเรื่องไม่ได้ซับซ้อนหรอกค่ะ ปมชั้นเดียวอะไรงี้อ่ะ อย่างเรื่องนอนไม่หลับนี่เฬาว์แอบใบ้สองรอบแร้วนะ แร้วก็ๆป่ดมอบความรักให้เฬาว์ผ่านการคอมเมนต์ด้วยนะคะ เลิ้ปๆ (โปรดติดแท็ก #ดื้อกับเฮียวี มาร่วมส่งเสริมหลัวมาเฟียด้วยกันนะคะ แอบรอกดหัวใจอยู่นะ อิสอิส)
13/06/2020
ความคิดเห็น