คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ♦ 07 THE CHARIOT ♦
ปล.ตอนนี้มีเพลง ไม่ชอบกดปิดได้นะ
07
♦ THE
CHARIOT
แฮวอนยังนึกสงสัยไม่หายกับสิ่งที่แทฮยองทำลงไปเมื่อวาน
แม้เขาจะไม่ได้แตะต้องสัมผัสเธอไปมากกวานั้นแต่ทั้งร่างกลับร้อนวูบวาบราวกับเรียกหาบางอย่าง
ความรู้สึกนั่นเพิ่งจะบางเบาลงไปเมื่อเช้าตรู่นี่เอง
หลังจากเอ่ยคำถามนั้นแทฮยองก็เป็นฝ่ายผละออกไปก่อน พริบตาหนึ่งที่แฮวอนเห็นสีหน้าสับสนของเขาก่อนที่แทฮยองจะเอ่ยขอตัวและรีบรุดออกไปจากร้าน
เขาทิ้งเธอไว้ตรงนั้นพร้อมกับผิวหน้าที่ร้อนผ่าว
กิ๊บดอกไม้ที่โซฮยอนมอบให้ถูกวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง
น้องสาวของคนที่เดินหนีไปบอกว่ามันเข้ากับเธอจึงมอบให้เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆ
เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าสมควรจะออกไปดูการแสดงของดาเรียนแล้วแฮวอนจึงหยิบชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีขาวออกมาสวมและทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกัน
มีเพียงกำไลข้อมือด้านซ้ายที่บ่งบอกว่าเธอเป็นคนของบลูซีโน่
พอเดินออกจากห้องก็เจอซอนโฮและอูจินพอดี ทั้งสามคนเลยออกจากหอพักไปยังลานแสดงการแจ้งที่ถูกตั้งแทนเขาวงกตสำหรับการประลองเวทเมื่อวาน
แม้การแสดงแรกเพิ่งเริ่มแต่ก็มีหลายคนที่จับจองที่นั่งด้านหน้าไปแล้ว
แฮวอนเดินไปร่วมกลุ่มกับโดยอนและยูจองที่รีบโบกมือให้
บนเวทีเต็มไปด้วยนักเรียนจากดาเรียนหลายคนที่บัดนี้สวมวิญญาณนักแสดงมากฝีมือ โซมีอยู่ในชุดพลิ้วสีชมพูแดง
การร่ายรำอ่อนช้อยของเธอคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่ปลิวไปตามแรงลม
เสียงดนตรีบรรเลงเครื่องสายและเครื่องเป่าปลุกเร้าอารมณ์ร่วมของผู้ชม
เมื่อการแสดงไร้ข้อผิดพลาดจบลงเสียงปรบมือดังกึกก้องถึงได้ดังขึ้น
ผู้แสดงเข้าแถวเรียงหน้ากระดานก่อนจะค้อมตัวลงเพื่อทำความเคารพและการแสดงชุดใหม่ก็เริ่มต้นต่อทันที
แฮวอนขอตัวออกมาสูดอากาศหลังจากการแสดงชุดที่ห้าจบลง
จำนวนคนที่หลั่งไหลมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนหน้าเวทีกลายเป็นพื้นที่หนาแน่น
แฮวอนที่ไม่ชอบความอึดอัดเลยขอปลีกตัวออกมาก่อน กะให้คนซาลงก่อนถึงจะกลับเข้าไป
ร่างบางเดินลัดเลาะไปจนถึงสวนสมุนไพรหลังเรือนกระจกห้องเรียนวิชาปรุงยาของจีมิน
กลิ่นหอมๆของสมุนไพรลอยมาแตะจมูกทันทีที่ก้าวเข้ามา
เพราะเห็นว่ามันสงบดีแฮวอนเลยเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในนี้สักพัก
แต่ความคิดนั้นก็สะดุดลงเมื่อร่างสูงของจองกุกปรากฏในกรอบสายตา
มือข้างหนึ่งถือตะกร้าสาน
เขาทำท่าเหมือนมองหาบางอย่างอยู่ที่บริเวณแปลงสมุนไพร
แฮวอนลังเลที่จะเข้าไปขอบคุณหรือเดินออกไปก่อนที่จองกุกจะรู้ตัว
เธอยังติดค้างบุญคุณครั้งนั้นที่เขาช่วยพาเธอไปเรือนพยาบาล
“อาจารย์คะ” สุดท้ายแฮวอนก็เลือกอย่างแรก
เธอก้าวเท้าเข้าไปใกล้จองกุกก่อนจะส่งเสียงเรียกเขา เมื่อร่างสูงหันกลับมา
เธอก็พูดต่อทันที “ที่ฉันไม่สบายคราวนั้น ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้”
ครั้งนี้แม้แต่สายตาดูหมิ่นแฮวอนก็ไม่ได้รับจากจองกุก
ไม่มีร่องรอยความชังน้ำหน้าในดวงตาคู่นี้
ริมฝีปากบางเฉียบเหยียดเป็นมุมโค้งช้าๆก่อนที่จะย้อนถาม
“มีแค่นี้เองหรอกเหรอแฮวอน”
“คะ? แล้วคุณอยาก…”
เสียงหวานผลุบหายไปในลำคอเมื่อจองกุกเอื้อมมือแตะลงที่แก้ม
นิ้วร้อนจัดของเขาประคองดวงหน้าเรียวให้เงยสบตากับเขาให้ชัดเจนมากกว่าเดิม
รอยยิ้มที่ดูร้ายกาจคลี่ออกมาขณะที่ปลายนิ้วไล้ไปตามพวงแก้มใส
ลมหายใจของแฮวอนสะดุดลงทันใด สัมผัสบางเบาของเขากระตุ้นบางอย่างในจิตใต้สำนึก
ครู่หนึ่งที่เธอนึกอยากให้เขาสัมผัสมากกว่านี้ แตะต้องตัวเธอให้แนบชิดกว่านี้
“ปล่อย…”
น้ำเสียงเบาหวิวหลุดจากปาก
แฮวอนอยากจะถอยหลังแต่กลับปล่อยให้จองกุกลูบแก้มอยู่อย่างนั้น
ร่างกายเธอเกร็งจัดเมื่อนิ้วหัวแม่มือบรรจงกดลงที่กลีบปาก
เขากดย้ำน้ำหนักลงมาทีละน้อย
เสียงทุ้มพึมพำเบาๆจนคนที่สติใกล้เตลิดจับใจความไม่ได้
“ฉันบังคับตัวเองไม่ได้เลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ตั้งแต่คืนนั้น…”
ปัง!!!
เสียงพลุจากเวทีการแสดงดังขึ้นจนทั้งสองสะดุ้งหลุดจากห้วงความคิด
แฮวอนรู้สึกหายใจได้คล่องคอขึ้น
เธอหลุบตามองพื้นเมื่อใบหน้ายังร้อนจัดเพราะสัมผัสเมื่อสักครู่ในตอนที่จองกุกสะบัดหัวๆไล่ความปารถนาบางอย่าง
มันรุนแรงอย่างไร้เหตุผล
เพียงแค่เห็นหน้าของแฮวอนบางอย่างที่ถูกฝังเอาไว้กลับถูกกระตุ้นให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่จองกุก แทฮยองเองก็ด้วย ตั้งแต่กลับมาครั้งนั้น
มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป ราวกลับบางสิ่งบางอย่างกำลังเรียกหาซึ่งกันและกัน
ไร้เสียงพูดคุยใดๆ ทั้งคู่ต่างใช้ดวงตาจ้องมองอีกฝ่าย
คนหนึ่งเป็นความประหม่าและงุนงง
ส่วนอีกคนคือความครุ่นคิดและความต้องการที่ยังไม่ดับลงง่ายๆ กว่าจะรู้ตัวฝ่ามือหนาก็สอดประสานเข้ากับมือนุ่มทั้งห้านิ้ว
นิ้วโป้งลูบวนตรงหลังมืออย่างอ้อยอิ่งและวนไปมา
“เราจับมือกันได้เหรอคะ” แฮวอนถามขึ้นระหว่างที่มองมือบางของตนเอง
เธอรู้สึกและเห็นเต็มตาว่าจองกุกกำลังทำอะไร
แต่กลับไม่อยากสะบัดออกหรือทำอะไรที่หยุดยั้งสัมผัสนี้ “คุณเป็นอาจารย์
ส่วนฉันเป็นนักเรียน…”
“เธอแน่ใจในสิ่งที่ตัวเองพูดงั้นเหรอ…”
“…”
“แฮวอน เธอนึกว่าตัวเองเป็นใครกัน”
ความสงบที่ทะเลสาบหลังปราสาทบลูซีโน่เป็นสิ่งที่แฮวอนเลือกที่จะมาหลบมุมพักใจพักกาย คำถามของจองกุกไม่ได้รับคำตอบ เธอหันหลังและวิ่งออกมาเสียก่อน
สิ่งที่แฮวอนตระหนักได้หลังจากนั้นคือจองกุกอาจจะรู้ถึงวัตถุประสงค์ที่เธอเข้ามาในพาราเดียแล้ว
แต่คำถามข้อต่อไปคือทำไมพวกเขาถึงยังปล่อยให้เธออยู่ที่นี่ต่อแม้จะรู้ว่าเธอเข้ามาเพราะอะไร
แม้จะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแต่นั่นก็ถือว่าผิดกฎอยู่ดี
แผ่นน้ำสีฟ้ากระเพื่อมตามแรงลมที่พัดเอื่อยๆ
ปอยผมสีสวยปลิวหลุดจากช่อผมที่รวบไว้จนต้องเกี่ยวมาทัดไว้หลังใบหู
ลมหายใจถูกถอดถอนออกมาครั้งหนึ่งแล้วค่อยเลื่อนมองทะเลสาบสงบนิ่งตรงหน้า
“ใช่สิ เขามีแผลที่แขนด้วยนี่”
แฮวอนพึมพำอย่างเพิ่งนึกได้ ตอนนั้นเพราะความรู้สึกแปลกประหลาดที่วิ่งพล่านนั่นแท้ๆทำให้เธอลืมเอะใจเรื่องแผลของจองกุกไปซะสนิท
เธอเห็นว่าต้นแขนซ้ายของเขามีผ้าสีขาวพันปิดเอาไว้
ที่เขาอยู่ในสวนสมุนไพรก็อาจเป็นเพราะมาหายารักษาก็ได้แต่ที่น่าแปลกก็คือ
เสือดำที่เธอเจอเมื่อคืนก่อนก็มีแผลที่ต้นขาซ้ายเช่นกัน
“เป็นไปไม่ได้หรอกน่า จากคนจะกลายเป็นสัตว์ได้ยังไงกัน”
แฮวอนว่าทั้งๆที่ส่วนลึกในใจของเธอคลับคล้ายคลับคลากับสายตาของเสือตัวนั้นกับจองกุก
ยังรวมไปถึงแทฮยองกับสิงโตภูเขาอีกตัวนั่นอีก
ใช่สิ ยังมีมินยุนกิกับสิงโตขาวนั่นอีก
แฮวอนชักจะมองเมินเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้ว มันบังเอิญและคล้ายกันมากเกินไป
เธอควรจะปล่อยวาง ทำเป็นไม่สนใจ
ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนให้สงบสุขอย่างที่เคยตั้งปณิธานเอาไว้
วูบหนึ่งที่กระแสลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาผิวกายพาลเอาแฮวอนขนลุกชัน
ไม่ใช่ความหนาวเย็นแต่เป็นไอเวทบางอย่างที่ทำเอาเธอผงะ
มันเป็นอะไรที่แฮวอนไม่เคยรู้สึกมาก่อน แฮวอนรีบหันมองรอบตัวแต่กลับไร้การเคลื่อนไหวในกรอบสายตา
มีเพียงผืนน้ำที่ใจกลางทะเลสาบที่วูบไหวตามสายลมแรงเท่านั้น
“ฮึ”
เสียงคล้ายกับแค่นหัวเราะลอยมาเบาๆแต่แฮวอนไม่ได้ยิน เธอจึงไม่รู้ว่ามีอีกบุคคลที่ยืนอยู่ใกล้เคียงกับเธอและทอดสายตาไปยังยอดปราสาทหลักของพาราเดีย
รอยยิ้มบางเบาถูกจุดที่มุมปาก
คืนนี้คงมีแต่เรื่องสนุกๆ
กว่าครึ่งชั่วโมงที่แฮวอนถูกจับให้นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาแต่งตัวของยูจองและโดยอน
เหตุเพราะค่ำนี้เธอต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงของการ์ดิเนีย แฮวอนกลอกตามองไปทั่วเพราะถูกโดยอนสั่งห้ามไม่ให้ขยับตัว
ผมสีน้ำตาลสวยถูกจับถักเปียเป็นช่อสองข้างและรวบไว้ด้านหลัง
ผมตรงยาวดัดเป็นลอนใหญ่แซมด้วยช่อดอกยิปโซสยายลงมากลางแผ่นหลังบอบบาง
ใบหน้าเนียนใสถูกแต่งเติมเครื่องประทินโฉมที่แฮวอนแทบไม่เคยใช้โดยฝีมือของโดยอน
ทั้งเธอยังใจดีให้ยืมสร้อยสีเงินเส้นเล็กที่ประดับด้วยจี้ไพลินเล็กๆอีกต่างหาก
ส่วนยูจองก็จัดการหาชุดออกงานอย่างที่เคยรับปากมาให้
แฮวอนอยู่ในชุดกระโปรงยาวทรงคอจีน
ช่วงไหล่เปิดให้เห็นผิวขาวนวลเนียน
รอบเอวบางจับพับและคาดผ้าที่มัดเป็นรูปโบว์ทิ้งปลายไว้ด้านซ้ายด้วย
ตัวกระโปรงคลุมด้วยผ้าลูกไม้สีฟ้าอมชมพูที่ยิ่งสวยเมื่อต้องแสงไฟ เธอเข้ามายืนในงานและกลายเป็นจุดสนใจไปโดยปริยายจนคนไม่ค่อยเข้าสังคมต้องเดินเบียดๆกับซอนโฮเพื่อหลบสายตาเหล่านั้น
ห้องบอลรูมขนาดใหญ่ประดับไปด้วยโคมไฟห้อยระย้าและผ้าแพรสีครีม
บันไดที่ทอดยาวขึ้นไปยังชั้นลอยกว้างขวางเป็นที่สำหรับแขกผู้มีเกรียติทั้งหลายในส่วนนักเรียนและบุคลากรทั่วไปจะอยู่ชั้นล่าง
อาหารและเครื่องดื่มถูกจัดไว้ด้านข้างทั้งสองฝั่งทั้งยังมีนักเรียนของฟาทูเร่ทยอยเติมอาหารและเสิร์ฟเครื่องดื่มอยู่ทั่วงาน
“แฮวอนใกล้ได้เวลาแล้ว”
ซองอูเดินมาสะกิดรุ่นน้องเพราะผู้ชนะการประลองเวทต้องเข้ารับรางวัลเล็กๆน้อยๆจากผู้อำนวยการซึ่งแฮวอนยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แฮวอนเดินลัดเลียบตามซองอูติดๆเพราะจำนวนคนที่คับคั่ง
กว่าจะเดินฝ่านักเรียนคนอื่นมาได้ก็เล่นเอาเธอลอบถอนหายใจไปหลายเฮือก
“…เพื่อเป็นเกรียติแก่บลูซีโน่
มหาจักรพรรดิได้มอบเหรียญทองคำหนึ่งพันบาโร่แก่ผู้แข่งขัน”
ได้ยินอย่างนั้นแฮวอนก็หูผึ่งทันที
ราคาค่างวดนั้นไม่ใช่น้อยๆเลย ยังไม่ทันตั้งสติอะไรซองอูก็กระตุกข้อมือแฮวอนไปยังฟลอร์กลางห้องบอลรูมทันที
ทั้งคู่หยุดตรงหน้าผู้อำนวยการโรงเรียนก่อนจะโค้งทำความเคารพตามมารยาท
ในวินาทีนั้นแฮวอนแทบไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าคนอาวุโสกว่าพูดอะไรบ้างเพราะเธอประหม่าและเกร็งจนไม่มีสติแล้ว
ไม่ใช่เพราะกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นแต่เป็นเพราะอาจารย์ทั้งเจ็ดต่างหาก
พวกเขาอยู่ในชุดสูทพิธีการที่เย็บอย่างประณีตและคลุมทับด้วยผ้าขลิบสีเขียวเข้มสีของโรงเรียน
แม้จะแปลกตาแต่ต้องยอมรับว่าดูดีมาก เพราะรู้ว่าสู้สายตาคมกริบเหล่านั้นไม่ไหวจึงหลุบสายมองมองลงแถวๆอกคนตรงข้าม
ชักจะอยู่ยากขึ้นทุกวันแล้วสิแฮวอน
มีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาทักทายแฮวอนกว่าครึ่งชั่วโมง
เธอก็ได้แต่ยิ้มๆตอบก่อนจะหลบเลี่ยงออกมาจากตัวปราสาท
ไฟสีส้มนวลถูกประดับประดาไว้โดยรอบ บรรยากาศภายนอกดูสงบกว่าข้างในมาก
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งด้านหนึ่งก่อนจะแหงนมองฟ้าที่มีดวงจันทร์สีเหลืองอร่ามที่เว้าแหว่งไปเสี้ยวหนึ่งลอยอยู่บนแผ่นฟ้า
หูยังได้ยินเสียงแว่วๆของดนตรีมาจากในงานแต่แฮวอนเลือกที่จะซึมซับความเงียบสงบแทน
มือบางเอื้อมกดมองกุฎดอกไม้ที่ได้รับจากผู้อำนวยการทีหนึ่งพลางเอนหลังพิงพนัก
แฮวอนเริ่มคิดแล้วว่าเธอหาเรื่องยุ่งยากให้ตัวเองแท้ๆ
หลังจากที่คิดว่าจะใช้ชีวิตเงียบๆแล้วหาทางย้ายไปยังไวท์ดิเวลเลอร์แต่ตอนนี้ดันเหมือนประกาศตัวว่าเป็นคนของบลูซีโน่ไปซะแล้ว
ดวงไฟสีม่วงขยับไปมาตามมือที่อยู่ไม่สุข
แฮวอนมักจะเล่นกับดวงไฟที่เธอชอบเสกออกมาเสมอเวลามีเรื่องให้ต้องคิด
เพราะไม่มีคนอื่นอยู่บริเวณเดียวกันจึงไม่ต้องกังวล ดวงไฟค่อยๆแปรเปลี่ยนไปทีละสี
จากหนึ่งกลายเป็นสอง สามและเพิ่มขึ้นเป็นห้า
แสงสว่างสาดกระทบใบหน้าเนียนที่แฝงร่องรอยความกังวลใจก่อนจะหายไปเมื่อแฮวอนดีดนิ้วเพียงเปราะเดียว
แฮวอนทอดถอนอารมณ์อยู่สักพักก็จะลุกขึ้นหมายจะกลับเข้าไปในงานเพราะเห็นว่าใกล้ถึงช่วงแสดงชุดใหญ่ของดาเรียนแล้ว
เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้งเมื่อเมฆก้อนใหญ่เข้าบังบดจนแสงจันทร์หายลับไปพร้อมกันนั้นแสงไฟที่คอยให้ความสว่างอยู่รอบตัวก็ดับตามลงไปพร้อมกันราวกับมีคนกำหนด
รอบข้างมืดสนิททันใดจนแฮวอนขยับมือเตรียมจะเสกดวงไฟอย่างเคยชินแต่เสียงก้าวเท้าดังขึ้นทำให้เธอต้องชะงักมือลง ครู่เดียวแฮวนก็รู้สึกว่าเจ้าของเสียงนั่นยืนอยู่ตรงข้าม เธอไม่ลังเลที่จะออกปากถาม เพียงแต่ว่าแค่ขยับปากปล่อยคำพูดหลุดออกไปได้ไม่กี่คำ
“คุณคะ…”
ริมฝีปากอุ่นจัดของบุคคลปริศนาประกบลงมาทาบทับจนแนบสนิท
เขาดูดกลืนเสียงหวานด้วยริมฝีปากของเขาเอง คล้ายกับทุกอย่างถูกเขย่าจนหมุนคว้าง
แฮวอนไม่แต่จะบังคับกำปั้นที่ถูกทิ้งลงข้างตัวได้ เรียวปากที่แนบชิดเริ่มขยับ
ความอุ่นวาบจุดประกายขึ้น อีกคนไล่ขบเม้มกลีบปากอวบอิ่มทั้งบนล่างอย่างใจเย็น
ท่อนแขนแกร่งถือวิสาสะเกี่ยวรัดเอวบางและดึงคนตัวเล็กเข้าไปใกล้ชิดมากขึ้นอีกนิด
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำจนเกรงว่าคนฉวยโอกาสจะได้ยินเข้า
แฮวอนเพิ่งได้สติว่าควรผลักร่างสูงออกแม้จะวูบไหวตามสัมผัสอ่อนโยนไม่น้อย แต่เขาคือคนแปลกหน้าและกำลังล่วงเกินเธออยู่
ห้ามใจง่ายตอนนี้นะแฮวอน!!!
แรงต่อต้านน้อยนิดไม้ได้กระเทือนคนตัวโต
เขายังคอลเคลียและนวดเฟ้นไม่ห่างจากริมฝีปากนุ่มนิ่มแต่ไม่ได้ทำอะไรไม่กว่านั้น
เพราะรู้สึกว่าคนตัวเล็กจะขาดอากาศหายใจจึงถอนจูบออกมาก่อนจะวางดอกไม้ก้านหนึ่งที่ตั้งใจเอามาให้แฮวอนลงที่ฝ่ามือบาง
แอบฉกวูบไปจูบแก้มนุ่มอีกทีหนึ่งพร้อมกับค่อยๆเผยรอยยิ้มบางๆออกมาก่อนที่เจ้าตัวจะหายวับไปในไม่กี่วินาที
ไฟสีส้มนวลกลับมาติดอีกครั้งหลังจากที่สัมผัสเบาหวิวเหมือนปุยนุ่มผละออกไปไม่ถึงนาที
แฮวอนพบเพียงความว่างเปล่าตรงหน้า หันมองหาทางไหนก็ไร้วี่แววจนต้องเลื่อนมองดอกไม้สีสวยหวานในมือ
ดอกคาร์เนชั่นใช้สำหรับการเฉลิมฉลอง มีความหมายว่าแสดงความยินดี
และดอกคาร์เนชั่นสีแดงอมชมพูในมือของเธอตอนนี้ใช้แสดงถึงคำบอกรัก
“มาจูบพร้อมให้ดอกไม้เนี่ยนะ…นี่มันวิธีจีบแบบใหม่หรือไง!”
แฮวอนเดินกลับมาในงานด้วยความรู้สึกมึนงง
เธอเพิ่งโดนขโมยจูบไปแถมยังไม่รู้อีกว่าเป็นใคร
เธอเข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆที่จับจองที่ว่างเกือบหน้าสุด
พูดคุยกันได้ไม่กี่คำเสียงหวานใสก้องกังวาลของไซโลโฟนก็ดึงความสนใจจากทุกคนไปหมด
ไฟในห้องบอลรูมค่อยๆดับลงก่อนจะจุดลงที่เดียวคือกลางฟลอร์
หญิงสาวจากดาเรียนอยู่ในชุดผ้าชีฟองที่ถูกตัดเย็บเป็นเสื้อที่โชว์หน้าท้องและกางเกง
ใบหน้ามีผ้าคลุมครึ่งหน้าช่วงล่างเอาไว้
เธอร่ายรำอย่างอ่อนช้อยตามจังหวะเพลงก่อนกลีบดอกกุหลาบจะถูกโปรยลงมาและเพียงพริบตาเดียวนักแสดงทั้งชายหญิงก็เข้ายึดครองพื้นที่ไปจนหมด
พวกเขาเคลื่อนไหวพร้อมกัน
แม้กระทั่งเสียงกระทบของกำไลข้อมือของสาวๆ
ประกายเวทสีรุ้งดึงวาดออกมาล้อมรอบตัวผู้แสดง
เสียงดนตรีเริ่มแปรเปลี่ยนจังหวะให้สนุกสนานและตื่นเต้นขึ้น
การเคลื่อนไหวและท่วงท่ากลายเป็นดุดันและเร่าร้อนแทน
เสียงอุทานดังเป็นระลอกเมื่อผู้แสดงสะบัดผ้าแค่หนเดียวแต่กลับเปลี่ยนสีเครื่องแต่งกายได้ในพริบตา
ก่อนที่ผู้แสดงคนอื่นจะเข้ามาสมทบอีก แถวถูดจัดเรียงอย่างมีระบบและรูปแบบ
แฮวอนรู้สึกตื่นตาทุกครั้งที่มีการแปรขบวนแถว
การแสดงตื่นตาตื่นมามากขึ้นเมื่อนักแสดงอีกชุดหนึ่งวิ่งเข้ามาแทนที่
พวกเขาอยู่ในชุดที่ประดับด้วยขนนกหลากสีสัน ใบหน้าถูกแต้มด้วยสีเรืองแสง
จังหวะกลองก็เปลี่ยนเป็นระทึกใจ
ก่อนผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่มีแผงขนสิงโตประดับตรงคอจะเดินออกมา
แฮวอนรู้ทันทีว่านี่เป็นการแสดงเลียนแบบวันสถาปนาการ์ดิเนีย
ตามตำนานเล่าว่าบรรพบุรุษของชาวการ์ดิเนียได้ทำพันธะสัญญาโดยการเชื่อมไมตรีกับชนเผ่าดั้งเดิมต่างๆก่อนจะรวบรวมอาณาจักรให้เป็นแผ่นเดียว
โดยที่การเชื่อมไมตรีที่ว่าคือการแต่งงาน กษัตริย์คนแรกแต่งงานกับภูติแห่งสายลม
จึงมีความเชื่อหนึ่งที่ว่าลูกหลานของพวกภูติจะมีลักษณะที่แตกต่างจากคนทั่วไปซึ่งแฮวอนก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าความพิเศษนั้นคืออะไร
การแสดงเล่าถึงเหตุการณ์สงครามก่อเริ่มก่อตั้งอาณาจักรก่อนและไล่เรียงเรื่อยมาจนถึงวันทำพันธะสัญญา
การแสดงมีการใช้อาวุธปลอมเพียงความสมจริง พวกเขามีการเล่นกับผู้ชมบ้างโดยการเดินเข้ามาหา
แฮวอนคงจะจดจ่อกับการแสดงต่อหากไม่สังเกตเห็นนักแสดงชายคนหนึ่งที่เดินเข้าไปหาโซฮยอน
หอกที่เข้าถือในมือสะท้อนกับแสงไฟดูคล้ายกับของจริงมากเกินไป
แฮวอนรีบแทรกตัวไปหาเด็กสาวเพราะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีและทันทีที่เห็นว่าชายคนนั้นเงื้อหอกขึ้นเหมือนอย่างนักแสดงคนอื่นเธอก็รีบพุ่งตัวเข้าไปโซฮยอนทันทีเพราะเป้าหมายของเขาไม่ใช้พื้นแต่เป็นเด็กสาวที่ยังมองการแสดงอย่างสนใจต่างหาก!
ฝ่ามือบางฉวยจับด้ามหอกไว้ทัน
แต่อีกฝ่ายกลับแทงลงมาอีกจนด้านคมกริบของอาวุธบาดผิวแก้มของแฮวอน
ดวงตากลมฉายแววตกใจเมื่อพบว่านัยน์ตาสีเข้มของชายร่างสูงมีสีเขียวครอบคลุมไว้ทั้งยังดูเลื่อนลอยจนดูผิดปกติ
เพราะอีกฝ่ายยังไม่หยุดการกระทำอุกอาจ
พลังงานสีเงินก่อขึ้นที่ฝ่ามือก่อนจะผลักไปทางด้านหลังเพื่อกันโซฮยอนและคนอื่นๆให้ออกห่าง
เสียงเอะอะดังระงมค่อยๆลุกลามไปทุกส่วนของงาน
แฮวอนสู้แรงผู้ชายตัวโตขนาดนั้นไม่ไหวจึงถูกอีกฝ่ายกดลงกับพื้น
มือหยาบกร้านตรงเข้าบีบลำคอทั้งยังง้างอาวุธขึ้นหมายจะแทงซ้ำอีกครั้ง
แฮวอนเริ่มตาพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาเพราะหายใจแทบไม่ออกแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้
ไอเวทสีเงินประกายฟ้าจากมือเธอเข้าเกี่ยวพันด้ามหอกจนกลายเป็นน้ำแข็งและแตกเป็นเสี่ยงคามือของผู้ชายคนนั้น
ฝ่ามือข้างหนึ่งแตะลงที่อกอีกคน
ปากบางขยับพึมพำเพียงเล็กน้อยกองไฟขนาดย่อมก็ลุกลามเผาไหม้เสื้อผ้าของเขาทันที่
แต่ที่น่าตกใจก็คือชายคนนี้กลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด
เขี้ยวเสือถูกลับจนคมที่ห้อยประดับตรงเอวถูกฉวยมาไว้ในมือเตรียมจะจวงแทงอีกฝ่ายไม่ยั้งมือ
บ่วงเวทสีแดงเพลิงรัดคอผู้ชายคนนั้นอย่างทันท่วงทีและดึงร่างเข้าออกไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่สายน้ำสีฟ้าอ่อนจะตรงเข้าดับไฟที่ยังลุกลามไม่หยุด วงมนตราสีน้ำตาลเหลืองสว่างวาบขึ้นโดยมีร่างสูงเป็นจุดศูนย์กลาง
ร่างกายเขาถูกบังคับให้นั่งลงและถูกมัดแขนไพล่อย่างต้องจำนนเพียงแต่แววตาเลื่อนลอยนั่นยังคงอยู่เช่นเดิมราวกับว่าไม่ได้สะดุ้งสะเทือนกับสิ่งใด
เขามองตรงมายังแฮวอนหรืออาจจะเป็นโซฮยอนที่ยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง
ฝีมือเหล่านั้นเป็นของยุนกิ
โฮซอกและซอกจิน พวกอาจารย์ทั้งเจ็ดเข้ามาจัดการสถานการณ์อย่างรวดเร็ว
แฮวอนได้รับความช่วยเหลือจากนัมจุน
มือหนายื่นลงมาให้เธอจับเพื่อพยุงตัวก่อนเอ่ยถาม
“เป็นอะไรรึเปล่าครับคุณแฮวอน”
“ไม่ค่ะ
ขอบคุณนะคะอาจารย์” แฮวอนตอบกลับและพยายามทำสีหน้าว่าตนสบายดีแม้ว่าจะรู้สึกปวดแปลบรอบลำคอที่ตอนนี้เป็นรอยแดงเทือก
แสงสว่างในงานดังพรึบลงอีกหนสร้างความตื่นตนตกใจให้คนอื่นๆเป็นอย่างมาก
ก่อนที่ตัวหนังสือเขียวอ่อนคล้ายกับสีที่ปรากฏในดวงตาของผู้ชายคนนั้นจะถูกวาดขึ้นช้าๆบนอากาศ
นี่แค่จุดเริ่มต้น
ระวังตัวไว้ เราจะตอบแทนอย่างสาสม
แฮวอนมองตัวอักษรพวกนั้นตาไม่กะพริบเพราะว่ามันเป็นรูปแบบการเขียนแบบโบราณ
ทุกวันนี้แทบจะไม่มีใครใช้แล้วเว้นแต่พวกที่อยู่ในดินแดนที่คล้ายกับไร้ห้วงเวลาอย่างชาโดว์แบลงค์
“ผู้ใช้เวท”
แฮวอนแทบหยุดหายใจเมื่อได้ยินเสียงพึมพำของนัมจุน
เธอพอมองออกอยู่แล้วว่าตัวอักษรที่ลอยกลางอากาศไม่ใช่การใช้เวทแต่เป็นคาถาของเหล่าพ่อมดแม่มด
คนอีกพวกที่เธอกลัวนักหนามาปรากฏตัวให้เห็นแล้ว
“อ๊าก!!!”
เสียงคำรามราวกับไม่เสียงของมนุษย์เปล่งมาจากคนที่ถูกพันธนาการเอาไว้
แสงสีเขียวพุ่งออกมาจากริมฝีปากเขาก่อนที่คนเคราะห์ร้ายจะหมดสติคอพับ
แสงพวกนั้นแปรเปลี่ยนเป็นรูปงูตัวเขื่อง
มันเลื้อยไปทั่วและพุ่งเข้าคนที่ยืนอยู่อย่างน่ากลัว
เสียงหัวเราะทุ้มๆดังมาจากหลายทิศทางพร้อมกับงูที่สร้างจากคาถาสร้างความหวาดกลัวให้แม้แต่แฮวอนเอง
เธอเผลอถอยหลังและชนเข้ากับร่างสูงของจองกุก มือบางถูกกอบกุมและสอดประสานด้วยอุ้งมืออุ่นจัดของอีกคนคล้ายกับว่าจองกุกกำลังปลอบใจคนขวัญเสียอยู่
“ไม่ต้องกลัว”
เพราะน้ำเสียงนุ่มทุ้มและนุ่มนวลอย่างที่ไม่เคยได้ยินทำให้แฮวอนบีบมือเขาตอบและรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่แน่ๆเธอกลับเชื่อใจและรู้สึกปลอดภัยแค่คำพูดสั้นๆของเขา
[ต่อ]
เหตุการณ์ทุกอย่างถูกจัดการให้กลับมาอยู่ในความสงบ
นักเรียนทุกคนถูกสั่งให้กลับเข้าปราสาทและห้ามออกมาจนกว่าจะรุ่งเช้า
ส่วนแขกคนอื่นๆได้กลับที่พักและเพิ่มความคุ้มกันเป็นสามเท่า
แฮวอนถูกพามายังห้องทำงานของจีมินเพราะต้องทำแผล
เธอปฏิเสธไปแล้วแต่ก็ถูกอาจารย์ประจำปราสาทอย่างแทฮยองบังคับพามาจนได้
ร่างบางนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงานที่อวบอวลด้วยกลิ่นยาสมุนไพร
แทฮยองผละไปหายาเพียงครู่เดียวก็กลับมาททรุดตัวนั่งตรงข้าม
ดวงตาสีเข้มเหลือบมองใบหน้าและลำคอของแฮวอนเล็กน้อยแล้วถาม
“นอกจากแก้มกับคอแล้วยังเจ็บตรงไหนอีกมั้ย”
“ไม่ค่ะ”
หลังจากแฮวอนตอบสั้นๆความเงียบงันก็เข้าปกคลุมห้องทำงานขนาดกลาง
แทฮยองค่อยๆบรรจงทำแผลให้เธออย่างเบามือแต่สายตาที่เขามองมาทำเอาต้องรีบเสมองไปทางอื่น
แฮวอนยังจำความรู้สึกวันที่เขาแตะตัวเธอได้ดี
แม้วันนี้จะไม่รุนแรงเท่าแต่เธอก็รู้สึกอึดอัดอยู่หลายส่วน
แค่เห็นใบหน้าตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาเขาก็พาลหายใจติดขัดแล้ว
ปลายนิ้วเรียวเกลี่ยเนื้อยาสีขาวลงบนลำคอระหงส์
ตัวแฮวอนร้อนมากจนเขารู้สึกได้ ไหนจะพวงแก้มเนียนใสที่ซับสีระเรื่อทั้งสองข้าง
เขาอยากมองมันให้เต็มตาแต่เจ้าตัวกลับผินหน้าไปอีกฝั่งเหมือนอย่างไม่อยากมองหน้าเขาอย่างนั้นแหละ
“ลิปสติกเธอลบไปเยอะเลยนะแฮวอน”
แฮวอนสะดุ้งกับคำพูดนั้น
เธอเผลอตวัดตามองแทฮยองที่คล้ายกับตั้งใจพูดอย่างนั้น เขาไม่รู้นี่ว่าเธอเจออะไรมา
ดวงตากลมมองอีกคนเขม็งอย่างลืมตัวจนแทฮยองหลุดเสียงหัวเราะมาคำหนึ่ง
“ฮึ ทีนี้ยอมสบตากับฉันแล้วใช่มั้ย” แทฮยองว่ายิ้มๆ
“ขอบคุณเธอมากที่เข้าไปขวางคนจากดาเรียนไว้ ไม่อย่างนั้นน้องสาวฉันคงเป็นอันตราย”
เขาว่าอย่างจริงจังแฮวอนจึงตอบกลับอย่างจริงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ
อีกอย่างฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากด้วยด้วยและถ้าเป็นโซฮยอนที่โดนทำร้ายคุณก็คงเสียใจมาก”
แทฮยองเพียงแต่ยิ้มรับและไม่ได้ตอบโต้กับสิ่งที่แฮวอนว่า
เขาเพียงแต่ลุกขึ้นและวางกล่องยาลงบนโต๊ะใกล้ๆแล้วบอกคนที่ยังนั่งอยู่
“กลับหอได้แล้ว
พรุ่งนี้ค่อยเจอกันใหม่ ฉันไปส่งเธอไม่ได้ ยังไงก็ระวังตัวด้วย”
“ค่ะอาจารย์”
แฮวอนรับคำแล้วลุกจากที่นั่งก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
ดูเผินๆแล้วเหมือนจะเชื่อฟังคนสั่งของแทฮยองดีแต่ความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่
ขอโทษด้วยนะคิมแทฮยอง
เราคงไม่ได้เจอกันหรอก เพราะฉันจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว!!!
ร่างในชุดทะมัดทะแมงค่อยๆปลดผ้าที่คลุมใบหน้าลงเมื่อก้าวเข้ามาในอาณาเขตปราสาทใหญ่โตสีดำทมิฬ
ทุกอย่างที่รายล้อมรอบตัวมีแต่ความมืดมนและเสียงร้องของเหล่าฝูงกาสีดำ
บางทีก็เป็นเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ป่าที่อยู่ในเขตป่าใกล้ๆ
ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มเล็กน้อย
เผยฟันเขี้ยวที่อยู่ทั้งสองข้างก่อนจะเดินเข้าไปไปในตัวปราสาท
คบเพลิงถูกจุดให้ความสว่างเป็นจุดๆเพราะเจ้าของปราสาทเกลียดความร้อนและสว่างจ้าของมันซึ่งไม่ใช่กับเขา
“ซองจุน”
เสียงทุ้มต่ำออกปากเรียกคนที่นั่งจิบของเหลวสีแดงในแก้วไวน์อย่างใจเย็น
กลิ่นเหม็นคาวของมันทำให้คนมาที่เพิ่งเข้ามาเบ้หน้าทีหนึ่งก่อนจะปรับตัวให้เคยชินอย่างที่เขาทำมาเสมอมา
ซองจุนหันมาตามเสียงที่เพื่อนเรียก
เขาคลี่ยิ้มมุมปากก่อนจะถามถึงแผนการจากฮยอนซอก
“ไง
สนุกมั้ยที่ฝั่งนู่น” คนตัวสูงกว่าถามพลางขยับตัวเล็กน้อยให้ฮยอนซอกนั่งลงข้างๆ
“ก็ดี
แต่ผิดแผนไปหน่อยเพราะมีคนมาขัด” น้ำเสียงเย็นชาตอบคล้ายจะไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เขาต้องการฆ่าใครสักคนเพื่อเขย่าขวัญคนพวกนั้นและประกาศว่าสิ่งที่พวกการ์ดิเนียคิดมาตลอดหลายสิบปีมันผิด
ไม่มีคนหายไปไหนมีแต่คนที่รอวันแก้แค้น แต่แผนการของเขากลับถูกขัดขวางโดยผู้หญิงคนนั้น
“ใคร?”
“ไม่รู้
แต่น่าจะเป็นนักเรียน เป็นผู้หญิงด้วย”
“ทำไมฉันรู้สึกว่านายจะสนใจเธอที่ว่า”
ซองจุนว่าเชิงขบขันก่อนจะออกปากห้ามอย่างทีเล่นทีจริง “แต่ห้ามยุ่งกับคนที่ฉันหมายตาเอาไว้”
“ไอ้คนที่ตัวหอมจนนายอยากได้เป็นตู้อาหารเคลื่อนที่น่ะเหรอ”
“ใช่
เลือดก็คงจะหวานน่าดู” ซองจุนบอกหลังจากหัวเราะฮึกับคนช่างเปรียบเปรย
เพราะอยู่ในพื้นที่ที่แทบไม่มีเผ่าพันธุ์อื่นๆเขาก็แลยได้กินเลือดจากสัตว์เท่านั้น
นานๆทีจะหลุดออกไปยังพาราเดียได้บ้าง
เพราะฉะนั้นแฮวอนก็เลยเป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา ซองจุนรู้ดีว่ามีวิธีกัดมากมายที่จะไม่ทำให้ตายในครั้งเดียว
ถ้าเธอเป็นอาหารชั้นเลิศจะเลี้ยงไว้ดูเล่นสักพักแล้วค่อยจัดการก็ไม่เสียหาย
“แต่ถ้าเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่ฉันเจอ
ฉันต้องฆ่า”
“ทำไม”
คนตัวสูงกว่าถามอย่างสงสัย เพราะฮยอนซอกไม่ใช่คนเลือดเย็นเมื่อเทียบกับเขาแม้จะใจร้อนและโมโหรุนแรงพอๆกัน
“เพราะผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นแม่มดขาวและข้อสำคัญเธอแก้คำสาปของปู่ฉันได้!”
หลังตัดสินใจว่าจะไม่อยู่ที่พาราเดียต่อไปแล้วแฮวอนก็จัดการเก็บข้าวของอย่างรวดเร็วและใช้เส้นทางเหมือนคราวที่แล้วเพื่อหนีออกมานอกปราสาท
แต่เพราะเวรยามที่รัดกุมขึ้น เธอจึงต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเก่า แฮวอนเลือกใช้ประตูทางออกหมายเลขห้าที่อยู่ใกล้กับบลูซีโน่ที่สุด
คนที่แต่งกายรัดกุมแฝงตัวไปกับเงามืดและหลบหลีกแสงไฟจากคบเพลิงของเหล่าทหาร
เธอชิงใช้ช่วงเวลาที่ทหารยามกำลังผลัดเวรเข้ากะใหม่รีบวิ่งออกไปยังประตูที่ไม่เคยมีการปิดล็อกเพราะไม่มีคนบ้าบิ่นบุกเข้ามาในพาราเดียอยู่แล้ว
แต่พอก้าวเท้าพ้นรั้วชั้นในของโรงเรียนแฮวอนก็ต้องชะงักลงทันทีเพราะใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงข้ามคล้ายกับรอเธออยู่ก่อนแล้ว
“เธอจะไปไหนแฮวอน”
น้ำเสียงเย็นชาของซูจองถามขึ้น ดวงตาดุจนางพญากวาดมองอีกคนอย่างเรียบนิ่งไร้อารมณ์
“คุณซูจอง…”
“กำลังจะหนีไปสินะ
ฮึ”
แฮวอนเงียบ
เธอกำลังกังวลแต่ดูจากท่าทางแล้วซูจองดูจะไม่ชอบหน้าเธอเสียมากๆ
เรื่องที่เธอออกมาจากโรงเรียนกลางดึกนี่เธออาจจะเอาไปฟ้องเหล่าอาจารย์ก็ได้
แต่กลับผิดจากที่คาดเมื่อซูจองพูดขึ้นมา
“ไปสิ
ฉันจะไม่บอกใคร” เธอบอก่อนจะยัดเยียดของบางอย่างมาให้ “เอาลูกแก้วอารักษ์นี่ไปซะ
แล้วรีบออกไปให้พ้นเขตพาราเดียให้เร็วที่สุด”
แฮวอนเพียงแต่รับลูกแก้วสีเหลืองหม่นว่าไว้ในมือก่อนจะเดินออกมาอย่างไม่พูดไม่จา
เธอจะเสี่ยงรั้งรอเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ขาเรียวก้าวยาวฉับๆจนหายลับตาไป แผ่นหลังบางสะท้อนในนัยน์ตาที่ลุกโชนด้วยความริษยาโดยไม่รู้ตัว
ฝ่ามือเล็กของซูจองบีบเข้าหากันแน่น
มุมปากบางเหยียดยิ้มเหี้ยมโหด เธอหวังว่าจะส่งแฮวอนไปให้พ้นหูพ้นตาได้สักที
หลังจากคราวที่แล้วแฮวอนรอดมาได้เพราะถูกช่วยไว้ทัน แต่ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมปล่อยให้เป็นแบบเดิม
ศัตรูของเธอต้องถูกกำจัด
ซูจองเห็นแทฮยองและแฮวอนอยู่ในร้านเครื่องประดับด้วยกัน
เขาทำกับแฮวอนอย่างที่ไม่เคยทำกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน
สัมผัสอ่อนโยนและสายตาลุ่มหลงนั่นควรเป็นของเธอ แค่เธอคนเดียว
“ถ้าฉันไม่ได้ตัวเขาก็อย่าหวังว่าใครจะแย่งเขาไปได้!”
ลูกแก้วที่ได้มาร้อนวูบวาบอยู่ในมือจนแฮวอนไม่สนใจจะถือต่อ
วัตถุเปราะบางถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางอย่างไม่ไยดี เธอยกยิ้มบางๆเมื่อเห็นว่าสีเหลืองหม่นๆของลูกแก้วค่อยเรืองแสงขึ้นมาทีละนิด
แน่นอนว่าแฮวอนไม่เคยไว้ใจซูจองและการรับของจากอีกฝ่ายก็ดูเป็นเรื่องโง่เง่า
แต่ครั้งนี้แฮวอนเต็มใจรับบทนั้นยิ่งกว่าครั้งไหนถ้ามันทำให้เธอหลุดพ้นจากบุคคลในพาราเดียได้ยิ่งดี
ลูกแก้วดูดวิญญาณเป็นศาสตร์มืดราคาแพงที่มองดูเผินจะคล้ายกับลูกแก้วอารักษ์ที่ใช้เหมือนเครื่องรางป้องกันตัวเวลาเดินทาง
แต่หากใครที่สัมผัสมันเป็นเวลานานมากเกินไปจะถูกสูบพลังชีวิตไปทีละนิดและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้ายต้องสิ้นชีวิตภายในสองชั่วโมง
ต้องยอมรับว่าซูจองมีลูกเล่นในการเล่นงานเธอมากเหลือเกิน
“ไม่รู้จะโกรธแค้นอะไรฉันนักหนา
เคยไปทำอะไรให้หรือไง” เธอบ่นอย่างไม่สบอารมณ์นักพลางเดินเตะเท้าไปด้วย
ช่วงเวลากลางคืนที่เงียบสงบและดูน่ากลัวไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับการเดินทางของแฮวอนเลย
หญิงสาวก้าวย้ำไปอย่างไม่รีบร้อนมากเพราะรู้ว่าเวลาแทบจะไม่มีผู้คนสัญจรไปมาทั้งเส้นทางจากพาราเดียสู่วิลโลว์ก็ปราศจากสัตว์ร้าย
เสียงครืดคราดคล้ายกับบางอย่างถูกลากทำเอาแฮวอนต้องเงี่ยหูฟัง
จากที่ไม่กังวลใจใดๆกลับต้องหวาดระแวงเพราะเสียงประหลาดๆที่ดังมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
แฮวอนเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิดแต่เสียงนั่นก็ยังตามติดคล้ายกับเงาตามตัว
ประกายเวทสีฟ้าเรืองรองกลางฝ่ามือเตรียมจะซัดใส่บางอย่างข้างหลังเมื่อแฮวอนหมดความอดทน
ทันทีที่หันหลังขวับเธอก็สาดพลังไปยังต้นเสียงปริศนาจนเกือบตวัดมือเก็บเวทไม่ทันเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังคล้ายกับคนชายชราและในมือเขามีลูกแก้วดูดวิญญาณที่เธอทิ้งไว้ตั้งแต่ต้นทางอยู่ด้วย
“ข…ของหนูนี่”
เสียงเขาแหบพร่าราวกับคนสูงอายุ เขามีไม้ยาวๆท่อนหนึ่งไว้คำย้ำ
ร่างใหญ่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำซีดและสวมหมวกคลุมศีรษะเอาไว้
“คุณตา…”
แฮวอนแทบจะพูดไม่ออก เธอตรงปรี่ไปแย่งลูกแก้วทรงกลมนั่นออกมาก่อนจะจำใจเก็บมันลงถุงผ้าแล้วค่อยหาทางทำลายที่หลัง
“คุณตาจะไปไหนคะ แล้วทำไมถึงได้เดินทางคนเดียวกลางดึกกลางดื่นแบบนี้”
“แล้วทำไมหนูถึงออกมาอยู่ข้างนอกแบบนี้ล่ะ”
น้ำเสียงแหบแห้งย้อนถามก่อนจะกระแอมไป
แฮวอนแอบเหวอไปเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะถูกสวนกลับมา “ฉันจะไปวิลโลว์น่ะ แต่เพราะแก่แล้วถึงได้เดินชักช้านัก”
“งั้นไปพร้อมหนูก็ได้ค่ะ
หนูจะกลับวิลโลว์พอดี” แฮวอนตัดสินใจบอก
ให้ใจร้ายกับคนแก่โดยการทิ้งเขาไว้กลางป่าแบบนี้เธอก็ทำไม่ลง
“เอางั้นหรือ”
เขาย้อมถามว่าอย่างอยากได้ความมั่นใจซึ่งแฮวอนก็ตอบกลับอย่างเร็วไว
“ค่ะ
คุณตาจับแขนหนูไว้ก็ได้นะคะ แล้วถ้าเหนื่อยก็บอกหนู เราจะได้หยุดพัก”
คนแก่กว่ายื่นมือมาจับแขนเรียวตามที่เธอบอก
แฮวอนแอบชะงักไปเล็กน้อยเพราะรู้สึกถึงความหนั่นแน่นของกล้ามเนื้อจากคนข้างๆ
สัมผัสเขาให้ความรู้สึกแบบชายหนุ่มไม่ใช่ชายชรา
คนต่างวัยทั้งคู่ค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไป
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันจนกระทั่งฝ่ายชายเป็นคนเอ่ยถาม
“แล้วหนูมาจากไหนล่ะ
ถึงได้ออกเดินทางคนเดียวแบบนี้”
“…คือ
หนูมาจากเมืองทางตะวันตกค่ะ” แฮวอนเลือกที่จะเลี่ยงความจริง เธอได้ยินเสียงเขาฮึมฮัมคล้ายรับคำของเขา
“คุณตาคะ!!!”
แฮวอนร้องอย่างตกใจเมื่ออยู่ๆร่างสูงข้างๆก็ล้มพับล้ม ซ้ำยังรั้งแขนเธอลงไปด้วย
เธอเรียกเขาพลางเขย่าแขน
ตกใจไม่นานก็รีบตั้งสติและประคองให้อีกคนหนุนนอนบนตัก
คำสอนของยายวิ่งวนกลับเข้ามาในหัว เธอเกือบจะดีดนิ้วเรียกถุงยาออกมาแล้วถ้าหากอุ้งมือร้อนจัดของคนที่เพิ่งล้มลงไปจะไม่ฉวยจับเข้าที่ข้อมือบาง
มือหนาอีกข้างเลิกผ้าคลุมขึ้นจนแฮวอนเห็นเขาชัดเต็มสองตา
“เธอนี่มันใจดีจังนะแฮวอน”
“อาจารย์!”
ความคิดเห็น