ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Taehyung & Jungkook | PARADIA [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #6 : ♦ 04 THE EMPEROR ♦

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.74K
      315
      27 ก.พ. 61






    04

    ♦ THE EMPEROR 

     





                วันจันทร์หวนกลับมาอีกครั้ง ตอนนี้แฮวอนกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนของซอกจิน อาจารย์ประจำวิชาจริยธรรมดูดีขึ้นจากสัปดาห์ที่แล้วอยู่มากโข ใบหน้าหล่อคมคายไม่ได้ซูบซีด มีเพียงแต่แขนข้างซ้ายที่แผลยังไม่หายดี วันนี้ซอกจินนั่งประจำโต๊ะไม้สีเข้มแทนที่จะเดินดูนักเรียนในชั้นอย่างที่ทำประจำและมีผู้ช่วยสอนคนใหม่เป็นสาวสวยที่พ่วงตำแหน่งลูกสาวของที่ปรึกษาจักรพรรดิอย่างซูจอง


                ก็ผู้หญิงคนเดียวกับที่วิ่งเข้าไปกอดแทฮยองนั่นแหละ ซูจองมาที่นี่เพราะงานสถาปนาการ์ดิเนีย แฮวอนก็ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากนัก เพียงแต่ทราบว่าซูจองเป็นว่าที่ภรรยาของพี่ชายต่างแม่ของแทฮยอง แฮวอนแอบแปลกใจเหมือนกันที่ว่าที่พี่สะใภ้และว่าที่น้องเขยแสดงท่าทีสนิทสนมกันอย่างนั้น แต่ก็อย่างว่าถ้าแฮวอนไม่สนใจเธอก็ไม่คิดหาคำตอบ


                จริยธรรมเกือบเป็นวิชาน่าเบื่อของแฮวอน หลังจากฟังบรรยายไปเกือบครึ่งชั่วโมงซอกจินก็สั่งงานความเรียงหนึ่งหน้ากระดาษเกี่ยวกับหลักจริยธรรมซึ่งสามารถหาคำตอบได้จากหนังสือเรียนเล่มหนา


                กระดาษที่คัดลอกโจทย์เอาไว้กำลังถูกคนคนความจำดีเติมเต็มคำตอบไปทีละข้อโดยทีแฮวอนแทบจะไม่ได้เปิดหนังสือด้วยซ้ำ แฮวอนเป็นคนความจำดีบวกกับพ่อเธอส่งเสริมให้อ่านหนังสือหลายหลายประเภทตั้งแต่เด็กทำให้แฮวอนคล้ายกับอัจฉริยะไม่น้อยที่สามารถจดจำข้อมูลได้มากมายขนาดนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วแฮวอนควรจะอยู่ในชั้นชนปราชญ์ไม่ต่างจากพ่อและแม่ของเธอ แต่หลังจากที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปครอบครัวที่เหลือกันเพียงสามคนเลยถูกลดลำดับขั้นเหลือเป็นเพียงชนชั้นกลางทั้งๆที่ครั้งหนึ่งพ่อเธอเคยขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุค เธอเคยได้ยินคำสรรเสริญเยินยอคล้ายๆกันจากปากแทฮยองมาจากคนอื่นๆมากมายนัก เขาเป็นผู้ชายที่เก่งและแสนดีที่สุดในสายตาของเธอเสมอมา


                “หืม? คุณไม่เปิดดูหนังสือเลยหรือคะ”


                แฮวอนเงยหน้าไปตามเสียงก็พบว่ซูจองกำลังทำท่าสนใจกับใบคำตอบของเธออยู่ เจ้าของดวงหน้าสวยหวานกะพริบตาปริบๆอย่างไม่รู้ว่าต้องให้คำตอบแบบไหนออกไป จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องอ่านก็ดูจะโอ้อวดมากเกินไปดังนั้นความเงียบจึงเป็นคำตอบของแฮวอน


                “ขอฉันดูหน่อยได้มั้ยคะ” แฮวอนพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตและปล่อยให้ซูจองนำกระดาษที่แฮวอนเขียนคำตอบเกือบครอบทุกข้อขึ้นไปพิจารณา


                ซูจองกวาดตาอ่านคำตอบบนแผ่นกระดาษอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกแรกคือแปลกใจ ซูจองแอบเหลือบมองแฮวอนอีกทีก่อนจะยื่นแผ่นกระดาษคืนให้แก่เจ้าของและเอ่ยปากถาม


                “คุณตอบคำถามได้ดีมากเลยค่ะ และวิธีการตอบของคุณก็เหมือนนักปราชญ์คนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของพ่อฉันเลยค่ะ” ซูจองเว้นจังหวะจะโคนอย่างต้องการเรียกควานสนใจ “คุณคังชอลอดีตปราชญ์จากฟาราเวลคนนั้นน่ะค่ะ คุณเคยได้ยินชื่อเขาหรือเปล่าคะ”

                “เคยได้ยินจากอาจารย์แทฮยองเมื่อวันก่อนค่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะเก่งมากนะคะ” แฮวอนแอบชะงักแต่ก็ไม่ยอมปล่อยพิรุธอะไรออกไป เธอตอบโดยอ้างจากสิ่งที่แทฮยองบอกพลางแกล้งย้อนถาม

                “ค่ะ น่าเสียดายที่เขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย” ซูจองบอกโดยที่เลื่อนสายตาสบกับนัยน์ตาสีอ่อน แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มแต่แววตาเธอเกือบจะแข็งกระด้าง “ถ้าไม่อย่างนั้นเขาคงทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินการ์ดิเนียได้อีกมากมายเลยล่ะคะ”

                “งั้นเหรอคะ แต่อาจารย์แทฮยองบอกว่าเขาเสียชีวิตแล้ว” แม้จะอยากเอ่ยปากถามซูจองมากเพียงใด แฮวอนก็เลือกที่จะนิ่ง คำสอนสุดท้ายของพ่อคืออย่าเชื่อใจใครง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาของเจ้าแผ่นดิน ลูกหลานของเหล่าเสนาธิการ หรือแม้กระทั่งมหาจักรพรรดิก็ตาม


                “อย่าได้เชื่อใจใคร จนกว่าเขาจะควักหัวใจให้ลูกดู บนโลกใบนี้คนที่ลูกเชื่อใจได้ถือเป็นคนมีค่าของลูกทั้งนั้นแฮวอน”

     





                วิหารปฐพี วารี วาโยและเตโชเป็นสถานที่สำหรับเรียนเวท นักเรียนแต่ละปราสาทจะถูกคละรวมกันและแบ่งแยกตามธาตุประจำตัว ครั้งนี้เป็นคาบเรียนแรกเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ววิชานี้ยังไม่เปิดสอน แฮวอนเข้าแถวที่เป็นเส้นทางมุ่งเข้าสู่วิหารวารีเวท


                วิหารที่มองดูเผินๆเหมือนถูกสร้างจากน้ำตั้งอยู่ใกล้ๆกับวิหารดินสีน้ำตาลและวิหารสีเงินของวาโยเวท ส่วนวิหารของเตโชเวทที่ก่อด้วยอิฐสีแดงมอญนั้นถูกตั้งไว้ริมสุด สิ่งก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์ถูกสร้างไว้ตามแนวครึ่งวงกลมที่สามารถมองเห็นทุกวิหารได้ แฮวอนได้แยกจากซอนโฮที่มีธาตุประจำตัวคือดินและไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายที่แฮวอนไม่เจอคนรู้จักสักคน


                คุณมุนอาเป็นภูตในวิหารวารีเวทซึ่งถือเป็นอาจารย์ของนักเรียนทุกคน น้ำเสียงของเธอฟังดูเลื่อนลอยและนุ่มนวลราวกับสายน้ำ ร่างบางสูงระหงส์คลุมด้วยอาภรณ์สีฟ้า รัดเกล้าที่มีวงแหวนลายเส้นอ่อนช้อยโอบล้อมพลอยอะความารีนสีฟ้าอ่อนถูกประดับเหนือหน้าผากกลมเกลี้ยง


                “ทำไมสอนยากจัง” เสียงบ่นพึมพำจากผู้หญิงร่างสูงโปร่งที่ยืนข้างๆทำให้แฮวอนอดเหลือบมองเธอไม่ได้


                คนที่ยืนข้างๆเป็นนักเรียนจากบราวน์ดัชเชส ข้อมือเล็กที่โผล่พ้นเครื่องแบบนักเรียนมีกำไลสีทองวงเล็กประดับอยู่หลายวงบ่งบอกฐานะของเธอได้เป็นอย่าง แฮวอนอดตาโตไม่ได้กับเครื่องประดับราคาสูงอย่างนั้น แต่คงเพราะเสียมารยาทนานไปหน่อยคนถูกมองเลยหันมาถาม


                “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

                “อ่อ เปล่าคะ”

                ผิดคาดไปหน่อยที่นักเรียนจากบราวน์ดัชเชสไม่ได้มีท่าทีตำหนิแฮวอนทั้งยังหันมาถามด้วยหน้าตาท่าทางเหลอหลาต่างจากที่แฮวอนนึกเอาไว้

                “อ่า ฉันชื่อคิมโดยอนนะ แล้วเธอล่ะ”


                แฮวอนเองก็แนะนำตัวตามมารยาท ดูเหมือนเพื่อนต่างบ้านคนนี้จะนิสัยดีพอใช้ได้ โดยอนไม่ค่อยเหมือนกับชนชั้นขุนนางทั่วไปที่มักจะมองเหยียดคนที่ชนชั้นต่ำกว่า แฮวอนและโดยอนกระซิบกระซาบกันต่ออีกสองสามคำก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับคุณมุนอากำลังอธิบายการใช้พลังธาตุเพื่อดึงเวทออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน


                “อย่างแรกพวกคุณต้องทำใจให้สงบ ปล่อยใจปล่อยกาย ลองจินตนาการว่าตัวเองคือสายน้ำและค่อยๆดึงน้ำรอบตัวออกมาสร้างบาเรีย” น้ำเสียงหวานใสบอก มือเล็กผายออกมาด้านหน้าพร้อมๆกับสายน้ำที่รวมตัวขึ้นมาก่อเป็นบาเรียสีฟ้าอ่อนตรงหน้า วงกลมขนาดฝ่ามือค่อยๆขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆจนมันตีวงรอบทุกคนในวิหารก่อนจะกลับไปเป็นน้ำในวิหารตามเดิม


                ดวงตากลมกลอกมองทุกอย่างสนอกสนใจ แม้จะเห็นกับตาว่าคุณมุนอาสร้างบาเรียจากน้ำขึ้นมาครอบตัวทุกคนเอาไว้แต่กลับไม่มีใครคนไหนที่สัมผัสกับความเปียกชื้นเลยสักนิด




                กว่าจะออกจากวิหารวารีเวทได้ก็เล่นเอาแฮวอนหอบแฮ่ก คุณมุนอาที่ดูเหมือนใจดีแท้จริงแล้วค่อนข้างเคี่ยว เธอต้องการให้นักเรียนทุกคนทำให้ได้ตั้งแต่ในชั่วโมงจะได้ไม่มีปัญหาตอนสอบไล่ งานที่เธอสั่งคือการสร้างบาเรียสองชั้นจากนักเรียนคู่หนึ่ง ซึ่งการควบคุมพลังของแต่ละคนย่อมต่างกันดังนั้นการจะสร้างบาเรียเลยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ


                ถึงแฮวอนจะคิดว่าเหนื่อยแต่สภาพโดยรวมของเธอก็ยังถือว่าดีกว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อย่างโดยอนนั้นเปียกโชกไปทั้งตัว ส่วนแฮวอนนั้นมีแค่เสื้อผ้าที่ชื้นละอองน้ำเล็กน้อยเท่านั้น พอเดินออกมาก็พบเพื่อนคนอื่นๆที่ทยอยออกมาจากแต่ละวิหาร ทุกคนสภาพดูไม่จืดกันทั้งนั้น รอยเขม่าสีดำจากหน้านักเรียนของเรดมอนเนิร์คนั่นเป็นพยานได้


                แฮวอนบอกลาโดยอนก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาซอนโฮที่เพิ่งออกมาจากวิหารธาตุดิน ไม่ทันจะพูดอะไรเธอก็ถูกคนตัวสูงลากไปทางร้านค้าในโรงเรียนที่ขายขนมหวานและของกินเล่นอื่นๆที่ซอนโฮมักรบเร้าแฮวอนให้มาด้วยเสมอ


                “หิวจังแฮวอน จะเอาอะไรมั้ย” ซอนโฮหันมาถามระหว่างที่เขากำลังยืนเลือกขนมอยู่ระหว่างชั้นวางขนม พอเห็นว่าเพื่อนสาวส่ายหน้าให้ซอนโฮก็รีบกวดขนมที่ตนชื่นชอบรวบไว้กับอกก่อนจะเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์หน้าร้าน




                “คุณโทแจน่ะใจดีมากแต่ก็โหดมากเหมือนกัน แต่ละอย่างที่สอนน่ะอย่างกับจะเอาไปทำลายล้างอะไรสักอย่าง” ซอนโอบ่นอุบอิบเรื่องอาจารย์ของวิหารปฐพีเวทก่อนจะกัดขนมปังไส้ครีมเข้าปากอีกคำ “ฝุ่นที่ติดตรงเสื้อเนี่ยก็เพราะเขาสั่งให้ฉันระเบิดดินอ่ะแฮวอน”


                แฮวอนเอาแต่ยิ้มขำกับความงอแงของซอนโฮ มือบางยื่นไปปัดเศษฝุ่นให้อย่างมีน้ำใจ ยิ่งอยู่ใกล้คนเด็กกว่าเธอก็ยิ่งคิดถึงน้องสาวอย่างห้ามไม่ได้  ซอนโฮก็เอาแต่หัวเราะตาหยีลงแฮวอนเลยอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปยีผมสีเข้มของคนตรงข้ามจนไม่เป็นทรง ทุกการการะทำนั่นอยู่ในสายตาของบางคน


                คนจากบลูซีโน่ทั้งคู่เดินเคียงคู่กันและมุ่งหน้าตรงไปยังห้องอาหาร ซอนโฮเอาแต่ชี้ชวนให้แฮวอนดูนั่นนี่ซึ่งอีกคนก็ตอบรับอย่างดี กระทั่งบางอย่างพุ่งกระทบเข้ากับต้นคอนวลเนียนอย่างแรงจนผิวสีขาวขึ้นรอยจ้ำเป็นสีแดง แฮวอนชะงักขาลงทันใดก่อนจะรีบทาบมือลงกับผิวกายที่ได้รับบาดเจ็บ


                “เป็นอะไรไปแฮวอน” ซอนโฮถามอย่างตื่นตกใจ เมื่อสักครู่เขาได้ยินเสียงร้องจากแฮวอน ดวงตาสีดำกวาดมองขึ้นลงอย่างเป็นห่วงก่อนจะก้มลงเก็บบางอย่างที่ตกอยู่ใกล้ๆ


                ก้อนหินสีดำสนิทอยู่ในฝ่ามือหนา ไอเวทสีขาวจางไปทันควันจนจับสังเกตแทบไม่ได้ สำหรับคนทั่วไปอาจมองเห็นว่ามันเป็นหินธรรมดา แต่แฮวอนรู้ว่ามันคือหินแซฟไฟร์จากการ์เดียนเมืองหลวงของการ์ดิเนีย หินสีดำสนิทที่หาได้จากป่ากานูลาร์เท่านั้น ดวงตาที่เหลือบสีม่วงชั่ววินาทีหายไปอย่างรวดเร็ว


                “มีคนโยนหินใส่เธองั้นเหรอ” ซอนโฮว่าพลางมองไปรอบตัวในขณะที่แฮวอนเอาแต่ลูบต้นคอตัวเองป้อยๆ ใบหน้าหวานแสดงความสงสัยออกมาเต็มที่แม้ในใจจะคิดสวนทางกัน และไม่ได้รู้เลยว่าสัตว์มีพิษตัวเล็กกระโดดผลุบหายไปหลังจากที่มันฝังรอยเขี้ยวเอาไว้กับตัว


                ดีแล้วที่ฉันยอมเจ็บตัว แต่ว่าคนที่แอบอยู่ตรงนั้นต้องการอะไรกันแน่…ซูจองอยากรู้หรือว่าเธอจะรู้อะไรเกี่ยวกับฉันหรือเปล่า






                “ทาอีกไม่เกินสองรอบรับรองว่าหายแน่” ซึลบีที่นั่งอยู่ด้านหลังว่า นิ้วเรียวเกลี่ยเนื้อยาสีขาวจนทั่วก่อนจะส่งกระปุกยาให้แฮวอน

                “ขอบใจนะ”

                “แล้วตกลงมีคนจงใจขว้างหินใส่แฮวอนเหรอ” อูจินที่แฮวอนบอกว่าเหมือนลูกหมีถามบ้าง เขาเอนตัวมาด้านหน้าและยื่นใบหน้าน่ารักมาระหว่างเก้าอี้ของแฮวอนและซอนโฮ

                “ไม่หรอก อาจจะแค่อุบัติเหตุล่ะมั้ง” แฮวอนแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ทั้งๆที่เธอรู้ดีว่าตอนเย็นมันเกิดอะไรขึ้น ตั้งแต่ก้าวเท้าออกจากร้านขนมเธอก็สัมผัสได้ว่ามีดวงตาบางคู่จับจ้องเธอมาตลอดทาง กระทั่งก้อนหินนั่นกระแทกเข้ากับต้นคอเธอ


                ยอมรับว่าเจ็บไม่น้อยแต่ก็ดีกว่าปล่อยไก่ให้อีกฝ่ายจับทางได้ แฮวอนไม่รู้ว่าซูจองต้องการอะไรจากเธอหรือไม่ สิ่งที่ซูจองว่ายังรบกวนจิตใจเธอ หายสาบสูญ? พ่อของแฮวอนหายไปตั้งแต่สิบปีก่อนและเธอรู้ดีว่าเขาเป็นยังไง จอมเวทและนักปราชญ์คนนั้นไม่ได้มีลมหายใจบนโลกนี้ต่อไปอีกแล้วเพราะแฮวอนเห็นเองกับตา ถ้าจะให้พูดตามจริงคือแม่กับเธอ ส่วนแชยองนั้นน้องยังเด็กจนลืมเลือนเรื่องราวแสนเลวร้ายไปแล้ว ซูจองทำเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแต่ผู้หญิงที่เหมือนใสซื่อแต่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแบบนั้นไว้ใจไม่ได้


                 “เอาล่ะทุกคน มาครบกันแล้วใช่มั้ย” ประธานหออย่างซองอูถามขึ้น ตอนนี้ทุกคนในบลูซีโน่อยู่ในห้องประชุมชั้นใต้ดินเนื่องจากงานสถาปนาการ์ดิเนียที่จะจัดขึ้นเร็วๆนี้


                เก้าอี้ในห้องประชุมถูกจัดรูปแบบให้เป็นครึ่งวงกลมทำให้ทุกสามารถมองเห็นสมาชิกในห้องได้ ซองอูยืนอยู่ตรงกลางห้องในขณะที่อาจารย์อย่างแทฮยองนั่งอยู่อีกด้านเพื่อเข้าร่วมการประชุมของเด็กในปราสาท


                 “อย่างแรกบลูซีโน่ได้รับมอบหมายให้ดูแลการจัดระเบียบพิธีการและการส่งสาส์นเทียบเชิญทุกรัฐ” ซองอูทำหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลจากการประชุมด่วนครั้งที่แล้วให้แก่สมาชิกในปราสาท การดูแลรักษาความปลอดภัยเป็นของแบล็คเวอร์เลต ขณะที่บราวน์ดัชเชสดูแลเหล่าราชนิกูล ฟาทูเร่และดาเรียนจะได้รับการรับรองอย่างดีจากไวท์ดิเวลเลอร์ และสุดท้ายเรดมอนเนิร์คมีหน้าที่จัดการเรื่องสถานที่ นึกถึงตรงนี้ซองอูก็แอบขำที่ฮวังมินฮยอนทำหน้าเหลอหลาหลังจากที่ผู้อำนวยการแจงรายละเอียดในกการทำงานใหญ่ครั้งนี้ ในขณะที่คิมจงฮยอนและอิมนายองก็หยุดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน


                 “จากที่ปรึกษาอาจารย์แล้วนักเรียนชั้นปีที่สามและสี่จะจัดการเรื่องระเบียบพิธีการ ลำดับขั้นการแสดงในวันงาน นักเรียนชั้นปีที่สองทำหน้าที่ส่งสาส์น ส่วนนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งจะรับผิดชอบเรื่องการประสานงานกับทุกฝ่าย”


                เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ซองอูพูดจบก่อนที่จองเซอุนจากชั้นปีที่สามจะยกมือขึ้นถาม


                 “แล้วเรื่องการประลองเวทล่ะครับรุ่นพี่ เราจะส่งใครไปเป็นตัวแทน”

                 “นี่แหละที่จะเป็นคำถามข้อต่อไป” ซองอูว่าต่ออย่างอารมณ์ดี เขาฉีกยิ้มทะเล้นแล้วกวาดมองเพื่อนและรุ่นร้องทั่วห้อง “อย่างที่รู้ๆกันว่าแต่ละปีโรงเรียนจะจัดประลองเวทขึ้นในวันครบรอบโรงเรียน แต่ละปราสาทต้องส่งตัวแทนสองคนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน และแน่นอนว่าผมจะถามความเห็นของทุกคน เอาล่ะ เสนอมาได้เลย”


                นี่เป็นข้อดีอีกข้อที่แฮวอนนึกชื่นชมบลูซีโน่ พวกเขาไม่ค่อยแบ่งแยกพรรคพวกและชิงดีชิงเด่น ยึดเอาความเห็นและประโยชน์ส่วนมากเป็นหลัก


                “ก็ต้องรุ่นพี่สิคะ”

                “องซองอู!”


                และเสียงอีกหลายคำที่ดังขึ้นแต่มติก็เป็นเอกฉันทน์ที่เทคะแนนไปทางซองอูจนเจ้าตัวยกมือลูบท้ายทอยเก้อๆอย่างแกล้งทำ เขาเองก็มั่นใจอยู่แล้วเพียงแต่ถามเป็นพิธีเฉยๆ ถึงจะเป็นประธานหอแต่นิสัยโดยส่วนตัวแล้วซองอูเป็นคนขี้เล่น ตลกและมั่นใจในตัวเองสูง และยิ่งคนในปราสาทสนับสนุนเขาขนาดนี้ก็ยิ่งพอใจไปกันใหญ่


                “ได้ยินอย่างนี้ก็แล้วก็รู้สึกอิจฉาตัวเองหน่อยๆแหะ” ซองอูว่าแล้วหัวเราะชอบใจก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วตัวแทนอีกคนล่ะ…ถ้าอย่างนั้นผมจะเสนอได้มั้ย”


                เมื่อไร้เสียงปฏิเสธซองอูก็พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินตรงไปยังเก้าอี้แถวรองสุดท้าย สายตาของคนในบลูซีโน่มองตามประธานหอเป็นตาเดียวจนกระทั่งขายาวหยุดตรงหน้าหญิงสาวที่เผลอเบิกตากว้างเพราะไม่เข้าใจความคิดของซองอูเป็นที่สุด


                รุ่นพี่มาหยุดอะไรตรงหน้าฉันคะ?!!แฮวอนเกือบจะโพล่งถามไปแล้วถ้าซองอูไม่ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน


                “แฮวอนน้องรัก อยากจะไปแข่งกับพี่มั้ยจ๊ะ”

                “ฉัน…ไปเป็นน้องรักพี่เมื่อไหร่คะ”


                หลังจากประโยคคำถามนี้หลุดออกจากปากแฮวอนทั้งห้องก็ดูจะตกอยู่ในบรรยากาศของห้วงสุญญากาศจนกระทั่งเสียงหัวเราะก๊ากจากอูจินดังขึ้นเท่านั้นแหละ คนในห้องประชุมก็หัวเราะครืนตามกันเป็นแถว ส่วนซองอูที่เหมือนถูกหักหน้าก็ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วตบหลังแฮวอนดังตุบๆแล้วแสร้งว่า


                “แหม ดีใจใช่มั้ยเนี่ย ไม่ต้องแกล้งถามพี่แบบนี้ก็ได้นะ” คนเป็นรุ่นพี่บอกแล้วหันไปถามความเห็นจากแทฮยองที่เกือบจะหลุดขำตามคนในห้อง “อาจารย์เห็นด้วยใช่มั้ย…เอ่อ ครับ เอาล่ะ จบการประชุมได้ ส่วนแฮวอนหลังเลิกเรียนพรุ่งนี้เราต้องมาฝึกกันนะ พี่จะรอที่สนามหลังปราสาท” ซองอูเกือบยั้งปากไม่ทัน เขาเกือบจะลืมให้ความเคารพคนเป็นอาจารย์เนื่องจากเขากับแทฮยองเป็นเพื่อนเล่นกันตั้งแต่สมัยเด็ก จะผิดที่อีกคนเก่งเกินหน้าเกินตา จากเพื่อนเลยกลายเป็นอาจารย์อย่างทุกวันนี้ พูดจบซองอูก็เดินตัวปลิวออกห้องไปคนแรกทิ้งให้แฮวอนกะพริบตาปริบๆกับเรื่องใหญ่ที่โถมเข้ามาไม่ทันได้ตั้งตัว






                “ถ้าทำไม่ได้ฉันจะไม่ปล่อยให้ไปกินข้าว”

                “โห้ รุ่นพี่คะมันไม่เกินไปเหรอ”


                เสียงโอดครวญจากแฮวอนไม่ได้ทำให้ซองอูใจอ่อนสักนิด ร่างสูงยืนกอดอกอยู่ริมตลิ่งในขณะที่แฮวอนต้องทรงตัวบนผืนทะเลสาบและยิงกระสุนน้ำให้ได้ระยะห่างอย่างน้อยสิบเมตร เธอก็เพิ่งจะรู้ว่าซองอูมีสองร่าง หนึ่งคือผู้ชายขี้เล่นและตลกโปกฮา ส่วนที่สองคือผู้ชายที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแถมยังใจแข็งเหมือนกับหิน เขาต้องการให้แฮวอนดึงเอาจุดแข็งออกมาใช้และปรับจุดอ่อนของตัวเอง


                การประลองเวทที่เธอถูกมัดมือชกให้เข้าร่วมจะถูกจัดในสนามเขาวงกตที่จะถูกเนรมิตขึ้น ตัวแทนแต่ละปราสาทจะได้เริ่มต้นในจุดที่ต่างกันและเส้นทางแต่ละเส้นจะถูกดูแลและมีบททดสอบจากอาจารย์ทรงคุณวุฒิของพาราเดียซึ่งว่ากันว่าแต่ละอย่างโหดหินทั้งนั้น ซองอูอยากจะเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้เหลือเกินเนื่องจากบลูซีโน่ไม่ได้ครอบครอบถ้วยรางวัลมาเกือบสิบปี เขาในฐานะประธานหอก็อยากจะนำความภาคภูมิใจมาสู่ปราสาทและนี่ก็เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิตนักเรียนของเขาแล้ว


                “ทำต่อไปแฮวอน”


                แฮวอนถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบรวมสมาธิอีกครั้ง คราวนี้เธอปล่อยใจและกายตามหลักคำสอนในวิชาวารีเวท ฝ่าเท้าแตะลงบนผืนน้ำที่สงบนิ่ง ไร้แรงกระเพื่อมอย่างก่อนหน้า จิตใจจดจ่อกับมวลน้ำจนสายน้ำที่ถูกดึงขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อนและเพียงผลักฝ่ามือออกไปมันก็กระดอนห่างออกไปหลายช่วงตัว


                ซองอูที่ยืนอยู่บนฝั่งอดตาโตไม่ได้เมื่ออยู่ๆแฮวอนก็ยิงกระสุนน้ำออกไปมากกว่าระยะที่เขากำหนดไว้ซะอีก การฝึกของเธอดูก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ เด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเรียนได้ไม่ถึงเดือนจะเก่งกาจถึงขนาดนี้เลยหรือ รึว่าแฮวอนจะไม่ธรรมดาอย่างที่เขาคาดไว้ เขาน่ะสงสัยตั้งแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและแดเนียลแล้ว แต่ไอ้เพื่อนหน้าหมีน่ะไม่ยอมปริปากอะไรสักอย่าง งั้นก็ได้ซองอูจะค้นหาคำตอบเอง


                สำหรับเขาน่ะแฮวอนเหมือนไพ่ตายของบลูซีโน่ คนจากชนชั้นกลางที่ได้เข้ามาอยู่ร่วมกับนักปราชญ์ ความสามารถเรื่องเรียนที่เริ่มเป็นที่พูดถึงกันในหมู่นักเรียน และการใช้เวทได้ดีกว่าคนรุ่นเดียวกันนั่นอีก การแข่งขันตานี้ดูเหมือนพอเห็นชัยชนะแล้วล่ะสิ




                “ขอบคุณค่ะ” แฮวอนบอกหลังจากรับขวดน้ำที่ซองอูยื่นให้ ทั้งคู่กำลังเดินไปยังห้องอาหารเพื่อรับประทานมื้อเย็นกันอย่างทุกวัน

                “เธอมาจากไหนนะแฮวอน วิลโลว์?” ซองอูเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนซึ่งแฮวอนที่เพิ่งดื่มน้ำไปก็พยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ “แล้วรู้จักกับแดเนียลด้วยเหรอ ที่ฉันเห็นพวกเธอยืนคุยกัน”

                “ทำไมเหรอคะ หรือว่า…” แฮวอนแกล้งย้อนถามทั้งยังเอียงคอทำเหมือนสงสัย “หึงเหรอคะ”

                “บ้า! พูดอะไรของเธอฉันจะไปหึงทำไมล่ะ เราเพิ่งรู้จักกันเองนะ” ซองอูไปไม่ถูกเลยทีเดียวที่อยู่ๆก็ถูกแฮวอนถามอย่างนั้น เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าหน้าตาน่ารักที่แฝงไปด้วยความสง่างามนั่นอาจทำให้ใครต่อใครหลงเสน่ห์เอาได้ง่ายๆ เขาจะประมาทแฮวอนไม่ได้แล้ว

                “ฉันหมายถึงรุ่นพี่กับเพื่อนต่างหากค่ะ” แฮวอนว่าแล้วหัวเราะคิกคัก แอบสะใจอยู่น้อยๆที่ได้เห็นท่าทางตลกๆของซองอู นี่แน่ะ โทษฐานที่หาเรื่องยากๆมาให้เธอทำ

                “นั่นยิ่งกว่าฟ้าผ่าเถอะ!” ซองอูว่าอย่าฮึดฮัด เขาถูกแฮวอนเบี่ยงเบนประเด็นโดยไม่รู้ตัวซะแล้วในขณะที่แฮวอนเอาแต่ยิ้มขำก่อนจะใช้โอกาสนี้ถามเรื่องที่ตนอยากรู้

                “รุ่นพี่คะ ทะเลสาบหลังปราสาทเราน่ะค่ะมันเป็นสถานที่สำหรับอะไรหรือเปล่า”

                “ก็ไม่นะ” ซองอูตอบหลังจากทำท่าครุ่นคิดชั่วครู่ “ก็แทฮยอง เอ่อ อาจารย์แค่บอกว่าอย่าลงไปเล่นลึกๆแค่นั้นแหละ เขาว่าข้างใต้นั้นเป็นที่อยู่ของเหล่าเงือกและพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นมิตรกับมนุษย์เราเท่าไหร่”

                “งั้นเหรอคะ” แฮวอนรับคำเสียงเบา แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าที่นั่นมีอะไรมากกว่านั้นล่ะ ข้างใต้นั่นจะมีแค่เงือกหรือว่าจะมีอะไรอย่างอื่นที่ซ่อนเอาไว้หรือไม่

     





                อีกสองสามวันหลังจากนั้นอาจารย์และนักเรียนจากฟาทูเร่และดาเรียนก็เดินทางมาถึงพาราเดีย ทางโรงเรียนได้จัดปราสาทรับรองไว้ที่ปราสาทใกล้กับประตูทางออกที่หก เด็กปีหนึ่งจากบลูซีโน่อย่างแฮวอนเลยได้มีโอกาสนำกำหนดการมาส่งให้คนของดาเรียน ส่วนฟาทูเร่นั้นซอนโฮเป็นคนอาสาไปติดต่อเอง


                มือบางกำห่วงเคาะประตูเพื่อส่งสัญญาณบอกคนข้างในว่ามีผู้มาเยือน ปล่อยมือจากที่เคาะประตูรูปสิงโตเพียงครู่เดียวนักเรียนหญิงจากดาเรียนก็วิ่งออกมาเปิดประตูทันที ทันทีที่เห็นหน้าฝ่ายตรงข้ามจอนโซมีก็โผเข้ากอดแฮวอนทั้งยังเรียกเธอเสียงดัง


                “แชยอง!”


                แฮวอนทำตัวไม่ถูกเมื่อเจอโซมีที่นี่ โซมีเป็นเพื่อนสนิทของน้องสาวเธอเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนที่เธอจะย้ายไปยังเมืองเกิดของพ่อเธอ แชยองมักจะติดต่อกับโซมีตลอดและแน่นอนว่าโซมีต้องรู้แน่ๆว่าแฮวอนไม่ใช่เพื่อนสนิทของตัวเอง


                “…พี่แฮวอน” โซมีชะงักลงหลังจากได้กอดร่างบางตรงข้าม เธอมัวแต่นึกดีใจที่ได้เจอเพื่อนสนิทจนไม่ได้สนใจถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆ กลิ่นกายหอมคล้ายดอกไม้หลากหลายชนิดนี้ไม่ใช่ของแชยองแน่นอน ถ้าหากเป็นได้ไปผู้หญิงตรงหน้าต้องเป็นพี่สาวที่หน้าคล้ายกันของแชยองต่างหาก

                “ใช่ พี่เองไม่ใช่แชยอง” แฮวอนได้แต่บอกอย่างลำบากใจ พอเห็นสีหน้าของโซมีเธอก็ชิงบอกก่อน “พี่จะอธิบายให้ฟัง แต่เธออย่าเพิ่งโวยวายนะโซมี”


                ทั้งคู่เดินเลี่ยงออกจากปราสาทเพื่อพูดคุยกัน แฮวอนเล่าเรื่องที่เกิดกับแชยองและเหตุผลที่เธอมาอยู่ที่นี่ในฐานะนักเรียน โซมีไม่ได้ว่าอะไรแถมยังสัญญาว่าจะปกปิดความลับให้แฮวอนอีกด้วย


                “แล้วตอนนี้แชยองเป็นยังไงบ้างคะ ก็ว่าทำไมเธอไม่ติดต่อมาเลย”

                “ก็ต้องใช้เวลาพักฟื้นสักพักน่ะ ที่แชยองไม่บอกคงกลัวว่าเธอจะเป็นห่วงล่ะมั้ง” แฮวอนบอกก่อนจะหันไปรอบตัว เธอมัวแต่ร้อนใจจนไม่ดูรอบตัว ขณะนี้เธอกับโซมียืนอยู่ในสวนดอกไม้สีสวยที่บานสะพรั่งแต่สิ่งที่แฮวอนสนใจตอนนี้คือประตูไม้บานหนาที่ถูกซ่อนตัวภายใต้ไม้เลื้อยสีทึบที่บดบังประตูจนแทบมองไม่ออกว่ามีประตูอยู่ตรงนั้น


                หรือว่านี่คือประตูทางออกบานที่เจ็ด


                “โซมี เรากลับกันเถอะ เหมือนที่นี่เป็นที่หวงห้ามของโรงเรียน” ทันทีที่แฮวอนนึกออกก็รีบบอกโซมีก่อนจะคว้ามือคนเด็กกว่าหมายจะเดินกลับไปทางเดิมแต่ก็ช้าไปเมื่อร่างสูงก้าวมาขวางทางไว้ก่อน

                “อาจารย์นัมจุน” แฮวอนได้แต่เรียกชื่อเขาเสียงอ่อย คนที่ดูสุขุมตลอดเวลาบัดนี้กลับพบร่องรอยความไม่พอใจในดวงตาสีน้ำตาลเข้ม เขามองเธอสลับกับประตูที่ถูกปิดสนิทเอาไว้ก่อนจะเอ่ยปากถาม

                “คุณแฮวอนมาทำอะไรในพื้นที่หวงห้ามนี่หรือครับ”




    [ต่อ]


     


                “คือว่า…”

                “ฉันเองค่ะที่เดินเข้ามา พอดีคุณแฮวอนเห็นเลยเข้ามาตาม” โซมีที่เห็นว่าแฮวอนหาคำตอบให้นัมจุนไม่ได้รีบแก้ต่างให้พี่สาวเพื่อน “ขอโทษด้วยนะคะ พอดีฉันไม่ทราบว่าที่เป็นเป็นส่วนต้องห้ามของพาราเดีย”

                “คุณ?” เหมือนนัมจุนจะเพิ่งสังเกตว่ามีหญิงสาวอีกคนอยู่ข้างแฮวอนด้วย เขาถามสั้นๆพลางกวาดตามองโซมีในเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนตุ๊กตาและกระโปรงผ้าชีฟองสีชมพูอ่อน ดอกไลเซนทัสสีเดียวกับชุดประดับไว้ตรงมวยผมซึ่งนั่นทำให้นัมจุนรู้ว่าเธอคือนักเรียนของดาเรียน

                “ฉันชื่อจอนโซมีค่ะ เป็นนักเรียนของดาเรียน ขอโทษอีกครั้งนะคะที่เสียมารยาท”

                “ครับ แต่อย่าให้มีครั้งหน้านะครับ ทุกคำสั่งย่อมมีความหมาย คุณคงเข้าใจดีและผมหวังว่าจะไม่เห็นคุณที่นี่อีกนะครับ” แม้นัมจุนจะไม่ได้ระบุชัดเจน แต่แฮวอนกลับรู้สึกว่าเขาเน้นย้ำคำสั่งนั้นกับเธอ






                หลังจากแยกกับโซมี แฮวอนก็ต้องรีบกลับไปซ้อมเวทกับซองอูต่อ สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบ เธอรู้ฤทธิ์ของรุ่นพี่ดีหลังจากที่ได้ใช้ทำความรู้จักซองอูมากขึ้น เขาน่ะไม่ต่างจากปีศาจเลย รอแค่มีเขี้ยวกับหางโผล่มาเท่านั้นแหละ แต่วินาทีหนึ่งแฮวอนกลับรู้สึกหน้ามืดและเวียนหัว ภาพที่เคยเห็นชัดเจนกลับพร่ามัวอย่างไม่มีสาเหตุ จากที่เร่งความเร็วเต็มที่แฮวอนก็ต้องชะงักลงและทาบมือลงกับผนังใกล้ตัวเพื่อประคองร่างเอาไว้


                “คุณแฮวอน”


                ดวงตากลมกะพริบอย่างเชื่องช้าเพื่อมองคนตรงหน้า ตอนนี้แม้แต่เสียงแฮวอนยังแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร ใช้เวลาครู่หนึ่งเธอถึงได้เห็นว่าเป็นแทฮยอง เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับซูจอง


                “คุณไม่สบายงั้นเหรอ”

                “งั้นมั้งคะ อยู่ๆก็หน้ามืดน่ะค่ะ” แม้แต่เสียงที่เปล่งออกไปยังฟังแหบแห้งน่าใจหาย แฮวอนเริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติในร่างกายตัวเอง

                “เดี๋ยวผม…”

                “แทฮยอง เราต้องรีบไปได้แล้วนะ” ซูจองเอ่ยแทรกขึ้น เธอตวัดสายตามองคนที่ใบหน้าซีดขาวก่อนจะออกปากเร่งแทฮยองอีกครั้ง “เดินไปอีกนิดก็ถึงเรือนพยาบาลแล้ว คุณแฮวอน คุณดูแลตัวเองได้ใช่มั้ยคะ”

                แฮวอนรู้ว่าซูจองทำทีเป็นถามเท่านั้น เธออยากจะดึงแทฮยองให้ออกห่างจากเธออย่างแน่นอน หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะรับคำ

                “ค่ะ ฉันไปเองได้ ขอตัวนะคะ” แฮวอนบอกแล้วฝืนพาร่างที่ใกล้จะหมดแรงเดินออกไป


                แทฮยองมองตามนักเรียนของตนเงียบๆก่อนจะถูกซูจองดึงแขนให้ตามไปอีกทาง จุดหมายของพวกเขาคือห้องประชุมที่อยู่สูงที่สุดของปราสาทหลัก


                ประสาทสัมผัสของแฮวอนทำงานได้เชื่องช้าลงทุกที เธอก้าวเดินช้าๆและเกือบทรงตัวไม่อยู่จนสุดท้ายร่างกายก็ปิดการรับรู้ไปโดยปริยาย มีเพียงเสียงสุดท้ายที่แล่นเข้าสู่โสตประสาทก่อนที่โลกของแฮวอนจะดับวูบไป


                “แฮวอน!!”






                แฮวอนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เธอพลาดมื้อค่ำและการซ้อมเวทกับซองอู หลังจากพยุงตัวให้ลุกขึ้น ดวงตาสีอ่อนก็กวาดมองรอบตัว มันเป็นห้องนอนที่ตกแต่งด้วยโทนสีขาวดำ อาจจะเป็นหอพักหนึ่งใดหอพักหนึ่งในโรงเรียนแต่ไม่ใช่บลูซีโน่อย่างแน่นอน ยังไม่ทันขยับเขยื้อนตัวไปมากกว่านี้ ประตูบานหนึ่งก็ถูกผลักเจ้ามาตามด้วยร่างสูงที่เป็นเจ้าของห้อง


                “แดน…” สรรพนามที่เคยชินหลุดออกจากปากของแฮวอน

                “แฮวอน เป็นยังไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นหรือยัง” แดเนียลขยับเข้ามาหาเพื่อนเก่าอย่างรวดเร็ว เขาทิ้งตัวนั่งบนที่นอนก่อนหมายจะทาบมือกับหน้าผากมนเพื่อเช็กอุณหภูมิให้แต่แฮวอนกลับถอยหนีเมื่อพึงระลึกได้ว่าแดเนียลไม่ใช่เพื่อนเธออีกต่อไป

                “ฉันจะกลับหอ”

                “เดี๋ยวก่อน ให้ฉันแน่ใจก่อนว่าเธอจะไม่เป็นลมอย่างตอนเย็นอีก” แดเนียลทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับอาการหมางเมินนั้น เขาฉวยข้อมือบางไว้ก่อนจะแตะมืออุ่นร้อนของตนเข้ากับหน้าผากของแฮวอน

                “ไม่ต้องทำดีกับฉัน เราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน”

                “แฮวอน ฉันขอโทษ” ประโยคเฉยชานั่นทำแดเนียลใจแกว่ง สำหรับเขาแฮวอนคือเพื่อนที่ดีที่สุดเสมอมา “มีทางไหนที่เธอจะยกโทษให้ฉันได้มั้ย ไม่ต้องกลับมาเป็นเพื่อนกันก็ได้ แค่อย่าเกลียดกันได้หรือเปล่า”

                “อย่าเกลียด?” แฮวอนทวนคำนั้นด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเยาะเย้ย “เอาชีวิตพ่อฉันคืนมาสิคังแดเนียล! เอาชีวิตคนที่พ่อนายฆ่าคืนมาสิ!!” ความสงบนิ่งของแฮวอนพังลงเมื่อกำปั้นเล็กๆปรี่เข้าทุบตีแดเนียลอย่างเหลืออด เพียงแค่นึกน้ำตาก็พาลจะไหล เหตุผลที่เธอเกลียดแดเนียลก็คือพ่อของเขาเป็นคนคร่าชีวิตพ่อของเธอไป แฮวอนเห็นเองกับตา เธอจำได้ว่าร้องไห้คร่ำครวญแทบตายเพื่อร้องขอให้เขาไว้ชีวิตพ่อ และที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือแดเนียลเป็นคนที่พาพ่อตัวเองมาฆ่าพ่อของเธอ

                “ไม่มีเรื่องไหนลบล้างสิ่งที่ครอบครัวนายทำกับฉัน แม่ฉัน น้องฉันได้หรอกจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง ตลอดมาฉันไม่คิดแก้แค้นแต่การเจอหน้านายฉันก็ชักไม่มั่นใจว่าความคิดนั่นจะยังเป็นแบบเดิมหรือเปล่า” แฮวอนบอกเสียงเย็นพลางแค่นยิ้มทั้งที่หัวใจแทบแตกเป็นเสี่ยง เสียงกรีดร้องตอนที่พ่อโดนปลิดชีพยังฝังในหัว เธอร้องไห้แทบเป็นแทบตายแต่คนจากปราการฟีเรนเซ่ก็ไร้ความปรานี


                คนตัวโตกว่าได้แต่ก้มหน้า ไร้คำแก้ตัว เขาไม่ปัดป้องปล่อยให้มือเล็กประทุษร้ายตามอำเภอใจ สิ่งที่เขาได้รับตอนนี้มันเทียบกับเรื่องของแฮวอนไม่ได้สักเสี้ยวเดียว ความไร้เดียงสาตอนเด็กทำให้เขานำทางพ่อของตัวเองไปสังหารคนสำคัญของเพื่อนสนิท


                “ถ้าหากพ่อฉันไม่ได้ลมหายใจคืน ก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะยกโทษให้” แฮวอนบอกหลังจากหยุดหายใจ ร่างสะบัดผ้าห่มหนานุ่มออกก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง เธอจะไม่อยู่กับแดเนียลต่อ แม้จะไม่รู้ทิศทางแต่การเห็นหน้าเขารั้งแต่จะสร้างความเจ็บปวดจากแผลเก่าอยู่ซ้ำๆ

                “เดี๋ยวฉันจะพาไปส่ง หอของแบล็คเวอร์เลตซับซ้อน คนนอกไม่มีทางออกไปได้เอง” แดเนียลกล้ำกลืนความรู้สึกหนักอึ้งก่อนจะเดินเข้าไปหาแฮวอนแต่คราวนี้ทั้งคู่ไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวกัน เขาเหลือบมองแฮวอนเล็กน้อยก่อนจะเป็นฝ่ายเดินนำออกไป




                แดเนียลพาแฮวอนมาส่งยังจัตุรัส ไร้คำขอบคุณจากปากหญิงสาวมีเพียงแต่สายตาเย็นชามอบให้เพื่อนเก่าก่อนที่แฮวอนจะหันหลังและเดินมุ่งตรงไปยังปราสาทบลูซีโน่ แต่พอคล้อยหลังแดเนียลไหล่บางกลับลู่ตกลงและถอดถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน อาการประหลาดในร่างกายยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก ไหนจะเรื่องอดีตที่กลับมาสร้างความไม่สบายใจให้อีกครั้ง ตอนนี้แฮวอนแทบอยากจะปิดสวิซต์ตัวเองลง


                ลมพัดบางเบาทำให้ร่างบางกระชับแขนกอดตัวเองให้แน่น เดินต่อได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องชะงักลงทันใดเมื่อหนทางเบื้องหน้าถูกขวางด้วยร่างสูงใหญ่ของแทฮยอง


                “อาจารย์…”

                “คุณหายไปไหนมาคุณแฮวอน ไม่ไปร่วมมื้อเย็น ไม่ไปซ้อมเวท ไม่มีคนรู้ด้วยว่าคุณไปไหน และอีกไม่กี่นาทีหอก็จะปิดแล้วด้วย” แทฮยองรัวคำถามอย่างไม่ได้กลัวว่าคู่สนทนาจะฟังไม่ทัน

                “คือว่าฉันเป็นลมไปค่ะ” แฮวอนเลือกตอบไปตามความจริง “แล้วก็มีคนมาช่วยไว้”

                “คังแดเนียลแห่งแบล็คเวอร์เลต?” แทฮยองลองหยั่งเชิงไป เขาอยากรู้ว่าแฮวอนจะโกหกหรือไม่ ดวงตากลมเหลือบมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะรับคำเสียงค่อย

                “ค่ะ”

                “ถ้าอย่างนี้คุณก็ได้เข้าไปในปราสาทแบล็คเวอร์เลต” แทฮยองพูดตามที่เขาเห็น คนเป็นอาจารย์เห็นว่าแดเนียลเดินนำแฮวอนออกมาจากทางแบล็คเวอร์เลต แม้จะไม่ได้เห็นตั้งแต่ต้นแต่เขาก็พอเดาได้ “แล้วนั่นมันผิดกฎใช่มั้ยครับคุณแฮวอน”

                “แล้วอาจารย์จะทำยังไงคะ จะลงโทษฉันเหรอ” แฮวอนถามกลับเสียงเบา กลัวก็กลัวแต่ตอนนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน

                “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะครับ”

                “แต่ฉันไม่ได้เข้าไปเองนะคะ” เสียงตอบโต้ของแฮวอนฟังดูแผ่วเบาต่างจากทุกทีที่เธอจะพยายามเอาตัวรอดทุกครั้ง แต่คราวนี้แฮวอนกลับตอบอย่างปลงตก “แล้วแต่อาจารย์เถอะค่ะ ถ้าคิดว่าผิดก็ผิด”


                แทฮยองมองคนในปกครองอย่างนิ่งๆ แปลกใจไม่น้อยที่แฮวอนยอมรับผิดง่ายๆ ไม่รู้ว่าพราะใจอ่อนหรืออย่างไรเขาจึงเอ่ยปากในสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของแฮวอน


                “คุณกลับเข้าปราสาทได้แล้วครับ อีกไม่ถึงห้านาทีจะมีการเช็กชื่อแล้ว ส่วนเรื่องของคุณผมจะถือว่าไม่เห็นแล้วกันแต่อย่าให้มีอีกครั้งนะครับ”

                “ค่ะ ขอบคุณนะคะ” รอยยิ้มบางเบาเผยตอบแทนแทฮยอง แฮวอนก้มหัวให้เขาแล้วเดินเลี่ยงออกไป ดวงตาคมเลื่อนมองตามแผ่นหลังบอบบาง กลิ่นใบสนลอยตามลมมาจนคิ้วเข้มขมวดพันกันยุ่ง ทำไมเขาคลับคล้ายคลับคลาว่ากลิ่นนั่นเป็นพิษของอสรพิษตัวน้อย แมงมุมจากป่าสนไทน์ควอเขตที่ถือเป็นพื้นที่ลึกลับอีกแห่งของการ์เดียน พิษเพียงเล็กน้อยของมันจะก่อให้เกิดการทำงานผิดปกติของร่างกาย ในช่วงแรกอาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงแต่นับจากสิบห้าวันให้หลังคนที่โดนพิษไปไม่เคยมีผู้ใดรอดชีวิตสักราย

                “ดาร์กซักกิ้ง…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”




    Let's talk  with me

               ทำไมพ่อคุณแดนใจร้าย น้องจะเกลียดก็ไปม่แปลกหรอกเนอะ ชิชะ ส่วนคุณซูจองนี่นัดตบได้ป่าว พี่แทเขาห่วงฉันก็อย่ามาอิจฉาสิเว้ย อ้าวๆ เริ่มใจอ่อนให้น้องแล้วเหรอ ไม่มีบทลงโทษใดๆ ไม่เหมือนจกุก (พาดพิงไปนี่จะเสี่ยงโดนตบมั้ยน้อ? อิอิ) อ่ะ ให้เดาว่าน้องจะเป็นยังไงต่อไป พี่แทก็บอกแล้วนะ (แง้ม~ ติด #แฮวอนของกุกวี หน่อยได้ป่าว ขอร้องงงง) ปล.น้องจกุกจะคัมแบคตอนหน้า ช่วงก่อนๆนางมาเยอะแล้ว หมั่นไส้เลยให้พักงานก่อน 555

    07/02/18
    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×