คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : ♦ 20 JUDGMENT ♦
20
♦ JUDGMENT ♦
ห้องประชุมใหญ่ที่สุดของพาราเดียถูกเปิดใช้งานตั้งแต่เช้าตรู่ ประเด็นเรื่องของแฮวอนยังไม่สามารถสรุปได้ มีหลายความคิดที่ขัดแย้งกันไม่จบไม่สิ้น ฝั่งของจุนฮยอกพยามแย้งและชี้ให้เห็นความผิดของแฮวอน ทั้งยังเน้นย้ำเรื่องศัตรูเก่าแก่ของอาณาจักร
การประชุมเคร่งเครียดดำเนินไปจนกระทั่งเสียงโหวกเหวกโวยวายของฝูงชนดังขึ้น เสียงตะโกนอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากเบื้องล่างของปราสาท
“นั่นเสียงเอะอะโวยวายอะไรกัน”
“ของนักเรียนขุนนางชเว” จุนซาที่เพิ่งเดินเข้ามาพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทั้งเน้นย้ำน้ำเสียงเย็นชาไปทางเจ้าของคำถาม “พวกเขาไม่พอใจที่คุณจุนฮยอกมีคำสั่งให้ประหารเพื่อนร่วมโรงเรียน”
“ก็…ก็สมควร เธอเป็นแม่มด” ขุนนางขเวสวนกลับมาอย่างไม่หนักแน่น เขาหวั่นประพึงกับไปรังสีเย็นเยียบของหัวหน้าอัศวิน
“คุณจุนซา ทำไมคุณถึงมาช้านักล่ะ” จักรพรรดิเอ่ยถามอย่างใจเย็น ทอดสายตามองร่างกำยำในชุดคลุมกำมะหยี่สีดำ
“กระหม่อมต้องพาบางคนมาที่นี่ขอรับเลยต้องใช้เวลาเล็กน้อย” ร่างสูงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวหลีกทางให้อีกคนปรากฏตัวและก้าวเข้ามา
ในห้องประชุมเงียบกริบเมื่อคังชอลย่างเท้าเข้ามา ทุกสายตาถูกดึงดูดไปยังอัจฉริยะของการ์ดิเนียที่ทุกคนต่างคิดว่าสิ้นชื่อไปแล้ว ร่างในเสื้อคลุมสีเทาก้าวตรงมา นัยน์ตาสีเปลือกไม้ฉายแว่วนิ่งสงบ เขาไม่ได้สนองการปฏิกิริยาตอบรับของคนอื่นๆ ฝีเท้าแสนมั่นคงหยุดลงเมื่อคังชอลก้าวมาตรงหน้าของจักรพรรดิ
“คุณ…คังชอล”
“กระหม่อมเองขอรับฝ่าบาท” เสียงทุ้มว่าก่อนจะค้อมศีรษะให้ความเคารพลงครั้งหนึ่ง
“นี่คุณยังไม่ตายรึ แล้วที่ผ่านมาคุณหายไปไหนมา” มหาจักรพรรดิถามอย่าสงสัย ร่างสูงวัยค่อยๆก้าวลงมาอดีตข้าบาทคนสนิท เขารอฟังคำตอบของอีกฝ่ายอย่างจดจ่อ
“กระหม่อมมีเหตุผลฝ่าบาท มีคนปองร้ายต่อตัวกระหม่อมและครอบครัว กระหม่อมถึงต้องหายไปและปกปิดเรื่องคนในครอบครัว” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับไปอย่างราบเรียบและไม่เอ่ยพาดพิงชายร่างท้วมที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ถัดรองลงมาจากเก้าอี้ของจักรพรรดิ
“ใครกัน”
“กระหม่อมไม่ขอเอ่ยดีกว่า แต่วันนี้กระหม่อมมาที่นี่เพราะอยากมายืนยันความบริสุทธิ์ของลูกสาวของกระหม่อม”
“คุณหมายถึง?”
“แฮวอนเป็นลูกสาวคนโตของกระหม่อม คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั่นแหละขอรับ กระหม่อมยอมรับว่าลูกสาวกระหม่อมเป็นแม่มดจริงๆ” ประโยคนั่นเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนที่อยู่ในโถงประชุม ทว่าคังชอลยังคงความสุขุมไว้ตามเดิม เขาเอ่ยถ้อยคำที่เรียบเรียงมาอย่างหนักแน่น “อันที่จริงแล้วเรียกว่าทั้งเชื้อสายของกระหม่อนดีกว่า เราสืบเชื้อสายมาจากฝ่ายเมอร์ลิน ฝ่าบาทเองก็คงเคยได้ยินชื่อของมาร์คัสและเมอร์ลินใช่หรือไม่”
“ฝ่ายเราตัดขาดจากมาร์คัสและถูกสาปให้พลังในตัวหายไป จะยกเว้นแต่ลูกสาวของกระหม่อมที่สามารถใช้พลังได้”
“…”
“เอาชีวิตกระหม่อมเป็นประกัน เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกชาโดว์แบลงค์แม้แต่น้อย ได้โปรดปล่อยตัวลูกสาวกระหม่อมเถิดฝ่าบาท”
“แต่เธอเป็นภัยร้าย! เธอมีพลัง หากเธอคิดจะเข้ายึดครองการ์ดิเนียเล่าฝ่าบาท” ลูกน้องคนสนิทของจุนฮยอกแย้งขึ้นทันควัน
“เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ! …ในสายตากระหม่อมเธอเป็นเพียงลูกสาวที่น่ารัก สมควรแล้วหรือที่เธอต้องรับโทษกับสิ่งที่เลือกไม่ได้” คังชอลโต้เถียงกลับไป ดวงตาสีเปลือกไม้มองจ้องไปยังผู้ปกครองอาณาจักร “ได้โปรด”
ร่างสูงในเสื้อคลุมเทาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าชายชรา เขาไม่เคยทิ้งศักดิ์ศรีขนาดนี้มาก่อน คังชอลรู้ดีว่าไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้แล้ว เขายอมกล้าออกมาจากปราการฟีเรนเซ่เพื่อปกป้องแฮวอนแม้ว่าเป้าประสงค์ของเขายังไม่สำเร็จดีมากนัก
“…”
“แลกกับการวิธีการวางเขตมนตราไปตลอดกาลของอาณาจักร โปรดปล่อยตัวลูกสาวกระหม่อมด้วยเถอะ”
ผ้าชุบน้ำถูกใช้เช็ดไปตามโครงหน้าหวานและไล่ลงมายังซอกคอและท่อนแขนเรียว สัมผัสชื้นๆนั่นทำให้แฮวอนรู้สึกตัวขึ้นมา พอเห็นอย่างนั้นคังชอลก็รีบประคองร่างบางให้ลุกขึ้นพิงหลังกับพนักเตียง มือหนาลูบเรือนผมสีสวยอย่างเบามือแล้วเอ่ยถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างลูก”
“พ…พ่อ มาได้ยังไงคะ แล้วนี่หนู…” แฮวอนตื่นเต็มตาเมื่อเห็นคังชอล พอหันมองรอบตัวก็เห็นห้องนอนสีขาวไม่ใช่คุกอย่างที่เธอคิด
“ไม่ต้องห่วงแฮวอน ลูกไม่ได้ต้องความผิดข้อหาไหนแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ”
“พ่อเข้าไปแสดงความบริสุทธิ์ของลูกเอง” คังชอลบอกพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “แล้วก็แลกกับการวางเขตมนตราระหว่างการ์ดิเนียและชาโดว์แบลงค์”
“ถ้าอย่างนั้นพ่อจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ ถ้าเขารู้น่ะ” แฮวอนถามเสียงเบา เธอรู้เหตุผลที่คังชอลทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกับกับตัวเองและครอบครัว นอกจากจะปกป้องพวกเธอแล้วเขายังต้องการค้นหาวิธีการวางเขตมนตราที่จะยั่งยืนและใช้ไปได้อย่างถาวร
“ไม่หรอก คนอย่างนั้นไม่ชอบทำอะไรซึ่งๆหน้าหรอก” คังชอลบอก “อีกอย่างเรื่องเขตมนตราพ่อก็ตั้งใจจะใช้ตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งพอหายไปจากอาณาจักรก็ยิ่งทำอะไรง่ายขึ้น พ่อเองก็รอเวลากลับมาเหมือนกัน ถือว่าเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อยแล้วกันเนอะ”
แฮวอนพยักหน้ารับกับคำพูดติดตลกนั้นของพ่อ มือบางสอดจับฝ่ามือของพ่อก่อนจะถาม
“หนูไม่ได้ทำให้พ่อเดือดร้อนใช่มั้ยคะ”
“ไม่เลยสักนิดลูก” ร่างหนาคว้าร่างของลูกสาวมากอดแน่น มือหนาตีเบาๆที่แผ่นหลังเป็นการปลอบประโลม “หนูเป็นคนสำคัญของพ่อ ทุกอย่างที่หนูต้องเจอจะถือว่าเป็นเพราะพ่อก็ได้ พ่อตั้งใจให้หนูมาที่นี่และช่วยพวกเขาจนกระทั่งหนูเกือบตายน่ะ ไม่โกรธพ่อใช่มั้ย”
“ไม่เลยค่ะ หนูเองก็ดีใจที่ได้ทำอะไรแบบนั้น” แฮวอนปฏิเสธพลางส่ายหน้าและถูไถใบหน้ากับบ่ากว้างของคังชอล “มันมีแค่หนูที่ทำได้และหนูภูมิใจกับมันค่ะ”
“นี่สิลูกพ่อ…แฮวอน หนูเป็นที่รักของเพื่อนมากเลยนะ พวกเขาประท้วงคัดค้านโทษของหนู รวมทั้งอาจารย์ของโรงเรียนด้วย”
“งั้นเหรอคะ…”
“อื้อ แล้วก็พ่อคงจะต้องอยู่ที่พาราเดียสักพักเพราะเรื่องการวางเขตมนตรา ส่วนแม่กับน้องอยู่ที่วิลโลว์แล้วนะ” คังชอลว่าพลางโยกตัวไปพร้อมกับคนในอ้อมกอด ทำเหมือนตอนที่แฮวอนยังเด็ก “จะกลับไปหามั้ยหรือจะอยู่ที่นี่ก่อน หนูขาดเรียนไปเกือบเดือนแน่ะ เขาฟ้องพ่อมา”
“พ่อคะ…ถ้าหนูจะไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้วพ่อจะว่าอะไรมั้ย”
แฮวอนผละออกจากอ้อมกอดของคังชอล
ฟังคำอวยพร ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกมาจากปราสาทรับรอง
แต่เมื่อพ้นบานประตูบานหน้าร่างของเพื่อนและรุ่นพี่ก็ปรากฏในกรอบสายตา
“แฮวอน!”
ร่างสูงของซอนโฮวิ่งตรงมาหาเธอก่อนใครเพื่อนแล้วฉวยจับมือบางไว้แน่น
แต่พอเหลือบเห็นใบหน้าของแฮวอน เขาก็รีบเปลี่ยนสรรพนามทันที
“ต้องเรียกว่าพี่สิเนอะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
เรียกเหมือนเดิมก็ได้”
“จะไปจริงๆเหรอ”
โซฮเยถามเสียงค่อยทั้งยังทำหน้าเศร้าจนแฮวอนเอื้อมมือไปขยี้ผมอย่างนึกเอ็นดู
ดวงตากลมเลื่อนมองโซฮเย อูจิน ยูจอง โดยอนก่อนจะไปจบที่ซอนโฮ
“อื้อ
แต่ก็แค่กลับไปอยู่ที่วิลโลว์เอง ใกล้ๆแค่นี้”
“แต่เราคงจะนึกถึงเธอ
เออ คิดถึงพี่มากแน่” ยูจองว่า ส่วนโดยอนก็เออออตาม
ร่างเล็กของเพื่อนจากไวท์ดิเวลเลอร์พุ่งเข้ามาสวมกอดแฮวอนแน่นตามด้วยคนอื่นๆ
แฮวอนต้องใช้เวลาอยู่ที่พาราเดียนานกว่าที่คิดอีกนิด
มือบางไล่ลูบหัวเพื่อนรุ่นน้องคนละทีก่อนจะบอกอย่างเป็นห่วง
“ดูแลสุขภาพแล้วก็ตั้งใจเรียนด้วยนะ”
“สัญญานะว่าจะตอบกลับมาน่ะ”
อูจินถามก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้าจนแฮวอนยิ้มขำและเกี่ยวนิ้วสัญญาว่าตอบจดหมายกลับมาทุกฉบับ
“นอนให้พอ
กินอาหารให้ดีแล้วต้องแต่งตัวสวยๆด้วยนะพี่แฮวอน”
“อื้อ
สัญญาว่าจะทำตามที่บอกหมดเลยนะโดยอน” แฮวอนยิ้มบอกก่อนกางแขน
“มากอดหน่อยเร็วเจ้าลูกหมี มาๆ”
แดเนียลกับซองอูมองภาพนั้นใกล้และปล่อยให้ทั้งหกคนใช้เวลาร่วมกัน
ก่อนที่เขาจะดันให้เพื่อนเข้าไปคุยกับแฮวอนก่อน
“หลอกซะเนียนนะแฮวอน”
ประธานหอของบลูซีโน่ว่าด้วยสีหน้าจริงจัง มือหนาทำท่าจะเขกเข้าที่หัวจนแฮวอนหลับตาแน่น
“ฮึ แต่พี่ขอบคุณมากที่เธอได้มาอยู่ที่นี่”
“รุ่นพี่…”
แฮวอนลืมตาข้างหนึ่งเมื่อมือหนาแตะลงมาที่หัวอย่างนุ่มนวล
ซองอูไม่ได้จะตีอย่างที่เธอเข้าใจ
“ทำให้ปราสาทเราได้รางวัล
คะแนนสะสมเฉลี่ยก็พุ่งขึ้น
ทำให้พี่มีความสุขมากๆกับการใช้ชีวิตปีสุดท้ายในโรงเรียนนี้ ขอบคุณนะแฮวอน”
แฮวอนที่ถูกดึงเขาไปกอดทีหนึ่งทำหน้าตกใจ
แต่สุดท้ายก็กอดซองอูตอบ
“ฉันก็ต้องขอบคุณพี่เหมือนกันที่สร้างประสบการณ์ดีๆในอยู่ที่นี่ให้
ชีวิตในรั้วโรงเรียนครั้งแรกของฉันมีพี่เป็นสีสันเลยนะคะ”
“เหมือนเป็นตัวตลกเลย
แต่ว่ายอมให้ก็ได้” ซองอูคลายอ้อมกอดพร้อมบอกด้วยรอยยิ้มทะเล้น
เขาเลื่อนสายตามองเพื่อนตัวโตที่กำลังตีหน้านิ่งก็หันกลับมาบอกแฮวอนอย่างอารมณ์ดี
“เอาล่ะ พี่จะไปเยี่ยมถึงวิลโลว์แน่นอน ส่วนตอนนี้ไปหาไอ้หมีหน้าบึ้งข้างหลังได้แล้ว”
“ไง
เจ็บอยู่บ้างมั้ย”
แฮวอนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาหลังจากที่ถูกซองอูดันหลังให้เข้ามาหาแดเนียล
ส่วนเขาก็เร่งพาน้องๆคนอื่นกลับไป
“ไม่แล้วล่ะ…แล้วทำไมถึงจะกลับล่ะแฮวอน”
“ก็ฉันไม่เหมือนใครไง”
แฮวอนตอบพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ เธอกำลังแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร
“ไม่ไหวก็บอกมาเถอะ
ไม่ต้องฝืนหรอกนะ” แต่เพื่อนเก่าจับความรู้สึกนั้นได้
พอเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหวานหายไป วงแขนแกร่งก็ดึงแฮวอนมากอด
“ไม่เป็นไรจริงๆแดน
ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเรียนอยู่แล้ว แค่มาแทนแชยองไง” เธอบอกอย่างพยายามรักษาน้ำเสียง
“ถึงว่าพวกเขาจะยอมรับได้ แต่เป็นฉันเองต่างหากที่รู้ดีแก่ใจว่าต่างจากคนอื่น
ฉันไม่อยากแกล้งว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรไงเลยต้องไป อยู่ไกลๆคงจะดีกว่านี้”
“แล้วไม่คิดจะบอกใครเลยหรือไง
ถ้าพ่อฉันไม่บอก ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะกลับวิลโลว์วันนี้”
“ไม่ล่ะ
จากไปเงียบๆคงดีกว่า ฉันไม่อยากร้องไห้อ่ะ นายก็รู้ว่าฉันขี้แยแค่ไหนตอนต้องบอกลา”
แฮวอนว่าอย่างติดตลกจนได้รับแรงกระชับของวงแขนแกร่งคล้ายจะลงโทษที่เธอคิดอะไรแบบนั้น
“แล้วไม่คิดจะบอกลาพวกเขาสักหน่อยเหรอ”
เสียงทุ้มโน้มลงถามใกล้หู “คนที่ยืนมองตรงระเบียงนั่นน่ะ ตั้งสองคนเลยนะแฮวอน”
“ไม่เอา
แต่ฉันฝากนี่ให้พวกเขาด้วย”
เสียงหวานบอกก่อนจะสอดจดหมายสองฉบับใส่เสื้อของแดเนียลและกำชับอีกครั้ง
“เอาให้พวกเขาตอนที่ฉันก้าวออกไปจากที่นี่ ช่วยฉันหน่อยนะแดน”
เกือบเที่ยงคืนในปราสาทบลูซีโน่
ฝีเท้าที่ก้าวเดินเป็นจังหวะกำลังตรงขึ้นไปชั้นสี่ที่เป็นห้องพักของนักเรียนปีหนึ่ง
แทฮยองเปิดประตูของห้องริมสุด แสงไฟสว่างขึ้น ห้องนอนของแฮวอนยังอยู่ในสภาพเดิม
มีเพียงแค่ของบางอย่างที่เธอเอากลับไปด้วย
ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม
มือควานหาจดหมายที่ถูกพับเป็นรูปนกกระเรียนตัวใหญ่ขึ้นมา จดหมายที่แฮวอนฝากมาให้เมื่อหลายวันก่อนเขายังไม่ได้อ่าน
นิ้วเรียวไล้ชื่อตัวเองที่เขียนไว้บนปีกนกกระดาษเบาๆก่อนจะค่อยๆแกะมันออก
ลายมือน่ารักถูกเขียนไว้เป็นระเบียบ แค่อ่านประโยคแรกรอยยิ้มที่หายไปก็จุดขึ้นที่มุมปาก
ที่เขาไม่อ่านเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหว…
ถึงคุณแทฮยอง
คังแฮวอนคงเป็นนักเรียนที่แย่ที่สุดของบลูซีโน่เลยใช่มั้ยคะ
ถึงอาจารย์อย่างคุณจะบอกว่าไม่มีนโยบายให้ลาออกกลางคัน
แต่สุดท้ายฉันก็จากที่นั่นมาอยู่ดี แต่ฉันมีเหตุผลนะคะ
ฉันอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวที่เข้าใจและยอมรับในตัวฉันค่ะ
ฉันรู้นะว่าคุณไม่ได้มองฉันต่างไปจากที่คุณเป็นหรอก แต่ฉันแค่ไม่สบายใจค่ะ
ถึงตอนนี้ทุกคนจะเข้าใจว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาเคยคิด แต่ว่าฉันก็ยังอยากกลับไปอยู่ที่ที่ฉันดำเนินชีวิตได้อย่างสบายใจมากกว่า
ขอร้องล่ะค่ะ อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันอยากจะพูดให้มากกว่านี้นะ แต่ว่าเดี๋ยวจะพับเป็นนกตัวเดียวไม่ได้
ผิดความตั้งใจค่ะ เอาเป็นว่าตอนที่อยู่กับคุณฉันมีความสุขนะคะ
ถึงตอนแรกฉันเคยหมายหัวคุณไว้ว่าไม่น่าเข้าใกล้ก็เถอะ แต่พอได้รู้จักจริงๆคุณมันก็สี่มิติเหมือนที่คิดนั่นแหละ
อันนี้ความจริงนะคะ
ฉันน่ะชอบผมคุณมากเลย
สีสวยแถมนุ่มด้วย อยากจะขอเล่นบ่อยๆเลยค่ะ ถ้าคงไม่วายถูกคุณดุแน่ ถ้าไว้ยาวอีกคงจะดีเนอะ
ฉันนึกไม่ค่อยออกเลยค่ะ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่หันมองรอบตัวมักจะมีคุณอยู่ด้วยเสมอเลย เราเจอกันที่ห้องสมุดบ่อยเลยว่ามั้ย
ต่อไปถ้าฉันอ่านหนังสือหน้าคุณคงลอยมาเลยล่ะ
แล้วทำไมถึงชอบฉันใช้ให้ฉันหาหนังสือให้ด้วยแถมเป็นชั้นสูงๆด้วยคะ รู้มั้ยว่าฉันเกือบตกลงมาตั้งหลายรอบแน่ะ
แล้วก็เพราะคุณเลย ฉันถึงไม่รู้ว่าคำอธิษฐานเป็นจริงมั้ย โกรธนะคะนั่น และต่อจากนี้หวังว่าคุณจะรู้สึกดีทุกครั้งที่มองพระจันทร์แล้วนะ
คุณไม่ได้เป็นน้องสิงโตตัวนุ่มแล้วนี่ แต่ถึงอย่างนั้นตอนเป็นสิงโตคุณก็น่ารักนะคะ
เหมือนน้องแมวเหมียวเลย ส่วนที่ดูแลฉันมาตลอดขอบคุณมากค่ะ ที่คุณบอกฉันน่ะ อืม…รู้สึกดีนะคะ
หัวใจเต้นแรงสุดๆเลยตอนนั้น ถึงตอนนี้จะยังตอบไม่ได้แต่ฉันรับรู้นะคะ
ถึงจะแกล้งปล่อยเบลอใส่บ่อยๆก็เถอะ ฉันไม่ชินน่ะค่ะ
คนไม่มีประสบการณ์รักสามเศร้าก็แบบนี้ (ฉันล้อเล่นน่ะ หยอกๆนะ)
เอาเป็นว่าคุณได้รู้คำตอบแน่ค่ะ แต่ช่วยรอสักพักนะคะ
ระหว่างนี้ฉันจะนึกถึงคุณบ่อยๆนะ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย ถ้าคุณป่วยฉันจะโกรธค่ะ
นี่พูดจริงๆนะ สุดท้ายอ่านจดหมายจบแล้วอย่าลืมยิ้มด้วย เข้าใจตรงกันนะคะ
แฮวอน
“ไม่ต้องร้องนะ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเองแม้ว่าที่จริงแล้วแทฮยองหวังว่าจะได้พูดประโยคนี้ให้แฮวอนฟังจริงๆ
ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกยาว
ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง กลิ่นหอมๆของแฮวอนยังลอยฟุ้งในห้อง เขาพลิกตัวแล้วซบใบหน้าลงกับหมอนใบโตแล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลงพลางนึกในใจ
เขาคิดถูกแล้วที่ไม่อ่านจดหมายนี่ตั้งแต่ที่ได้รับ
เพราะตอนนี้เขาแทบอดใจไม่ไหว…อดใจที่จะไปตามเธอกลับมาไม่ไหวแล้วตอนนี้
ขณะเดียวกันที่ริมผาของชายป่าติดกับปราสาทเรดมอนเนิร์ค
จองกุกยังนั่งห้อยขาและทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้าเหมือนวันที่มีแฮวอนนั่งอยู่ข้างๆ
ในมือมีจดหมายของเธออยู่ เขาก็ยังไม่ได้อ่านมันเช่นเดียวกับแทฮยอง
ตอนแรกจองกุกเกือบจะทิ้งมันไปแล้ว
ดวงตาคมกริบหลุบมองจดหมายที่พับเป็นรูปนกเช่นเดียวกับของแทฮยองเพียงแต่มีชื่อของเขาเขียนตรงปีกซ้าย
มือหนาค่อยแกะจดหมายที่ยับยู่ยี่ออกและกวาดสายตาอ่านข้อความยาวพรืดที่บรรทุกไว้ในนั้น
แค่ประโยคเรียกจองกุกก็ส่งเสียงร้องฮึที่แฮวอนรู้ทัน
ถึงคุณจองกุก
ฉันหวังว่าคุณจะได้อ่านโดยที่ไม่ขย้ำมันทิ้งไปซะก่อนนะคะ
ฉันคิดว่าคุณคงโกรธฉันที่จากมาแบบนี้ แต่ว่านี่เป็นการตัดสินใจของฉันเอง
ตัวฉันสำหรับคุณคงจะเป็นแค่ยัยดื้อคนหนึ่ง แฮวอนที่ชอบต่อล้อต่อเถียง
คนหลงทางที่คุณต้องวิ่งตามหาทุกครั้ง ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คนอื่นคิดกัน ข้อนั้นฉันรู้ค่ะ
แต่ว่าตอนนี้กลับเป็นฉันซะเองที่คิดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น ถึงจะแค่เล็กน้อย
แต่ว่าฉันก็ไม่อยากใช้ชีวิตกับความไม่สบายใจอย่างนั้นฉันถึงเลือกที่จะกลับไปวิลโลว์
ฉันไม่ได้จะตัดใครออกจากชีวิตนะคะ แค่อยากอยู่ในที่ที่ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบ้านก็แค่นั้น
เอาเป็นว่าฉันขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะคะ
ถึงตอนแรกฉันจะไม่ค่อยชอบคุณเท่าไหร่ ที่สั่งรายงานนั่นน่ะ แล้วยังตอนที่ให้ไปขัดรูปปั้นเปื้อนเลือดอีก
จำได้ไม่ลืมเลยนะ คุณดุมากเลยรู้ตัวมั้ย ฉันทำอะไรก็โดนว่าตลอดเลย
ตอนแรกคุณก็ไม่ชอบฉันใช่มั้ยล่ะ ส่วนที่เคยจับหน้าอกคุณคราวนั้นฉันขอโทษนะคะ
ฉันโมโหที่คุณไม่ยอมไล่ฉันออกสักที แล้วก็ฉันแอบนินทาคุณอยู่ในใจหลายครั้งเลยล่ะ แต่ว่าความจริงแล้วคุณก็ช่วยฉันไว้หลายครั้งมากถึงจะขี้แกล้งไปหน่อยก็เถอะ
รู้มั้ยว่าตอนคุณยิ้มน่ะน่ารักเหมือนกระต่ายมากเลยนะ ฉันชอบไปคุยโม้กับเจ้าตัวน้อยที่โรงเลี้ยงสัตว์หลังโรงเรียนบ่อยๆ
บ่นถึงคุณนั่นแหละ แต่ทั้งๆที่คุณยิ้มสวยขนาดนั้นฉันเพิ่งเห็นมันตอนที่คุณเข้ามาช่วยตอนเลือดกำเดาไหล
ช้าชะมัดเลยเนอะ ขอร้องล่ะค่ะยิ้มบ่อยๆนะ
คิดว่าแกล้งฉันจนร้องไห้ก็ได้ถ้ามันทำให้คุณมีความสุขน่ะ แล้วฉันก็จำได้แม่นเลย ตอนในป่านั่น
ถ้าไม่มีคุณฉันคงจะเตลิดไปมากกว่านั้น กอดคืนนั้นมันอบอุ่นมากจริงๆค่ะ
ไหนจะที่คุณพาฉันเข้าปราสาทเรดมอนเนิร์คแล้วพาไปดูดาวที่นั่นด้วย
ฉันน่ะชอบตอนนั้นมากจริงๆ ถึงจะโดนดุไปนิดหน่อยก็เถอะ ตอนที่อยู่ในไซเธียนอีก
ถึงคุณจะเจ็บ คุณก็ยังดูแลฉัน และสุดท้ายความรู้สึกที่คุณมีให้ฉัน…ฉันคิดว่ายังให้คำตอบไม่ได้
แต่ว่าฉันสัญญาค่ะว่าจะบอกให้คุณรู้แน่นอน ส่วนอันนี้ไม่อยากบอกเลยจริงๆ
แต่ว่าฉันคงจะคิดถึงคุณมากเหมือนกันนะคะคุณจองกุก ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะคะ
แฮวอน
รอยยิ้มบางๆถูกจุดขึ้นบนมุมปากของจองกุก
เขาเก็บจดหมายที่เปรอะเปื้อนหยดน้ำเป็นวงจางๆลงก่อนมองตรงไปยังแถบฝ้าสีขาวที่ค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนขอบฟ้า
ริมฝีปากปล่อยคำพูดออกมาสั้นๆ
“คิดถึงจะตายอยู่แล้วยัยบ้า”
เกือบเดือนที่แฮวอนกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขภายในเมืองเล็กๆอย่างวิลโลว์
เธอตอบจดหมายทุกฉบับที่ส่งมาจากพาราเดีย
เพื่อนๆพี่ๆทั้งหลายและอาจารย์ที่แฮวอนไม่คิดว่าเขาจะส่งจดหมายถึงเธอ
ยกเว้นแต่คนที่เธอคิดว่าจะส่งมาบ้างกลับไม่มีเลย แต่แฮวอนก็ไม่นึกโกรธอะไร
เธอทำใจรับผลที่ตามมาตั้งแต่แรกแล้ว
ชีวิตในวิลโลว์ของแฮวอนไม่มีอะไรมากนอกจากช่วนแม่ทำขนม
จ่ายตลาดและสอนหนังสือให้แชยอง น้องสาวเธอแข็งแรงขึ้นมากแล้ว
ปีหน้าก็จะเข้าเรียนที่ฟาทูเร่
ร่างบางหิ้วตะกร้ากลับมาหลังจากที่ออกไปสั่งของและกำลังกวาดตามองใบรายการจองขนมของวันพรุ่งนี้
สองเท้าเดินบนทางคุ้นชินจนกระทั่งหยุดลงที่หน้าร้านที่ตอนนี้มีชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรวมกันอยู่ตรงนั้น
พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบและคลุมผ้าตามชนชั้นทางสังคม และมีน้องสาวของเธอยืนอยู่กลางวงนั่น
“แชยองหน้าคล้ายพี่แฮวอนมากเนอะ”
“อื้อ
จะมองมุมไหนก็เหมือน ต่างกันที่สีผมกับความสูงนิดหน่อยเอง”
“มีแต่คนบอกแบบนี้”
แชยองที่หายตกใจแล้วบอกพร้อมรอยยิ้ม ก็อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้มามุงอยู่เต็มหน้าร้าน
เธอจึงออกมาดูเผื่อว่าพวกเขาต้องการการช่วยเหลือ
แต่กลับกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นคือเพื่อนรุ่นน้องของพี่สาวเธอนั้นเอง
คนรุ่นเดียวกันพวกคุยกันอย่างถูกคอกระทั่งแชยองเห็นแฮวอนจึงรีบยกมือขึ้นและเรียกเสียงงดัง
“พี่แฮวอน!!!”
ทุกสายตาถูกดึงดูดไปร่างบางที่ก้าวเข้ามาร่วมวง
ผมยาวสีเปลือกไม้และหน้าม้าที่ยาวจนเกะกะตอนทำงานถูกถักเปียและเก็บอย่างเรียบร้อย
สอดประดับด้วยอย่างดอกไม้แห้งเหมือนอย่างแชยอง
เสื้อแขนตุ๊กตาสีขาวและกระโปรงสีเดียวกัน มีผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนผูกไว้ตรงเอวบาง
แฮวอนดูต่างจากตอนที่อยู่โรงเรียนมาก ทว่ากลับมีเสน่ห์จนไม่อยากละสายตา
“มากันได้ยังไงเนี่ย”
สอบถามไปมาก็รู้ว่าก่อนปิดภาคาการศึกษานี้โรงเรียนแห่งพาราเดียได้พานักเรียนมาทัศนศึกษาเมืองใกล้อย่างวิลโลว์
พวกเขาเลยถือโอกาสมาเยี่ยมแฮวอน เจ้าของบ้านเลยไล่ให้เข้าไปในร้านที่ตอนนี้ปรับปรุงใหม่และเปิดเบเกอรี่เพิ่มเติมแล้วนำขนมหวานและเค้กต่างๆมาต้อนรับ
แฮวอนปล่อยให้ทุกคนคนคุยกับแชยองหลังจากที่พูดคุยกับพอหอมปากหอมคอแล้ว
ร่างบางเดินเข้าไปในครัวหวังว่าจะช่วยยอนจูทำขนมเพิ่ม แต่กลับพบกับร่างสูงทั้งเจ็ดคนที่กำลังสนทนากันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่ถัดไปจากห้องครัวสำหรับร้านขนม
“สวัสดีค่ะ”
แฮวอนที่ตีสีหน้าไม่ถูกไปชั่วครู่รีบโค้งศีรษะลงให้ความเคารพแก่อดีตอาจารย์
เธอพยายามสบตากับแม่ตัวเองก่อนจะโค้งตัวลงอีกครั้งเป็นเชิงขอตัว
กำปั้นเล็กทุบลงเบาๆที่อกของตัวเอง
ดวงตาคมกริบสองคู่นั้นที่แฮวอนเห็นเมื่อสักครู่ยังติดอยู่ในความทรงจำ
พวกเขาทั้งสองมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและเธอเองก็ไม่กล้าพอที่จะอยู่ต่อหน้าแทฮยองและจองกุกไปนานกว่านั้น
แม้จะผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว
แต่ความคิดถึงนั้นไม่เคยจางหายไปจากหัวใจ บ่อยครั้งที่แฮวอนมองพระจันทร์แล้วอยู่ๆทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพาราเดียก็ไหลกลับเข้ามา
ความทรงจำที่มีพวกเขาสองคนอยู่ในนั้นยังฉายชัดในใจเธออยู่เสมอ
แฮวอนทรุดตัวลงนั่งริมลำธาร
เสียงน้ำไหลเอื่อยๆกระทบกับก้อนหินและพวกดอกไม้กับผีเสื้อที่บินว่อนไปมา เธอหวังว่าพวกมันจะช่วยให้เธอจิตใจสงบลงบ้าง
“ชอบหนีมากหรือไงเธอน่ะ”
“…เปล่าสักหน่อยค่ะ”
แฮวอนตอบคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆเสียงเบา
หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกระลอกจึงแสร้งเบนหน้ามองไปทางลำธารแทน
“แล้วนี่ไม่เรียกหนี
หรือจะบอกว่าหลบหน้า”
“อย่ารุมฉันอย่างนี้สิค่ะพวกคุณสองคนน่ะ”
แฮวอนได้ยินเสียงถอนหายใจของทั้งแทฮยองและจองกุก
พวกเขานั่งอยู่ข้างๆเธอ ไร้การพูดคุยไปครู่หนึ่งเพราะแฮวอนยังตั้งสติไม่ค่อยได้
อยู่ๆก็ได้เจอพวกเขาแต่เธอกลับคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่อย่างเดียว
“นี่
เธอคิดว่าฉันปลื้มกับจดหมายเธอหรือไงแฮวอน” จองกุกชิงพูดก่อน
ใบหน้าหล่อค่อยๆเบนมาหาคู่สนทนาที่ยังไม่ยอมมองตาเขา
“คิดจะกลับก็ไม่ยอมบอกลาต่อหน้า”
แทฮยองได้ทีสำทับ “จับไปฝึกอบรมมารยาทดีมั้ยแบบนี้”
“ขอโทษค่ะ
แต่ว่าฉันไม่อยากพูดว่าลาก่อนนี่” แฮวอนยอมหันมองพวกเขาทั้งสองก่อนจะสูดหายใจเข้า
“ฉันเขียนจดหมายให้เพราะว่ามันคงบอกอะไรได้มากกว่าการที่ฉันต้องพูดเอง”
“อ่อ
ไม่กล้าบอกว่าคิดถึงฉันงั้นสิ”
“คุณแทฮยอง!”
แฮวอนเรียกเขาเสียงแข็งเพราะอาย
อยากจะตีเขาเข้าสักทีแต่ไม่กล้าพอเลยได้แต่หายใจฮึดฮัด
ส่วนอีกคนที่นึกว่าจะนั่งนิ่งๆกลับแทรกขึ้นมา
“แต่เธอกล้าบอกว่าจะคิดถึงฉันเยอะๆนี่แฮวอน”
แทฮยองหันมองคนน้องที่เผยรอยยิ้มเป็นต่อทันทีก่อนจะลากสายตากลับมาที่แฮวอน
เธอตีสีหน้าไม่ถูกทั้งยังหันไปตีหน้าขาจองกุกทีหนึ่งเพราะเหลืออด
“จะพูดทำไมคะ
ฉันอายนะ”
“ทำไมล่ะ
ก็เธอบบอกจะคิดถึงฉันมากๆไง” จองกุกยังแกล้งล้อต่อ
เขาอยากเห็นใบหน้าซับสีระเรื่อนานกว่านี้
“แต่ฉันเริ่มไว้ผมยาวอย่างที่เธอบอกว่าชอบแล้วนะแฮวอน”
แทฮยองไม่ยอม เขาบอกก่อนจะคว้ามือมือบางมาจับก่อนจะถามเสียงนุ่ม “อยากลูบมั้ย”
“แต่ฉันยิ้ม
ไหนบอกว่าฉันน่ารักเหมือนกระต่ายไง หันมาดูฉันยิ้มหน่อยเร็ว”
แฮวอนถึงกับทำตัวไม่ถูก
คนพี่ก็จะให้เธอจับผม ส่วนคนน้องก็จะยิ้มให้เธอดูอีก มือข้างมือแทฮยองก็จับ
ส่วนแขนอีกข้างก็ถูกจองกุกดึง เธอไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครก่อนแล้ว
จนสุดท้ายแฮวอนก็หลุดปากโพล่งออกไปอย่างเหลืออด
“หยุดเลยนะคะ
ฉันก็คิดถึงพวกคุณทั้งคู่แหละ คิดถึงค่ะ!”
“ก็แค่นั้น
ฉันแค่อยากฟังเท่านี้”
จองกุกเป็นคนว่าก่อนจะโถมร่างเข้ามาและสอดแขนกอดร่างบางที่เขาคิดถึงหนักหนาเช่นเดียวกันกับแทฮยอง
แฮวอนถูกคนตัวโตกว่าทั้งคู่กอดแน่น
ลมหายใจที่ถูกกลั้นเอาไว้ค่อยๆระบายออกมา
การได้เจอหน้าและได้สัมผัสคนที่เรานึกถึงอยู่ตลอดมันดีแบบนี้นี่เอง
“…อยู่ที่นี่ฉันก็ทำขนมทำกับข้าว
ออกไปจ่ายตลาดบ้าง ช่วยแม่เปิดร้านแล้วก็สอนหนังสือให้แชยอง
ส่วนวันไหนถ้ามีคนส่งจดหมายมาให้ฉันก็จะตอบกลับวันนั้นเลยค่ะ
แต่พวกคุณก็ไม่เคยสั่งมาหาฉัน” แฮวอนว่าเหมือนงอนๆ เธอกำลังแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างที่ไม่อยู่ที่พาราเดีย
“แต่ว่าไม่ได้โกรธนะคะ ก็แค่นึกๆอยู่ว่าพวกคุณอาจจะโกรธอะไรแบบนี้”
“ฮึ
เพราะเธอไม่ส่งมาก่อนต่างหาก” แทฮยองว่าอย่างเอ็นดู
“ไหนก่อนจะไปก็ยังยืนกอดกับผู้ชายอีก เห็นแล้วอยากเข้าไปตีชะมัด”
“ตีตอนนี้เลยดีมั้ย”
“บ้าหรือไงค่ะ
ก็แดนเป็นเพื่อนฉัน” แฮวอนรีบหันไปทำตาโตใส่จองกุก
เขายกมือขึ้นเหมือนจะตีเธออย่างที่ปากว่า “ก็แค่กอดเพื่อนเอง”
“แต่ฉันไม่ชอบ!!!”
เสียงทุ้มสองเสียงประสานขึ้นมาอย่างนั้นจนแฮวอนต้องตีหน้าเจื่อน
มุ่ยหน้าทันทีเพราะรู้ตัวว่าเถียงไม่ได้แน่นอน
“แฮวอน
เอานี่ไป” การ์ดเชิญที่ประทับตราของการ์ดิเนียถูกวางลงมากลางมือบาง
“วันงานเธอต้องให้คำตอบพวกฉันสองคนได้แล้ว”
แฮวอนไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจดีว่าสิ่งที่แทฮยองพูดหมายถึงอะไร
เธอเพียงแต่งุ้มปากก่อนจะเบิกตากว้าง เกิดเสียงดังฟอดเมื่อปลายจมูกโด่งของทั้งสองคนกดลงมาสูดความหอมของแก้มนุ่มเต็มแรง
ฟอด!!!
“พวกฉันกลับก่อน
ไว้เจอกันนะ”
“พวกคุณจะมาหอมแก้มฉันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ!!!”
แฮวอนได้กลับมาที่พาราเดียอีกครั้งและพักอยู่ในปราสาทรับรองของคังชอล
เธอได้พบปะเพื่อนๆและรุ่นพี่ที่เคยรู้จักกันเมื่อครั้งที่เธอเรียนอยู่ที่นี่
เหล่าราชนิกุลและแขกผู้มีเกียรติต่างทยอยเดินทางเข้ามาร่วมงานอย่างคับคั่ง
ในโรงเรียนถูกเนรมิตให้สวยงามยิ่งกว่าครั้งงานสถาปนาอาณาจักรซะอีก
ท้องฟ้าของพาราเดียก็ดูสดใสหลังจากที่เรื่องร้ายๆผ่านพ้นไป สวนหลังประตูบานที่เจ็ดไม่ได้เป็นสถานที่ต้องห้ามอีกต่อไป
ดวงจันทร์มายาที่เคยใช้ควบคุมเหล่าอาจารย์หายไปและแทนที่ด้วยพระจันทร์ดวงกลมโต แต่สิ่งยังคงอยู่คือกลิ่นหอมอ่อนๆในอยู่ในอากาศ
กลีบดอกพีชที่ปลิวไปตามสายลมและดอกวิสทีเรียสีชมพูที่ยามนี้ผลิบานทั้งต้น
งานครั้งนี้จัดกลางลานโล่งแจ้ง
มีเพียงระแนงที่มีดอกเลื้อยพันเอาไว้ประดับอยู่สองข้างทาง ดวงไฟสีส้มนวลถูกจัดประดับให้ความสว่าง
เก้าอี้ของจักรพรรดิถูกตั้งเอาไว้หน้าต้นวิสทีเรียที่เป็นศูนย์กลางของสวน
ถัดมาเป็นที่นั่งของผู้ร่วมงานคนอื่นๆรวามถึงนักเรียนของพาราเดียที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานด้วย
เก้าอี้สีขาวถึงถูกจัดเป็นแถวเรียงยาวลงมาจนเกือบถึงบานประตู
แฮวอนนั่งอยู่ข้างแดเนียลและยองเค ขวามือเป็นแชยองที่เอาแต่สอดสายตามองไปทั่วอย่างสงสัยใคร่รู้
ส่วนพ่อแม่ของเธอนั่นนั่งประจำตำแหน่งด้านหน้า
ดวงตากลมเลื่อนมองร่างสูงทั้งเจ็ดที่อยู่ในชุดคลุมพิธีการ
พวกเขาจะรับการประดับยศเพิ่มเนื่องจากความดีความชอบในการปกป้องการ์ดิเนีย
ตลอดเวลาที่งานดำเนินไปแฮวอนมีความสุขดี
มีการแสดงและการบรรเลงดนตรีจากดาเรียน เธอคุยกับยองเคอย่างสนุกสนานจนได้รับสายตาคาดโทษไม่รู้ตัวจากสองคนที่อยู่ด้านหน้า
กระทั่งลากสายตาไปยังเก้าอี้แถวฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ
แทมินนั่งอยู่ข้างซูจอง
ดวงตาเรียวเฉี่ยวนั่นสบเข้ากับดวงตากลมโตของแฮวอน แต่ที่น่าแปลกซูจองกลับฉีกยิ้มน้อยๆให้เธอก่อนจะผินหน้ากลับไปพูดคุยกับสามีเธอตามเดิม
“…แฮวอน แฮวอน มองอะไรอยู่”
“อ่ะ เปล่าค่ะ ฉันก็มองไปเรื่อยแหละ”
แฮวอนหันไปตอบยองเคพลางย่นจมูกใส่อย่างเผลอตัวจนอีกคนหัวเราะคิกคัก
“ยิ้มแบบนี้ใครบางคนตรงนู่นจะกระอักเลือดตายนะ”
แฮวอนมองตามทางที่ยองเคผินหน้าไปก็สบเข้าสายตาที่เหมือนจะตำหนิของจองกุกและแทฮยองจนต้องยิ้มเจื่อนๆตอบไปแล้วรีบหันหน้าหนีทันที
เสียงหัวเราะคล้ายขบขันที่ดังอีกหนทำเอาแฮวอนต้องงุ้มปากใส่ยองเคอีกครั้ง
ร่างบางที่แอบขัดเขินเพราะถูกยองเคล้อเลียนแล้วยังต้องหันไปตีหน้าดุใส่แดเนียลที่แอบส่งสายตาหยอกล้อเรื่องของเธอและพี่ชายตัวเองอีก
กระทั่งเสียงของแชยองเรียกให้แฮวอนหันเหความสนใจไปยังพิธีการที่ดำเนินถึงตอนสำคัญ
“ดูนู่นสิพี่แฮวอน”
ซอกจินคุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิ
พระอาทิตย์สีทองถูกประดับลงบนอกซ้ายก่อนที่มือหนาจะรับจอกน้ำศักดิ์ที่บรรจุไวน์รสเลิศเอาไว้และดื่มเพื่อปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีแก่การ์ดิเนียตลอดไป
จากพี่ใหญ่ไล่เรียงไปตามอายุ เมื่อจองกุกดื่มไวน์องุ่นเสร็จก็ถึงคราวของจักรพรรดิ
ดอกไม้ที่เลื้อยพันระแนงเหนือศีรษะของผู้ร่วมงานผลิบานก่อนจะปล่อยผงสีเข้มมุกลงมา
แฮวอนรู้ตัวจนรีบกลั้นหายใจ นั่นคือผงชาร์ม
มีสรรพคุณทำให้คนที่สูดดมเข้าไปไม่มีสติและไม่สามารถขัดขืนอะไรได้
มือเบารีบเขย่าร่างคนที่นั่งใกล้ๆแต่ไร้การตอบรับ
พลันกรอบสายตาก็ปรากฏร่างของหญิงที่ผู้ที่ลุกขึ้นและเดินตรงไปทางใต้ต้นวิสทีเรียที่พิธีการกำลังสะดุดลง
ซูจองหยิบถุงยาพิษขึ้นมาก่อนจะเทสิ่งนั้นลงในจอกเงินที่แกะสลักอย่างงดงาม
น้ำสีม่วงอมแดงกลายเป็นสีดำและมีกลิ่นเหม็นโชยขึ้นมา
เท่านั้นแฮวอนก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ปกติ พริบตาเดียวร่างบางก็ปรากฏร่างตรงหน้าซูจอง
ดวงตาที่เคลือบแฝงไปด้วยม่านสีเขียวทำให้เธอรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณฮยอนซอก คุณควบคุมเธอ!”
“เก่งเสียจริงแฮวอน” ซูจองขยับริมฝีปากพูด
แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงของฮยอนซอก
ไม้กายสิทธิ์ปรากฏขึ้นในมือก่อนจะชี้ไปที่จอกเงิน
“อิมเปริ โอ”
“เอกซ์เปลล์ริอาร์มัส”
จอกเงินกระเด็นออกมามือหนาอย่างทันท่วงที
ก่อนที่พลังสีม่วงจะพุ่งตรงเข้าหาร่างของซูจอง
มือบางตวัดไม้กายสิทธิ์อย่างคล่องแคล่วเพราะฮยอนซอกแฝงกับร่างของซูจองได้อย่างสมบูรณ์
เธอและเขาเป็นหนึ่งเดียวกันได้เนื่องจากหัวใจที่มืดดำ
ซูจองโบกไม้อีกครั้งโซ่ตรวนก็ปรากฏขึ้นและพันธนาการทุกคนในงาน
แฮวอนพยายามจะเรียกสติพวกเขาแต่ไร้การตอบรับ
“พวกนั้นไม่รู้สึกหรอก
วันนี้การ์ดิเนียต้องเป็นของฉัน!”
“คุณพอสักทีเถอะ
แค่นี้คุณก็ทำอะไรแย่ๆมากเกินพอแล้วนะ”
แฮวอนพยายามจะเตือนสติระหว่างที่เบี่ยงตัวหลบพลังสีเขียวและตอบโต้กลับไปภายในเสี้ยววินาที
แฮวอนรวบรวมสติก่อนจะกระทืบเท้าขึ้นหนึ่งครั้ง
มือบางขยับบังคับรากไม้ที่ผุดขึ้นมากผืนดินให้เข้าพันธนาการร่างของซูจอง
รากไม้ผุดขึ้นมากจากทุกทางและตีวงล้มเข้าพันรัดซูจองตามที่แฮวอนบังคับ
นิ้วเรียวชี้ลากไปมาเพื่อใช้วารีเวทกังขังซูจองในเกราะน้ำแข็งและสำทับเข้าไปด้วยวงแหวนเพลิงและวาโยอีกสองชั้น
เธอไม่ได้สนใจอาการที่ทรมานของซูจอง
ไม้สีน้ำตาลโบกซ้ำหลายๆครั้งเพื่อรวบรวมกลีบดอกวิสทีเรีย
ฝ่ามือข้างหนึ่งเรียกวารีเวท
ส่วนอีกข้างขยับเพื่อเปลี่ยนกลีบดอกบอบบางให้เป็นชิ้นเล็กๆ
เมื่อประกบมือเข้าหากับแสงสีม่วงก็ปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ มันกลายเป็นผงสีม่วงส่องประกายวิบวับ
แฮวอนก็โยนมันขึ้นและใช้เวทสีเงินกระจายมันไปทั่วเพื่อถอนพิษจากผงชาร์ม
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
จีมินที่พ้นมนต์สะกดว่าก่อนจะกวาดตามองไปทั่วก่อนพบว่าทุกคนค่อยๆหลุดออกจากภวังค์
“แล้วทำไมซูจองถึงอยู่ในสภาพนั้น”
ยุนกิถามก่อนจะหยุดสายตาที่แฮวอน
ในงานเกิดความวุ่นวายไม่น้อย
อัศวินต่างวิ่งเข้าปกป้องผู้เป็นนายเพราะสัมผัสถึงความผิดปกติเมื่อสักครู่
“เธอไม่เหมือนเดิมค่ะ
ฮยอนซอกแฝงอยู่ในร่างของเธอ เขาต้องการวางยาพิษจักรพรรดิ”
เสียงหวานสิ้นสุดลงเมื่อเงาสีดำเคลื่อนที่ทาบทับดวงจันทร์จนแสงสีนวลของมันหายไปจากบนผืนโลก
ทุกอย่างตกอยู่ในความสงบนิ่งชั่วคราว ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอหันหลัง คนที่แฮวอนพันธนการไว้หลุดออกมาได้ ดวงตาสีเขียวเข้มของซูจองปรากฏขึ้นพร้อมกับมวลพลังที่ก่อขึ้นตรงปลายไม้และชี้ไปทางเหล่าอาจารย์
พลังสีม่วงถูกร่ายตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง พลังนั้นกระจายตัวเป็นวงกว้าง แสงที่ปะทะกันเจิดจ้าจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ว่าฮยอนซอกกลับปัดสายพลังของแฮวอนออกไปได้ พลังที่ซึมซับจากความมืดใต้เงาของจันทรุปราคาทำให้เขาสามารถร่ายคาถาและเพิ่มพลังได้เป็นเท่าตัว แสงสีเขียวพุ่งตรงไปยังเหล่าอาจารย์ในขณะที่พลังของแฮวอนยังอยู่ที่ปลายไม้กายสิทธิ์
“ระวังค่ะ!!!” แฮวอนรีบตะโกนอย่างเป็นห่วงก่อนจะเคลื่อนกายเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว
เธอนึกเพียงแต่ว่าต้องช่วยให้พวกเขาปลอดภัย
“ไม่!!!”
เสียงทุ้มตะโกนอย่างพร้อมเพรียง
ทุกคนต่างวิ่งเข้าหาร่างบางเพื่อต้องการปกป้องแฮวอน
วินาทีนั้นแสงสีเขียวพุ่งตรงเข้าผ่านร่างของแฮวอน
ลมหายใจเธอสะดุดกึกลงและกลายเป็นหยุดนิ่ง ไร้ความเจ็บปวดแต่กลายเป็นความว่างเปล่า ทุกอย่างช่างรวดเร็ว
แม้แต่คำกล่าวลาแฮวอนยังไม่มีโอกาสเปล่งมันออกมาเลย
เพราะฉะนั้นรอยยิ้มของเธอคงเป็นอย่างสุดท้ายที่จะมอบให้พวกเขาได้
…รอยยิ้มแสนสดใสใต้ดวงจันทร์สีเหลืองนวล รอยยิ้มสุดท้ายของเธอ
Spoil Last Chapter
“ขอให้ผมได้เจอเธออีกครั้งเถอะครับ”
“เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วนะแฮวอน”
“ฉันคิดถึงเธอนะแฮวอน”
“เร็วๆเถอะก่อนที่ฉันจะไม่ยอมปล่อยเธอกลับบ้านตัวเอง”
“บอกแล้วว่าให้เลิกเรียกคุณ สอนไม่จำต้องโดนลงโทษ”
ความคิดเห็น