ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Taehyung & Jungkook | PARADIA [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #23 : ♦ 20 JUDGMENT ♦

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.21K
      362
      7 ก.ย. 61





    20

     ♦ JUDGMENT 

     





                ห้องประชุมใหญ่ที่สุดของพาราเดียถูกเปิดใช้งานตั้งแต่เช้าตรู่ ประเด็นเรื่องของแฮวอนยังไม่สามารถสรุปได้ มีหลายความคิดที่ขัดแย้งกันไม่จบไม่สิ้น ฝั่งของจุนฮยอกพยามแย้งและชี้ให้เห็นความผิดของแฮวอน ทั้งยังเน้นย้ำเรื่องศัตรูเก่าแก่ของอาณาจักร


                การประชุมเคร่งเครียดดำเนินไปจนกระทั่งเสียงโหวกเหวกโวยวายของฝูงชนดังขึ้น เสียงตะโกนอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากเบื้องล่างของปราสาท


                “นั่นเสียงเอะอะโวยวายอะไรกัน”

                “ของนักเรียนขุนนางชเว” จุนซาที่เพิ่งเดินเข้ามาพูดด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทั้งเน้นย้ำน้ำเสียงเย็นชาไปทางเจ้าของคำถาม “พวกเขาไม่พอใจที่คุณจุนฮยอกมีคำสั่งให้ประหารเพื่อนร่วมโรงเรียน”

                “ก็ก็สมควร เธอเป็นแม่มด” ขุนนางขเวสวนกลับมาอย่างไม่หนักแน่น เขาหวั่นประพึงกับไปรังสีเย็นเยียบของหัวหน้าอัศวิน

                “คุณจุนซา ทำไมคุณถึงมาช้านักล่ะ” จักรพรรดิเอ่ยถามอย่างใจเย็น ทอดสายตามองร่างกำยำในชุดคลุมกำมะหยี่สีดำ

                “กระหม่อมต้องพาบางคนมาที่นี่ขอรับเลยต้องใช้เวลาเล็กน้อย” ร่างสูงค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวหลีกทางให้อีกคนปรากฏตัวและก้าวเข้ามา


                ในห้องประชุมเงียบกริบเมื่อคังชอลย่างเท้าเข้ามา ทุกสายตาถูกดึงดูดไปยังอัจฉริยะของการ์ดิเนียที่ทุกคนต่างคิดว่าสิ้นชื่อไปแล้ว ร่างในเสื้อคลุมสีเทาก้าวตรงมา นัยน์ตาสีเปลือกไม้ฉายแว่วนิ่งสงบ เขาไม่ได้สนองการปฏิกิริยาตอบรับของคนอื่นๆ ฝีเท้าแสนมั่นคงหยุดลงเมื่อคังชอลก้าวมาตรงหน้าของจักรพรรดิ


                “คุณคังชอล”

                “กระหม่อมเองขอรับฝ่าบาท” เสียงทุ้มว่าก่อนจะค้อมศีรษะให้ความเคารพลงครั้งหนึ่ง

                “นี่คุณยังไม่ตายรึ แล้วที่ผ่านมาคุณหายไปไหนมา” มหาจักรพรรดิถามอย่าสงสัย ร่างสูงวัยค่อยๆก้าวลงมาอดีตข้าบาทคนสนิท เขารอฟังคำตอบของอีกฝ่ายอย่างจดจ่อ

                “กระหม่อมมีเหตุผลฝ่าบาท มีคนปองร้ายต่อตัวกระหม่อมและครอบครัว กระหม่อมถึงต้องหายไปและปกปิดเรื่องคนในครอบครัว” น้ำเสียงทุ้มตอบกลับไปอย่างราบเรียบและไม่เอ่ยพาดพิงชายร่างท้วมที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ถัดรองลงมาจากเก้าอี้ของจักรพรรดิ

                “ใครกัน”

                “กระหม่อมไม่ขอเอ่ยดีกว่า แต่วันนี้กระหม่อมมาที่นี่เพราะอยากมายืนยันความบริสุทธิ์ของลูกสาวของกระหม่อม”

                “คุณหมายถึง?

                “แฮวอนเป็นลูกสาวคนโตของกระหม่อม คนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนั่นแหละขอรับ กระหม่อมยอมรับว่าลูกสาวกระหม่อมเป็นแม่มดจริงๆ” ประโยคนั่นเรียกเสียงฮือฮาจากทุกคนที่อยู่ในโถงประชุม ทว่าคังชอลยังคงความสุขุมไว้ตามเดิม เขาเอ่ยถ้อยคำที่เรียบเรียงมาอย่างหนักแน่น “อันที่จริงแล้วเรียกว่าทั้งเชื้อสายของกระหม่อนดีกว่า เราสืบเชื้อสายมาจากฝ่ายเมอร์ลิน ฝ่าบาทเองก็คงเคยได้ยินชื่อของมาร์คัสและเมอร์ลินใช่หรือไม่”

                “ฝ่ายเราตัดขาดจากมาร์คัสและถูกสาปให้พลังในตัวหายไป จะยกเว้นแต่ลูกสาวของกระหม่อมที่สามารถใช้พลังได้”

                “

                “เอาชีวิตกระหม่อมเป็นประกัน เราไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกชาโดว์แบลงค์แม้แต่น้อย ได้โปรดปล่อยตัวลูกสาวกระหม่อมเถิดฝ่าบาท”

                “แต่เธอเป็นภัยร้าย! เธอมีพลัง หากเธอคิดจะเข้ายึดครองการ์ดิเนียเล่าฝ่าบาท” ลูกน้องคนสนิทของจุนฮยอกแย้งขึ้นทันควัน

                “เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ! …ในสายตากระหม่อมเธอเป็นเพียงลูกสาวที่น่ารัก สมควรแล้วหรือที่เธอต้องรับโทษกับสิ่งที่เลือกไม่ได้” คังชอลโต้เถียงกลับไป ดวงตาสีเปลือกไม้มองจ้องไปยังผู้ปกครองอาณาจักร “ได้โปรด”

                ร่างสูงในเสื้อคลุมเทาทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าชายชรา เขาไม่เคยทิ้งศักดิ์ศรีขนาดนี้มาก่อน คังชอลรู้ดีว่าไม่มีอะไรให้เสียไปมากกว่านี้แล้ว เขายอมกล้าออกมาจากปราการฟีเรนเซ่เพื่อปกป้องแฮวอนแม้ว่าเป้าประสงค์ของเขายังไม่สำเร็จดีมากนัก

                “

                “แลกกับการวิธีการวางเขตมนตราไปตลอดกาลของอาณาจักร โปรดปล่อยตัวลูกสาวกระหม่อมด้วยเถอะ”

     





                ผ้าชุบน้ำถูกใช้เช็ดไปตามโครงหน้าหวานและไล่ลงมายังซอกคอและท่อนแขนเรียว สัมผัสชื้นๆนั่นทำให้แฮวอนรู้สึกตัวขึ้นมา พอเห็นอย่างนั้นคังชอลก็รีบประคองร่างบางให้ลุกขึ้นพิงหลังกับพนักเตียง มือหนาลูบเรือนผมสีสวยอย่างเบามือแล้วเอ่ยถามไถ่อย่างเป็นห่วง


                “เป็นยังไงบ้างลูก”

                “พพ่อ มาได้ยังไงคะ แล้วนี่หนู” แฮวอนตื่นเต็มตาเมื่อเห็นคังชอล พอหันมองรอบตัวก็เห็นห้องนอนสีขาวไม่ใช่คุกอย่างที่เธอคิด

                “ไม่ต้องห่วงแฮวอน ลูกไม่ได้ต้องความผิดข้อหาไหนแล้ว”

                “ทำไมล่ะคะ”

                “พ่อเข้าไปแสดงความบริสุทธิ์ของลูกเอง” คังชอลบอกพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “แล้วก็แลกกับการวางเขตมนตราระหว่างการ์ดิเนียและชาโดว์แบลงค์”

                “ถ้าอย่างนั้นพ่อจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ ถ้าเขารู้น่ะ” แฮวอนถามเสียงเบา เธอรู้เหตุผลที่คังชอลทำให้คนอื่นเข้าใจผิดกับกับตัวเองและครอบครัว นอกจากจะปกป้องพวกเธอแล้วเขายังต้องการค้นหาวิธีการวางเขตมนตราที่จะยั่งยืนและใช้ไปได้อย่างถาวร

                “ไม่หรอก คนอย่างนั้นไม่ชอบทำอะไรซึ่งๆหน้าหรอก” คังชอลบอก “อีกอย่างเรื่องเขตมนตราพ่อก็ตั้งใจจะใช้ตั้งแต่แรกแล้ว ยิ่งพอหายไปจากอาณาจักรก็ยิ่งทำอะไรง่ายขึ้น พ่อเองก็รอเวลากลับมาเหมือนกัน ถือว่าเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อยแล้วกันเนอะ”


                แฮวอนพยักหน้ารับกับคำพูดติดตลกนั้นของพ่อ มือบางสอดจับฝ่ามือของพ่อก่อนจะถาม


                “หนูไม่ได้ทำให้พ่อเดือดร้อนใช่มั้ยคะ”

                “ไม่เลยสักนิดลูก” ร่างหนาคว้าร่างของลูกสาวมากอดแน่น มือหนาตีเบาๆที่แผ่นหลังเป็นการปลอบประโลม “หนูเป็นคนสำคัญของพ่อ ทุกอย่างที่หนูต้องเจอจะถือว่าเป็นเพราะพ่อก็ได้ พ่อตั้งใจให้หนูมาที่นี่และช่วยพวกเขาจนกระทั่งหนูเกือบตายน่ะ ไม่โกรธพ่อใช่มั้ย”

                “ไม่เลยค่ะ หนูเองก็ดีใจที่ได้ทำอะไรแบบนั้น” แฮวอนปฏิเสธพลางส่ายหน้าและถูไถใบหน้ากับบ่ากว้างของคังชอล “มันมีแค่หนูที่ทำได้และหนูภูมิใจกับมันค่ะ”

                “นี่สิลูกพ่อแฮวอน หนูเป็นที่รักของเพื่อนมากเลยนะ พวกเขาประท้วงคัดค้านโทษของหนู รวมทั้งอาจารย์ของโรงเรียนด้วย”

                “งั้นเหรอคะ

                “อื้อ แล้วก็พ่อคงจะต้องอยู่ที่พาราเดียสักพักเพราะเรื่องการวางเขตมนตรา ส่วนแม่กับน้องอยู่ที่วิลโลว์แล้วนะ” คังชอลว่าพลางโยกตัวไปพร้อมกับคนในอ้อมกอด ทำเหมือนตอนที่แฮวอนยังเด็ก “จะกลับไปหามั้ยหรือจะอยู่ที่นี่ก่อน หนูขาดเรียนไปเกือบเดือนแน่ะ เขาฟ้องพ่อมา”

                “พ่อคะถ้าหนูจะไม่อยู่ที่นี่ต่อแล้วพ่อจะว่าอะไรมั้ย”





                แฮวอนผละออกจากอ้อมกอดของคังชอล ฟังคำอวยพร ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกมาจากปราสาทรับรอง แต่เมื่อพ้นบานประตูบานหน้าร่างของเพื่อนและรุ่นพี่ก็ปรากฏในกรอบสายตา


                “แฮวอน!” ร่างสูงของซอนโฮวิ่งตรงมาหาเธอก่อนใครเพื่อนแล้วฉวยจับมือบางไว้แน่น แต่พอเหลือบเห็นใบหน้าของแฮวอน เขาก็รีบเปลี่ยนสรรพนามทันที “ต้องเรียกว่าพี่สิเนอะ”

                “ไม่เป็นไรหรอก เรียกเหมือนเดิมก็ได้”

                “จะไปจริงๆเหรอ” โซฮเยถามเสียงค่อยทั้งยังทำหน้าเศร้าจนแฮวอนเอื้อมมือไปขยี้ผมอย่างนึกเอ็นดู ดวงตากลมเลื่อนมองโซฮเย อูจิน ยูจอง โดยอนก่อนจะไปจบที่ซอนโฮ

                “อื้อ แต่ก็แค่กลับไปอยู่ที่วิลโลว์เอง ใกล้ๆแค่นี้”

                “แต่เราคงจะนึกถึงเธอ เออ คิดถึงพี่มากแน่” ยูจองว่า ส่วนโดยอนก็เออออตาม ร่างเล็กของเพื่อนจากไวท์ดิเวลเลอร์พุ่งเข้ามาสวมกอดแฮวอนแน่นตามด้วยคนอื่นๆ




                แฮวอนต้องใช้เวลาอยู่ที่พาราเดียนานกว่าที่คิดอีกนิด มือบางไล่ลูบหัวเพื่อนรุ่นน้องคนละทีก่อนจะบอกอย่างเป็นห่วง


                “ดูแลสุขภาพแล้วก็ตั้งใจเรียนด้วยนะ”

                “สัญญานะว่าจะตอบกลับมาน่ะ” อูจินถามก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาตรงหน้าจนแฮวอนยิ้มขำและเกี่ยวนิ้วสัญญาว่าตอบจดหมายกลับมาทุกฉบับ

                “นอนให้พอ กินอาหารให้ดีแล้วต้องแต่งตัวสวยๆด้วยนะพี่แฮวอน”

                “อื้อ สัญญาว่าจะทำตามที่บอกหมดเลยนะโดยอน” แฮวอนยิ้มบอกก่อนกางแขน “มากอดหน่อยเร็วเจ้าลูกหมี มาๆ”


                แดเนียลกับซองอูมองภาพนั้นใกล้และปล่อยให้ทั้งหกคนใช้เวลาร่วมกัน ก่อนที่เขาจะดันให้เพื่อนเข้าไปคุยกับแฮวอนก่อน


                “หลอกซะเนียนนะแฮวอน” ประธานหอของบลูซีโน่ว่าด้วยสีหน้าจริงจัง มือหนาทำท่าจะเขกเข้าที่หัวจนแฮวอนหลับตาแน่น “ฮึ แต่พี่ขอบคุณมากที่เธอได้มาอยู่ที่นี่”

                “รุ่นพี่…” แฮวอนลืมตาข้างหนึ่งเมื่อมือหนาแตะลงมาที่หัวอย่างนุ่มนวล ซองอูไม่ได้จะตีอย่างที่เธอเข้าใจ

                “ทำให้ปราสาทเราได้รางวัล คะแนนสะสมเฉลี่ยก็พุ่งขึ้น ทำให้พี่มีความสุขมากๆกับการใช้ชีวิตปีสุดท้ายในโรงเรียนนี้ ขอบคุณนะแฮวอน”


                แฮวอนที่ถูกดึงเขาไปกอดทีหนึ่งทำหน้าตกใจ แต่สุดท้ายก็กอดซองอูตอบ


                “ฉันก็ต้องขอบคุณพี่เหมือนกันที่สร้างประสบการณ์ดีๆในอยู่ที่นี่ให้ ชีวิตในรั้วโรงเรียนครั้งแรกของฉันมีพี่เป็นสีสันเลยนะคะ”

                “เหมือนเป็นตัวตลกเลย แต่ว่ายอมให้ก็ได้” ซองอูคลายอ้อมกอดพร้อมบอกด้วยรอยยิ้มทะเล้น เขาเลื่อนสายตามองเพื่อนตัวโตที่กำลังตีหน้านิ่งก็หันกลับมาบอกแฮวอนอย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ พี่จะไปเยี่ยมถึงวิลโลว์แน่นอน ส่วนตอนนี้ไปหาไอ้หมีหน้าบึ้งข้างหลังได้แล้ว”

                “ไง เจ็บอยู่บ้างมั้ย” แฮวอนเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาหลังจากที่ถูกซองอูดันหลังให้เข้ามาหาแดเนียล ส่วนเขาก็เร่งพาน้องๆคนอื่นกลับไป

                “ไม่แล้วล่ะ…แล้วทำไมถึงจะกลับล่ะแฮวอน”

                “ก็ฉันไม่เหมือนใครไง” แฮวอนตอบพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ เธอกำลังแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร

                “ไม่ไหวก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องฝืนหรอกนะ” แต่เพื่อนเก่าจับความรู้สึกนั้นได้ พอเห็นว่ารอยยิ้มบนใบหน้าหวานหายไป วงแขนแกร่งก็ดึงแฮวอนมากอด

                “ไม่เป็นไรจริงๆแดน ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเรียนอยู่แล้ว แค่มาแทนแชยองไง” เธอบอกอย่างพยายามรักษาน้ำเสียง “ถึงว่าพวกเขาจะยอมรับได้ แต่เป็นฉันเองต่างหากที่รู้ดีแก่ใจว่าต่างจากคนอื่น ฉันไม่อยากแกล้งว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรไงเลยต้องไป อยู่ไกลๆคงจะดีกว่านี้”

                “แล้วไม่คิดจะบอกใครเลยหรือไง ถ้าพ่อฉันไม่บอก ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอจะกลับวิลโลว์วันนี้”

                “ไม่ล่ะ จากไปเงียบๆคงดีกว่า ฉันไม่อยากร้องไห้อ่ะ นายก็รู้ว่าฉันขี้แยแค่ไหนตอนต้องบอกลา” แฮวอนว่าอย่างติดตลกจนได้รับแรงกระชับของวงแขนแกร่งคล้ายจะลงโทษที่เธอคิดอะไรแบบนั้น

                “แล้วไม่คิดจะบอกลาพวกเขาสักหน่อยเหรอ” เสียงทุ้มโน้มลงถามใกล้หู “คนที่ยืนมองตรงระเบียงนั่นน่ะ ตั้งสองคนเลยนะแฮวอน”

                “ไม่เอา แต่ฉันฝากนี่ให้พวกเขาด้วย” เสียงหวานบอกก่อนจะสอดจดหมายสองฉบับใส่เสื้อของแดเนียลและกำชับอีกครั้ง “เอาให้พวกเขาตอนที่ฉันก้าวออกไปจากที่นี่ ช่วยฉันหน่อยนะแดน”





     

                เกือบเที่ยงคืนในปราสาทบลูซีโน่ ฝีเท้าที่ก้าวเดินเป็นจังหวะกำลังตรงขึ้นไปชั้นสี่ที่เป็นห้องพักของนักเรียนปีหนึ่ง แทฮยองเปิดประตูของห้องริมสุด แสงไฟสว่างขึ้น ห้องนอนของแฮวอนยังอยู่ในสภาพเดิม มีเพียงแค่ของบางอย่างที่เธอเอากลับไปด้วย


                ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเตียงนุ่ม มือควานหาจดหมายที่ถูกพับเป็นรูปนกกระเรียนตัวใหญ่ขึ้นมา จดหมายที่แฮวอนฝากมาให้เมื่อหลายวันก่อนเขายังไม่ได้อ่าน นิ้วเรียวไล้ชื่อตัวเองที่เขียนไว้บนปีกนกกระดาษเบาๆก่อนจะค่อยๆแกะมันออก ลายมือน่ารักถูกเขียนไว้เป็นระเบียบ แค่อ่านประโยคแรกรอยยิ้มที่หายไปก็จุดขึ้นที่มุมปาก


                ที่เขาไม่อ่านเพราะกลัวจะอดใจไม่ไหว…


                ถึงคุณแทฮยอง

                คังแฮวอนคงเป็นนักเรียนที่แย่ที่สุดของบลูซีโน่เลยใช่มั้ยคะ ถึงอาจารย์อย่างคุณจะบอกว่าไม่มีนโยบายให้ลาออกกลางคัน แต่สุดท้ายฉันก็จากที่นั่นมาอยู่ดี แต่ฉันมีเหตุผลนะคะ ฉันอยากกลับไปอยู่กับครอบครัวที่เข้าใจและยอมรับในตัวฉันค่ะ ฉันรู้นะว่าคุณไม่ได้มองฉันต่างไปจากที่คุณเป็นหรอก แต่ฉันแค่ไม่สบายใจค่ะ ถึงตอนนี้ทุกคนจะเข้าใจว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาเคยคิด แต่ว่าฉันก็ยังอยากกลับไปอยู่ที่ที่ฉันดำเนินชีวิตได้อย่างสบายใจมากกว่า ขอร้องล่ะค่ะ อย่าโกรธฉันเลยนะ ฉันอยากจะพูดให้มากกว่านี้นะ แต่ว่าเดี๋ยวจะพับเป็นนกตัวเดียวไม่ได้ ผิดความตั้งใจค่ะ เอาเป็นว่าตอนที่อยู่กับคุณฉันมีความสุขนะคะ ถึงตอนแรกฉันเคยหมายหัวคุณไว้ว่าไม่น่าเข้าใกล้ก็เถอะ แต่พอได้รู้จักจริงๆคุณมันก็สี่มิติเหมือนที่คิดนั่นแหละ อันนี้ความจริงนะคะ

                ฉันน่ะชอบผมคุณมากเลย สีสวยแถมนุ่มด้วย อยากจะขอเล่นบ่อยๆเลยค่ะ ถ้าคงไม่วายถูกคุณดุแน่ ถ้าไว้ยาวอีกคงจะดีเนอะ ฉันนึกไม่ค่อยออกเลยค่ะ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่หันมองรอบตัวมักจะมีคุณอยู่ด้วยเสมอเลย เราเจอกันที่ห้องสมุดบ่อยเลยว่ามั้ย ต่อไปถ้าฉันอ่านหนังสือหน้าคุณคงลอยมาเลยล่ะ แล้วทำไมถึงชอบฉันใช้ให้ฉันหาหนังสือให้ด้วยแถมเป็นชั้นสูงๆด้วยคะ รู้มั้ยว่าฉันเกือบตกลงมาตั้งหลายรอบแน่ะ แล้วก็เพราะคุณเลย ฉันถึงไม่รู้ว่าคำอธิษฐานเป็นจริงมั้ย โกรธนะคะนั่น และต่อจากนี้หวังว่าคุณจะรู้สึกดีทุกครั้งที่มองพระจันทร์แล้วนะ คุณไม่ได้เป็นน้องสิงโตตัวนุ่มแล้วนี่ แต่ถึงอย่างนั้นตอนเป็นสิงโตคุณก็น่ารักนะคะ เหมือนน้องแมวเหมียวเลย ส่วนที่ดูแลฉันมาตลอดขอบคุณมากค่ะ ที่คุณบอกฉันน่ะ อืม…รู้สึกดีนะคะ หัวใจเต้นแรงสุดๆเลยตอนนั้น ถึงตอนนี้จะยังตอบไม่ได้แต่ฉันรับรู้นะคะ ถึงจะแกล้งปล่อยเบลอใส่บ่อยๆก็เถอะ ฉันไม่ชินน่ะค่ะ คนไม่มีประสบการณ์รักสามเศร้าก็แบบนี้ (ฉันล้อเล่นน่ะ หยอกๆนะ) เอาเป็นว่าคุณได้รู้คำตอบแน่ค่ะ แต่ช่วยรอสักพักนะคะ ระหว่างนี้ฉันจะนึกถึงคุณบ่อยๆนะ อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย ถ้าคุณป่วยฉันจะโกรธค่ะ นี่พูดจริงๆนะ สุดท้ายอ่านจดหมายจบแล้วอย่าลืมยิ้มด้วย เข้าใจตรงกันนะคะ

    แฮวอน


                “เขาเรียกคิดถึงต่างหากแฮวอน นึกถึงบ่อยๆอะไรกัน” แทฮยองที่อ่านจดหมายจบว่ากลั้วหัวเราะก่อนจะพับจดหมายลง ถึงจะไม่ได้เห็นหน้าแต่แฮวอนยังทำให้เขายิ้มได้เหมือนที่ผ่านมา ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ไปตามแผ่นกระดาษที่เปื้อนหยดน้ำเป็นวงๆ เจ้าของจดหมายนี่คงเผลอร้องไห้เป็นแน่

                “ไม่ต้องร้องนะ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเองแม้ว่าที่จริงแล้วแทฮยองหวังว่าจะได้พูดประโยคนี้ให้แฮวอนฟังจริงๆ


                ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกยาว ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนบนเตียง กลิ่นหอมๆของแฮวอนยังลอยฟุ้งในห้อง เขาพลิกตัวแล้วซบใบหน้าลงกับหมอนใบโตแล้วค่อยๆปิดเปลือกตาลงพลางนึกในใจ


                เขาคิดถูกแล้วที่ไม่อ่านจดหมายนี่ตั้งแต่ที่ได้รับ เพราะตอนนี้เขาแทบอดใจไม่ไหว…อดใจที่จะไปตามเธอกลับมาไม่ไหวแล้วตอนนี้




                ขณะเดียวกันที่ริมผาของชายป่าติดกับปราสาทเรดมอนเนิร์ค จองกุกยังนั่งห้อยขาและทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้าเหมือนวันที่มีแฮวอนนั่งอยู่ข้างๆ ในมือมีจดหมายของเธออยู่ เขาก็ยังไม่ได้อ่านมันเช่นเดียวกับแทฮยอง ตอนแรกจองกุกเกือบจะทิ้งมันไปแล้ว


                ดวงตาคมกริบหลุบมองจดหมายที่พับเป็นรูปนกเช่นเดียวกับของแทฮยองเพียงแต่มีชื่อของเขาเขียนตรงปีกซ้าย มือหนาค่อยแกะจดหมายที่ยับยู่ยี่ออกและกวาดสายตาอ่านข้อความยาวพรืดที่บรรทุกไว้ในนั้น แค่ประโยคเรียกจองกุกก็ส่งเสียงร้องฮึที่แฮวอนรู้ทัน


                ถึงคุณจองกุก

                ฉันหวังว่าคุณจะได้อ่านโดยที่ไม่ขย้ำมันทิ้งไปซะก่อนนะคะ ฉันคิดว่าคุณคงโกรธฉันที่จากมาแบบนี้ แต่ว่านี่เป็นการตัดสินใจของฉันเอง ตัวฉันสำหรับคุณคงจะเป็นแค่ยัยดื้อคนหนึ่ง แฮวอนที่ชอบต่อล้อต่อเถียง คนหลงทางที่คุณต้องวิ่งตามหาทุกครั้ง ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คนอื่นคิดกัน ข้อนั้นฉันรู้ค่ะ แต่ว่าตอนนี้กลับเป็นฉันซะเองที่คิดว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น ถึงจะแค่เล็กน้อย แต่ว่าฉันก็ไม่อยากใช้ชีวิตกับความไม่สบายใจอย่างนั้นฉันถึงเลือกที่จะกลับไปวิลโลว์ ฉันไม่ได้จะตัดใครออกจากชีวิตนะคะ แค่อยากอยู่ในที่ที่ฉันรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างบ้านก็แค่นั้น

                เอาเป็นว่าฉันขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะคะ ถึงตอนแรกฉันจะไม่ค่อยชอบคุณเท่าไหร่ ที่สั่งรายงานนั่นน่ะ แล้วยังตอนที่ให้ไปขัดรูปปั้นเปื้อนเลือดอีก จำได้ไม่ลืมเลยนะ คุณดุมากเลยรู้ตัวมั้ย ฉันทำอะไรก็โดนว่าตลอดเลย ตอนแรกคุณก็ไม่ชอบฉันใช่มั้ยล่ะ ส่วนที่เคยจับหน้าอกคุณคราวนั้นฉันขอโทษนะคะ ฉันโมโหที่คุณไม่ยอมไล่ฉันออกสักที แล้วก็ฉันแอบนินทาคุณอยู่ในใจหลายครั้งเลยล่ะ แต่ว่าความจริงแล้วคุณก็ช่วยฉันไว้หลายครั้งมากถึงจะขี้แกล้งไปหน่อยก็เถอะ รู้มั้ยว่าตอนคุณยิ้มน่ะน่ารักเหมือนกระต่ายมากเลยนะ ฉันชอบไปคุยโม้กับเจ้าตัวน้อยที่โรงเลี้ยงสัตว์หลังโรงเรียนบ่อยๆ บ่นถึงคุณนั่นแหละ แต่ทั้งๆที่คุณยิ้มสวยขนาดนั้นฉันเพิ่งเห็นมันตอนที่คุณเข้ามาช่วยตอนเลือดกำเดาไหล ช้าชะมัดเลยเนอะ ขอร้องล่ะค่ะยิ้มบ่อยๆนะ คิดว่าแกล้งฉันจนร้องไห้ก็ได้ถ้ามันทำให้คุณมีความสุขน่ะ แล้วฉันก็จำได้แม่นเลย ตอนในป่านั่น ถ้าไม่มีคุณฉันคงจะเตลิดไปมากกว่านั้น กอดคืนนั้นมันอบอุ่นมากจริงๆค่ะ ไหนจะที่คุณพาฉันเข้าปราสาทเรดมอนเนิร์คแล้วพาไปดูดาวที่นั่นด้วย ฉันน่ะชอบตอนนั้นมากจริงๆ ถึงจะโดนดุไปนิดหน่อยก็เถอะ ตอนที่อยู่ในไซเธียนอีก ถึงคุณจะเจ็บ คุณก็ยังดูแลฉัน และสุดท้ายความรู้สึกที่คุณมีให้ฉัน…ฉันคิดว่ายังให้คำตอบไม่ได้ แต่ว่าฉันสัญญาค่ะว่าจะบอกให้คุณรู้แน่นอน ส่วนอันนี้ไม่อยากบอกเลยจริงๆ แต่ว่าฉันคงจะคิดถึงคุณมากเหมือนกันนะคะคุณจองกุก ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะคะ

    แฮวอน


                รอยยิ้มบางๆถูกจุดขึ้นบนมุมปากของจองกุก เขาเก็บจดหมายที่เปรอะเปื้อนหยดน้ำเป็นวงจางๆลงก่อนมองตรงไปยังแถบฝ้าสีขาวที่ค่อยๆปรากฏขึ้นมาบนขอบฟ้า ริมฝีปากปล่อยคำพูดออกมาสั้นๆ


                “คิดถึงจะตายอยู่แล้วยัยบ้า”





     

                เกือบเดือนที่แฮวอนกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขภายในเมืองเล็กๆอย่างวิลโลว์ เธอตอบจดหมายทุกฉบับที่ส่งมาจากพาราเดีย เพื่อนๆพี่ๆทั้งหลายและอาจารย์ที่แฮวอนไม่คิดว่าเขาจะส่งจดหมายถึงเธอ ยกเว้นแต่คนที่เธอคิดว่าจะส่งมาบ้างกลับไม่มีเลย แต่แฮวอนก็ไม่นึกโกรธอะไร เธอทำใจรับผลที่ตามมาตั้งแต่แรกแล้ว


                ชีวิตในวิลโลว์ของแฮวอนไม่มีอะไรมากนอกจากช่วนแม่ทำขนม จ่ายตลาดและสอนหนังสือให้แชยอง น้องสาวเธอแข็งแรงขึ้นมากแล้ว ปีหน้าก็จะเข้าเรียนที่ฟาทูเร่


                ร่างบางหิ้วตะกร้ากลับมาหลังจากที่ออกไปสั่งของและกำลังกวาดตามองใบรายการจองขนมของวันพรุ่งนี้ สองเท้าเดินบนทางคุ้นชินจนกระทั่งหยุดลงที่หน้าร้านที่ตอนนี้มีชายหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรวมกันอยู่ตรงนั้น พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบและคลุมผ้าตามชนชั้นทางสังคม และมีน้องสาวของเธอยืนอยู่กลางวงนั่น


                “แชยองหน้าคล้ายพี่แฮวอนมากเนอะ”

                “อื้อ จะมองมุมไหนก็เหมือน ต่างกันที่สีผมกับความสูงนิดหน่อยเอง”

                “มีแต่คนบอกแบบนี้” แชยองที่หายตกใจแล้วบอกพร้อมรอยยิ้ม ก็อยู่ๆมีใครก็ไม่รู้มามุงอยู่เต็มหน้าร้าน เธอจึงออกมาดูเผื่อว่าพวกเขาต้องการการช่วยเหลือ แต่กลับกลายเป็นว่าคนเหล่านั้นคือเพื่อนรุ่นน้องของพี่สาวเธอนั้นเอง


                คนรุ่นเดียวกันพวกคุยกันอย่างถูกคอกระทั่งแชยองเห็นแฮวอนจึงรีบยกมือขึ้นและเรียกเสียงงดัง


                “พี่แฮวอน!!!”


                ทุกสายตาถูกดึงดูดไปร่างบางที่ก้าวเข้ามาร่วมวง ผมยาวสีเปลือกไม้และหน้าม้าที่ยาวจนเกะกะตอนทำงานถูกถักเปียและเก็บอย่างเรียบร้อย สอดประดับด้วยอย่างดอกไม้แห้งเหมือนอย่างแชยอง เสื้อแขนตุ๊กตาสีขาวและกระโปรงสีเดียวกัน มีผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อนผูกไว้ตรงเอวบาง แฮวอนดูต่างจากตอนที่อยู่โรงเรียนมาก ทว่ากลับมีเสน่ห์จนไม่อยากละสายตา


                “มากันได้ยังไงเนี่ย”


                สอบถามไปมาก็รู้ว่าก่อนปิดภาคาการศึกษานี้โรงเรียนแห่งพาราเดียได้พานักเรียนมาทัศนศึกษาเมืองใกล้อย่างวิลโลว์ พวกเขาเลยถือโอกาสมาเยี่ยมแฮวอน เจ้าของบ้านเลยไล่ให้เข้าไปในร้านที่ตอนนี้ปรับปรุงใหม่และเปิดเบเกอรี่เพิ่มเติมแล้วนำขนมหวานและเค้กต่างๆมาต้อนรับ


                แฮวอนปล่อยให้ทุกคนคนคุยกับแชยองหลังจากที่พูดคุยกับพอหอมปากหอมคอแล้ว ร่างบางเดินเข้าไปในครัวหวังว่าจะช่วยยอนจูทำขนมเพิ่ม แต่กลับพบกับร่างสูงทั้งเจ็ดคนที่กำลังสนทนากันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นที่ถัดไปจากห้องครัวสำหรับร้านขนม


                “สวัสดีค่ะ” แฮวอนที่ตีสีหน้าไม่ถูกไปชั่วครู่รีบโค้งศีรษะลงให้ความเคารพแก่อดีตอาจารย์ เธอพยายามสบตากับแม่ตัวเองก่อนจะโค้งตัวลงอีกครั้งเป็นเชิงขอตัว


                กำปั้นเล็กทุบลงเบาๆที่อกของตัวเอง ดวงตาคมกริบสองคู่นั้นที่แฮวอนเห็นเมื่อสักครู่ยังติดอยู่ในความทรงจำ พวกเขาทั้งสองมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและเธอเองก็ไม่กล้าพอที่จะอยู่ต่อหน้าแทฮยองและจองกุกไปนานกว่านั้น


                แม้จะผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ความคิดถึงนั้นไม่เคยจางหายไปจากหัวใจ บ่อยครั้งที่แฮวอนมองพระจันทร์แล้วอยู่ๆทุกอย่างที่เกิดขึ้นในพาราเดียก็ไหลกลับเข้ามา ความทรงจำที่มีพวกเขาสองคนอยู่ในนั้นยังฉายชัดในใจเธออยู่เสมอ


                แฮวอนทรุดตัวลงนั่งริมลำธาร เสียงน้ำไหลเอื่อยๆกระทบกับก้อนหินและพวกดอกไม้กับผีเสื้อที่บินว่อนไปมา เธอหวังว่าพวกมันจะช่วยให้เธอจิตใจสงบลงบ้าง


                “ชอบหนีมากหรือไงเธอน่ะ”

                “…เปล่าสักหน่อยค่ะ” แฮวอนตอบคนที่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆเสียงเบา หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอีกระลอกจึงแสร้งเบนหน้ามองไปทางลำธารแทน

                “แล้วนี่ไม่เรียกหนี หรือจะบอกว่าหลบหน้า”

                “อย่ารุมฉันอย่างนี้สิค่ะพวกคุณสองคนน่ะ”


                แฮวอนได้ยินเสียงถอนหายใจของทั้งแทฮยองและจองกุก พวกเขานั่งอยู่ข้างๆเธอ ไร้การพูดคุยไปครู่หนึ่งเพราะแฮวอนยังตั้งสติไม่ค่อยได้ อยู่ๆก็ได้เจอพวกเขาแต่เธอกลับคิดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่อย่างเดียว


                “นี่ เธอคิดว่าฉันปลื้มกับจดหมายเธอหรือไงแฮวอน” จองกุกชิงพูดก่อน ใบหน้าหล่อค่อยๆเบนมาหาคู่สนทนาที่ยังไม่ยอมมองตาเขา

                “คิดจะกลับก็ไม่ยอมบอกลาต่อหน้า” แทฮยองได้ทีสำทับ “จับไปฝึกอบรมมารยาทดีมั้ยแบบนี้”

                “ขอโทษค่ะ แต่ว่าฉันไม่อยากพูดว่าลาก่อนนี่” แฮวอนยอมหันมองพวกเขาทั้งสองก่อนจะสูดหายใจเข้า “ฉันเขียนจดหมายให้เพราะว่ามันคงบอกอะไรได้มากกว่าการที่ฉันต้องพูดเอง”

                “อ่อ ไม่กล้าบอกว่าคิดถึงฉันงั้นสิ”

                “คุณแทฮยอง!” แฮวอนเรียกเขาเสียงแข็งเพราะอาย อยากจะตีเขาเข้าสักทีแต่ไม่กล้าพอเลยได้แต่หายใจฮึดฮัด ส่วนอีกคนที่นึกว่าจะนั่งนิ่งๆกลับแทรกขึ้นมา

                “แต่เธอกล้าบอกว่าจะคิดถึงฉันเยอะๆนี่แฮวอน”


                แทฮยองหันมองคนน้องที่เผยรอยยิ้มเป็นต่อทันทีก่อนจะลากสายตากลับมาที่แฮวอน เธอตีสีหน้าไม่ถูกทั้งยังหันไปตีหน้าขาจองกุกทีหนึ่งเพราะเหลืออด


                “จะพูดทำไมคะ ฉันอายนะ”

                “ทำไมล่ะ ก็เธอบบอกจะคิดถึงฉันมากๆไง” จองกุกยังแกล้งล้อต่อ เขาอยากเห็นใบหน้าซับสีระเรื่อนานกว่านี้

                “แต่ฉันเริ่มไว้ผมยาวอย่างที่เธอบอกว่าชอบแล้วนะแฮวอน” แทฮยองไม่ยอม เขาบอกก่อนจะคว้ามือมือบางมาจับก่อนจะถามเสียงนุ่ม “อยากลูบมั้ย”

                “แต่ฉันยิ้ม ไหนบอกว่าฉันน่ารักเหมือนกระต่ายไง หันมาดูฉันยิ้มหน่อยเร็ว”


                แฮวอนถึงกับทำตัวไม่ถูก คนพี่ก็จะให้เธอจับผม ส่วนคนน้องก็จะยิ้มให้เธอดูอีก มือข้างมือแทฮยองก็จับ ส่วนแขนอีกข้างก็ถูกจองกุกดึง เธอไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครก่อนแล้ว จนสุดท้ายแฮวอนก็หลุดปากโพล่งออกไปอย่างเหลืออด


                “หยุดเลยนะคะ ฉันก็คิดถึงพวกคุณทั้งคู่แหละ คิดถึงค่ะ!”

                “ก็แค่นั้น ฉันแค่อยากฟังเท่านี้” จองกุกเป็นคนว่าก่อนจะโถมร่างเข้ามาและสอดแขนกอดร่างบางที่เขาคิดถึงหนักหนาเช่นเดียวกันกับแทฮยอง


                แฮวอนถูกคนตัวโตกว่าทั้งคู่กอดแน่น ลมหายใจที่ถูกกลั้นเอาไว้ค่อยๆระบายออกมา การได้เจอหน้าและได้สัมผัสคนที่เรานึกถึงอยู่ตลอดมันดีแบบนี้นี่เอง




                “…อยู่ที่นี่ฉันก็ทำขนมทำกับข้าว ออกไปจ่ายตลาดบ้าง ช่วยแม่เปิดร้านแล้วก็สอนหนังสือให้แชยอง ส่วนวันไหนถ้ามีคนส่งจดหมายมาให้ฉันก็จะตอบกลับวันนั้นเลยค่ะ แต่พวกคุณก็ไม่เคยสั่งมาหาฉัน” แฮวอนว่าเหมือนงอนๆ เธอกำลังแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างที่ไม่อยู่ที่พาราเดีย “แต่ว่าไม่ได้โกรธนะคะ ก็แค่นึกๆอยู่ว่าพวกคุณอาจจะโกรธอะไรแบบนี้”

                “ฮึ เพราะเธอไม่ส่งมาก่อนต่างหาก” แทฮยองว่าอย่างเอ็นดู “ไหนก่อนจะไปก็ยังยืนกอดกับผู้ชายอีก เห็นแล้วอยากเข้าไปตีชะมัด”

                “ตีตอนนี้เลยดีมั้ย”

                “บ้าหรือไงค่ะ ก็แดนเป็นเพื่อนฉัน” แฮวอนรีบหันไปทำตาโตใส่จองกุก เขายกมือขึ้นเหมือนจะตีเธออย่างที่ปากว่า “ก็แค่กอดเพื่อนเอง”

                “แต่ฉันไม่ชอบ!!!” เสียงทุ้มสองเสียงประสานขึ้นมาอย่างนั้นจนแฮวอนต้องตีหน้าเจื่อน มุ่ยหน้าทันทีเพราะรู้ตัวว่าเถียงไม่ได้แน่นอน

                “แฮวอน เอานี่ไป” การ์ดเชิญที่ประทับตราของการ์ดิเนียถูกวางลงมากลางมือบาง “วันงานเธอต้องให้คำตอบพวกฉันสองคนได้แล้ว”


                แฮวอนไม่ได้ว่าอะไรเพราะเข้าใจดีว่าสิ่งที่แทฮยองพูดหมายถึงอะไร เธอเพียงแต่งุ้มปากก่อนจะเบิกตากว้าง เกิดเสียงดังฟอดเมื่อปลายจมูกโด่งของทั้งสองคนกดลงมาสูดความหอมของแก้มนุ่มเต็มแรง


                ฟอด!!!


                “พวกฉันกลับก่อน ไว้เจอกันนะ”

                “พวกคุณจะมาหอมแก้มฉันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้นะ!!!”





                การเฉลิมฉลองเริ่มขึ้นหลังจากที่การวางเขตมนตราป้องกันอาณาจักรเสร็จสิ้น จดหมายเชิญร่วมงานถูกส่งมาถึงมือแฮวอน เรียกว่าถูกเชิญแกมบังคับซะด้วยซ้ำ ไหนจะยังต้องให้คำตอบเรื่องความรู้สึกของตัวเองอีก หลังจากที่ลองนึกทบทวนทุกอย่างแฮวอนก็รู้แล้วว่าคนที่เธอจะมอบความรู้สึกเช่นเดียวกันตอบไปคือใคร

                แฮวอนได้กลับมาที่พาราเดียอีกครั้งและพักอยู่ในปราสาทรับรองของคังชอล เธอได้พบปะเพื่อนๆและรุ่นพี่ที่เคยรู้จักกันเมื่อครั้งที่เธอเรียนอยู่ที่นี่

                เหล่าราชนิกุลและแขกผู้มีเกียรติต่างทยอยเดินทางเข้ามาร่วมงานอย่างคับคั่ง ในโรงเรียนถูกเนรมิตให้สวยงามยิ่งกว่าครั้งงานสถาปนาอาณาจักรซะอีก ท้องฟ้าของพาราเดียก็ดูสดใสหลังจากที่เรื่องร้ายๆผ่านพ้นไป สวนหลังประตูบานที่เจ็ดไม่ได้เป็นสถานที่ต้องห้ามอีกต่อไป ดวงจันทร์มายาที่เคยใช้ควบคุมเหล่าอาจารย์หายไปและแทนที่ด้วยพระจันทร์ดวงกลมโต แต่สิ่งยังคงอยู่คือกลิ่นหอมอ่อนๆในอยู่ในอากาศ กลีบดอกพีชที่ปลิวไปตามสายลมและดอกวิสทีเรียสีชมพูที่ยามนี้ผลิบานทั้งต้น

                งานครั้งนี้จัดกลางลานโล่งแจ้ง มีเพียงระแนงที่มีดอกเลื้อยพันเอาไว้ประดับอยู่สองข้างทาง ดวงไฟสีส้มนวลถูกจัดประดับให้ความสว่าง เก้าอี้ของจักรพรรดิถูกตั้งเอาไว้หน้าต้นวิสทีเรียที่เป็นศูนย์กลางของสวน ถัดมาเป็นที่นั่งของผู้ร่วมงานคนอื่นๆรวามถึงนักเรียนของพาราเดียที่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมงานด้วย เก้าอี้สีขาวถึงถูกจัดเป็นแถวเรียงยาวลงมาจนเกือบถึงบานประตู

                แฮวอนนั่งอยู่ข้างแดเนียลและยองเค ขวามือเป็นแชยองที่เอาแต่สอดสายตามองไปทั่วอย่างสงสัยใคร่รู้ ส่วนพ่อแม่ของเธอนั่นนั่งประจำตำแหน่งด้านหน้า ดวงตากลมเลื่อนมองร่างสูงทั้งเจ็ดที่อยู่ในชุดคลุมพิธีการ พวกเขาจะรับการประดับยศเพิ่มเนื่องจากความดีความชอบในการปกป้องการ์ดิเนีย

                ตลอดเวลาที่งานดำเนินไปแฮวอนมีความสุขดี มีการแสดงและการบรรเลงดนตรีจากดาเรียน เธอคุยกับยองเคอย่างสนุกสนานจนได้รับสายตาคาดโทษไม่รู้ตัวจากสองคนที่อยู่ด้านหน้า กระทั่งลากสายตาไปยังเก้าอี้แถวฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ

                แทมินนั่งอยู่ข้างซูจอง ดวงตาเรียวเฉี่ยวนั่นสบเข้ากับดวงตากลมโตของแฮวอน แต่ที่น่าแปลกซูจองกลับฉีกยิ้มน้อยๆให้เธอก่อนจะผินหน้ากลับไปพูดคุยกับสามีเธอตามเดิม

                “…แฮวอน แฮวอน มองอะไรอยู่”

                “อ่ะ เปล่าค่ะ ฉันก็มองไปเรื่อยแหละ” แฮวอนหันไปตอบยองเคพลางย่นจมูกใส่อย่างเผลอตัวจนอีกคนหัวเราะคิกคัก

                “ยิ้มแบบนี้ใครบางคนตรงนู่นจะกระอักเลือดตายนะ”

                แฮวอนมองตามทางที่ยองเคผินหน้าไปก็สบเข้าสายตาที่เหมือนจะตำหนิของจองกุกและแทฮยองจนต้องยิ้มเจื่อนๆตอบไปแล้วรีบหันหน้าหนีทันที เสียงหัวเราะคล้ายขบขันที่ดังอีกหนทำเอาแฮวอนต้องงุ้มปากใส่ยองเคอีกครั้ง

                ร่างบางที่แอบขัดเขินเพราะถูกยองเคล้อเลียนแล้วยังต้องหันไปตีหน้าดุใส่แดเนียลที่แอบส่งสายตาหยอกล้อเรื่องของเธอและพี่ชายตัวเองอีก กระทั่งเสียงของแชยองเรียกให้แฮวอนหันเหความสนใจไปยังพิธีการที่ดำเนินถึงตอนสำคัญ

                “ดูนู่นสิพี่แฮวอน”

                ซอกจินคุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดิ พระอาทิตย์สีทองถูกประดับลงบนอกซ้ายก่อนที่มือหนาจะรับจอกน้ำศักดิ์ที่บรรจุไวน์รสเลิศเอาไว้และดื่มเพื่อปฏิญาณตนว่าจะจงรักภักดีแก่การ์ดิเนียตลอดไป จากพี่ใหญ่ไล่เรียงไปตามอายุ เมื่อจองกุกดื่มไวน์องุ่นเสร็จก็ถึงคราวของจักรพรรดิ

                ดอกไม้ที่เลื้อยพันระแนงเหนือศีรษะของผู้ร่วมงานผลิบานก่อนจะปล่อยผงสีเข้มมุกลงมา แฮวอนรู้ตัวจนรีบกลั้นหายใจ นั่นคือผงชาร์ม มีสรรพคุณทำให้คนที่สูดดมเข้าไปไม่มีสติและไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ มือเบารีบเขย่าร่างคนที่นั่งใกล้ๆแต่ไร้การตอบรับ พลันกรอบสายตาก็ปรากฏร่างของหญิงที่ผู้ที่ลุกขึ้นและเดินตรงไปทางใต้ต้นวิสทีเรียที่พิธีการกำลังสะดุดลง

                ซูจองหยิบถุงยาพิษขึ้นมาก่อนจะเทสิ่งนั้นลงในจอกเงินที่แกะสลักอย่างงดงาม น้ำสีม่วงอมแดงกลายเป็นสีดำและมีกลิ่นเหม็นโชยขึ้นมา เท่านั้นแฮวอนก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้ไม่ปกติ พริบตาเดียวร่างบางก็ปรากฏร่างตรงหน้าซูจอง ดวงตาที่เคลือบแฝงไปด้วยม่านสีเขียวทำให้เธอรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

                “คุณฮยอนซอก คุณควบคุมเธอ!”

                “เก่งเสียจริงแฮวอน” ซูจองขยับริมฝีปากพูด แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงของฮยอนซอก ไม้กายสิทธิ์ปรากฏขึ้นในมือก่อนจะชี้ไปที่จอกเงิน

                “อิมเปริ โอ”

                “เอกซ์เปลล์ริอาร์มัส”

                จอกเงินกระเด็นออกมามือหนาอย่างทันท่วงที ก่อนที่พลังสีม่วงจะพุ่งตรงเข้าหาร่างของซูจอง มือบางตวัดไม้กายสิทธิ์อย่างคล่องแคล่วเพราะฮยอนซอกแฝงกับร่างของซูจองได้อย่างสมบูรณ์ เธอและเขาเป็นหนึ่งเดียวกันได้เนื่องจากหัวใจที่มืดดำ

                ซูจองโบกไม้อีกครั้งโซ่ตรวนก็ปรากฏขึ้นและพันธนาการทุกคนในงาน แฮวอนพยายามจะเรียกสติพวกเขาแต่ไร้การตอบรับ

                “พวกนั้นไม่รู้สึกหรอก วันนี้การ์ดิเนียต้องเป็นของฉัน!

                “คุณพอสักทีเถอะ แค่นี้คุณก็ทำอะไรแย่ๆมากเกินพอแล้วนะ” แฮวอนพยายามจะเตือนสติระหว่างที่เบี่ยงตัวหลบพลังสีเขียวและตอบโต้กลับไปภายในเสี้ยววินาที

                แฮวอนรวบรวมสติก่อนจะกระทืบเท้าขึ้นหนึ่งครั้ง มือบางขยับบังคับรากไม้ที่ผุดขึ้นมากผืนดินให้เข้าพันธนาการร่างของซูจอง รากไม้ผุดขึ้นมากจากทุกทางและตีวงล้มเข้าพันรัดซูจองตามที่แฮวอนบังคับ นิ้วเรียวชี้ลากไปมาเพื่อใช้วารีเวทกังขังซูจองในเกราะน้ำแข็งและสำทับเข้าไปด้วยวงแหวนเพลิงและวาโยอีกสองชั้น

                เธอไม่ได้สนใจอาการที่ทรมานของซูจอง ไม้สีน้ำตาลโบกซ้ำหลายๆครั้งเพื่อรวบรวมกลีบดอกวิสทีเรีย ฝ่ามือข้างหนึ่งเรียกวารีเวท ส่วนอีกข้างขยับเพื่อเปลี่ยนกลีบดอกบอบบางให้เป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อประกบมือเข้าหากับแสงสีม่วงก็ปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ มันกลายเป็นผงสีม่วงส่องประกายวิบวับ แฮวอนก็โยนมันขึ้นและใช้เวทสีเงินกระจายมันไปทั่วเพื่อถอนพิษจากผงชาร์ม

                “เกิดอะไรขึ้นน่ะ” จีมินที่พ้นมนต์สะกดว่าก่อนจะกวาดตามองไปทั่วก่อนพบว่าทุกคนค่อยๆหลุดออกจากภวังค์

                “แล้วทำไมซูจองถึงอยู่ในสภาพนั้น” ยุนกิถามก่อนจะหยุดสายตาที่แฮวอน

                ในงานเกิดความวุ่นวายไม่น้อย อัศวินต่างวิ่งเข้าปกป้องผู้เป็นนายเพราะสัมผัสถึงความผิดปกติเมื่อสักครู่

                “เธอไม่เหมือนเดิมค่ะ ฮยอนซอกแฝงอยู่ในร่างของเธอ เขาต้องการวางยาพิษจักรพรรดิ” เสียงหวานสิ้นสุดลงเมื่อเงาสีดำเคลื่อนที่ทาบทับดวงจันทร์จนแสงสีนวลของมันหายไปจากบนผืนโลก

                ทุกอย่างตกอยู่ในความสงบนิ่งชั่วคราว ความรู้สึกบางอย่างทำให้เธอหันหลัง คนที่แฮวอนพันธนการไว้หลุดออกมาได้ ดวงตาสีเขียวเข้มของซูจองปรากฏขึ้นพร้อมกับมวลพลังที่ก่อขึ้นตรงปลายไม้และชี้ไปทางเหล่าอาจารย์

                พลังสีม่วงถูกร่ายตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรง พลังนั้นกระจายตัวเป็นวงกว้าง แสงที่ปะทะกันเจิดจ้าจนแทบมองอะไรไม่เห็น แต่ว่าฮยอนซอกกลับปัดสายพลังของแฮวอนออกไปได้ พลังที่ซึมซับจากความมืดใต้เงาของจันทรุปราคาทำให้เขาสามารถร่ายคาถาและเพิ่มพลังได้เป็นเท่าตัว แสงสีเขียวพุ่งตรงไปยังเหล่าอาจารย์ในขณะที่พลังของแฮวอนยังอยู่ที่ปลายไม้กายสิทธิ์

                “ระวังค่ะ!!!” แฮวอนรีบตะโกนอย่างเป็นห่วงก่อนจะเคลื่อนกายเข้าไปขวางอย่างรวดเร็ว เธอนึกเพียงแต่ว่าต้องช่วยให้พวกเขาปลอดภัย

                “ไม่!!!” เสียงทุ้มตะโกนอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างวิ่งเข้าหาร่างบางเพื่อต้องการปกป้องแฮวอน

                วินาทีนั้นแสงสีเขียวพุ่งตรงเข้าผ่านร่างของแฮวอน ลมหายใจเธอสะดุดกึกลงและกลายเป็นหยุดนิ่ง ไร้ความเจ็บปวดแต่กลายเป็นความว่างเปล่า ทุกอย่างช่างรวดเร็ว แม้แต่คำกล่าวลาแฮวอนยังไม่มีโอกาสเปล่งมันออกมาเลย เพราะฉะนั้นรอยยิ้มของเธอคงเป็นอย่างสุดท้ายที่จะมอบให้พวกเขาได้

                …รอยยิ้มแสนสดใสใต้ดวงจันทร์สีเหลืองนวล รอยยิ้มสุดท้ายของเธอ



    Spoil Last Chapter


    “ขอให้ผมได้เจอเธออีกครั้งเถอะครับ”

    “เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วนะแฮวอน”

    “ฉันคิดถึงเธอนะแฮวอน”

    “เร็วๆเถอะก่อนที่ฉันจะไม่ยอมปล่อยเธอกลับบ้านตัวเอง”

    “บอกแล้วว่าให้เลิกเรียกคุณ สอนไม่จำต้องโดนลงโทษ”




    Let's talk  with me

               ก้มหัวหลบรองเท้าจ้า ขว้างมาร้อยคู่ก็จะหลบทั้งร้อย กร๊ากกกก แอบเป็นคนใจร้ายหนึ่งวัน อิอิ แง่ะ~ ทำไงได้ พี่โฮปดูดวงแม่นนะ โธ่เธ่คนดีของพี่ วินาทีสุดท้ายก็ยังเป็นคนดีและจากไปพร้อมรอยยิ้ม พูดแล้วเศร้า ขอเวลาไปร้องไห้แปบนะ เห็นตัดจบเป็นจิตใจหยาบกระด้างแบบนี้ เราอึนกับฉากนี้มาก ใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะทำใจเขียนได้อ่ะแง้~ แต่สัญญาว่าไม่เบดเอนจ้า เชื่อใจกันนะจ๋าจ๊ะ ส่วนตอนจบเราจะอัพวันที่9ก่อนปิดพรีหนึ่งวัน ตอนนี้ขอแก้บทบรรยายนิดนึงพอดีเปลี่ยนใจกะทันหันค่ะ (แง้ม~ ติด #แฮวอนของกุกวี หน่อยได้ป่าว อยากอ่าน ขอร้องงงง) ปล.เปิดพรีแล้วนะจ๊ะ สนใจจิ้มตอนเปิดพรีไม่ก็จิ้มรูปข้างล่างได้เลยจย้าาาา เปิดพรีถึงวันที่10กันยานะคะ!!!

    สนใจจิ้มข้างล่างรูปแทกุกเลยจย้า





    อยากได้คอมเมนต์ให้ชื่นใจจรุม หรือจะกดหัวใจก็ได้ อุ่ย แมวพิมพ์ง่ะ อิอิ

    7/09/18
    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×