ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Taehyung & Jungkook | PARADIA [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #22 : ♦ 19 THE SUN ♦

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.11K
      354
      21 ส.ค. 61






    19

    ♦ THE SUN 

     





                “ทุกอย่างที่เธอปรารถนาจะครอบครอง”

                “ปรารถนา” แฮวอนทวนคำอย่างเชื่องช้า มือบางค่อยๆยกขึ้นเสมอหน้าลงพร้อมจะแตะลงกับมือที่อีกฝ่ายยื่นมา

                “อย่างนั้นแหละ ดีมาก”

                “แต่สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนาคือหัวใจเธอ” เสียงเลื่อนลอยถูกสลัดออกและแทนที่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทันทีทันใด


                พลังสีม่วงก่อขึ้นที่ผ่ามือในเสี้ยววินาที พอตวัดมือก้อนเนื้อสีแดงสดก็พุ่งตรงเข้ามือแฮวอนทันที วินาทีที่หัวใจหลุดออกมาจากอกฝ่ายตรงข้ามแฮวอนเองก็รู้สึกเจ็บราวกับถูกกระชากมันออกมาซะเอง ลมหายใจถูกสูดเข้าออกลึกๆ ในขณะคนที่ถูกช่วงชิงของสำคัญก็ผงะถอยหลัง พลังที่กำลังทรมานร่างสูงทั้งสองก็หายวับไปด้วย


                “ธเธอ น่าโง่!” เจ้าของเสียงกล่าวกระท่อนกระแท่น ร่างทรุดลงกับพื้นพร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเรื่อยๆ

                “ไม่หรอก เธอก็แค่ฝันร้ายไนท์แมร์” แฮวอนเรียกตัวตนที่แท้จริงของคนตรงหน้าออกมา ไนท์แมร์เป็นมนตราขั้นสูงที่จะก่อตัวตนด้านมืดขึ้นมาหวังล่อลวงให้จำนวนต่อความมืด นั่นเป็นการป้องกันแหล่งเก็บคำสาปของฮยอนซอก หัวใจในมือเต้นตุบๆบ่งบอกอาการหวาดกลัวของผู้ที่เป็นเจ้าของ “พอตื่นขึ้นมาเธอก็หายไป ไม่มีใครจดจำเธอได้”

                “มไม่จริง ฉันมีตตัวตน”

                “ใช่ เธอมี” แฮวอนบอกพร้อมรอยยิ้มเสแสร้ง ร่างบางเอียงศีรษะมองคนที่ค่อยๆเลือนรางลงไปเรื่อยๆ “แต่ฉันไม่กลัว”


                ลมหายใจร้อนผ่าวถูกระบายออกมาเฮือกหนึ่งหลังจากที่ไนท์แมร์หายไป หัวใจในมือของแฮวอนเองก็หยุดเต้นแล้ว มือข้างที่ว่างค่อยๆปาดเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกไปจนหมด พอหันกลับมาอีกครั้งทั้งจองกุกและแทฮยองก็ยืนขนาบข้างเธอซะแล้ว


                “เป็นอะไรมั้ยแฮวอน” จองกุกโพล่งถามคนแรก

                “ไม่ค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ ก่อนจะมองตรงไปยังอ่างหินที่ตั้งไว้ใต้ต้นวิสทีเรีย “ฉันเจอที่เก็บคำสาปแล้ว รีบจัดการมันเถอะ”

                “เดี๋ยวก่อนแฮวอน” แทฮยองรั้งแขนเรียวเอาไว้ ดวงตาคมกวาดมองดวงหน้าที่มีรอยยิ้มประดับอยู่ แต่เขากลับไม่พบความสุขในนั้นเลย “เรื่องวิธีแก้คำสาปนั่นมันหมายถึงชีวิตเธอเลยนะ

                “เธอไม่ต้องเสียสละขนาดนี้หรอกนะแฮวอน” จองกุกบอก แววตาอ่อนโยนทอดมองคนตัวเล็ก “ถึงเรื่องนี้จะเป็นเรื่องสำคัญของฉัน แต่ถ้าต้องแลกกับการที่ต้องสูญเสียเธอ ฉันไม่เอาด้วยหรอก”

                “ใช่ ไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้นเลยนะแฮวอน”

                “พวกคุณได้ยินที่ไนท์แมร์บอกมั้ยคะ” แฮวอนถามแต่ไม่รอฟังคำตอบ “เธอบอกว่าฉันกับเธอคือคนเดียวกัน ตอนนี้ฉันก็ได้หัวใจมาแล้วไงคะ”

                หัวใจสีแดงถูกยกขึ้นมายืนยัน ก่อนที่แฮวอนบอกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเดิม

                “ฉันคิดว่าหัวใจของเธอคงจะล้างคำสาปได้เหมือนกัน แต่ถ้าไม่” เสียงหวานเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง แฮวอนรู้ตัวว่าใกล้จะร้องไห้เต็มทน ลำคอเธอแห้งผาก และน้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลก็ปริ่มล้นอยู่ที่ขอบตา “ฉันยินดีจะยกหัวใจฉันให้ค่ะตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกคุณช่วยฉันเอาไว้มาก อยู่ข้างฉันในวันที่แม้แต่ฉันเองยังไม่อยากเป็นตัวเอง ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องเลยนะคะ แล้วถ้าหัวใจของฉันมันช่วยพวกคุณกับการ์ดิเนียได้ ฉันก็จะทำค่ะ”


                จองกุทนเห็นแฮวอนแกล้งฝืนว่าไม่เป็นไรไม่ไหวจึงคว้าเธอเข้ามากอดตามด้วยแทฮยอง ร่างบางถูกโอบล้อมด้วยอ้อมกอดอบอุ่น ฝ่ามือหนาลูบเบาๆที่เรือนผมและแผ่นหลัง สัมผัสนั้นทำเอาแฮวอนร้องไห้จนได้ คำพูดปลอบประโลมผลัดกันปลอบโยนเธอหลายประโยค แฮวอนรู้สึกว่าอยากเก็บช่วงเวลานี้ไว้เหลือเกิน


                กอดกันอยู่หลายนาทีแฮวอนจึงค่อยผละออกพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ดวงตากลมแดงช้ำเล็กน้อยพร้อมกับปลายจมูกที่กลายเป็นสีแดง


                “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ พวกคุณดีกับฉันมากจริงๆ”

                “หยุดร้องได้แล้ว” แทฮยองบอกพลางยื่นมือเช็ดน้ำตาที่ร่วงผล็อยลงมา ส่วนจองกุกก็เอาแต่ลูบที่ผมหนานุ่มอย่างไม่ยอมละมือลง

                “ค่ะ ไม่ร้องแล้ว” แฮวอนบอกพลางใช้มือเช็ดหน้าเช็ดตาไปด้วย “พวกคุณเปลี่ยนเป็นสิงโตกับเสือเถอะค่ะ ถ้ามันได้ผลฉันจะได้รู้”


                สิ้นเสียงทอดถอนหายใจร่างสีน้ำตาลอ่อนและดำก็ปรากฏตรงหน้า แฮวอนพยายามยิ้มให้พวกเขาก่อนจะหันหลังและลากขาแสนหนักอึ้งเดินตรงไปยังอ่างหินสีเทาเข้ม


                อ่างทรงกลมบรรจุน้ำสีเขียวเข้ม มันเดือดปุดๆ ภาพของสัตว์ประจำตัวของอาจารย์ทั้งเจ็ดผลัดผุดขึ้นมา แฮวอนสูดหายใจเข้าก่อนจะยื่นหัวใจสีแดงไปยังเหนืออ่างหิน พลังสีม่วงจากมือบางกระตุ้นให้หัวใจของไนท์แมร์นั้นเต้นอีกครั้ง มันขยับอย่างเชื่องช้า พรูลมหายใจออกแฮวอนก็ออกแรงบีบก้อนเนื้อ ความรวดร้าวแล่นตั้งแต่ปลายนิ้วถึงต้นแขน แต่แทนที่จะเป็นเลือดสีแดงฉานมันกลับกลายเป็นประกายสีแดงเข้มปะปนกับผงสีม่วงจากพลังของแฮวอน


                ทั้งสองพันเกลียวกันและตกลงสู่น้ำสีเขียว ผงนั้นค่อยๆชะล้างมนตราด้านมืดออกทีละนิด ของเหลวในอ่างเริ่มหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากสีเขียวก็เจืองจางลงและกลายเป็นน้ำเปล่าบริสุทธิ์ แสงสีม่วงสว่างวาบออกมาเป็นวงกว้าง พลังของมันเปลี่ยนให้เสือดำและสิงโตภูเขาที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ไม่ไกลกลับกลายเป็นมนุษย์


                ร่างบางถูกรวบเข้าไปกอดอีกครั้ง แฮวอนอดสะดุ้งไม่ได้ที่อยู่ถูกพุ่งเข้ากอด ดวงตากลมหลุบมองสองคนที่ซบหน้าที่ไหล่บางคนละข้างก่อนที่รอยยิ้มค่อยๆจุดขึ้นที่มุมปาก แขนบางวาดกอดร่างหนาตอบช้าๆ มือตบเบาๆลงที่แผ่นหลังกว้าง


                “ไม่เป็นไรแล้วนะคะ”

                “เธอต่างหากที่ไม่เป็นอะไร” จองกุกเถียงขึ้นมาเสียงอู้อี้ จนแฮวอนระบายยิ้มด้วยความโล่งใจ ตอนนี้เธอทำสำเร็จแ คำสาปร้ายนั่นถูกปลดปล่อยแล้ว

                “เรารีบกลับกันเถอะค่ะ” แฮวอนว่าหลังจากที่โดนกอดอยู่นาน มือบางตีเบาๆที่ตัวพวกเขาที่ชักจะกอดเธอแน่น ทำเหมือนจะไม่ยอมปล่อย


                แฮวอนปลดไข่มุกสีฟ้าอมเขียวมาถือไว้ในมือ นึกถึงพาราเดียไว้ในใจก่อนจะเขวี้ยงมันลงพื้นตามที่นางเงือกบอก ควันสีสวยพวยพุ่งขึ้น ทว่ามันไม่ได้ทำให้พวกเธอกลับไปยังพาราเดียได้อย่างที่คิด


                “เกิดอะไรขึ้น มันไม่ได้ผลอย่างงั้นเหรอ”


                จองกุกก้มลงเก็บไข่มุกที่ยังไม่บุสลายแล้วลองเขวี้ยงอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม พวกเขายังยืนในสวนแห่งดาร์กวัน


                “ฉันว่าบางทีตอนนี้ที่พาราเดียอาจจะวางม่านมนตราครั้งใหม่แล้ว พวกกลับไม่ได้” แฮวอนที่เงียบอยู่นานพูด “ที่คุณคีชินบอก ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีเวลาแปรปรวน เราไม่รู้เลยว่าวันเวลาข้างนอกเปลี่ยนแปลงไปยังไง แค่ไม่กี่ชั่วโมงของที่นี่อาจจะกลายเป็นเดือนของข้างนอกแล้วก็ได้”

                “หมายถึงเราจะออกไปจากชาโดว์แบลงค์ไม่ได้?

                “ฉันก็ไม่รู้ค่ะ แต่คิดว่ามันต้องมีทางออกอื่น”

                “นี่เป็นความคิดแปลกๆอย่างหนึ่งของฉัน” แทฮยองพูดขึ้นพลางกวาดตามองไปรอบตัว “คุ้นๆที่นี่กันบ้างมั้ย”

                “คล้ายกับสวนหลังประตูมาก ทุกอย่าง ยกเว้นท้องฟ้าแค่นั้น” จองกุกว่า เขาเองรู้สึกตั้งแต่แรกแล้ว

                “กุญแจนำทาง?” แฮวอนพึมพำออกมาอย่างนั้นเมื่อผินหน้ามองต้นวิสทีเรีย ร่างบางก้าวตรงไปและทรุดตัวนั่ง มือบางลูบเปลือกไม้ขรุขระและหยุดตรงโคน ปัดเศษเปลือกแห้งๆออกก็พบตราสัญลักษณ์บางอย่าง รอยนั้นเป็นรอยสลักรูปร่างเหมือนเข็มทิศเหมือนที่แฮวอนเคยเห็นครั้งที่ได้เข้าไปในสวนหลังประตู พอเห็นอย่างนั้นก็เรียกสองคนให้เขยับเข้ามา “ตามมาตรงนี้เลยค่ะ”

                “เธอเจอทางออกแล้ว?” เป็นจองกุกที่ถามขึ้นมา ดวงตาคมฉายแววสงสัยปนประหลาดใจไม่ต่างจากคนที่ยืนข้างเคียงแทฮยอง

                “อธิบายยากค่ะ แต่เอาเป็นว่าแตะตรงนี้” เธออธิบายแค่นั้นแล้วเลื่อนสายตาไปยังที่ถูกประทับไว้ยังลำต้นของต้นวิสทีเรีย

                ฝ่ามือหนาของทั้งคู่แตะลงมาตามที่แฮวอนบอกแต่ไม่วายจะสัมผัสโดนมือบอบบางจนแฮวอนอดสะดุ้งไม่ได้ ดวงตากลมกลอกมองเล็กน้อยก่อนจะแตะปลายไม้กายสิทธิ์ลงบนตรานั่น แสงสีม่วงสว่างขึ้นและไหลไปตามรอยสัญลักษณ์

                “พอร์ตัส”


                สิ้นเสียงหวาน มวลอากาศรอบกายราวกับถูกบีบอัดอีกครั้ง ทุกคนหลุดไปในมิติอันบิดเบี้ยว พื้นดินที่เคยยืนอยู่อันตรธานหายไปจนเสียการทรงตัว ความรู้สึกคล้ายกับตัวถูกกระชากไปด้านหน้าและลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ


                นานนับนาทีกว่าที่จนหลุดจากพายุหมุนสีม่วง แฮวอนยังทรงตัวอยู่ได้พลางหอบหายใจเข้าออก เงยหน้ามองแผ่นฟ้าที่มีพระจันทร์เสี้ยวสีเหลืองนวลกับกลุ่มดาวประดับอยู่ กลีบดอกไม้สีอ่อนร่วงหล่นมาแตะแก้มแฮวอนก่อนที่เธอจะหันไปมองร่างสูงทั้งสองเพื่อขอความมั่นใจ


                “เธอทำได้” เสียงทุ้มกล่าวอย่างไม่ค่อยเชื่อ “เรากลับมาถึงพาราเดียแล้ว”


                เสียงดังตู้มกลบเสียงแทฮยองที่กำลังพูดไปจนหมด ทั้งสามคนต่างหันมองต้นเสียง ด้านหลังบานประตูที่กำลังสั่นสะเทือนกำลังเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น


                พวกเขากลับมาช้าเกินไป สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว




                พวกแวมไพร์บุกพาราเดียเมื่อสามวันก่อน นักเรียนทุกคนถูกซ่อนเอาไว้ในปราสาทหลักและลงมนตราคุ้มครองแน่นหนา แต่มีนักเรียนหลายคนออกมาร่วมสู้ คนที่บาดเจ็บถูกรักษาตัวที่ห้องอาหารที่บัดนี้กลายเป็นเรือนพยาบาลชั่วคราว


                อาจารย์พยายามดึงวงล้อมของการต่อสู้ครั้งนี้ไว้ในโรงเรียน ยังมีปะชาชนข้างนอกที่ไม่ทันอพยพ พวกเขาจำเป็นปกป้องทุกชีวิตเอาไว้ ทุกพื้นที่ตอนเต็มไปด้วยร่างขาวซีดที่ไล่ล่าหาเหยื่อ ยามที่รัตติกาลมาเยือน ดินแดนแห่งนี้ไม่ต่างอะไรกับลานประหาร เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังไปทั่วทุกหัวระแรง ด้านเมืองอื่นๆเตรียมการตั้งรับและส่งความช่วยเหลือเข้ามา ทว่าในเวลานี้บาเรียถูกกางครอบคุลมทั้งโรงเรียนเอาไว้ขัดขวางการเข้าออกของทุกชีวิต


                “ระวังตัว อย่าให้มันกัด!!!”

                “แทงดาบเข้าที่หัวใจมัน ไม่ก็เผา เข้าใจใช่มั้ย!!!”

                “ถ้าอย่างนั้นกระจายกำลังไปทุกส่วน ป้องกันประตูทางออกทุกทางเอาไว้ให้ดี จนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นผมหวังว่าจะไม่มีใครหายไป”

                “ครับ!!!”


                นักเรียนทุกคนรับคำของนัมจุนอย่างเข็มแข็งแล้วแยกตัวไปประจำที่ก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ก่อนที่ภัยร้ายจะคืบคลานเข้ามา เสียงฝีเท้าดังก้องสะท้อนไปกับสิ่งปลูกสร้างร้างผู้คน


                จองกุกและแทฮยองกวาดมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากพ้นสวนหลังประตูพื้นที่ที่เคยสวยงามถูกแทนที่ด้วยซากปรักหักพัง เขม่าสีดำ พื้นดินแห้งแตกราวกับเป็นฤดูแห้งแล้ง ที่นี่ไม่เหมือนกับพาราเดียที่พวกเขารู้จัก


                พอเห็นแผ่นหลังคุ้นตาแทฮยองก็ส่งเสียงเรียกก่อนจะรุดเข้าไปหาคนเพื่อนสนิท


                “จีมิน! เกิดอะไรขึ้นที่นี่”

                “แทฮยอง จองกุก พวกนายกลับมาแล้ว” ร่างสมส่วนว่าอย่างดีใจปนโล่งอก “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย พวกนายหายไปเกือบเดือนกว่ารู้หรือเปล่า”

                “แฮวอนล้างคำสาปได้แล้ว” จองกุกบอกแม้อยากจะแย้งว่าพวกเขาอยู่ชาโดว์แบลงค์ไม่ถึงห้าวันด้วยซ้ำพลางกวาดตามองรอบตัว ก่อนถาม “พวกมันบุกเข้ามาในโรงเรียนใช่มั้ย”

                “อืม สามวันแล้ว เราลงเขตมนตราใหม่ได้ก็จริง แต่ว่าช้าเกินไป ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือต้อนพวกมันกลับเข้าไปในชาโดว์แบลงค์แล้วลงผนึกประตูมิติอีกครั้ง”

                “เธอรีบกลับเข้าปราสาทไปแฮวอน” แทฮยองหันบอกอย่างเป็นห่วง

                “ไม่ได้หรอกค่ะ ตอนนี้พวกคุณไม่ได้อยู่ในจุดที่เหนือกว่าพวกนั้นนะคะ” แฮวอนว่า เธอได้ยินสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว “เสบียงมีไม่พอให้ทุกคนไปทั้งอาทิตย์หรอก ถ้ายังจบเรื่องนี้ไม่ได้ คงได้ตายกันหมดแน่”

                “แต่ว่า…”

                “ฉันว่าถ้าสู้ด้วยพละกำลังไม่ได้ เราก็ต้องสู้ด้วยสมองค่ะ แล้วก็ตัวช่วยอีกนิดหน่อย” หญิงสาวคนเดียวในวงสนทนาบอก ดวงตากลมกวาดมองทุกคนก่อนจะรีบอธิบายแผนการที่คิดออก

     





                ค่ำคืนแสนมืดมิดมาเยือนอย่างรวดเร็ว เสียงการเคลื่อนไหวดังแว่วมาให้ได้ยิน แฮวอนอยู่ในชุดที่คล่องแคล่วกว่าเดิม ผมยาวถูกถักเก็บเรียบร้อย มือบางกำคันธนูแน่น ลูกธนูที่บรรจุเต็มกระบอกถูกสะพายไว้ด้านหลัง เธอซ่อนตัวอยู่ในความมืดคอยมองสัญญาณมือจากซอกจิน


                ทันทีที่มือหนาโบกตรงไป แฮวอนก็ลุกขึ้น ใช้ความอำพรางกายก่อนจะเคลื่อนที่ไปยังปราสาทสีดำเทา เวทสีม่วงปลดปล่อยกระแทกร่างขาวซีดสองครั้งก่อนจะหักเลี้ยวเข้าสู่ปราสาทของแบล็คเวอร์เล็ต ดวงไฟสีม่วงสว่างวาบขึ้น แฮวอนย้ายมือไปทางขวาและเดินลงไปยังชั้นใต้ดินที่ยุนกิบอก


                ประตูเหล็กเลื่อนเปิดดังครืดคราด แฮวอนดีดนิ้วอีกครั้งคบไฟในห้องก็สว่างขึ้น แฮวอนมองอย่างพอใจ ปลายไม้สีน้ำตาลชี้ขึ้นและประกายสีม่วงพลันสว่างวาบ


                “ปิเอร์โททัม โลโคมอเทอร์”

     





                จีมินประจำการบนหอคอย ทันทีที่เห็นร่างของหญิงสาวในชุดขาดวิ่นปรากฏในกรอบสายตา ปลายนิ้วก็ปล่อยลูกธนูให้พุ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว ปลายลูกธนูที่ตอกด้วยเหล็กพุ่งตรงเข้าที่อกซ้ายอย่างจัง ร่างนั้นทรุดลงร่างกายซีดขาวค่อยๆแห้งและแตกออกราวกับกระเบื้องเคลือบ


                หญิงสาวเหล่านั้นคือผู้โชคร้ายที่หายตัวไปจากการ์ดิเนีย พวกเธอทั้งหลายถูกเปลี่ยนเป็นปีศาจกระหายเลือด จีมินยังปล่อยลูกธนูออกไปอีกสามครั้งก่อนจะโบกธงสีแดงส่งสัญญาณให้โฮซอกที่ประจำการตรงประตูทางออกที่สอง


                นัมจุนสั่งให้โฮซอกเป็นคนจัดการเรื่องประตูมิติของ เขาจำเป็นต้องปิดประตูมิติแห่งนี้ลง ซากงูตัวเขื่องนอนขดอยู่มุมถ้ำ มือหนาก่อพลังสีน้ำเงินเข้มขึ้นมาและยื่นเข้าไปในประตูมิติ บอลสีน้ำเงินค่อยๆถักทอเส้นสายขึ้นมาคล้านตาข่ายพันทบกันไปมา เลือดหยดนิ้วตรงลงใจกลางพลันช่องว่างก็กลายเป็นหินในพริบตา


                โฮซอกกระแทกพลังอีกครั้งก้อนหินนั้นก็แตกเป็นเสี่ยง ดวงตาคมเลื่อนมองไปรอบโถงเย็นชื้นของถ้ำลึกลับนี้ก่อนที่วงมนตราสีน้ำเงินจะถูกวาดขึ้นเพื่อปิดตายทางเข้าออกลง




                ทันทีที่พระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นอยู่บนแผ่นฟ้า แต่ครั้งนี้เหล่าอาจารย์ทั้งเจ็ดไม่ได้กลายร่างเป็นสัตว์อีกต่อไป แวมไพร์จากชาโดว์แบลงค์เริ่มบุกรุกพื้นที่ในโรงเรียนอีกครั้ง ความปรารถนาของมันคือการทำลายประตูและออกไปทำลายการ์ดิเนีย


                ร่างสูงของซองจุนปรากฏตัวขึ้นตามด้วยพรรคพวกและเหล่าแวมไพร์เกิดใหม่จำนวนที่มากมายกว่ากองกำลังเพียงหยิบมือของพาราเดีย ดวงตาแดงฉานสีเลือดกวาดมองทุกพื้นที่ในโรงเรียน ก่อนจะออกคำสั่ง


                “ฆ่าให้หมด!!!”


                เหล่าแวมไพร์กระจายไปตามคำสั่ง สายตาที่ดีเกินกว่ามนุษย์มองเห็นการเคลื่อนไหวที่กระจายอยู่ตามมุมต่างๆ พวกเขาต่องไม่รีรอเพราะหิวกระหายเลือดเต็มแก่ พร้อมจะฉีกทึ้งทุกอย่างที่ขวางหน้า


                มือขาวซีดคว้าหมับที่ร่างบางก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงไปที่ซอกคอหวังจะปลิดชีพคนเคราะห์ร้ายและดับความหิวโหยของตน แต่กลับพบรสชาติเฝื่อนขมในลำคอ เมื่อดันร่างบางออกก็พบว่าเป็นเพียงหุ่นขี้ผึ้งที่ปั้นเสมือนจริงเท่านั้น


                หาใช่เพียงแค่หนึ่ง พวกแวมไพร์พบว่ามนุษย์ที่พบทุกคนเป็นเพียงหุ่นไร้ชีวิตเท่านั้น ซองจุนหัวเสียอย่างมาก ก่อนจะลากสายตาไปยังร่างสูงที่ปรากฏตัวออกมา


                “พวกนาย…ไม่ได้เป็นสัตว์อีกแล้ว” เขาเว้นเสียงไปก่อนที่ร่างของฮยอนซอกจะปรากฏตัวท่ามกลางหมอกควันสีเขียว

                “โชคแค่เข้าข้างพวกนายแค่นั้นแหละ” พ่อมดเจ้าเล่ห์พยายามจะเย้ยหยันทั้งที่ความจริงแล้วหัวเสียไม่น้อยที่พวกอาจารย์หลุดพ้นจากคำสาป ก่อนจะหยั่งเชิงลองถาม แม้จะนึกมั่นใจในคำตอบของตัวเอง “แฮวอนล่ะ…คงตายไปแล้วสินะ”


                ไม่มีใครตอบคำถามนั้น นัมจุนก้าวตรงมาข้างหน้าก่อนจะเปิดปากเจราจา


                “ฉันขอให้พวกนายถอยกลับไปยังชาโดว์แบลงค์ซะ อย่ารุกรานพาราเดียและการ์ดิเนียอีก”

                “ฮึ นึกว่าเล่นขายของหรือไง” แวมไพร์ตัวสูงว่าอย่างนึกขัน ดวงตาสีเลือดฉายแวววาววับขึ้นมาก คมแหลมงอกขึ้นมา ท่าทางที่พร้อมจะเปิดศึกอย่างนั้น ทำเอาอาจารย์อีกหกคนต้องเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตี “พวกฉันต้องทนทรมานในชาโดว์แบลงค์มากแค่ไหน พวกแกไม่รู้หรอก!!!”

                “ถ้าอย่างนั้นถือว่านายเลือกแบบนั้น ฉันจะไม่คิดใช้สันติวิธีอีกต่อไปแล้ว” นัมจุนยังคงความใจเย็น เขาหันหาไปทางแทฮยองที่ลอบพยักหน้าให้สัญญาณ

                “คิดว่าพวกนายจะทำอะไรได้” ซองจุนว่าพลางกระตุกยิ้ม “ทุกอย่างที่พวกนายสามารถมันด้อยกว่าพวกฉันเยอะ”

                “ใช่ พวกฉันด้อยกว่าพวกนาย…แต่ว่านี่มีตัวช่วย”


                อยู่ๆเสียงเห่าหอนของหมาป่าก็ดังขึ้น เสียงร้องนั้นดังรับเป็นทอดๆและเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ร่างสีน้ำตาลแดงกระโจนเข้ามาตรงหน้า คีชินยืนขวางระหว่างนัมจุนและซองจุน ดวงตาสีเหลืองทองนั่นสะท้อนภาพแวมไพร์ตัวขาวซีด พลางแยกเขี้ยวข่มขวัญ


                “หมาป่า” เสียงทุ้มกล่าวอย่างแผ่วเบาและเผลอก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย


                จองกุกกระตุกยิ้มพลางลดมูนสโตนในมือลงเมื่อมันสะท้อนแสงจันทร์นานพอจนเรียกกองทัพหมาป่าจาชาโดว์แบลงค์ออกมาได้ มูนสโตนมีพลังเหนือเขตมนตราทั้งปวง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮยอนซอกคิดจะแย่งชิงมันมาจากเพรย์ลูน่า


                มือหนาเก็บมูนสโตนลงไปก่อนจะเหลือบเห็นดวงตาสีเหลืองทองหลายคู่ทอแสงในความมืด เสียงครางและกัดฟันดังระงมอยู่รอบตัว


                ไม่ได้มีบทสนทนาต่อจากนี้ การต่อสู้เริ่มขึ้นทันใด ทั้งสองฟาดต่างเข้าฟาดฟันกัน ยุนกิฟาดแส้เพลิงใส่พวกกินเลือด ในขณะที่ซอกจินจะร่ายเวทสร้างกรงขังพวกแวมไพร์ให้โฮซอกเป็นคนจัดการ ร่างใหญ่โตของหมาป่าหลายตัวจะกระโจนไปในสนามรบ เขี้ยวคมกัดทึ้งร่างของแวมไพร์ก่อนจะสะบัดทิ้งอย่างไม่ไยดี


                บาเรียที่กางครอบคลุมโรงเรียนของยุนกิเลือนรางลงเต็มที พวกเขาต้องเร่งมือ เหล่าอัศวินที่ถูกส่งมาสมทบตั้งทัพอยู่หน้าประตูใหญ่รอเวลาบุก ทันทีที่ดวงไฟสีแดงเข้มพุ่งจากมือของอาจารย์วิชาหารต่อสู้และป้องกันตัวตรงเข้าสู่บาเรียสีแดงใส เกราะป้องกันของโรงเรียนก็สลายลงทันที เสียงทุ้มตะโกนกร้าวสั่งการนักเรียนของแบล็คเวอร์เลต


                “เปิดประตูบานที่หนึ่งและป้องกันประตูบานที่เหลือ!!!”



                ร่างในชุดเกราะกับเหล่าแวมไพร์ที่มีพละกำลังเหนือมนุษย์พุ่งตรงเข้าหากัน ร่างของผู้ที่อ่อนแอกว่าถูกฉีกกระชาก เลือดสีแดงฉานเปรอะลงบนพื้นของพาราเดีย นัยน์ตาสีแดงเลือดสะท้อนกับใบหน้าที่แสดงความหวาดกลัวก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงที่คอและพรากลมหายใจของผู้นั้นไปจนหมด


                กำแพงดินสูงชันปรากฏขึ้นเมื่อแวมไพร์พยายามเข้าใกล้ปราสาทหลังโต นัมจุนเร่งออกคำสั่งแก่แทฮยองและจองกุก


                “จัดการเร็ว!”


                กำแพงดินตีล้อมแวมไพร์เหล่านั้นเป็นวงกลม ร่างสูงกระโจนขึ้นไปบนขอบนั้น อัคคีเวทปรากฏขึ้นที่มือของจองกุกและถูกวาโยเวทสีเงินกระพือเปลวไฟร้อนแรงให้โหมไหม้เหล่าคนที่ตะเกียกตะกายด้านล่าง เสียงกรีดร้องดังขึ้นโหยหวนก่อนที่เหล่าศัตรูจะกลายเป็นเถ้าถ่าน


                สวบ!!!


                ธนูพุ่งเข้ากลางตัวของแวมไพร์สาวอย่างแม่นยำ แม้มันจะไม่ตายแต่ก็พอให้นักเรียนจากแบล็คเวอร์เลตคนนั้นรอดพ้นเงื้อมือได้ คราวนี้ไม่พลาด แฮวอนเล็งตรงตำแหน่งหัวใจก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดฮวบลงไปและแตกสลาย


                “ช่วยด้วย!!!” เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากทางขวา คนโชคร้ายถูกบีบรัดคอเต็มแรงจนหน้าขาวซีด


                ร่างบางเคลื่อนอย่างรวดเร็ว ศอกถองเข้าที่ใบหน้าแวมไพร์ก่อนกระแทกซ้ำด้วยกำปั้นหนักๆ นักเรียนคนนั้นไอโคลกใหญ่พลางมองแฮวอนอย่างขอบคุณ มือบางผลักลมสีเงินให้พาให้เขาหลบไปยังมุมมืดของปราสาท ก่อนที่ลำคอระหงส์จะถูกคว้าหมับและจิกเล็บลงมาอย่างไม่ออมแรง


                ตัวแฮวอนลอยกระแทกเข้ากับผนังปูนด้านหลัง ร่างบางถูกยกลอยจากพื้น แวมไพร์ตนนี้กำลังแสยะยิ้มให้เธอพร้อมกับบอกเสียงเย็น


                “เธอมันช่างแส่”


                แฮวอนไม่ได้ตอบเพียงแต่พยามฉีกยิ้มกวนใจ แรงมือนั้นเพิ่มขึ้นอีก ส่วนมือบางถูกจับให้กระแทกกับแผ่นปูนอย่างแรง เศษปูนหลุดร่อนลงมาในขณะที่ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาตามหลังมือแต่แฮวอนก็ยังไม่ได้หยุดคลี่ยิ้มลง


                “เธอมันดีแค่แข็งแรงกับบ้าเลือด”

                “อะไร…”


                เสียงนั้นผลุบหายไปในลำคอเมื่อมือของแฮวอนสัมผัสลงที่หัวเธอ ไอเย็นของน้ำแข็งเกาะกุมทั้งร่างอย่างรวดเร็วและกลายเป็นสีขาวโพลนภายในไม่กี่นาที


                พลังสีม่วงทุบเข้าที่ร่างแข็งทื่ออย่างแรงแฮวอนถึงได้หลุดออกมาจากพันธนาการนั้น ตวัดมือครั้งหนึ่งงเศษซากนั้นก็หายวับไป ดวงตากลมเลื่อนมองทางขวามือก็พบว่าฮยอนซอกฟาดพลังไปทางแดเนียลที่กำลังจะฟันแวมไพร์ตัวหนึ่งจนเขาล้มลงไป


                “แดน!!!”


                ก่อนจะร่ายคาถาอีกครั้ง แฮวอนก็ยิงธนูออกไป มันปักเข้าที่ไหล่ของฮยอนซอกอย่างจังจนมวลพลังสีเขียวหายไป


                ดวงตาที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นเลื่อนมองแฮวอนก่อนจะคำรามในลำคอ ทั้งหงุดหงิดที่ตัวเองบาดเจ็บและแฮวอนยังไม่ตาย แผนการที่เขาอุตส่าห์วางมาอย่างดีใกล้จะพังไม่เป็นท่าเต็มที


                เพราะครั้งนี้แฮวอนเห็นว่าฮยอนซอกทำร้ายเพื่อนของตน ความใจเย็นจึงหายไป แฮวอนฟาดพลังสีม่วงใส่พ่อมดอย่างไม่ยั้งมือ เศษซากที่อยู่รอบตัวพุ่งเข้าหาร่างสูงอย่างรวดเร็ว


                แสงสีเขียวเข้มพุ่งใส่แฮวอนเช่นกันเมื่อฮยอนซอกร่ายมนต์ คาถาต่างๆถูกปลดปล่อยใส่อีกฝ่ายอย่างไม่หยุดหย่อน โล่สีม่วงปรากฏขึ้นตรงหน้าเมื่อฮยอนซอกร่ายคำสาปแช่งใส่เธอ


                “โพรเทโก้”

                “มาดวลกันให้จบๆซะฮยอนซอก” แฮวอนตะโกนท้าก่อนหลังจากที่เสกคาถาใส่อีกคน

                “ได้” เสียงทุ้มรับคำทันที เขาพุ่งตัวมาหาแฮวอนก่อนที่ทั้งคู่จะหายไปจากสนามรบนองเลือดระหว่างมนุษย์ หมาป่าและแวมไพร์


                ทั้งสองคนโผล่มาด้านหลังของปราสาทเรียน ตรงหน้าวิหารเรียนเวททั้งสี่ ร่างของเธอแฮวอนถูกคนมากเล่ห์กดให้ติดกับพื้น ปลายไม้กายสิทธิ์ของกดลงอย่างแรงที่คอระหงส์ แฮวอนหายใจไม่ออกเต็มทีขณะที่มองใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มร้ายกาจ


                “ตายซะแฮวอน”


                แต่ก่อนที่จะได้เสกคาถาไหนออกมา มวลน้ำมหาศาลก็พัดร่างของฮยอนซอกออกไป ร่างสูงเปียกโชกพร้อมทั้งไอโคลกเพราะเกือบสำลักน้ำเย็นจัด ส่วนแฮวอนก็หยัดกายขึ้นลุกพร้อมกับชี้ไม้กายสิทธิ์มาด้านหน้า รอยยิ้มหวานๆจุดที่มุมปากก่อนจะว่า


                “อย่าขี้โกงเพราะฉันเองจะไม่ยอมคุณแน่นอน” ร่างบางว่าแล้วไหวไหล่ เธอไม่ได้มีแค่คาถาของพวกพ่อมดสักหน่อย พวกเวทต่างๆของชาวการ์ดิเนียเธอก็สามารถใช้ได้ เรื่องอะไรจะยอมออมมือกับคนขี้โกงแบบเขา

                “ฮึ ถ้าเธอมั่นใจอย่างนั้นก็เริ่มซะ!!!”


                คาถาทุกอย่างที่รู้ทุกใช้เพื่อการนี้ ใครแพ้นั่นหมายถึงชีวิต เพราะแรงปะทะทำให้สนามหญ้าเขียวชอุ่มมอดไหม้ไปหมด การต่อสู้เกิดเสียงดังจนนักเรียนที่หลบซ่อนในปราสาทแอบมองการต่อสู้นั่นผ่านหน้าต่าง รวมถึงสถานการณ์อีกด้าน


                แฮวอนเดินวนเป็นวงกลมขณะที่ขยับไม้เพื่อปัดป้องการโจมตีของฮยอนซอก น้ำลายเหนียวหนืดถูกกลืนลงไปหลายต่อหลายครั้งก่อนที่เสียงหวานต้องรีบเปล่งคาถาออกมาเมื่อฮยอนซอกโจมตีเธออย่างไม่มีสัญญาณ 


                “อะวาดา เคดรา ฟรา”

                “เอกซ์เปลลิอาร์มัส”


                เสียงพลังทั้งสองปะทะกันดังสนั่น เปลวเพลิงสีทองระเบิดออกมาระหว่างคนนั้นทั้งสอง แฮวอนพยามใช้แขนที่สั่นระริกต่อต้านคาถาร้ายแรงนั้น วินาทีนั้นแฮวอนคิดเพียงต้องปกป้องชีวิตของตนให้ได้ รวมถึงคนอื่นๆที่จะเป็นอันตรายหากฮยอนเป็นฝ่ายชนะ


                แสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม แฮวอนชี้ไม้กายสิทธิ์ไปข้างหน้าสุดแรง เสียงระเบิดดังตู้มขึ้นครั้งและฮยอนซอกหายไป…


                แต่แฮวอนไม่มีเวลาดื่มด่ำกับชัยชนะ ร่างบางหายไปควันสีม่วงและปรากฏอีกครั้งตรงสนามหญ้าที่เป็นสมรภูมิรบ ภาพที่เห็นคือยุนกิฟาดดาบใส่ซองจุนที่กลายเป็นหินจนแตกออกเป็นเสี่ยง ทุกคนที่ร่วมรบต่างมีบาดแผลและการสูญเสีย ทว่าชัยชนะเป็นของพวกเขา


                รุ่งอรุณที่เฝ้ามาเยือนแล้วพร้อมกับเสียงโห่ร้องอย่างดีใจของทุกคน ประตูปราสาทถูกผลักออกมา แฮวอนเห็นเพื่อนๆทุกคนระบายยิ้มบนใบหน้า แสงสีส้มนวลทอลงมายังสนามรบและสาดการะทบลงผิวกายนวลเนียน มือบางค่อยๆยกขึ้นบังแสง นี่เป็นวันใหม่ที่ดีที่สุดในชีวิตของแฮวอน


                “จับตัวเธอไว้!!!”


                เสียงอึกทักดังขึ้นจากด้านหลัง แฮวอนหมายจะหันหลังมองแต่กลับถูกของแข็งฟาดเข้าที่ท้ายทอยจนทรุดฮวบลงไปกับพื้น และก่อนที่สติจะขาดหายไป เสียงประกาศกราวนั้นพร้อมกับแววตาที่ส่อถึงความหวาดกลัวและเกลียดชังมองจ้องมาที่เธอ


                “ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่มด!!!”

     





                แฮวอนรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เธออยู่ในห้องขัง วงมนตราพันเกลียวพันธการห้องนี้เอาไว้ มือบางกดลูบท้ายทอยที่ยังปวดตุบอยู่แล้วกวาดมองรอบตัว คบไฟถูกจุดให้ความสว่างเป็นแถว กระแสไฟฟ้ารุนแรงแล่นปลายปลายนิ้วเมื่อเธอลองแตะม่านสีชมพูที่ครอบคุลมทั้งห้องเอาไว้ เธอพอเข้าใจแล้ว เธอคงกลายเป็นนักโทษของการ์ดิเนียไปซะแล้ว


                ร่างบางทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงหลังจากที่แสร้งทำเป็นไม่ได้สติเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของพูดคุยของอัศวินชั้นผู้น้อย บทสนทนาของพวกเขาทำให้  แฮวอนรู้ว่าเธอต้องโทษประหารจากความผิดที่เธอไม่ได้ก่อ


                ไม่ได้อยากยอมรับแต่ว่าสภาพเธอในตอนนี้มันน่าสมเพชจริงๆ


                “เป็นไงล่ะแฮวอน พวกนั่นน่ะเหรอที่เธอต้องการปกป้อง”

                “คุณ…” แฮวอนทิ้งน้ำเสียงไว้แค่นั้นและหันมองรอบตัว นั่นเป็นเสียงของฮยอนซอก แต่ว่าเขาเหลือเพียงรูปร่างเลือนราง เขายังไม่ตายแบบที่แฮวอนคิดจริงๆด้วย ร่างโปร่งแสงนั่นยืนอยู่ตรงประตูที่ปิดไว้อย่างแน่นหนา รอยยิ้มไร้ความจริงใจฉายอยู่บนใบหน้า พอเห็นว่าแฮวอนไม่โต้ตอบเขาก็พูดอีก

                “พวกมันมองเธอไม่ต่างจากปีศาจเลยสักนิด เธอยังมีโอกาสแฮวอน จงเปลี่ยนใจและมาอยู่ฝ่ายฉัน”

                “…”

                “ฉันให้เธอได้ทุกอย่าง”

                “ฮึ สภาพคุณตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากหมอกควันสักนิด ยังกล้ายื่นข้อเสนออีกงั้นเหรอคะ” แฮวอนแกล้งเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงดูหมิ่น ดวงตากลมโตว่างเปล่าเมื่อมองคู่สนทนา “ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ ยังไงซะฉันก็จะไม่ทรยศพวกเขา”

                “ยังไงก็จะไม่เปลี่ยนใจใช่มั้ย” ฮยอนซอกพยายามควบคุมโทสะของตนไว้ เขารู้ว่าตัวเองในสภาพที่สูญเสียพลังไปเกือบหมดต้องการพรรคพวก ทว่าแฮวอนกลับดื้อเพ่งไม่ยอมเข้าร่วมกับเขาง่ายๆ

                “จะจนตรอกยังไงฉันก็ไม่ร่วมมือกับคุณแน่” แฮวอนตอบกลับไปอย่างหนักแน่น เธอเห็นนัยน์ตาสีนิลเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ความโมโหปะทุอยู่ในนั้น

                “งั้นก็จงจำไว้ว่าทุกอย่างนั้นเธอเลือกเอง” ฮยอนซอกทิ้งน้ำเสียงอย่างไม่พอใจ “ฉันได้ข่าวว่าพรุ่งนี้มันจะเผาเธอทั้งเป็น ยังไงก็ยินดีกับการผจญภัยโลกหน้าของเธอด้วยล่ะกัน”


                หลังจากที่ฮยอนซอกหายวับไป ร่างบางก็ถอนใจ บางเล็กลู่ตกลงอย่างหมดปัญญา แฮวอนเลือกที่จะไม่หนีทั้งที่เวทกำกับที่คอยคุมขังเธอไว้ที่นี่ไม่สามารถกักตัวเธอไว้ได้จริง แฮวอนทำทุกอย่างอย่างจริงใจแล้วทำไมเธอต้องแบกรับความผิดแบบนั้นด้วย ถ้าเธอเลือกที่จะหนีก็ต้องหนีไปตลอดชีวิตรวมถึงการต้องทิ้งคนข้างหลังไว้ด้วย…แฮวอนไม่อยากทำ



     

                แฮวอนที่เผลอหลับเพิ่งรู้สึกตัวตอนที่ริมฝีปากอุ่นๆของใครบางคนกำลังไล่จูบซับคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มให้อย่างอ่อนโยน ตั้งแต่ดวงตา ข้างแก้มและไล่วนไปตามกรอบหน้าหวาน ปลายนิ้วอุ่นเกลี่ยไปตามผิวบอบบางอย่างเบามือในวินาทีที่แฮวอนปรือตาขึ้นมอง


                 “คุณ…”

                 “อื้อ ฉันเอง” แทฮยองบอกพลางช่วยพยุงตัวแฮวอนให้ลุกขึ้น เขาแกล้งทำไม่สนใจสีหน้าที่ดูสับสนของเธอก่อนจะใช้มือลูบผมสีเปลือกไม้ที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

                 “คุณแทฮยอง ฉัน…”

                “มันพูดยากใช่มั้ย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดหรอก ฉันรู้” เขาตัดบทเสียงนุ่ม ท่อนแขนแกร่งคว้าร่างบางเข้ามาใกล้และสวมกอดเอาไว้หลวมๆ “เธอถ้าอาจจะอยู่คนเดียว แต่ฉันอยากอยู่กับเธอ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้โดดเดี่ยว ฉันอยู่ข้างเธอ”

                “ฉัน…” แฮวอนทำแต่ตอบรับเสียงค่อย มือบางกำชายเสื้อของแทฮยองแน่น เธอยากจะพูดออกมาบ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี

                “กอดฉันไว้สิ อึดอัดแค่ไหนก็กอดฉันไว้แน่นๆตามนั้นเธอจะได้รู้สึกดีขึ้น”



                โรงเรียนถูกจัดการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือของจักรพรรดิ คนที่ได้รับบาดเจ็บได้รับการดูแลอย่างดี โรงเรียนแห่งพาราเดียกลับมาสวยงามภายในเวลาครึ่งวัน ห้องประชุมชั้นบนสุดกลายเป็นที่รับรองจักรพรรดิ ขุนนางและอัศวินรวมถึงเหล่าเสนาธิการ พ่อของอาจารย์ทั้งเจ็ดคนที่เร่งเดินทางมายังพาราเดีย


                ทุกคนต่างแวะทักทายลูกชายก่อนจะเริ่มการประชุมปรึกษาที่ที่ของจักรพรรดิอย่างจุนฮยอกเรียกร้อง อาจารย์ทั้งเจ็ดได้เข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ แม้บาดแผลจะยังหายไม่หายดีแต่พวกเขาจำเป็นต้องเข้าร่วมให้ได้หลังจากที่จุนฮยอกมีคำสั่งจะประหารแฮวอนในวันพรุ่ง แม้จะพยายามแย้งว่าแฮวอนไม่ใช่พวกเดียวกับชาโดว์แบลงค์แต่ด้วยตำแหน่งที่ต่ำกว่าทำให้ความพยายามนั้นไม่มีผล แฮวอนถูกขังไว้ในคุกด้านหลังโรงเรียนและไม่ให้ใครเข้าพบ


                เรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมีผู้อำนวยการเป็นคนบอกเล่าอย่างละเอียด หลายประเด็นถูกยกขึ้นมาพูดจนกระทั่งจักรพรรดิหันไปหาชายร่างท้วมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดไปจาหัวโต๊ะและเอ่ยถาม


                “เราได้ยินว่าคุณออกคำสั่งจับกุมและประหารแม่มดหรือคุณจุนฮยอก”

                “กระหม่อมเองขอรับ เธอแฝงตัวอยู่ในอาณาจักรและคงเป็นคนที่ช่วยให้พวกนั้นบุกรุกพาราเดียได้” จุนฮยอกโป้ปดเต็มเปา เขาสนใจเพียงแต่ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับ


                ซอกจินที่นั่งอยู่ข้างจองกุกต้องรีบรั้งคนเป็นน้องเมื่อจองกุกทำท่าจะโพล่งขึ้นกลางวง เขาส่ายหน้าเป็นเชิงบอกให้ใจเย็นก่อนจะเบนสายตามองดูการประชุมตรงหน้า


                “หากเป็นเช่นนั้นทำไมเธอถึงได้อยู่ที่การ์ดิเนียเล่าในเมื่อพวกเราเคยขับไล่ผู้ใช้เวทเข้าสู่ชาโดว์แบลงค์พร้อมกับแวมไพร์ไปแล้ว”

                “เรื่องนั้นกระหม่อมเองก็ไม่ทราบชัดขอรับ”


                จักรพรรดิเพียงแต่พยักหน้ารับ ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมาต่อคำตอบนั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลทองเลื่อนมายังผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ


                “ถ้าเราจะขอถามจากคนใกล้ชิดกับเธอคนนั้นล่ะ บุตรของเสนาธิการคิม คุณนัมจุนเล่าเหตุการณ์นั้นได้หรือไม่”


                เมื่อได้ยินชื่อของตนร่างสูงก็ลุกขึ้น อาจารย์ของบราวน์ดัชเชสหันไปโค้งให้ความเคารพ ดวงตาสีเข้มเหลือบมองจุนฮยอกที่ตีหน้านิ่งสนิทครู่หนึ่งแล้วรับคำ


                “ขอรับฝ่าบาท”

     





                ดวงตากลมจ้องมองผ่านช่องระบายอากาศเล็กๆ แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาตั้งแต่เช้าค่อยๆเลือนหายไป ดวงไฟสลัวถูกจุดให้ความสว่างในคุกที่แสนอับชื้นแห้งนี้ ร่างบางนั่งกอดเข่าบนฟูกที่ทำด้วยหญ้าแห้ง มันเป็นที่ที่สะอาดที่สุดในนี้แล้ว อาหารเย็นที่ถูกวางไว้เธอไม่ได้แตะต้องจนเย็นชืด อัศวินที่เอาอาหารมาให้ยังพูดถึงเรื่องโทษประหารนั่นอยู่เลย เธอไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว ความคิดร้อยแปดแล่นไปมาในหัวจนสุดท้ายก็ต้องเลิกคิด


                แฮวอนไม่สนอะไรทั้งนั้นกระทั่งประตูเหล็กที่ถูกผลักเข้ามา ร่างสูงก้าวมาหาเธอที่นั่งขดตัวอยู่ด้านในเกือบติดกับมุมห้อง เธอค่อยๆขยับตัวหันหลังให้เขาอย่างเชื่องช้าและหลับตาลง


                “แฮวอน…”

                “ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว” เสียงหวานทว่าแห้งผากแทรกขึ้นมาอย่างเรียบนิ่ง “ออกไปเถอะค่ะ ฉันยังไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”

                “ไม่ได้มาพูด แค่อยากมาอยู่ด้วย” ตอบก่อนที่ร่างหนาจะโอบกอดแฮวอนจากด้านหลัง เขาแนบแก้มข้างหนึ่งลงกับเรือนผมหนานุ่ม เลื่อนมือหนาไปลูบหลังมือบางเบาๆก่อนจะถามเสียงนุ่ม “อยากพูดอะไรมั้ย ฉันฟังได้ทั้งคืนเลยนะ”


                เสียงของจองกุกที่ดังมาจากห้องขังทำให้แทฮยองชะงักลง เขามาช้าอีกครั้ง ดวงตาคมมองแผ่นหลังกว้างที่ทาบทับร่างแฮวอนจนมิดอีกครั้งก่อนจะก้าวถอยหลังและหันกลับไปทางเดิม


                “ถอยไปได้มั้ยคะ อย่ากอดแบบนี้…” เสียงแฮวอนแผ่วเบาลงจนหยุดพูดกลางคัน ม่านน้ำตาก่อตัวที่ขอบตากลม ความเข้มแข็งทั้งหมดที่พยายามแสดงออกไปใกล้พังครืนลงมาเต็มที

                “ไม่ได้ อย่าทำลายความตั้งใจฉันสิ”

                “…แต่ฉันไม่ไหวแล้ว” พูดถึงตรงนี้หยดน้ำตาอุ่นๆก็หยดลงบนแก้มนุ่มนิ่ม เรียวแขนบางกอดรัดร่างกายตัวเองให้แน่นกว่าเดิม แต่ยิ่งพยายามหักห้ามความอ่อนไหวก็ยิ่งปะทุออกมา

                ที่รู้สึกถึงน้ำตาที่เปื้อนมือตัวเองไปด้วยก็ยิ่งกระชับวงแขนให้แนบแน่น ริมฝีปากร้อนกดจูบผ่านกลุ่มผมอย่างปลอบประโลมก่อนจะเกยคายลงบนไหล่บาง เสียงทุ้มกระซิบถามข้างหูหลังจากจูบขมับของแฮวอนไปอีกที

                “ฉันอยู่ตรงนี้ไง อยากพูดอะไรก็พูดออกมา จะพูดไปเป็นปีฉันก็ไม่ว่าหรอก”

                “แต่ว่าพรุ่งนี้ฉันคงไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วค่ะ คงจะบ่นให้คุณฟังนานขนาดนั้นไม่ได้ ขอโทษด้วยนะคะ” เสียงสะอึกสะอื้นบอก แม้จะพยายามสะกดความฟูมฟายเอาไว้แต่เสียงหวานก็ยังสั่นเครือมากอยู่ดี “ทำไมทุกๆอย่างที่ฉันพยายามทำมา พวกเขาต่างตีค่าว่ามันผิด เพียงเพราะฉันเป็นแม่มด เพราะฉันแตกต่างจากคนอื่นงั้นเหรอคะ”

                “…”

                 “นี่มันไม่เห็นยุติธรรมสักนิดเลย ฉันไม่ได้เคยอยากได้อะไรนอกจากการยอมรับว่าฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาไม่แตกต่างจากพวกเขา หรือว่าความหวังฉันมันใหญ่มากเกินไป ควรทำตัวขี้ขลาดและหลบซ่อนอย่างที่เคยทำ” ทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจถูกระบายออกมาโดยคำพูดปนเสียงสะอื้น “คุณดูสิ พวกเขาต่างมองว่าฉันเป็นตัวประหลาด ดูสายตาทิ่มแทงพวกนั้นที่มองมา ฉันผิดมากขนาดนั้นเลยเหรอ ผิดที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ถ้าเลือกได้ใครอยากจะเป็นแบบนี้กันล่ะ”

                “…”

                “ฉันไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ พรุ่งนี้ฉันต้องตายใช่มั้ยคะ” แฮวอนถามแล้วกลั้นหายใจ “ฉันกลัวค่ะ กลัวมากๆด้วย ตอนนั้นคงจะต้องเจ็บมากแน่ๆ…”

                “ฉันเข้าใจ แต่เธอไม่ต้องห่วงแฮวอน เธอจะปลอดภัย ฉันสัญญา”

                “ฉันไม่เชื่อคุณหรอก” แฮวอนแย้ง “ถ้าคุณทำไม่ได้ ฉันคงผิดหวังแล้วก็เสียใจ…แค่นี้ก็ร้องไห้จนจะไม่มีน้ำตาแล้วนะ”


                แค่ที่แทฮยองสัญญาไว้เธอก็ผิดหวังมากพอแล้ว ยังมีจะจองกุกอีกงั้นเหรอ


                “งั้นจะเล่าความลับให้ฟังหนึ่งเรื่องดีมั้ย เธอคงดีใจที่ได้รู้” จองกุกต่อรอง มือหนาจับให้ร่างบางหมุนมาเผชิญหน้า นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยดเช็ดน้ำตาออกจากดวงตากลมโตที่บวมช้ำเล็กน้อย

                “ต้องดีใจเลยงั้นเหรอ”

                “อื้อ” เสียงทุ้มว่าก่อนจะเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้แฮวอนมากขึ้น “เมื่อตอนงานเลี้ยงวันสถาปนา คนที่…”


                แทนที่จะเป็นคำพูดบอกเล่าเรื่องราวริมฝีปากหยักลึกกลับทาบลงมาที่กลีบปากนุ่มนิ่ม ความอุ่นร้อนจุดขึ้นที่เนื้อนุ่มหยุ่นทั้งสอง ดวงตาสีน้ำตาเบิกกว้างอย่างตกใจ กำปั้นเล็กที่ทุบไปที่อกกว้างเพราะสะดุ้งถูกอุ้งมือหนาคว้าไว้ จองกุกบังคับให้มือบางสัมผัสลงตรงอกซ้ายของเขาที่ตอนนี้เต้นเป็นจังหวะดังตึกตักและทวีความรุนแรงขึ้นไม่หยุด


                กลีบปากบางถูกบดเบียดและนวดเฟ้นไปทีละน้อย ยามที่จองกุกขยับริมฝีปาก ลมหายใจของแฮวอนก็ถูกสูบหายไปหมด มืออุ่นร้อนแตะลงที่กรอบหน้าหวานและเกลี่ยผิวแก้มนุ่มที่ร้อนผ่าวก่อนกดจูบลงมาแนบแน่นกว่าเก่า เขาซึมซับความหวานที่ยิ่งลิ้มลองก็ยิ่งรู้สึกละโมบอยากจะครอบครองมากขึ้นไปอีก


                ปลายลิ้นร้อนแทรกแตะที่รอยแยกของกลีบปาก พอแฮวอนเผลอก็สอดใบลิ้นชื้นเข้าเกี่ยวกระหวัดรสชาติหวานๆในโพรงปากและตักตวงรสชาตินั้นไม่รู้เบื่อ คนตัวเล็กเผลอตอบรับอย่างไม่รู้ประสา ฝ่ามือที่ถูกบังคับให้ทาบที่แผ่นอกกว้างขยุ้มเสื้อของจองกุกจนยับยู่ยี่เมื่อสัมผัสนุ่มนวลในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็นดูดดื่มขึ้นทีละนิด เขายังคงป้วนเปี้ยนเก็บจุมพิตหวานๆนั้นนานจนแฮวอนส่งเสียงอู้อี้ประท้วงในคอ


                “ค…คุณจองกุก” เสียงว่าดังขึ้นอย่างตะกุกตะกักเมื่อจองกุกยอมถอนจูบ แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างน้อยนิดเอาไว้แลกเปลี่ยนลมหายใจร้อนระอุ ปลายจมูกโด่งแตะลงมาสันจมูกของอีกคนแล้วออกแรงดันเบาๆคล้ายเอ็นดูก่อนจะครางรับในคอ

                “หื้อ? อะไร”

                “คุณเป็นคนที่จูบฉันวันนั้น…” แฮวอนทวนคำแค่นั้นหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกระลอก ดวงตากลมหลุบมองริมฝีปากของอีกคนอย่างไม่ตั้งใจ เสียงแผ่วเบาหลุดถามออกไป “จูบ…จูบทำไมคะ”

                “ก็บอกไปแล้วพร้อมดอกไม้นั่นไง” คนถูกถามคลี่ยิ้มอ่อนโยนก่อนตอบตามความจริง “ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วที่ชอบ…อืม รักเธอน่ะ”


                จองกุกไม่ได้รอดูปฏิกิริยาตอบรับจากอีกคนเขาก็ชิงดูดกลืนเสียงของแฮวอนไปอีกครั้งและเนิ่นนานจนกระทั่งเขาพอใจ



    Loading next chapter...

    “กระหม่อมไม่ขอเอ่ยดีกว่า แต่วันนี้กระหม่อมมาที่นี่เพราะอยากมายืนยันความบริสุทธิ์ของลูกสาวของกระหม่อม”

    “แล้วไม่คิดจะบอกลาพวกเขาสักหน่อยเหรอ”

    “เขาเรียกคิดถึงต่างหากแฮวอน นึกถึงบ่อยๆอะไรกัน” 

    “คิดถึงจะตายอยู่แล้วยัยบ้า”

    “หยุดเลยนะคะ ฉันก็คิดถึงพวกคุณทั้งคู่แหละ คิดถึงค่ะ!”

    “พวกนั้นไม่รู้สึกหรอก วันนี้การ์ดิเนียต้องเป็นของฉัน!

    มาติดตาม(สปอย)ตอนก่อนสุดท้ายกัน อิอิ



    Let's talk  with me

               มันก็จะยิ่งใหญ่หน่อยๆ กราบขอร้องพวกพี่ๆต้องชาวยน้องให้ได้นะคะ พี่ม่อนฟ้องไปเลยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง55555 ส่วนสุดท้ายก็ๆม่ขออะไรมานอกจากช่วยซีพีอาร์น้องแฮวอนทีเพราะว่าคุณจอนมันร้ายกาจคริคริ (แง้ม~ ติด #แฮวอนของกุกวี หน่อยได้ป่าว อยากอ่าน ขอร้องงงง) ปล.เปิดพรีแล้วนะจ๊ะ สนใจจิ้มตอนเปิดพรีไม่ก็จิ้มรูปข้างล่างได้เลยจย้าาาา เหลืออีก20วันแล้ว อ้อนด้วยการมองปริบๆ55555

    สนใจจิ้มข้างล่างรูปแทกุกเลยจย้า




    อยากได้คอมเมนต์ให้ชื่นใจจรุม หรือจะกดหัวใจก็ได้ อุ่ย แมวพิมพ์ง่ะ อิอิ

    21/08/18
    B
    E
    R
    L
    I
    N

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×