คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ♦ 18 THE MOON ♦ + เปิดQ&Aอีกครั้ง!
18
♦ THE MOON
เช้าวันต่อมาแฮวอนถูกเรียกตัวออกมาทำงาน ชุดนอนสีครีมที่เปื้อนไปทั้งตัวถูกเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีขาวแขนกุดยาวกรอมเท้า มีผ้ากันเปื้อนสีแดงเลือดหมูผูกตรงเอว ผมยาวสลวยถูกถักเปียลงมาและร้อยด้วยเชือกสีทอง
ไซเธียนใหญ่โตและโอ่อ่ามาก
ทุกอย่างในเมืองทำจากทองคำเป็นส่วนมากและประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
ส่วนผู้ชายมักจะอยู่ในชนชั้นแรงงาน แฮวอนถูกพามายังวังของราชินีแห่งไซเธียน
ตอนนี้พวกเขากำลังวุ่นวายกับการจัดงานแต่งให้แก่เจ้าหญิงไรรีย์ แฮวอนเองก็ถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยงาน
ส่วนจองกุกต้องใช้แรงงานอยู่ด้านหน้าปราสาท
โถงชั้นสองเป็นพื้นที่ที่แฮวอนกับสาวใช้อีกสองคนต้องดูแล
มือบางหอบหิ้วถังน้ำและผ้าขี้ริ้วแยกไปทางซ้ายตามที่สาวใช้คนนั้นบอก
ระหว่างนั้นก็หมั่นหันมองซ้ายขวาเผื่อว่าจะเจอแทฮยอง เธอได้ข่าวว่าอีกสองวันก็จะถึงงานแต่งแล้ว
ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง
ใช้เวลาหลายชั่วโมง
แฮวอนไล่ทำความสะอาดตั้งแต่ห้องแรกไปจนสุดทางเดิน
มือบางปาดเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มกรอบหน้าหลังจากออกมาขัดระเบียงโล่งกว้างด้านนอกจนเสร็จ
แดดจ้าทำเอาแฮวอนรู้สึกหน้ามืด ร่างบางต้องประคองตัวเองไว้ครู่หนึ่ง
ประตูห้องที่อยู่ถัดห่างออกไปสองห้องขยับและแง้มเปิด
แฮวอนจึงลดมือลงและเพ่งมองไปทางนั้น หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องพัก
เธอคงไม่สนใจถ้าหากอีกคนที่ยืนในห้องไม่ใช่แทฮยอง
การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นนั่นทำให้แฮวอนไม่อยากคาดเดาเรื่องราวก่อนหน้า
แอบเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตากลมมองไปยังแทฮยองครู่เดียวก่อนที่จะเบี่ยงตัวเดินหลบไปยังระเบียงกว้างที่เพิ่งจากมา
แฮวอนคงจะได้ทำตามใจถ้าหากอีกคนไม่ตามรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็วซะก่อน
“แฮวอน!”
ร่างบางจำต้องหยุด
แต่เสียงของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้นตามมาติดๆ
“แทฮยองคะ
คุณเรียกใคร” น้ำเสียงนั้นฟังดูคาดคั้นของจนเจ้าของชื่อลอบถอนหายใจก่อนจะปรับสีหน้าและหันกลับไปบอกอย่างนุ่มนวล
“เธอเป็นน้องสาวผม
ผมขอคุยกับคุยกับเธอก่อนนะครับ”
ไรรีย์ยอมพยักหน้ารับ
เธอชอบแทฮยองมากถึงตามใจ ร่างบางเดินออกไปแต่ก็ไม่วายทิ้งสายตามองแทฮยองไม่หยุด
ส่วนเจ้าตัวก็เอาแต่มองคนตรงหน้าเท่านั้น
“เป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีค่ะ
แต่คงน้อยกว่าเจ้าบ่าวแบบคุณมั้ง” แฮวอนเผลอตอบกลับคล้ายประชดประชัน
เธอกับจองกุกนึกเป็นห่วงเขาแทบตาย แต่ดูเหมือนจะไปได้ดีนี่
“หงุดหงิดอะไรหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ
แค่เหนื่อยนิดหน่อย”
คนถูกถามบอกด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าธรรมดามากที่สุดแต่แทฮยองก็พอจับความไม่ปกติของแฮวอนได้อยู่ดี
“คิดว่ามีอะไรกันฮะ?” คนตัวสูงถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เมื่อกี้มันแค่…”
“รีบตามลงมานะคะ
เราต้องไปลองชุดกัน” แต่เสียงของไรรีย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็แทรกขึ้นมา เธอหันกลับมาอีกครั้ง
ดวงตามองจ้องแฮวอนตาไม่กะพริบ เธอไม่ชอบที่แทฮยองดูจะให้ความสนใจกับแฮวอนมากกว่า
“ครับ”
แทฮยองบอกโดยที่ไม่หันไปมองเธอเลยสักนิด
ดวงตาคมกริบนั่นมองจ้องที่แฮวอนแต่เพียงคนเดียว
“ต้องรีบ…”
“ผมเข้าใจแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มถูกกดต่ำลงคล้ายกับกัดฟันพูด
แต่ถึงแม้น้ำเสียงเขาจะเปลี่ยนไปแต่แววตาลุ่มลึกนั่นกลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
เจ้าหญิงสูงศักดิ์หน้าเสียไปเลยเมื่อได้ยินที่แทฮยองว่า
แม้แต่แฮวอนเองก็ยังอดกลัวไม่ได้
น้ำเสียงนั่นดูฟังเย็นชาและด้านชาอย่างที่แฮวอนไม่เคยได้ยิน
แทฮยองไม่แม้แต่จะเหลียวมองตามหญิงสาวที่สะบัดหน้าและลงน้ำหนักเท้าดังตึงไปชั้นล่าง
เขายังมองจ้องเข้าไปในดวงตาสีสวยที่ฉายแววล่อกแล่ก แขนยาวข้างหนึ่งยันกับผนังทางเดินเพื่อปิดทาง
พอแฮวอนจะเบี่ยงไปอีกข้าง แทฮยองก็ยกแขนข้างขวาปิดทางไว้โดยสมบูรณ์ เธอที่ไม่รู้จะตีสีหน้ายังไงเลยเลื่อนสายตาที่ฉายแววสงสัยปนหงุดหงิดมองแทฮยองและเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้มากจนรับรู้ถึงลมหายใจของเขาได้
จะหลบก็ไม่พ้นเมื่อด้านหลังของเธอคือผนังกำมะหยี่หนานุ่ม
“แล้วตกลงว่าเมื่อกี้เข้าใจอะไรฉันผิดหรือเปล่าแฮวอน”
“เปล่าสักหน่อยค่ะ
ฉันไม่ได้สนใจมองด้วยซ้ำ”
คนปากแข็งตอบไปอย่างนั้นแม้ว่าท่าทางของเธอจะสวนทางกับประโยคที่พูดมากก็ตาม
“งั้นหรอกเหรอ”
ร่างสูงยอมเออออตาม “แต่ว่าฉันอยากอธิบายนะ ยิ่งเธอทำเหมือนว่าฉันเต็มใจเป็นเจ้าบ่าวแบบนี้ คงจะยิ่งต้องพูด…”
แฮวอนคงจะอยู่นิ่งๆหากแทฮยองไม่ได้พูดด้วยโน้มเข้ามาหาด้วยแบบนี้
ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบกับริมฝีปากเธอยามที่เขาพูด ปลายจมูกโด่งนั่นก็เลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนแฮวอนทนไม่ไหว
เรียวแขนทั้งสองข้างยกขึ้นดันแผงอกกว้างและช่วงชิงใช้ช่องว่างระหว่างแขนของแทฮยองและมุดลอดออกมา
แฮวอนถอนหายใจทิ้งเฮือกหนึ่งก่อนจะมองค้อนคนที่แกล้งเธอไม่รู้เวล่ำเวลา
ส่วนคนตัวโตก็เอายกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก็แทฮยองอดคิดไม่ได้นี่ว่าเมื่อสักครู่แฮวอนกำลังหึงเขาน่ะ
“หยุดแกล้งเลยนะคะ ฉันรู้ค่ะว่าคุณถูกบังคับ” เจ้าของนัย์ตาสีอ่อนว่าเสียงดุก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วคุณเป็นยังไงบ้างคะ อีกสองวันจะถึงวันงานแล้ว คุณมีแผนอะไรหรือว่าจะยอมแต่ง”
“ไม่เห็นต้องพูดห้วน”
“เปล่าสักหน่อยค่ะ” แฮวอนยังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอก็รู้ตัวเหมือนกันว่าเผลอแสดงอาการคล้ายกับหึงหวงเขาไปทุกขณะ
“แล้วไม่เจอกันตั้งสองวัน เธอไม่คิดจะบอกคิดถึงกันบ้างเลยหรือไง” แทฮยองแกล้งแหย่ แต่พอเห็นแฮวอนมองเขม็งเขาก็หัวเราะน้อยๆก่อนจะเริ่มอธิบายแผนการที่วางเอาไว้ “ฉันดูทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว เราต้องออกไปจากที่นี่คืนวันงาน…”
“แล้วแผนที่อยู่ที่ไหนคะ…นี่คุณทำอะไรน่ะ” แฮวอนถามหาหาแผนที่ที่แทฮยองบอก ก่อนจะเป็นถามเสียงแข็งเมื่ออยู่ๆก็ถูกแทฮยองดึงเข้าไปหา
ร่างสูงถอยหลังเข้าไปในห้องที่เพิ่งออกมาก่อนจะปิดประตูลงกลอนแน่นหนา
“ก่อนจะให้ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วย”
เสียงทุ้มดูผ่อนคลายลงมาก
ดวงตาสีสวยฉายแววซุกซนอย่างที่แฮวอนเห็นแล้วไม่อย่างวางใจ “ฉันถูกจูบ ช่วยหน่อย”
“หื้อ?” แฮวอนรับคำอย่างไม่เข้าใจ
ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินสิ่งที่แทฮยองว่า “จะให้ช่วย…”
ไม่รอให้เสียงหวานเอื้อนเอ่ยจบประโยคริมฝีปากร้อนก็ทาบลงมาปิดสนิท
หน้าแฮวอนเชิดขึ้นเล็กน้อย
มือบางถูกรวบไว้ข้างตัวก่อนที่ร่างบางจะถูกดันจนแผ่นหลังชิดติดกับประตูบานใหญ่
สัมผัสครั้งนี้ไม่เหมือนวันที่แทฮยองสารภาพรักแม้แต่นิด
เขานวดเฟ้นกลีบปากด้วยแรงหนักเบาต่างกัน ทุกครั้งที่ร่างสูงกดจูบลงมา
ลมหายใจของเธอก็เหมือนถูกขโมยไปทีละนิด
แทฮยองขยับริมฝีปากราวกับจะกลืนกินแฮวอนไปทั้งตัว
ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อลิ้นชิ้นลากไล้บนกลีบปากนุ่ม เรียวปากบางเผลอเผยอออกจนแทฮยองอยากเข้าไปตักตวงความหอมหวานที่เขาอยากลิ้มลอง
แต่ก็ยังหักใจไว้
เมื่อแทฮยองผละจูบออก
แฮวอนก็รีบสูดหายใจเข้าออกโดยเร็ว
ร่างบางกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาแตะจมูกลงมาที่ปลายจมูกเธอ
ซ้ำยังฉวยโอกาสแตะริมฝีปากร้อนๆของตัวเองกับคนที่หน้าแดงจัดอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้งอย่างนุ่มนวล
เสียงนุ่มทุ้มบอกเบาราวกระซิบ
“ฉันชอบแค่จูบของเธอรู้เอาไว้ด้วย”
“จ…จูบแล้ว ก…ก็ปล่อยสิคะ” แฮวอนบอกอย่างตะกุกตะกัก ดวงตากลมโตไม่กล้าสบตากับแทฮยองจนต้องเสมองไปทางอื่น หัวใจเธอเต้นตึกตักเหมือนจวนจะระเบิดออกมา
แทฮยองมองอากัปกิริยาของคนตรงหน้าพลางกระตุกยิ้มบางๆอย่างชอบใจ ท่อนแขนเลื่อนช้อนเอวบางเข้ามาใกล้และบอก
“บอกว่าคิดถึงก่อนเดี๋ยวจะยอมปล่อย เอาไงหื้ม?”
“คุณจองกุกคะ”
“หื้อ? กลับมาแล้วเหรอ
เป็นยังไงบ้างล่ะ” จองกุกสะดุ้งและหันกลับมาเผชิญหน้าร่างบางเร็วไว
มือข้างหนึ่งซุกแอบไว้ด้านหลัง
“เอาไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะค่ะ
เอามืออกมาเลยนะคะ” แฮวอนว่าพลางหรี่ตาจับผิด
เขาไม่รู้หรือไงว่าตัวเองแสดงไม่เก่งเลยแม้แต่นิด
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งข้างจองกุก
ต้องทำหน้าดุอีกครั้งก่อนจะดึงมือหนามาดู
ฝ่ามือข้างหนึ่งเป็นรอยแตกรวมทั้งยังมีรอยแผลเต็มหลังมืออีกต่างหาก
เป็นเพราะจองกุกไม่เคยทำงานใช้แรงงานอย่างพวกก่อสร้าง
เขาถึงได้แผลกลับมาเต็มไปหมดแบบนี้
“ดุ” เสียงทุ้มต่อว่าสั้นๆจนแฮวอนต้องเถียงทันที
“ก็คุณดื้ออ่ะ ใครเขาจะว่าคุณกันเล่า
แค่บอกว่าตัวเองมีแผล ฉันจะได้ทำให้ไงคะ ปล่อยไว้ก็เจ็บแย่สิ”
แฮวอนว่าก่อนจะเรียกวารีเวทออกมา
ประกายสีฟ้าแทรกซึมเข้าไปในผ้าที่แฮวอนเอากลับมาด้วย
ไอสีเงินเข้าเกาะกุมตามก่อนที่เธอจะใช้มันเช็ดไปตามรอยเลือดแห้งกรังและรอยขีดข่วนบนมือหนา
ทำข้างหนึ่งเสร็จก็ดึงอีกข้างมาดูแลต่อ
ตอนนี้แฮวอนรู้สึกว่าจองกุกเหมือนเด็กไม่มีผิดที่ตามตามดูแล
แต่เธอกลับชอบใจซะอีกที่เห็นคนดุแบบเขาต้องมาหงอกลัวเธอแบบตอนนี้
“ฉันคิดว่าจะท้ารบเพื่อออกไปจากที่นี่”
จองกุกว่าขึ้นระหว่างที่ดวงตาจับจ้องมือบางที่กำลังดูแลตัวเองอยู่ตอนนี้
แผนการที่แทฮยองบอกถูกอธิบายอย่างละเอียดยิบโดยที่แฮวอนไม่ปริปากสักนิดว่าแทฮยองกลั่นแกล้งเธอมายังไงก่อนจะได้แผนที่นี้มา
แผนที่ภายในของไซเธียนที่แทฮยองจัดการทำขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมาถูกกางเพื่อบ่งบอกตำแหน่งที่แน่นอน
เขายอมเป็นเจ้าบ่าวของไรรีย์ก็เพราะว่าคิดจะหลบหนีออกไปจากไซเธียน
และตำแหน่งว่าที่เจ้าบ่าวก็เอื้ออำนวยทุกสิ่งที่เขาต้องการได้
“แต่แผนนี้ต้องการคนอื่นช่วยค่ะ
ฉันว่ามันเสี่ยงเกินไปที่เราจะทำกันเอง”
แฮวอนเสนอความคิดเดียวกับที่เคยบอกกับแทฮยองไป
“ก็จริง อืม…” จองกุกเห็นด้วยก่อนเงียบไปเพื่อใช้ความคิด
ดวงตาเลื่อนมองไปมาก่อนจะหยุดลงที่ห้องขังฝังตรงข้าม “ฉันคิดว่าพอหาได้”
“คะ?”
“นี่คุณหมาป่า!”
จองกุกส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจเนื่องจากเรือนพักนี้มีแค่เขาและมนุษย์หมาป่าที่อยู่ตรงข้าม
ร่างสูงลุกขึ้นยืนและเดินไปหยุดหน้าลูกกรงและเอ่ยถาม “อยากแหกคุกมั้ย”
คนที่นั่งหันหลังอยู่ค่อยๆเบนหน้ามาสบตา
แววตาเขานิ่งสงบจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
ความเงียบครอบคลุมไปทั่วก่อนเสียงหัวเราะอย่างถูกใจจะดังขึ้น
“ก็คิดว่าจะไม่ชวนซะแล้ว”
ร่างสูงผิวสีแทนเดินออกมาประจันหน้า
“แล้วตกลงมั้ยล่ะ”
“จัดไปสิ
ฉันเองก็เบื่อห้องแคบๆนี่เต็มทีแล้ว” เขี้ยวสองข้างโผล่มาที่มุมปากเมื่อเขายกยิ้ม
ดวงตาสีทองหันมากะพริบให้แฮวอนจนเธอเผลอถอยหลังไปหลบอยู่ข้างจองกุกและตีสีหน้าไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
“ฉันจองกุก
ส่วนนี่แฮวอน แล้วคุณล่ะ”
จองกุกถามชื่อพันธมิตรชั่วคราวเพราะเขาเองยังไม่รู้จักคนตัวโตเลย
“ฉันคีชิน
ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฮยอนซอก!
นายอยู่ที่ไหน!!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของซองจุนดังผ่านความเงียบ
ร่างสูงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของปราสาท
มือหนาผลักประตูเปิดอย่างแรงด้วยพละกำลังของตนเองจนบานประตูพังครืนลงมา เดือดร้อนให้เจ้าของห้องต้องร่ายคาถาซ่อมแซม
“มีอะไรของนาย” คนที่นั่งศึกษาตำราเวทถามนิ่งๆ
เขายังพลิกเปิดอ่านหนังสืออย่างใจเย็น ฮยอนซอกยังไม่ได้หันกลับมามองซองจุนสักนิด
“ฉันได้ยินข่าวว่าไอ้พวกนั้นมันเข้ามาที่นี่และอยู่ในเพนนัมบร้าแล้ว!
นายไม่คิดจะบอกฉันเลยสักนิดหรือไง” ซองจุนที่ขยับตัวมาตรงหน้าถาม
มือขาวซีดปัดหนังสือเล่มหนาให้ปิดลงและถามอย่างจริงจัง
“เพราะรู้ว่าบอกแล้วนายจะใจร้อนแบบนี้ไง”
เจ้าของนัยน์ตาสีนิลบอก เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
“ฉันรู้ตั้งแต่วินาทีที่แฮวอนยุ่งกับประตูมิติแล้ว แต่ฉันไม่ทำอะไรและปล่อยเธอเข้ามา”
“ทำไม
นายบอกว่าเธอจะคลายคำสาปได้แล้วทำไมถึงปล่อยพวกนั้นเดินทางไปจนเกือบถึงดาร์กวันได้”
ซองจุนถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะฉันนึกบางอย่างได้ไง”
น้ำเสียงติดเย็นชาบอกก่อนที่ฮยอนซอกจะขยับรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่า อาจจะแฮวอนทำลายคำสาปของพวกนั้นลงได้
แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าพวกมันไม่ได้อยู่ด้วยกันครบทั้งเจ็ดคน”
“หมายถึงในดาร์กวันใช่มั้ย”
ซองจุนเริ่มเข้าใจความคิดของเพื่อนทีละนิด
“ใช่
สถานที่ที่เวลาแปรปรวนขนาดนั้น
บางทีกว่าที่พวกนั้นจะออกมาได้อาจจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วมั้ง
พอถึงตอนนั้นการ์ดิเนียก็กลายเป็นของเราแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะต้องไปเดือดร้อนทำไม
แต่ถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดแผนสำรองก็ถูกเตรียมแล้ว”
“ผู้หญิงคนนั้น?” พอเห็นฮยอนซอกพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเรื่องกองทัพล่ะเป็นยังไง”
“ปลุกวิญญาณทุกคนแล้ว
ทีนี้ก็รอเวลาบุก”
ท้องถนนถูกประดับไปด้วยโคมไฟหลายหลายสีสัน
ลานกว้างที่เคยเป็นสถานที่ซ้อมรบถูกทำความสะอาด ดอกไม้กลิ่นหอมวางประดับไปทั่ว
เมื่อพระอาทิตย์ลาลับไป งานสำคัญก็เริ่มขึ้น
แฮวอนอยู่ในแถวสาวใช้
ร่างบางรวมมือประสานไว้หน้าตัวก่อนจะโค้งตัวลงต่ำเมื่อราชินีของไซเธียนเดินผ่านมาตามด้วย
ไรรีย์ในชุดเจ้าสาวสีขาวซึ่งกระโปรงยาวลากพื้น แขนเรียวคล้องกับแขนของแทฮยองแน่น
เจ้าหญิงยิ้มระริกระรี้อย่างไม่เก็บอาการ ซึ่งเขาก็เอาแต่ยิ้มรับอย่างนุ่มนวล
“หวังว่าคุณจะปฏิบัติตัวเป็นเจ้าบ่าวและสามีที่ดี
ไรรีย์ทำตัวให้เรียบร้อยด้วย”
เสียงแหบแห้งดังแว่วให้แฮวอนได้ยินก่อนที่ประตูที่สลักอย่างงดงามจะถูกเปิดออก
เสียงวงดนตรีเริ่มบรรเลงฟังดูฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก
หญิงสาวที่สวมชุดเกาะยืนเรียงแถวขนาบข้างตั้งแต่ประตูวงไปจนถึงลานพิธี
พวกเธอถือทวนไว้ในมือ ด้ามโลหะกระทบพื้นเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงร้องที่แฮวอนแปลความหมายไม่ออกแต่ฟุ้งไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
ชาวบ้านคนอื่นๆยืนอยู่ด้านหลังและเฝ้ารอดูงานแต่งงานครั้งสำคัญนี้
สำหรับอเมซอนผู้หญิงคือผู้นำ ส่วนผู้ชายแทบจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร
บทบาททางสังคมของชายหญิงสลับกับการ์ดิเนียโดยสิ้นเชิง
“ฉันยินดีเหลือเกินที่ทุกคนมาร่วมงานในครั้งนี้…”
ราชินีกล่าวเมื่อเดินมาหยุดตรงใจกลางลานพิธี
เสียงของเธอยังคงกล่าวเรื่อยไปแต่แฮวอนไม่ได้สนใจฟัง
ร่างบางชิงใช้ช่วงที่ทุกคนต่างสนใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหันหลังกลับแล้วเดินหายลับไป
จองกุกกับคีชินเองก็ปะปนอยู่กับผู้คนในงาน
เขาพยักหน้าให้มนุษย์หมาป่าเพื่อเริ่มแผนการ
มือหนาเลื่อนดึงหน้ากากหนังลงมาปิดบังใบหน้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงของหญิงชราผู้เป็นผู้ทำพิธีแต่งงาน
“เจ้าหญิงยินดีที่จะรับเขาเป็นสามีหรือไม่”
“ค่ะ”
“มีผู้ใดจะกล่าวคัดค้านหรือไม่”
วินาทีนั้นความสงบกลับถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มของจองกุก
ร่างสูงก้าวเข้ามาในลานพิธีอย่างไม่กลัวเกรงก่อนจะเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“ผมขอคัดค้าน
ชายคนนี้ไม่สมควรที่จะได้เจ้าหญิงได้”
“ท่านแม่!!!”
ไรรีย์ร้องเสียงดังที่คนกล้าขัดจังหวะสำคัญของเธอจนต้องรีบหันไปหามารดา แต่กลับถูกหยุดด้วยถ้อยคำแสนสงบนิ่ง
“เอาสิ
จงแสดงฝีมือของคุณทั้งสองออกมาว่าใครสมควรได้ลูกสาวฉันไป”
ราชินีไม่ได้ตกใจแม้แต้น้อยเพราะเป็นกฎ
หากมีใครคัดค้านงานแต่งงานก็ต้องสู้จนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง
ส่วนผู้ชนะจะได้เจ้าสาวไปครอบครอง
วงกลมสีขาวตีรอบขึ้นมาเมื่อทวนกระแทกพื้น
ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถอยร่นออกไปเพื่อรอดูการต่อสู้ที่จะเริ่มขึ้น หมอกสีขาวที่โรยตัวอยู่รอบๆกลับกลายเป็นสีเทาและรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆจนบดบังทัศนวิสัยโดยรอบไปจนหมด
มือหนาปัดไล่อุปสรรคข้างหน้าไปพ้นตัว
ดวงไฟถูกเสกขึ้นมาเพื่อใช้มองหาทางออก ไอร้อนค่อยๆขับไล่ให้ไอหมอกมัวหายไป
แต่เสียงเคลื่อนไหวด้านหลังทำเอาจองกุกชะงัก
มือขวาขยับมาหน้าตัวก่อนดาบสีเงินจะปรากฏขึ้นในมือ
แขนแกร่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อวาดดาบไปด้านหลัง เขาเกือบยั้งมือไม่ทัน
คมดาบกดอยู่กับลำคอของแทฮยองอย่างผิวเผิน
วินาทีที่จองกุกชะงัก
เขาก็ตวัดดาบใส่คนเป็นน้อง ตามที่นัดแนะกันไว้
คมดาบเฉือนต้นแขนของจองกุกไปเพียงนิดแต่ก็สร้างบาดแผลทิ้งเอาไว้
ไม่ได้มีเวลาไตร่ตรองก็ต้องยกดาบขึ้นรับแทฮยองที่ฟันลงมา
ขายาวถีบยันอีกฝ่ายให้พ้นตัวก่อนจะ
แทฮยองสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะฟาดดาบใส่จองกุกอีกครั้ง
ร่างสูงทั้งสองที่มีมือพอซัดพอเหวี่ยงเหวี่ยงดาบใส่กันไม่ยอมหยุด
แทฮยองใช้สันดาปกระแทกอกจองกุกอย่างแรง
ส่วนคนเป็นน้องก็ตวัดด้านคมกริบใส่จนเสื้อแทฮยองขาดเป็นทาง
หวิดเข้าหน้าท้องไปเพียงนิด
แส้เพลิงสะบัดใส่แทฮยอง แต่ก็ถูดปัดออกด้วยไอเย็นสีเทาเงิน จองกุกขยับมือขึ้นครั้งเพื่อเสกบ่วงเพลิง
เส้นสีแดงอมส้มพุ่งตรงเข้าหาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
แต่กลับถูกดาบยาวฟันขาดและสลายกลายเป็นไอ
บาเรียสีเทาขุ่นก่อขึ้นทันทีที่จองกุกฟาดบอลเพลิงใส่
แรงปะทะที่เกิดขึ้นกลายเป็นระเบิดขนาดย่อม
แรงนั้นกวาดไล่จนหมอกสีเทาหายไปจากบริเวณ
ทั้งสองคนแกล้งต่อสู้และประวิงเวลาเอาไว้นานที่สุด
สองคนต่างแกว่งดาบเข้าหากัน ทำผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มัวทำอะไรของเธออยู่แฮวอน”
แทฮยองว่าเบาเท่ากระซิบก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาจองกุก
โลหะคมเข้าปะทะกัน
สันดาบรูดกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ ทั้งฝ่ายต่างกดคมดาบเข้าหากัน
จองกุกมองเข้าไปในตาคู่นั้นและส่งสัญญาณให้คนเป็นพี่ลงมือ
กำปั้นหนักๆซัดเข้าที่หน้าท้องของคนตรงข้ามอย่างแรงจนจองกุกล้มลงไป
แทฮยองจัดการปัดดาบของจองกุกออกไปในพ้น ส่วนดวงไฟสีแดงก็ถูกลมหมุนสลายไปทันทีเมื่อจองกุกเรียกมันขึ้นมา เขาเงื้อดาบขึ้นสูงแสดงว่าต้องการจะปลิดชีพของอีกฝ่ายลง
ร่างบางหยุดอยู่หน้าห้องเก็บสมบัติของวัง
หันมองซ้ายขวาและใช้ช่วงเวลาเกิดเหตุชุลมุนด้านอกลักลอบมาจนถึงสถานที่สำคัญของวังไซเธียน
มือทาบแตะกับประตูบานใหญ่ก่อนแสงสีม่วงจะส่องแสงและเกิดช่องว่างให้แฮวอนเข้าไปได้
เหรียญทองคำกองเอาไว้เกือบทุกมุมห้อง
อาวุธและชุดเกราะที่ทำจากเงินและทองถูกวางเรียงไว้ด้านหนึ่ง น้ำยาที่บรรจุในขวดประดับอัญมณี
แม้กระทั่งมงกุฎที่สวมลงบนโครงกระดูกมนุษย์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แฮวอนตามหา
ดวงตากลมรีบกวาดมองทั่วห้องก่อนจะหยุดที่ลูกแก้วสีชมพูขุ่นที่อยู่ด้านบนสุดของตู้ที่สูงจรดเพดาน
ลูกแก้วผ่านมิติของสาคัญของไซเธียนที่แทฮยองหลอกถามมาจากไรรีย์จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้พวกเธอไปถึงสวนแห่งดาร์กวันได้
เมื่อใช้คาถาเรียกของแล้วลูกแก้วยังไม่ขยับเขยื้อนเธอจึงต้องใช้หนทางอื่น
แต่ระหว่างที่ยังหันรีหันขวาง เกราะเหล็กไร้ชีวิตกลับเริ่มขยับตัว
ดาบคมที่เก็บไว้ถูกขว้างออกมาอย่างแรง อาวุธนั่นเฉียดร่างแฮวอนไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
แฮวอนหมุนตัวล้มและคว้าหอกที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่เกราะเหล็กตรงหน้า
ไม้กายสิทธิ์ปรากฏขึ้นในวินาทีถัดมา
“รีดัคโต”
แสงสีม่วงระเบิดพลังจนเหล่าอัศวินที่กำลังดาหน้าเข้ามาล้มครืนไม่เป็นท่า
แต่ผ่านไปเพียงอึดใจหุ่นเหล่านั้นกลับลุกขึ้นมาอีกครั้งและเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เกราะเหล็กเอื้อมคว้าแขนบางได้แต่ก็ถูกพลังสีม่วงอัดจนหงายหลังไปอีกครั้ง
ความปวดแสบปวดร้อนแล่นขึ้นบนแขนบาง
ตรงที่สัมผัสกับโลหะเย็นกลับร้อนจัดราวกับถูกของร้อนนาบ
กำแพงน้ำแข็งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเมื่อแฮวอนสะบัดมือ
เธอใช้มันถ่วงเวลา ขยับมืออีกครึ่งเก้าอี้สลักก็เลื่อนเข้ามาหา
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งก่อนจะพึมพำคาถา แสงสีม่วงสว่างวาบไปตามที่ปลายไม้กายสิทธิ์
“วิงการ์เดียม เลวิโอซ่า”
แฮวอนค่อยๆประคับประคองให้เก้าอี้ลอยขึ้นช้าๆและสูงจนเอื้อมถึงลูกแก้วได้
วินาทีนั้นเกราะอัศวินก็พังกำแพงน้ำแข็งลงและบางตัวกำไล่ตามแฮวอนขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
สิ้นเสียงนั้นร่างของแฮวอนสลายหายไปราวกับควัน
เหลือเพียงเก้าอี้ที่ตกลงแตกเป็นเสี่ยงเท่านั้น
แฮวอนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งใกล้ๆกับประตูทางออกที่ติดกับห้องครัว
ส่งเสียงผิวปากสามครั้งตามที่ตกลงกันไว้
พอกะพริบตาคีชินก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว
“คุณคีชินคะ ฝั่งฉันเรียบร้อยแล้วค่ะ”
“งั้นตาฉันแล้วสิ พระเอกมาแล้ว” เขายังคงพูดติดตลก
มุมปากโค้งขึ้น เขาสะบัดมือ ยืดแขนเตรียมพร้อม “อุดอู้ชะมัด
ไม่ได้วิ่งมาหลายวันแล้ว”
ร่างสูงใหญ่ของคีชินขยายขนาดขึ้น
เสื้อที่ใส่ก่อนหน้าถูกฉีกกระชากจนขาดออก มัดกล้ามถูกแทนที่ด้วยขนสีทองแดง
ร่างใหญ่ของหมาป่านัยน์ตาสีทองปรากฎตัวขึ้นในวินาทีถัดมา เขี้ยวแหลมคมแสยะยิ้มให้แฮวอนทีหนึ่งก่อนจะส่งเสียงเห่าหอนตามสัญชาตญาณ
พอแฮวอนพยักหน้าให้ร่างของหมาป่าก็กระโจนพรวดออกไปและวิ่งด้วยความเร็วจนขนสีทองแดงพลิ้วไปกับสายลม
เสียงอึกทึกที่ลานประลองดังฮือฮาขึ้นอีกหลังจากที่จองกุกเป็นฝ่ายล้มลงทำให้แทฮยองเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันปลิดชีวิต
หมาป่าตัวโตพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว
ฟันคมงับเข้าที่สูทสีดำของแทฮยองก่อนจะกัดเสื้อของจองกุกไว้แน่นและวิ่งฝ่าเหล่าทหารที่ตั้งกระบวนพลรับมือ
แสงสีม่วงที่พุ่งออกมาจากชายป่ามืดสนิททำให้ทหารพวกนั้นไม่สามารถหยุดยั้งคีชินได้
หมาป่ายังเร่งฝีเท้าไม่หยุดแม้จะพ้นแสงสว่างจากบริเวณงานมาแล้ว
เขารู้ว่ายังไงพวกนั้นต้องตามหาตัวแน่ๆ
คมปล่อยร่างของจองกุกและแทฮยองออกก่อนจะกลับคืนสภาพมนุษย์
มือหนารับเสื้อจากแฮวอนที่ซ่อนตัวมาอยู่ก่อนหน้าแล้วรีบบอก
“รีบออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว
พวกนั้นตามเราเจอภายในสามนาที”
แฮวอนรีบหยิบลูกแก้วออกมาเขย่าพร้อมเอ่ยชื่อสถานที่ที่ต้องการจะไป
“สวนแห่งดาร์กวัน”
ประตูรั้วที่ดูรกร้างปรากฎขึ้นในลูกแก้วสีชมพูขุ่น
แฮวอนขว้างมันไปข้างหน้าจนเกิดช่องว่างบิดเบี้ยวของประตูมิติ
พยักหน้าให้กันเล็กน้อยแทฮยองก็ก้าวเข้าไปเป็นคนแรกตามด้วยคีชิน แฮวอนและเปิดท้ายด้วยจองกุก
เมื่อประตูมิติปิดลง ทุกคนก็โผล่มาตรงหน้าที่ดูมืดมิดและเต็มไปด้วยไอเย็นน่าขนลุก
หันมองรอบตัวได้ไม่นานเสียงของคีชินก็ดังขึ้น
เขากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“ขอบคุณมากที่พาฉันออกมาด้วย ถ้ามีอะไรให้ช่วยฉันยินดี”
คีชินบอกก่อนจะมอบให้อัญมณีสีขาวใสให้แก่แฮวอน
“…นี่มันมูนสโตนนี่คะ
ของคุณเหรอคะ”
“ใช่
มันเป็นของสำคัญของเผ่าพันธุ์ของฉัน ถ้าอยากเจอฉันก็แค่สะท้อนมันกับแสงจันทร์ก็พอ
ว่าแต่พวกเธอต้องการอะไรที่นี่” คีชินบอกไว้เท่านั้นก่อนจะเลื่อนดวงตาสีทองมองทางเข้าที่เต็มไปด้วยเศษซากระเกะระกะ
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรืออะไรที่ควรย่างกรายมาเฉียดใกล้
“เราอยากทำลายคำสาปของพวกพ่อมด”
แทฮยองเป็นคนตอบก่อนจะผินหน้ามองทางเข้าสวน
“พ่อมด? พวกไอ้ซองจุนน่ะเหรอ”
คีชินตีหน้ายุ่ง ยิ่งแฮวอนพยักหน้าเขาก็ถามต่อ “แล้วมีหัวใจหรือไง
เลือดจากหัวใจของพวกเมอร์ลินน่ะ พวกเธอมีหรือไง”
“คุณแน่ใจอย่างนั้นเหรอ” จองกุกย้อนถาม
เขาไม่อยากเชื่อสักนิดว่าของล้างสาปนั้นอาจจะหมายถึงชีวิตของแฮวอน
“ใช่ เผ่าพันธุ์ฉันถือเป็นบริปักษ์กับพวกแวมไพร์
การรู้ความลับถือเป็นอีกอย่างที่ทำให้ต่อกรกับพวกมันได้
ครั้งที่มันพยายามยึดครองแผ่นดินฝั่งนั้น มันร่วมมือกับพ่อมด
มาร์คัสหยิ่งทะนงเหลือเกิน เขาสาปผู้ใช้เวทคนละฝั่งกับตนให้สูญเสียพลัง
และของแก้คำสาปเกือบทุกอย่างคือเลือดของพวกเมอร์ลิน” คีชินเล่าทุกอย่างที่รู้
แต่พอเห็นแฮวอนที่ตีหน้านิ่งก็อดถามไม่ได้ “อ้าว ไหงทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
“ฝ่ายเมอร์ลินที่คุณว่า…คือฉันไงคะ”
ความเงียบงันเข้าครอบคลุมบริเวณหลังจากที่คีชินจากไป
ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยประโยคใดออกมาราวกับว่าทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนและดำดิ่งจนลึกสุดใจ
ค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงในเวลานี้
ดวงตาสีน้ำตาอ่อนค่อยๆเลื่อนมองประตูบานใหญ่ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า
แฮวอนรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังร้องเรียกหาเธอ
ร่างบางขยับก้าวเดินไปตรงหน้าประตู ใช้สัญชาตญาณเบื้องลึกที่ตีรวนขึ้นมา
มือบางทาบลงกับบานประตู แสงสีม่วงสว่างขึ้นและอาบไล้ประตูทั้งบาน
วงสลักมนตราที่ซับซ้อนค่อยๆคล้ายเกลียวออก ประตูทั้งบานกลายเป็นช่องว่างและเผยให้เห็นสถานที่ตรงหน้าที่แตกต่างกับอีกฝั่งหนึ่งของประตูอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก้าวผ่านเข้ามาหนทางที่ใช้เมื่อสักครู่ก็หายวับไปกับตา
ตอนนี้แฮวอนกำลังอยู่ในสวนสวยเขียวชอุ่ม สายลมอ่อนๆและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมพัดปะทะร่างพาลให้รู้สึกสดชื่น
กลีบสีชมพูของดอกพีชปลิวว่อนกลางอากาศ ต้นของมันถูกปลูกไว้เป็นแนว
เบื้องบนคือท้องฟ้าสดใส ประดับด้วยแผ่นเมฆสีขาวสะอาดลอยปะปนบนแผ่นฟ้าสีสวย
จองกุกและแทฮยองหันมองหน้ากัน
พวกเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาที่นี่มาก ส่วนแฮวอนเองก็เริ่มสอดสายตามองหาบางอย่างที่เธอยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
“แฮวอน
เรื่องนั้นน่ะ…”
“อย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ
เราควรรีบหาที่เก็บคำสาปให้เจอก่อน” แฮวอนตัดบทเสียงเรียบ
เธอไม่อยากแสดงความกังวลออกมาให้พวกเขาเห็น แม้ใจในของเธอจะวิตกไปมากแล้วก็ตาม หันมองซ้ายขวาไปเรื่อยพร้อมกับจำเส้นทาง
กระทั่งเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างดังขึ้น
ต้นพีชที่อยู่ระหว่างทางเริ่มขยับเคลื่อนที่บีบเข้ามาหา
บาเรียของแต่ละคนถูกกางขึ้นโดยไว ก่อนที่ผืนดินที่ยืนอยู่จะเคลื่อนไหว
มันขยับขึ้นลงอย่างไม่รู้ทิศทาง แฮวอนรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงไปมาคล้ายกับลูกข่าง
ทุกอย่างสงบลงหลังจากนั้น
แฮวอนพบว่าตัวเองอยู่กลางสวนนั้น
มีต้นวิสทีเรียตั้งตะหง่านอยู่ตรงกลาง มันผลิบานเป็นดอกสีชมพูอมม่วง
และเธอเจอเพื่อนร่วมทางอีกครั้ง แต่พวกเขากลับอยู่ในร่างสัตว์สี่ขา
“คุณแทฮยอง
คุณจองกุก นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ” แฮวอนพึมพำอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาสิงโตภูเขาและเสือดำที่อยู่ไม่ไกล
เธอจำได้แม่นว่าตอนที่ออกมาจากไซเธียนพระจันทร์ยังไม่เต็มดวงด้วยซ้ำ
แต่ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ได้
“กรรจ์~”
เสียงครางฮือดังขึ้นเมื่อแฮวอนเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาสีเหลืองนั้นเหลือบมองแฮวอนก่อนจะขยับกายเข้ามาใกล้
หัวนุ่มๆถูไถกับเรียวขาเหมือนต้องการออดอ้อน
เสือดำใช้หัวดันมือบางคล้ายจะบอกให้แฮวอนลูบหัวตน
ส่วนสิงโตภูเขาก็ยังไม่เลิกถูไถใบหน้าไปกับต้นขาของเธอสักที
กิริยาอาการเชื่องแบบนี้อดทำให้แฮวอนหวนนึกถึงสิ่งที่คีชินบอกไม่ได้
“เขาบอกว่าเลือดของฝ่ายเมอร์ลินมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาดกับคนที่โดนคำสาป
เรียกอีกอย่างว่านั้นทั้งคู่เป็นพันธสัญญากันก็ได้
ความลุ่มหลงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่ได้พบกัน
และกรณีของเธอคงมากกว่าหนึ่ง…”
อาจจะเป็นอย่างนั้น
แฮวอนยังจำเรื่องที่พวกเขาทั้งสองพยายามตีตัวเข้ามาหา สัมผัส แตะเนื้อต้องกาย
ความต้องการที่ไม่ได้แค่พวกเขา
เพราะแม้แต่แฮวอนเองก็ยังดำดิ่งลงไปในห้วงความรู้สึกนั้นเช่นกัน
การที่พวกเขาไม่แสดงสัญชาตญาณดุร้ายตอนนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องคู่สัญญานั่นก็ได้
“โฮก~!!!”
แต่อยู่ๆทั้งสิงโตและเสียงกลับส่งเสียงคำราม พวกมันแยกเขี้ยวและส่งเสียงร้องคล้ายกับต้องการข่มขู่และกระโจนไปข้างหน้า
“เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
แฮวอนรีบห้ามเพราะกลัวทั้งคู่จะเตลิดและวิ่งหนีหายไป แต่พอหันหลังกลับ
ตรงหน้ากลับพบร่างใหญ่โตของเสือดำและสิงโตภูเขา
ทั้งสองไม่ได้วิ่งหนีหายไปอย่างที่แฮวอนกลัว ขาแข็งแรงก้าวย้ำไปมาและผลัดกันเดินสลับซ้ายขวาและเฝ้ามองผู้ที่ปรากฏกายอยู่ตรงข้าม
ร่างที่อยู่ตรงข้ามสวมเสื้อคลุมสีดำปักประดับด้วยผีเสื้อสีม่วงและขาว
หน้ากากสีขาวลวดลายสีทองปิดบังใบหน้าไว้ ยามที่ขยับตัวเพื่อเยื้องย่างเข้ามาใกล้ก็คล้ายว่าพวกผีเสื้อนั้นกำลังกระพือปีก
รังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวคนตรงหน้าให้ความรู้สึกดึงดูดแปลกประหลาด
“สวัสดีแฮวอน”
เสียงหวานใสแต่กลับเยือกเย็นกล่าวทักทาย
แม้จะแปลกใจที่ฝ่ายตรงข้ามรู้จักชื่อของเธอ
แต่แฮวอนก็เลือกที่จะคำถามข้ออื่นกลับไป
“คุณต้องการอะไร”
เธอถามขณะที่ยื่นมือไปลูบหัวของสัตว์ข้างตัวอย่างปลอบประโลม เสียงกัดฟันกรอดและขู่คำรามยังดังอยู่ตลอดเวลา
“ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากเธอ”
สิ้นคำตอบนั้น ร่างบางขยับก้าวไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง แฮวอนมั่นใจว่าคนตรงหน้าคือใคร
“ถอดหน้ากากออกซะ
สวมรอยเป็นคนอื่นสนุกรึไง”
“ฮึ
รู้ทันเร็วจริงๆ” เธอกล่าวอย่างติดตลก
มือบางที่โผล่พ้นเสื้อคลุมสีทึบค่อยๆดึงหมวกที่คลุมหัวออกตามด้วยหน้ากากสีขาว
นัยน์ตาสีน้ำตาลไม่ได้แสดงอาการหวั่นเกรงสักนิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต็มตา
ใบหน้าที่ถอดกันมาทุกกระเบียด น้ำเสียง ท่าทางการเคลื่อนไหวที่เหมือนแฮวอนไม่ผิดเพี้ยน
ต่างกันแค่ดวงตาสีนิลของอีกฝ่ายและแววตาเย็นชาเหี้ยมโหดที่เคลือบแฝงไว้
“แต่ฉันจะบอกอะไรให้แฮวอนผู้น่าสงสาร
ฉันไม่ได้สวมรอยเป็นใคร”
คนตรงข้ามบอกพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไล้ตามโครงหน้าหวานอย่างเบามือ “ฉันคือเธอ
ฉันอยู่ในห้วงความคิดมืดมิดของเธอไง ฉันเป็นฝันร้ายของเธอ”
วินาทีนั้นความรู้สึกทั้งดีชั่วตีทะลักขึ้นมาในสมองของแฮวอนราวกับถูกเสกสรรขึ้นมา
ภาพเหตุการณ์ทั้งดีร้ายในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ความเจ็บปวด เสียงร้องไห้ กรีดร้อง
ทุกอย่างที่เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำทำให้ร่างบางเผลอถอยหลัง
“ที่เธอพยายามทำทุกอย่างตอนนี้คิดว่าดีแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
แฮวอนกัดฟันบอก เธอต้องพยายามตั้งสมาธิและสลัดภาพร้ายเหล่านั้นออกไปให้หมด
“พูดผิดแล้ว
เราคือคนเดียวกันแฮวอน” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้
มือบางสองข้างแตะลงที่ขมับของแฮวอนพร้อมถ่ายทอดภาพที่อยู่ลึกสุดในความคิดออกมา
ทุกอย่างที่แฮวอนไม่อยากให้เกิด
แต่เธอคนนี้กลับดำเนินฝันร้ายของแฮวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สิงโตและเสือที่อยู่ข้างๆเห็นว่าท่าไม่ดีจึงกระโจนเข้าหาคนที่อยู่ในชุดคลุมดำ
พวกเขาไม่ได้หลงเหลือความทรงจำใดตอนเป็นมนุษย์
แต่เบื้องลึกสั่งให้เขาปกป้องแฮวอนเอาไว้ แม้ว่าอีกคนจะมีหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ
แต่ทั้งคู่กลับมีแต่ความเกลียดชังต่อเธอ
ความเขี้ยวแหลมคมไม่ทันแตะต้องร่างของเธอก็ถูกผลักออกไปอย่างแรง
ฝ่ามือข้างหนึ่งพลังสีดำ
เส้นสายนั่นพุ่งตรงไปที่ร่างของเสือดำและสิงโตภูเขาแล้วเข้าบีบรัดตรงช่วงลำคอ
ขยับมืออีกครั้งหนึ่งร่างของสัตว์สี่ขาก็กลับกลายเป็นมนุษย์
จองกุกและแทฮยองถูกตรึงค้างไว้ในอากาศไม่แต่แม้จะขยับตัวได้
พลังด้านมืดนั้นค่อยๆบีบรัดลำตัวกระทั่งใกล้ขาดหายใจ
แต่พวกเขายังคงมองตรงมาที่แฮวอนที่ตอนนี้ใบหน้าหวานมีน้ำตานองหน้า
ฝันร้ายกำลังบาดลึกและกลืนกินเธออยู่
“ดูพวกมันสิ
ช่างอ่อนแอเหลือเกิน ไม่ได้คู่ควรกับพลังของเธอสักนิด
เธอจะช่วยพวกมันจริงๆหรือแฮวอน” เธอเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์
กล่าวทุกอย่างยั่วยุหวังให้แฮวอนหลงกล
“แฮวอน
อ…อย่าไปฟัง!” จองกุกรีบตะโกนบอก ในใจภาวนาให้แฮวอนรู้สึกตัวเร็วๆ
“ความจริงแล้วเธอไม่ได้มีค่าในแผ่นดินนั้นเลยสักนิด
พวกมันแค่จะหลอกใช้ประโยชน์จากเธอ”
“เธอมีค่าสำหรับฉันแฮวอน!”
แทฮยองบอกว่า “ฟังแค่ฉันก็พอ!!!”
“ยอมเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน
แล้วทุกอย่างที่เธอต้องการจะเป็นของเธอ”
“ทุกอย่างเลยเหรอ”
เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย ดวงตากลมค่อยๆเลื่อนมองคนตรงหน้า
“ใช่
ทุกอย่าง”
บรรยากาศของพาราเดียรวมถึงทั้งอาณาจักรดูหมองหม่นขึ้นทุกวัน
ดินแดนที่คล้ายสรวงสรรค์เหลือแต่ชื่อ เหตุการณ์แปลกประหลาดและการของโจมตีของบางอย่างที่สร้างความปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน
โรงเรียนยังเปิดทำการเรียนการสอนเช่นเคยแต่กลับเพิ่มกฎให้รัดกุมขึ้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคน
หลังจากที่ทุกปราสาทปิดไฟ
อาจารย์ทั้งห้าคนก็รวมตัวประชุมงานอย่างทุกค่ำคืนที่ผ่านมา
ยังดีที่พวกเขาได้รับผิดชอบแค่พาราเดีย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นงานใหญ่อยู่ดี
ไหนจะขาดกำลังไปอีกสองคน และพวกเขานึกเป็นห่วงน้องชายกว่าสิ่งใด
การวางแผนรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเคร่งเครียด
พวกเขาต้องเปลี่ยนแผนและรูปแบบทุกสัปดาห์เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้
ทุกอย่างดำเนินไปเกือบสองชั่วโมง กระทั่งโฮซอกเริ่มบทสนทนาอย่างหนักใจ
“นี่มันเกือบเดือนแล้วนะที่แทฮยองกับจองกุกหายไป
ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง อีกอย่างจันทรุปราคาก็ใกล้มาถึงแล้ว”
“ไหนจะเรื่องคำสาปนั่นอีก
เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรจะลบล้างมันได้ แต่เรากลับยอมให้พวกเข้าเขาไปในชาโดว์แบลงค์”
จีมินบอกคล้ายรู้สึกผิด
ป่านนี้พวกเขายังไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนเป็นตายร้ายดีอย่างไร
พวกเขาขาดการติดต่อไปเลย มีเพียงจดหมายเวทที่ส่งมาถึงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ผ่านมานานแล้ว
“ปราการเทรย์เวอร์แจ้งมาว่าเตรียมจอมเวทพร้อมแล้วสำหรับการวางม่านมนตราครั้งใหม่”
ซอกจินที่รับผิดชอบเรื่องนี้แจ้ง เสียงทุ้มแผ่วเบาลงเมื่อถึงประโยคถัดมา
“ภายในสัปดาห์นี้”
“แต่ว่า…”
“ฉันรู้
แต่ว่าเราไม่มีเวลาแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากทำแบบนั้นหรอกนะ แต่เพื่อคนส่วนมากและอาณาจักร
เราต้องยอมเสียสละพวกเขา” นัมจุนบอก เขาเองก็ไม่อยากทำแบบนี้สักนิด
แต่เรื่องนี้เป็นประโยชน์ส่วนรวม
แม้ว่าหลังจากตัดสินใจนี้จะเหมือนมีอะไรแสนหนักอึ้งกดทั้งร่างเขาไว้ก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นแจ้งให้ปราการเทรย์เวอร์เร่งดำเนินการเร็ว”
ยุนกิสรุปปิดท้ายพร้อมทั้งคล้ายกับหมอกมัวก็เข้าครอบคลุมทุกตารางพื้นที่ความคิดของทุกคนที่อยู่ที่นี่
…การเสียสละที่ทำให้พวกเขานึกอยากเห็นแก่ตัวเองบ้าง
ภายในบ้านหลังโตที่ปลูกบนที่ดินราคาสูงลิ่วของการ์เดียน
ร่างในอาภรณ์สีแดงสดก้าวไปทางที่คุ้นเคย เคาะประตูพอเป็นพิธี
ซูจองก็เปิดประตูและย้ายร่างเข้ามาในห้องของจุนฮยอก
“พ่อคะ
หนูมีอะไรจะบอก”
“ว่าไง”
จุนฮยอกยังคงยุ่งวุ่นวายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบเดือนของการ์ดิเนีย
ชายชราเร่งวางแผนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้การ์เดียน เขายอมละสายตาจากแผนที่ของเมืองหลวงเพื่อมองลูกสาวที่เดินทางมาจากบาเรนซ่าเพียงครู่เดียวก็ก้มหน้าทำงานต่อ
“เรื่องของคังชอลน่ะค่ะ
ลูกสาวของเขาอยู่ที่พาราเดีย และเธอเป็นแม่มด”
“…”
“ถ้าพ่อกำจัดเธอได้
ทั้งคำสรรเสริญ ทั้งเกียรติยศต้องมากองตรงหน้าพ่อแน่” ซูจองบอกพร้อมรอยยิ้มเคลือบยาพิษ
“จักรพรรดิต้องตอบแทนพ่ออย่างสาสมในฐานะที่แจ้งเบาะแสของศัตรูของอาณาจักรได้
พ่อคิดว่าไงคะ”
“ทหาร!”
ชายร่างอ้วนที่ถูกความละโมบเข้ารีบครอบครองความคิดออกคำสั่ง
โดยไม่สังเกตแม้แต่นิดว่าลูกสาวของตนมีนัยน์ตาเลื่อนลอยและมีม่านสีเขียวเข้มปกคลุมเอาไว้บางๆ
“กระจายข่าวไปให้เร็วที่สุดและแจ้งให้จักรพรรดิทราบ
มีแม่มดอยู่ที่พาราเดียและเป็นภัยร้ายแก่อาณาจักร รีบจับเธอมาซะ!!!”
Loading next chapter...
“เรื่องวิธีแก้คำสาปนั่นมันหมายถึงชีวิตเธอเลยนะ…”
“หมายถึงเราจะออกไปจากชาโดว์แบลงค์ไม่ได้?”
“ใช่ พวกฉันด้อยกว่าพวกนาย…แต่ว่านี่มีตัวช่วย”
“ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่มด!!!”
“สัญญาว่าจะกลับมาหา รอฉันด้วยนะแฮวอน”
“งั้นจะเล่าความลับให้ฟังหนึ่งเรื่องดีมั้ย เธอคงดีใจที่ได้รู้”
ทำไมสปอยมันเพิ่มทีละประโยคตลอดเยย อิอิ
เมื่อแฮวอนดื้อจนได้เรื่อง คนดื้อเลยต้องกลายเป็นคนง้อผู้ชายตัวโตที่งอนเธออยู่
“หนูเปล่านะ แล้วพี่ก็รีบหายโกรธได้แล้ว” คนถูกกล่าวหารีบแย้ง มือที่ทาบบนแผ่นอกกว้างเผลอขยุ้มเสื้อของอีกคนโดยที่ไม่รู้ตัวก่อนจะซุกหน้าลงไปซบกับอกแล้วบอกด้วยเสียงที่ฟังดูอู้อี้ “งั้นเดี๋ยวเย็นนี้จะทำกับข้าวให้กินอีก พี่จะได้หายโกรธเร็วๆเนอะ”
“จุ๊บพี่ก่อน” แทฮยองต่อรองพลางขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาก้มลงไปสบตากับคนที่ตัวเองนอนกอดอยู่แล้วบอกอีกครั้ง “อ่ะ เดี๋ยวให้ทำอีกสองสามอย่างเดี๋ยวหายโกรธเลย แต่ตอนนี้จุ๊บก่อน”
แฮวอนกลายเป็นคนป่วยขี้อ้อน แต่ว่าก็ยังดื้อ คนดูแลก็เลยต้องดุเป็นพิเศษ
“อื้อ มันแสบอ่ะ”
“อีกนิดเดียวน่า อดทนอีกนิด” จองกุกตอบรับคนที่สั่นขาคล้ายจะหนีมือเขาอย่างใจเย็นพลางแอบยิ้มขำอยู่คนเดียว “ไหนบอกว่าแฮวอนเป็นคนเก่งไง”
“คนละเรื่องแล้ว อ๊ะ…จองกุกทำเบาๆด้วยสิ” เสียงแฮวอนชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเธอถูกมือหนาแกล้งเน้นแรงกดลงมาบนแผล กำปั้นเล็กเลยทุบเข้าที่บ่ากว้างทีหนึ่งอย่างเลยอด “อย่าแกล้งหนูสิ”
“อย่าพยายามจะมองผมเลยที่รัก” เขาบอกเสียงค่อยพลางสอดประสานนิ้วมือทั้งห้ากับฝ่ามือบาง “คุณต้องรอ…อีกไม่นานหรอก เข้าใจมั้ยครับ” คำถามนั้นมาพร้อมกับรอยจุมพิตเบาๆตรงหลังมือ
“…ค่ะ”
“เรียกชื่อผมได้หรือเปล่า” ร่างสูงถามอีกครั้งพลางดึงมือของแฮวอนให้ทาบลงมาบนผิวแก้มของตัวเองและรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งบนหน้าตักแกร่งของตน “เรียกชื่อผมและสัมผัสผมให้มากอย่างที่คุณปรารถนา”
“นี่มันวิธีรักษาแบบกระต่ายน่ะแฮวอน เห็นมั้ยว่าแผลหายแล้ว” แฮวอนมองคนที่เงยหน้ามองเธอตาปริบๆ ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัวก่อนที่จองกุกจะใช้นิ้วหัวแม่มือลูบวนบนผิวนุ่มแล้วมองเธออย่างมีความหมาย
“ข…ขอบใจจองกุกนะ แต่เราทำแผลแบบธรรมดาก็ได้”
“ไม่เอาด้วยหรอก เราจะทำแบบนี้ให้แฮวอนทุกครั้งเลย” คนตัวโตแย้งขึ้นมาพลางหยัดตัวจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับแฮวอน ลมหายใจร้อนๆพ่นกระทบผิวของกันและกันก่อนที่จองกุกจะบอกอีกครั้ง “ส่วนตอนนี้ก็ต้องเลียอีกที”
ความคิดเห็น