ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Taehyung & Jungkook | PARADIA [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #21 : ♦ 18 THE MOON ♦ + เปิดQ&Aอีกครั้ง!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.65K
      402
      4 ส.ค. 61






    18

    ♦  THE MOON  ♦ 

     





                เช้าวันต่อมาแฮวอนถูกเรียกตัวออกมาทำงาน ชุดนอนสีครีมที่เปื้อนไปทั้งตัวถูกเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงสีขาวแขนกุดยาวกรอมเท้า มีผ้ากันเปื้อนสีแดงเลือดหมูผูกตรงเอว ผมยาวสลวยถูกถักเปียลงมาและร้อยด้วยเชือกสีทอง


                ไซเธียนใหญ่โตและโอ่อ่ามาก ทุกอย่างในเมืองทำจากทองคำเป็นส่วนมากและประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ส่วนผู้ชายมักจะอยู่ในชนชั้นแรงงาน แฮวอนถูกพามายังวังของราชินีแห่งไซเธียน ตอนนี้พวกเขากำลังวุ่นวายกับการจัดงานแต่งให้แก่เจ้าหญิงไรรีย์ แฮวอนเองก็ถูกเรียกตัวเข้ามาช่วยงาน ส่วนจองกุกต้องใช้แรงงานอยู่ด้านหน้าปราสาท


                โถงชั้นสองเป็นพื้นที่ที่แฮวอนกับสาวใช้อีกสองคนต้องดูแล มือบางหอบหิ้วถังน้ำและผ้าขี้ริ้วแยกไปทางซ้ายตามที่สาวใช้คนนั้นบอก ระหว่างนั้นก็หมั่นหันมองซ้ายขวาเผื่อว่าจะเจอแทฮยอง เธอได้ข่าวว่าอีกสองวันก็จะถึงงานแต่งแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นยังไงบ้าง


                ใช้เวลาหลายชั่วโมง แฮวอนไล่ทำความสะอาดตั้งแต่ห้องแรกไปจนสุดทางเดิน มือบางปาดเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มกรอบหน้าหลังจากออกมาขัดระเบียงโล่งกว้างด้านนอกจนเสร็จ แดดจ้าทำเอาแฮวอนรู้สึกหน้ามืด ร่างบางต้องประคองตัวเองไว้ครู่หนึ่ง


                ประตูห้องที่อยู่ถัดห่างออกไปสองห้องขยับและแง้มเปิด แฮวอนจึงลดมือลงและเพ่งมองไปทางนั้น หญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องพัก เธอคงไม่สนใจถ้าหากอีกคนที่ยืนในห้องไม่ใช่แทฮยอง


                การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าน้อยชิ้นนั่นทำให้แฮวอนไม่อยากคาดเดาเรื่องราวก่อนหน้า แอบเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก ดวงตากลมมองไปยังแทฮยองครู่เดียวก่อนที่จะเบี่ยงตัวเดินหลบไปยังระเบียงกว้างที่เพิ่งจากมา แฮวอนคงจะได้ทำตามใจถ้าหากอีกคนไม่ตามรั้งเอาไว้อย่างรวดเร็วซะก่อน


                “แฮวอน!

                ร่างบางจำต้องหยุด แต่เสียงของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้นตามมาติดๆ

                “แทฮยองคะ คุณเรียกใคร” น้ำเสียงนั้นฟังดูคาดคั้นของจนเจ้าของชื่อลอบถอนหายใจก่อนจะปรับสีหน้าและหันกลับไปบอกอย่างนุ่มนวล

                “เธอเป็นน้องสาวผม ผมขอคุยกับคุยกับเธอก่อนนะครับ”

                ไรรีย์ยอมพยักหน้ารับ เธอชอบแทฮยองมากถึงตามใจ ร่างบางเดินออกไปแต่ก็ไม่วายทิ้งสายตามองแทฮยองไม่หยุด ส่วนเจ้าตัวก็เอาแต่มองคนตรงหน้าเท่านั้น

                “เป็นยังไงบ้าง”

                “ก็ดีค่ะ แต่คงน้อยกว่าเจ้าบ่าวแบบคุณมั้ง” แฮวอนเผลอตอบกลับคล้ายประชดประชัน เธอกับจองกุกนึกเป็นห่วงเขาแทบตาย แต่ดูเหมือนจะไปได้ดีนี่

                “หงุดหงิดอะไรหรือเปล่า”

                “เปล่าค่ะ แค่เหนื่อยนิดหน่อย” คนถูกถามบอกด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าธรรมดามากที่สุดแต่แทฮยองก็พอจับความไม่ปกติของแฮวอนได้อยู่ดี

                “คิดว่ามีอะไรกันฮะ?” คนตัวสูงถามพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “เมื่อกี้มันแค่

                “รีบตามลงมานะคะ เราต้องไปลองชุดกัน” แต่เสียงของไรรีย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็แทรกขึ้นมา เธอหันกลับมาอีกครั้ง ดวงตามองจ้องแฮวอนตาไม่กะพริบ เธอไม่ชอบที่แทฮยองดูจะให้ความสนใจกับแฮวอนมากกว่า

                “ครับ” แทฮยองบอกโดยที่ไม่หันไปมองเธอเลยสักนิด ดวงตาคมกริบนั่นมองจ้องที่แฮวอนแต่เพียงคนเดียว

                “ต้องรีบ

                “ผมเข้าใจแล้ว” น้ำเสียงทุ้มถูกกดต่ำลงคล้ายกับกัดฟันพูด แต่ถึงแม้น้ำเสียงเขาจะเปลี่ยนไปแต่แววตาลุ่มลึกนั่นกลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด


                เจ้าหญิงสูงศักดิ์หน้าเสียไปเลยเมื่อได้ยินที่แทฮยองว่า แม้แต่แฮวอนเองก็ยังอดกลัวไม่ได้ น้ำเสียงนั่นดูฟังเย็นชาและด้านชาอย่างที่แฮวอนไม่เคยได้ยิน


                แทฮยองไม่แม้แต่จะเหลียวมองตามหญิงสาวที่สะบัดหน้าและลงน้ำหนักเท้าดังตึงไปชั้นล่าง เขายังมองจ้องเข้าไปในดวงตาสีสวยที่ฉายแววล่อกแล่ก แขนยาวข้างหนึ่งยันกับผนังทางเดินเพื่อปิดทาง พอแฮวอนจะเบี่ยงไปอีกข้าง แทฮยองก็ยกแขนข้างขวาปิดทางไว้โดยสมบูรณ์ เธอที่ไม่รู้จะตีสีหน้ายังไงเลยเลื่อนสายตาที่ฉายแววสงสัยปนหงุดหงิดมองแทฮยองและเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาเข้ามาใกล้มากจนรับรู้ถึงลมหายใจของเขาได้ จะหลบก็ไม่พ้นเมื่อด้านหลังของเธอคือผนังกำมะหยี่หนานุ่ม


                “แล้วตกลงว่าเมื่อกี้เข้าใจอะไรฉันผิดหรือเปล่าแฮวอน”

                “เปล่าสักหน่อยค่ะ ฉันไม่ได้สนใจมองด้วยซ้ำ” คนปากแข็งตอบไปอย่างนั้นแม้ว่าท่าทางของเธอจะสวนทางกับประโยคที่พูดมากก็ตาม

                “งั้นหรอกเหรอ” ร่างสูงยอมเออออตาม “แต่ว่าฉันอยากอธิบายนะ ยิ่งเธอทำเหมือนว่าฉันเต็มใจเป็นเจ้าบ่าวแบบนี้ คงจะยิ่งต้องพูด

                แฮวอนคงจะอยู่นิ่งๆหากแทฮยองไม่ได้พูดด้วยโน้มเข้ามาหาด้วยแบบนี้ ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบกับริมฝีปากเธอยามที่เขาพูด ปลายจมูกโด่งนั่นก็เลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆจนแฮวอนทนไม่ไหว


                เรียวแขนทั้งสองข้างยกขึ้นดันแผงอกกว้างและช่วงชิงใช้ช่องว่างระหว่างแขนของแทฮยองและมุดลอดออกมา แฮวอนถอนหายใจทิ้งเฮือกหนึ่งก่อนจะมองค้อนคนที่แกล้งเธอไม่รู้เวล่ำเวลา ส่วนคนตัวโตก็เอายกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก็แทฮยองอดคิดไม่ได้นี่ว่าเมื่อสักครู่แฮวอนกำลังหึงเขาน่ะ


                “หยุดแกล้งเลยนะคะ ฉันรู้ค่ะว่าคุณถูกบังคับ” เจ้าของนัย์ตาสีอ่อนว่าเสียงดุก่อนจะเอ่ยถาม “แล้วคุณเป็นยังไงบ้างคะ อีกสองวันจะถึงวันงานแล้ว คุณมีแผนอะไรหรือว่าจะยอมแต่ง”

                “ไม่เห็นต้องพูดห้วน

                “เปล่าสักหน่อยค่ะ” แฮวอนยังแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ เธอก็รู้ตัวเหมือนกันว่าเผลอแสดงอาการคล้ายกับหึงหวงเขาไปทุกขณะ

                 แล้วไม่เจอกันตั้งสองวัน เธอไม่คิดจะบอกคิดถึงกันบ้างเลยหรือไง” แทฮยองแกล้งแหย่ แต่พอเห็นแฮวอนมองเขม็งเขาก็หัวเราะน้อยๆก่อนจะเริ่มอธิบายแผนการที่วางเอาไว้ “ฉันดูทางหนีทีไล่เอาไว้แล้ว เราต้องออกไปจากที่นี่คืนวันงาน




                “แล้วแผนที่อยู่ที่ไหนคะนี่คุณทำอะไรน่ะ” แฮวอนถามหาหาแผนที่ที่แทฮยองบอก ก่อนจะเป็นถามเสียงแข็งเมื่ออยู่ๆก็ถูกแทฮยองดึงเข้าไปหา ร่างสูงถอยหลังเข้าไปในห้องที่เพิ่งออกมาก่อนจะปิดประตูลงกลอนแน่นหนา

                “ก่อนจะให้ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วย” เสียงทุ้มดูผ่อนคลายลงมาก ดวงตาสีสวยฉายแววซุกซนอย่างที่แฮวอนเห็นแล้วไม่อย่างวางใจ “ฉันถูกจูบ ช่วยหน่อย”

                “หื้อ?” แฮวอนรับคำอย่างไม่เข้าใจ ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินสิ่งที่แทฮยองว่า “จะให้ช่วย


                ไม่รอให้เสียงหวานเอื้อนเอ่ยจบประโยคริมฝีปากร้อนก็ทาบลงมาปิดสนิท หน้าแฮวอนเชิดขึ้นเล็กน้อย มือบางถูกรวบไว้ข้างตัวก่อนที่ร่างบางจะถูกดันจนแผ่นหลังชิดติดกับประตูบานใหญ่


                สัมผัสครั้งนี้ไม่เหมือนวันที่แทฮยองสารภาพรักแม้แต่นิด เขานวดเฟ้นกลีบปากด้วยแรงหนักเบาต่างกัน ทุกครั้งที่ร่างสูงกดจูบลงมา ลมหายใจของเธอก็เหมือนถูกขโมยไปทีละนิด แทฮยองขยับริมฝีปากราวกับจะกลืนกินแฮวอนไปทั้งตัว ร่างบางตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อลิ้นชิ้นลากไล้บนกลีบปากนุ่ม เรียวปากบางเผลอเผยอออกจนแทฮยองอยากเข้าไปตักตวงความหอมหวานที่เขาอยากลิ้มลอง แต่ก็ยังหักใจไว้


                เมื่อแทฮยองผละจูบออก แฮวอนก็รีบสูดหายใจเข้าออกโดยเร็ว ร่างบางกระตุกเล็กน้อยเมื่อเขาแตะจมูกลงมาที่ปลายจมูกเธอ ซ้ำยังฉวยโอกาสแตะริมฝีปากร้อนๆของตัวเองกับคนที่หน้าแดงจัดอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้งอย่างนุ่มนวล เสียงนุ่มทุ้มบอกเบาราวกระซิบ


                “ฉันชอบแค่จูบของเธอรู้เอาไว้ด้วย”

                “จจูบแล้ว กก็ปล่อยสิคะ” แฮวอนบอกอย่างตะกุกตะกัก ดวงตากลมโตไม่กล้าสบตากับแทฮยองจนต้องเสมองไปทางอื่น หัวใจเธอเต้นตึกตักเหมือนจวนจะระเบิดออกมา

                แทฮยองมองอากัปกิริยาของคนตรงหน้าพลางกระตุกยิ้มบางๆอย่างชอบใจ ท่อนแขนเลื่อนช้อนเอวบางเข้ามาใกล้และบอก

                “บอกว่าคิดถึงก่อนเดี๋ยวจะยอมปล่อย เอาไงหื้ม?”

     





                ตอนเย็นแฮวอนที่เผลอตีแทฮยองไปทีหนึ่งเพราะถูกเขาจูบกลับมาถึงห้องขังหลังจากจองกุก เธอเห็นร่างสูงนั่งซุกตัวอยู่มุมห้องในลักษณะที่หันหลังให้ ด้วยความเป็นห่วงเธอจึงเรียกเขาพร้อมกับสะกิดเบาๆตรงไหล่กว้าง


                “คุณจองกุกคะ”

                “หื้อ? กลับมาแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ” จองกุกสะดุ้งและหันกลับมาเผชิญหน้าร่างบางเร็วไว มือข้างหนึ่งซุกแอบไว้ด้านหลัง

                “เอาไปหลอกเด็กอนุบาลเถอะค่ะ เอามืออกมาเลยนะคะ” แฮวอนว่าพลางหรี่ตาจับผิด เขาไม่รู้หรือไงว่าตัวเองแสดงไม่เก่งเลยแม้แต่นิด


                ร่างบางทรุดตัวลงนั่งข้างจองกุก ต้องทำหน้าดุอีกครั้งก่อนจะดึงมือหนามาดู ฝ่ามือข้างหนึ่งเป็นรอยแตกรวมทั้งยังมีรอยแผลเต็มหลังมืออีกต่างหาก เป็นเพราะจองกุกไม่เคยทำงานใช้แรงงานอย่างพวกก่อสร้าง เขาถึงได้แผลกลับมาเต็มไปหมดแบบนี้


                “ดุ” เสียงทุ้มต่อว่าสั้นๆจนแฮวอนต้องเถียงทันที

                “ก็คุณดื้ออ่ะ ใครเขาจะว่าคุณกันเล่า แค่บอกว่าตัวเองมีแผล ฉันจะได้ทำให้ไงคะ ปล่อยไว้ก็เจ็บแย่สิ” แฮวอนว่าก่อนจะเรียกวารีเวทออกมา


                ประกายสีฟ้าแทรกซึมเข้าไปในผ้าที่แฮวอนเอากลับมาด้วย ไอสีเงินเข้าเกาะกุมตามก่อนที่เธอจะใช้มันเช็ดไปตามรอยเลือดแห้งกรังและรอยขีดข่วนบนมือหนา ทำข้างหนึ่งเสร็จก็ดึงอีกข้างมาดูแลต่อ ตอนนี้แฮวอนรู้สึกว่าจองกุกเหมือนเด็กไม่มีผิดที่ตามตามดูแล แต่เธอกลับชอบใจซะอีกที่เห็นคนดุแบบเขาต้องมาหงอกลัวเธอแบบตอนนี้


                “ฉันคิดว่าจะท้ารบเพื่อออกไปจากที่นี่” จองกุกว่าขึ้นระหว่างที่ดวงตาจับจ้องมือบางที่กำลังดูแลตัวเองอยู่ตอนนี้

                “ไม่ต้องหรอกค่ะ” แฮวอนแย้งพลางเงยหน้าสบตากับนัยน์ตาสีเข้ม “วันนี้ฉันเจอคุณแทฮยองแล้ว และเขาก็มีแผนจะหนีออกไปจากที่นี่แล้วด้วย”



                แผนการที่แทฮยองบอกถูกอธิบายอย่างละเอียดยิบโดยที่แฮวอนไม่ปริปากสักนิดว่าแทฮยองกลั่นแกล้งเธอมายังไงก่อนจะได้แผนที่นี้มา แผนที่ภายในของไซเธียนที่แทฮยองจัดการทำขึ้นในช่วงสองวันที่ผ่านมาถูกกางเพื่อบ่งบอกตำแหน่งที่แน่นอน เขายอมเป็นเจ้าบ่าวของไรรีย์ก็เพราะว่าคิดจะหลบหนีออกไปจากไซเธียน และตำแหน่งว่าที่เจ้าบ่าวก็เอื้ออำนวยทุกสิ่งที่เขาต้องการได้


                “แต่แผนนี้ต้องการคนอื่นช่วยค่ะ ฉันว่ามันเสี่ยงเกินไปที่เราจะทำกันเอง” แฮวอนเสนอความคิดเดียวกับที่เคยบอกกับแทฮยองไป

                “ก็จริง อืม…” จองกุกเห็นด้วยก่อนเงียบไปเพื่อใช้ความคิด ดวงตาเลื่อนมองไปมาก่อนจะหยุดลงที่ห้องขังฝังตรงข้าม “ฉันคิดว่าพอหาได้”

                “คะ?

                “นี่คุณหมาป่า!” จองกุกส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจเนื่องจากเรือนพักนี้มีแค่เขาและมนุษย์หมาป่าที่อยู่ตรงข้าม ร่างสูงลุกขึ้นยืนและเดินไปหยุดหน้าลูกกรงและเอ่ยถาม “อยากแหกคุกมั้ย”


                คนที่นั่งหันหลังอยู่ค่อยๆเบนหน้ามาสบตา แววตาเขานิ่งสงบจนเดาอารมณ์ไม่ถูก ความเงียบครอบคลุมไปทั่วก่อนเสียงหัวเราะอย่างถูกใจจะดังขึ้น


                “ก็คิดว่าจะไม่ชวนซะแล้ว” ร่างสูงผิวสีแทนเดินออกมาประจันหน้า

                “แล้วตกลงมั้ยล่ะ”

                “จัดไปสิ ฉันเองก็เบื่อห้องแคบๆนี่เต็มทีแล้ว” เขี้ยวสองข้างโผล่มาที่มุมปากเมื่อเขายกยิ้ม ดวงตาสีทองหันมากะพริบให้แฮวอนจนเธอเผลอถอยหลังไปหลบอยู่ข้างจองกุกและตีสีหน้าไม่ถูกไปครู่หนึ่ง

                “ฉันจองกุก ส่วนนี่แฮวอน แล้วคุณล่ะ” จองกุกถามชื่อพันธมิตรชั่วคราวเพราะเขาเองยังไม่รู้จักคนตัวโตเลย

                “ฉันคีชิน ยินดีที่ได้รู้จัก”

     





                “ฮยอนซอก! นายอยู่ที่ไหน!!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของซองจุนดังผ่านความเงียบ ร่างสูงเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของปราสาท มือหนาผลักประตูเปิดอย่างแรงด้วยพละกำลังของตนเองจนบานประตูพังครืนลงมา เดือดร้อนให้เจ้าของห้องต้องร่ายคาถาซ่อมแซม


                “มีอะไรของนาย” คนที่นั่งศึกษาตำราเวทถามนิ่งๆ เขายังพลิกเปิดอ่านหนังสืออย่างใจเย็น ฮยอนซอกยังไม่ได้หันกลับมามองซองจุนสักนิด

                “ฉันได้ยินข่าวว่าไอ้พวกนั้นมันเข้ามาที่นี่และอยู่ในเพนนัมบร้าแล้ว! นายไม่คิดจะบอกฉันเลยสักนิดหรือไง” ซองจุนที่ขยับตัวมาตรงหน้าถาม มือขาวซีดปัดหนังสือเล่มหนาให้ปิดลงและถามอย่างจริงจัง

                “เพราะรู้ว่าบอกแล้วนายจะใจร้อนแบบนี้ไง” เจ้าของนัยน์ตาสีนิลบอก เขาค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา “ฉันรู้ตั้งแต่วินาทีที่แฮวอนยุ่งกับประตูมิติแล้ว แต่ฉันไม่ทำอะไรและปล่อยเธอเข้ามา”

                “ทำไม นายบอกว่าเธอจะคลายคำสาปได้แล้วทำไมถึงปล่อยพวกนั้นเดินทางไปจนเกือบถึงดาร์กวันได้” ซองจุนถามอย่างไม่เข้าใจ

                “เพราะฉันนึกบางอย่างได้ไง” น้ำเสียงติดเย็นชาบอกก่อนที่ฮยอนซอกจะขยับรอยยิ้ม “ถึงแม้ว่า อาจจะแฮวอนทำลายคำสาปของพวกนั้นลงได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าพวกมันไม่ได้อยู่ด้วยกันครบทั้งเจ็ดคน”

                “หมายถึงในดาร์กวันใช่มั้ย” ซองจุนเริ่มเข้าใจความคิดของเพื่อนทีละนิด

                “ใช่ สถานที่ที่เวลาแปรปรวนขนาดนั้น บางทีกว่าที่พวกนั้นจะออกมาได้อาจจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วมั้ง พอถึงตอนนั้นการ์ดิเนียก็กลายเป็นของเราแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะต้องไปเดือดร้อนทำไม แต่ถ้าไม่เป็นอย่างที่คิดแผนสำรองก็ถูกเตรียมแล้ว”

                “ผู้หญิงคนนั้น?” พอเห็นฮยอนซอกพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วเรื่องกองทัพล่ะเป็นยังไง”

                “ปลุกวิญญาณทุกคนแล้ว ทีนี้ก็รอเวลาบุก”

     





                ท้องถนนถูกประดับไปด้วยโคมไฟหลายหลายสีสัน ลานกว้างที่เคยเป็นสถานที่ซ้อมรบถูกทำความสะอาด ดอกไม้กลิ่นหอมวางประดับไปทั่ว เมื่อพระอาทิตย์ลาลับไป งานสำคัญก็เริ่มขึ้น


                แฮวอนอยู่ในแถวสาวใช้ ร่างบางรวมมือประสานไว้หน้าตัวก่อนจะโค้งตัวลงต่ำเมื่อราชินีของไซเธียนเดินผ่านมาตามด้วย ไรรีย์ในชุดเจ้าสาวสีขาวซึ่งกระโปรงยาวลากพื้น แขนเรียวคล้องกับแขนของแทฮยองแน่น เจ้าหญิงยิ้มระริกระรี้อย่างไม่เก็บอาการ ซึ่งเขาก็เอาแต่ยิ้มรับอย่างนุ่มนวล


                “หวังว่าคุณจะปฏิบัติตัวเป็นเจ้าบ่าวและสามีที่ดี ไรรีย์ทำตัวให้เรียบร้อยด้วย” เสียงแหบแห้งดังแว่วให้แฮวอนได้ยินก่อนที่ประตูที่สลักอย่างงดงามจะถูกเปิดออก


                เสียงวงดนตรีเริ่มบรรเลงฟังดูฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก หญิงสาวที่สวมชุดเกาะยืนเรียงแถวขนาบข้างตั้งแต่ประตูวงไปจนถึงลานพิธี พวกเธอถือทวนไว้ในมือ ด้ามโลหะกระทบพื้นเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงร้องที่แฮวอนแปลความหมายไม่ออกแต่ฟุ้งไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์


                ชาวบ้านคนอื่นๆยืนอยู่ด้านหลังและเฝ้ารอดูงานแต่งงานครั้งสำคัญนี้ สำหรับอเมซอนผู้หญิงคือผู้นำ ส่วนผู้ชายแทบจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร บทบาททางสังคมของชายหญิงสลับกับการ์ดิเนียโดยสิ้นเชิง


                “ฉันยินดีเหลือเกินที่ทุกคนมาร่วมงานในครั้งนี้…” ราชินีกล่าวเมื่อเดินมาหยุดตรงใจกลางลานพิธี เสียงของเธอยังคงกล่าวเรื่อยไปแต่แฮวอนไม่ได้สนใจฟัง ร่างบางชิงใช้ช่วงที่ทุกคนต่างสนใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นหันหลังกลับแล้วเดินหายลับไป


                จองกุกกับคีชินเองก็ปะปนอยู่กับผู้คนในงาน เขาพยักหน้าให้มนุษย์หมาป่าเพื่อเริ่มแผนการ มือหนาเลื่อนดึงหน้ากากหนังลงมาปิดบังใบหน้าก่อนจะแทรกตัวเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงของหญิงชราผู้เป็นผู้ทำพิธีแต่งงาน


                 “เจ้าหญิงยินดีที่จะรับเขาเป็นสามีหรือไม่”

                 “ค่ะ”

                 “มีผู้ใดจะกล่าวคัดค้านหรือไม่”


                วินาทีนั้นความสงบกลับถูกทำลายด้วยเสียงทุ้มของจองกุก ร่างสูงก้าวเข้ามาในลานพิธีอย่างไม่กลัวเกรงก่อนจะเอ่ยย้ำอีกครั้ง


                 “ผมขอคัดค้าน ชายคนนี้ไม่สมควรที่จะได้เจ้าหญิงได้”

                 “ท่านแม่!!!” ไรรีย์ร้องเสียงดังที่คนกล้าขัดจังหวะสำคัญของเธอจนต้องรีบหันไปหามารดา แต่กลับถูกหยุดด้วยถ้อยคำแสนสงบนิ่ง

                 “เอาสิ จงแสดงฝีมือของคุณทั้งสองออกมาว่าใครสมควรได้ลูกสาวฉันไป” ราชินีไม่ได้ตกใจแม้แต้น้อยเพราะเป็นกฎ หากมีใครคัดค้านงานแต่งงานก็ต้องสู้จนกว่าจะตายไปข้างหนึ่ง ส่วนผู้ชนะจะได้เจ้าสาวไปครอบครอง


                วงกลมสีขาวตีรอบขึ้นมาเมื่อทวนกระแทกพื้น ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องถอยร่นออกไปเพื่อรอดูการต่อสู้ที่จะเริ่มขึ้น หมอกสีขาวที่โรยตัวอยู่รอบๆกลับกลายเป็นสีเทาและรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆจนบดบังทัศนวิสัยโดยรอบไปจนหมด


                มือหนาปัดไล่อุปสรรคข้างหน้าไปพ้นตัว ดวงไฟถูกเสกขึ้นมาเพื่อใช้มองหาทางออก ไอร้อนค่อยๆขับไล่ให้ไอหมอกมัวหายไป แต่เสียงเคลื่อนไหวด้านหลังทำเอาจองกุกชะงัก มือขวาขยับมาหน้าตัวก่อนดาบสีเงินจะปรากฏขึ้นในมือ แขนแกร่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อวาดดาบไปด้านหลัง เขาเกือบยั้งมือไม่ทัน คมดาบกดอยู่กับลำคอของแทฮยองอย่างผิวเผิน


                วินาทีที่จองกุกชะงัก เขาก็ตวัดดาบใส่คนเป็นน้อง ตามที่นัดแนะกันไว้


                คมดาบเฉือนต้นแขนของจองกุกไปเพียงนิดแต่ก็สร้างบาดแผลทิ้งเอาไว้ ไม่ได้มีเวลาไตร่ตรองก็ต้องยกดาบขึ้นรับแทฮยองที่ฟันลงมา ขายาวถีบยันอีกฝ่ายให้พ้นตัวก่อนจะ


                แทฮยองสาวเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะฟาดดาบใส่จองกุกอีกครั้ง ร่างสูงทั้งสองที่มีมือพอซัดพอเหวี่ยงเหวี่ยงดาบใส่กันไม่ยอมหยุด แทฮยองใช้สันดาปกระแทกอกจองกุกอย่างแรง ส่วนคนเป็นน้องก็ตวัดด้านคมกริบใส่จนเสื้อแทฮยองขาดเป็นทาง หวิดเข้าหน้าท้องไปเพียงนิด


                แส้เพลิงสะบัดใส่แทฮยอง แต่ก็ถูดปัดออกด้วยไอเย็นสีเทาเงิน จองกุกขยับมือขึ้นครั้งเพื่อเสกบ่วงเพลิง เส้นสีแดงอมส้มพุ่งตรงเข้าหาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่กลับถูกดาบยาวฟันขาดและสลายกลายเป็นไอ บาเรียสีเทาขุ่นก่อขึ้นทันทีที่จองกุกฟาดบอลเพลิงใส่ แรงปะทะที่เกิดขึ้นกลายเป็นระเบิดขนาดย่อม แรงนั้นกวาดไล่จนหมอกสีเทาหายไปจากบริเวณ


                ทั้งสองคนแกล้งต่อสู้และประวิงเวลาเอาไว้นานที่สุด สองคนต่างแกว่งดาบเข้าหากัน ทำผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างเอาเป็นเอาตาย


                “มัวทำอะไรของเธออยู่แฮวอน” แทฮยองว่าเบาเท่ากระซิบก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาจองกุก


                โลหะคมเข้าปะทะกัน สันดาบรูดกันอย่างแรงจนเกิดประกายไฟ ทั้งฝ่ายต่างกดคมดาบเข้าหากัน จองกุกมองเข้าไปในตาคู่นั้นและส่งสัญญาณให้คนเป็นพี่ลงมือ กำปั้นหนักๆซัดเข้าที่หน้าท้องของคนตรงข้ามอย่างแรงจนจองกุกล้มลงไป


                แทฮยองจัดการปัดดาบของจองกุกออกไปในพ้น ส่วนดวงไฟสีแดงก็ถูกลมหมุนสลายไปทันทีเมื่อจองกุกเรียกมันขึ้นมา เขาเงื้อดาบขึ้นสูงแสดงว่าต้องการจะปลิดชีพของอีกฝ่ายลง 



     

                ร่างบางหยุดอยู่หน้าห้องเก็บสมบัติของวัง หันมองซ้ายขวาและใช้ช่วงเวลาเกิดเหตุชุลมุนด้านอกลักลอบมาจนถึงสถานที่สำคัญของวังไซเธียน มือทาบแตะกับประตูบานใหญ่ก่อนแสงสีม่วงจะส่องแสงและเกิดช่องว่างให้แฮวอนเข้าไปได้


                เหรียญทองคำกองเอาไว้เกือบทุกมุมห้อง อาวุธและชุดเกราะที่ทำจากเงินและทองถูกวางเรียงไว้ด้านหนึ่ง น้ำยาที่บรรจุในขวดประดับอัญมณี แม้กระทั่งมงกุฎที่สวมลงบนโครงกระดูกมนุษย์ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แฮวอนตามหา ดวงตากลมรีบกวาดมองทั่วห้องก่อนจะหยุดที่ลูกแก้วสีชมพูขุ่นที่อยู่ด้านบนสุดของตู้ที่สูงจรดเพดาน ลูกแก้วผ่านมิติของสาคัญของไซเธียนที่แทฮยองหลอกถามมาจากไรรีย์จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้พวกเธอไปถึงสวนแห่งดาร์กวันได้


                เมื่อใช้คาถาเรียกของแล้วลูกแก้วยังไม่ขยับเขยื้อนเธอจึงต้องใช้หนทางอื่น แต่ระหว่างที่ยังหันรีหันขวาง เกราะเหล็กไร้ชีวิตกลับเริ่มขยับตัว ดาบคมที่เก็บไว้ถูกขว้างออกมาอย่างแรง อาวุธนั่นเฉียดร่างแฮวอนไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น


                แฮวอนหมุนตัวล้มและคว้าหอกที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่เกราะเหล็กตรงหน้า ไม้กายสิทธิ์ปรากฏขึ้นในวินาทีถัดมา


                “รีดัคโต” แสงสีม่วงระเบิดพลังจนเหล่าอัศวินที่กำลังดาหน้าเข้ามาล้มครืนไม่เป็นท่า แต่ผ่านไปเพียงอึดใจหุ่นเหล่านั้นกลับลุกขึ้นมาอีกครั้งและเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เกราะเหล็กเอื้อมคว้าแขนบางได้แต่ก็ถูกพลังสีม่วงอัดจนหงายหลังไปอีกครั้ง ความปวดแสบปวดร้อนแล่นขึ้นบนแขนบาง ตรงที่สัมผัสกับโลหะเย็นกลับร้อนจัดราวกับถูกของร้อนนาบ


                กำแพงน้ำแข็งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเมื่อแฮวอนสะบัดมือ เธอใช้มันถ่วงเวลา ขยับมืออีกครึ่งเก้าอี้สลักก็เลื่อนเข้ามาหา ร่างบางทรุดตัวลงนั่งก่อนจะพึมพำคาถา แสงสีม่วงสว่างวาบไปตามที่ปลายไม้กายสิทธิ์


                “วิงการ์เดียม เลวิโอซ่า”


                แฮวอนค่อยๆประคับประคองให้เก้าอี้ลอยขึ้นช้าๆและสูงจนเอื้อมถึงลูกแก้วได้ วินาทีนั้นเกราะอัศวินก็พังกำแพงน้ำแข็งลงและบางตัวกำไล่ตามแฮวอนขึ้นมาอย่างเอาเป็นเอาตาย


                ดิสพาเรชั่น จินซ์


                สิ้นเสียงนั้นร่างของแฮวอนสลายหายไปราวกับควัน เหลือเพียงเก้าอี้ที่ตกลงแตกเป็นเสี่ยงเท่านั้น






                แฮวอนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งใกล้ๆกับประตูทางออกที่ติดกับห้องครัว ส่งเสียงผิวปากสามครั้งตามที่ตกลงกันไว้ พอกะพริบตาคีชินก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว


                 “คุณคีชินคะ ฝั่งฉันเรียบร้อยแล้วค่ะ”

                 “งั้นตาฉันแล้วสิ พระเอกมาแล้ว” เขายังคงพูดติดตลก มุมปากโค้งขึ้น เขาสะบัดมือ ยืดแขนเตรียมพร้อม “อุดอู้ชะมัด ไม่ได้วิ่งมาหลายวันแล้ว”


                ร่างสูงใหญ่ของคีชินขยายขนาดขึ้น เสื้อที่ใส่ก่อนหน้าถูกฉีกกระชากจนขาดออก มัดกล้ามถูกแทนที่ด้วยขนสีทองแดง ร่างใหญ่ของหมาป่านัยน์ตาสีทองปรากฎตัวขึ้นในวินาทีถัดมา เขี้ยวแหลมคมแสยะยิ้มให้แฮวอนทีหนึ่งก่อนจะส่งเสียงเห่าหอนตามสัญชาตญาณ


                พอแฮวอนพยักหน้าให้ร่างของหมาป่าก็กระโจนพรวดออกไปและวิ่งด้วยความเร็วจนขนสีทองแดงพลิ้วไปกับสายลม




                เสียงอึกทึกที่ลานประลองดังฮือฮาขึ้นอีกหลังจากที่จองกุกเป็นฝ่ายล้มลงทำให้แทฮยองเงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันปลิดชีวิต หมาป่าตัวโตพุ่งเข้ามาอย่างเร็ว ฟันคมงับเข้าที่สูทสีดำของแทฮยองก่อนจะกัดเสื้อของจองกุกไว้แน่นและวิ่งฝ่าเหล่าทหารที่ตั้งกระบวนพลรับมือ แสงสีม่วงที่พุ่งออกมาจากชายป่ามืดสนิททำให้ทหารพวกนั้นไม่สามารถหยุดยั้งคีชินได้


                หมาป่ายังเร่งฝีเท้าไม่หยุดแม้จะพ้นแสงสว่างจากบริเวณงานมาแล้ว เขารู้ว่ายังไงพวกนั้นต้องตามหาตัวแน่ๆ คมปล่อยร่างของจองกุกและแทฮยองออกก่อนจะกลับคืนสภาพมนุษย์ มือหนารับเสื้อจากแฮวอนที่ซ่อนตัวมาอยู่ก่อนหน้าแล้วรีบบอก


                 “รีบออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว พวกนั้นตามเราเจอภายในสามนาที”


                แฮวอนรีบหยิบลูกแก้วออกมาเขย่าพร้อมเอ่ยชื่อสถานที่ที่ต้องการจะไป


                 “สวนแห่งดาร์กวัน”


                ประตูรั้วที่ดูรกร้างปรากฎขึ้นในลูกแก้วสีชมพูขุ่น แฮวอนขว้างมันไปข้างหน้าจนเกิดช่องว่างบิดเบี้ยวของประตูมิติ พยักหน้าให้กันเล็กน้อยแทฮยองก็ก้าวเข้าไปเป็นคนแรกตามด้วยคีชิน แฮวอนและเปิดท้ายด้วยจองกุก เมื่อประตูมิติปิดลง ทุกคนก็โผล่มาตรงหน้าที่ดูมืดมิดและเต็มไปด้วยไอเย็นน่าขนลุก


                หันมองรอบตัวได้ไม่นานเสียงของคีชินก็ดังขึ้น เขากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ


                 “ขอบคุณมากที่พาฉันออกมาด้วย ถ้ามีอะไรให้ช่วยฉันยินดี” คีชินบอกก่อนจะมอบให้อัญมณีสีขาวใสให้แก่แฮวอน

                 “…นี่มันมูนสโตนนี่คะ ของคุณเหรอคะ”

                 “ใช่ มันเป็นของสำคัญของเผ่าพันธุ์ของฉัน ถ้าอยากเจอฉันก็แค่สะท้อนมันกับแสงจันทร์ก็พอ ว่าแต่พวกเธอต้องการอะไรที่นี่” คีชินบอกไว้เท่านั้นก่อนจะเลื่อนดวงตาสีทองมองทางเข้าที่เต็มไปด้วยเศษซากระเกะระกะ สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่สนามเด็กเล่นหรืออะไรที่ควรย่างกรายมาเฉียดใกล้

                 “เราอยากทำลายคำสาปของพวกพ่อมด” แทฮยองเป็นคนตอบก่อนจะผินหน้ามองทางเข้าสวน

                 “พ่อมด? พวกไอ้ซองจุนน่ะเหรอ” คีชินตีหน้ายุ่ง ยิ่งแฮวอนพยักหน้าเขาก็ถามต่อ “แล้วมีหัวใจหรือไง เลือดจากหัวใจของพวกเมอร์ลินน่ะ พวกเธอมีหรือไง”

                 “คุณแน่ใจอย่างนั้นเหรอ” จองกุกย้อนถาม เขาไม่อยากเชื่อสักนิดว่าของล้างสาปนั้นอาจจะหมายถึงชีวิตของแฮวอน

                 “ใช่ เผ่าพันธุ์ฉันถือเป็นบริปักษ์กับพวกแวมไพร์ การรู้ความลับถือเป็นอีกอย่างที่ทำให้ต่อกรกับพวกมันได้ ครั้งที่มันพยายามยึดครองแผ่นดินฝั่งนั้น มันร่วมมือกับพ่อมด มาร์คัสหยิ่งทะนงเหลือเกิน เขาสาปผู้ใช้เวทคนละฝั่งกับตนให้สูญเสียพลัง และของแก้คำสาปเกือบทุกอย่างคือเลือดของพวกเมอร์ลิน” คีชินเล่าทุกอย่างที่รู้ แต่พอเห็นแฮวอนที่ตีหน้านิ่งก็อดถามไม่ได้ “อ้าว ไหงทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

                 “ฝ่ายเมอร์ลินที่คุณว่า…คือฉันไงคะ”

     





                ความเงียบงันเข้าครอบคลุมบริเวณหลังจากที่คีชินจากไป ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยประโยคใดออกมาราวกับว่าทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนและดำดิ่งจนลึกสุดใจ ค้นหาความรู้สึกที่แท้จริงในเวลานี้


                ดวงตาสีน้ำตาอ่อนค่อยๆเลื่อนมองประตูบานใหญ่ตรงหน้าอย่างเชื่องช้า แฮวอนรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังร้องเรียกหาเธอ ร่างบางขยับก้าวเดินไปตรงหน้าประตู ใช้สัญชาตญาณเบื้องลึกที่ตีรวนขึ้นมา มือบางทาบลงกับบานประตู แสงสีม่วงสว่างขึ้นและอาบไล้ประตูทั้งบาน วงสลักมนตราที่ซับซ้อนค่อยๆคล้ายเกลียวออก ประตูทั้งบานกลายเป็นช่องว่างและเผยให้เห็นสถานที่ตรงหน้าที่แตกต่างกับอีกฝั่งหนึ่งของประตูอย่างสิ้นเชิง


                เมื่อก้าวผ่านเข้ามาหนทางที่ใช้เมื่อสักครู่ก็หายวับไปกับตา ตอนนี้แฮวอนกำลังอยู่ในสวนสวยเขียวชอุ่ม สายลมอ่อนๆและอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมพัดปะทะร่างพาลให้รู้สึกสดชื่น กลีบสีชมพูของดอกพีชปลิวว่อนกลางอากาศ ต้นของมันถูกปลูกไว้เป็นแนว เบื้องบนคือท้องฟ้าสดใส ประดับด้วยแผ่นเมฆสีขาวสะอาดลอยปะปนบนแผ่นฟ้าสีสวย รวมถึงกองเพชรพลอยล้ำค่าที่วางอยู่ทั่วสวน สะท้อนแสงระยิบระยับ


                จองกุกและแทฮยองหันมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาที่นี่มาก ส่วนแฮวอนเองก็เริ่มสอดสายตามองหาบางอย่างที่เธอยังไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร


                “แฮวอน เรื่องนั้นน่ะ…”

                “อย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ เราควรรีบหาที่เก็บคำสาปให้เจอก่อน” แฮวอนตัดบทเสียงเรียบ เธอไม่อยากแสดงความกังวลออกมาให้พวกเขาเห็น แม้ใจในของเธอจะวิตกไปมากแล้วก็ตาม หันมองซ้ายขวาไปเรื่อยพร้อมกับจำเส้นทาง กระทั่งเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่างดังขึ้น


                ต้นพีชที่อยู่ระหว่างทางเริ่มขยับเคลื่อนที่บีบเข้ามาหา บาเรียของแต่ละคนถูกกางขึ้นโดยไว ก่อนที่ผืนดินที่ยืนอยู่จะเคลื่อนไหว มันขยับขึ้นลงอย่างไม่รู้ทิศทาง แฮวอนรู้สึกเหมือนถูกเหวี่ยงไปมาคล้ายกับลูกข่าง ทุกอย่างสงบลงหลังจากนั้น


                แฮวอนพบว่าตัวเองอยู่กลางสวนนั้น มีต้นวิสทีเรียตั้งตะหง่านอยู่ตรงกลาง มันผลิบานเป็นดอกสีชมพูอมม่วง และเธอเจอเพื่อนร่วมทางอีกครั้ง แต่พวกเขากลับอยู่ในร่างสัตว์สี่ขา


                “คุณแทฮยอง คุณจองกุก นี่มันเกิดอะไรขึ้นน่ะ” แฮวอนพึมพำอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาสิงโตภูเขาและเสือดำที่อยู่ไม่ไกล เธอจำได้แม่นว่าตอนที่ออกมาจากไซเธียนพระจันทร์ยังไม่เต็มดวงด้วยซ้ำ แต่ทำไมพวกเขาถึงกลายเป็นแบบนี้ได้

                “กรรจ์~” เสียงครางฮือดังขึ้นเมื่อแฮวอนเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาสีเหลืองนั้นเหลือบมองแฮวอนก่อนจะขยับกายเข้ามาใกล้ หัวนุ่มๆถูไถกับเรียวขาเหมือนต้องการออดอ้อน

                เสือดำใช้หัวดันมือบางคล้ายจะบอกให้แฮวอนลูบหัวตน ส่วนสิงโตภูเขาก็ยังไม่เลิกถูไถใบหน้าไปกับต้นขาของเธอสักที กิริยาอาการเชื่องแบบนี้อดทำให้แฮวอนหวนนึกถึงสิ่งที่คีชินบอกไม่ได้


                “เขาบอกว่าเลือดของฝ่ายเมอร์ลินมีแรงดึงดูดอย่างน่าประหลาดกับคนที่โดนคำสาป เรียกอีกอย่างว่านั้นทั้งคู่เป็นพันธสัญญากันก็ได้ ความลุ่มหลงเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่ได้พบกัน และกรณีของเธอคงมากกว่าหนึ่ง…”



                อาจจะเป็นอย่างนั้น แฮวอนยังจำเรื่องที่พวกเขาทั้งสองพยายามตีตัวเข้ามาหา สัมผัส แตะเนื้อต้องกาย ความต้องการที่ไม่ได้แค่พวกเขา เพราะแม้แต่แฮวอนเองก็ยังดำดิ่งลงไปในห้วงความรู้สึกนั้นเช่นกัน การที่พวกเขาไม่แสดงสัญชาตญาณดุร้ายตอนนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเรื่องคู่สัญญานั่นก็ได้


                “โฮก~!!!” แต่อยู่ๆทั้งสิงโตและเสียงกลับส่งเสียงคำราม พวกมันแยกเขี้ยวและส่งเสียงร้องคล้ายกับต้องการข่มขู่และกระโจนไปข้างหน้า

                “เดี๋ยวก่อนค่ะ!” แฮวอนรีบห้ามเพราะกลัวทั้งคู่จะเตลิดและวิ่งหนีหายไป แต่พอหันหลังกลับ ตรงหน้ากลับพบร่างใหญ่โตของเสือดำและสิงโตภูเขา  ทั้งสองไม่ได้วิ่งหนีหายไปอย่างที่แฮวอนกลัว ขาแข็งแรงก้าวย้ำไปมาและผลัดกันเดินสลับซ้ายขวาและเฝ้ามองผู้ที่ปรากฏกายอยู่ตรงข้าม


                ร่างที่อยู่ตรงข้ามสวมเสื้อคลุมสีดำปักประดับด้วยผีเสื้อสีม่วงและขาว หน้ากากสีขาวลวดลายสีทองปิดบังใบหน้าไว้ ยามที่ขยับตัวเพื่อเยื้องย่างเข้ามาใกล้ก็คล้ายว่าพวกผีเสื้อนั้นกำลังกระพือปีก รังสีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวคนตรงหน้าให้ความรู้สึกดึงดูดแปลกประหลาด


                “สวัสดีแฮวอน” เสียงหวานใสแต่กลับเยือกเย็นกล่าวทักทาย แม้จะแปลกใจที่ฝ่ายตรงข้ามรู้จักชื่อของเธอ แต่แฮวอนก็เลือกที่จะคำถามข้ออื่นกลับไป

                “คุณต้องการอะไร” เธอถามขณะที่ยื่นมือไปลูบหัวของสัตว์ข้างตัวอย่างปลอบประโลม เสียงกัดฟันกรอดและขู่คำรามยังดังอยู่ตลอดเวลา

                “ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากเธอ” สิ้นคำตอบนั้น ร่างบางขยับก้าวไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง แฮวอนมั่นใจว่าคนตรงหน้าคือใคร

                “ถอดหน้ากากออกซะ สวมรอยเป็นคนอื่นสนุกรึไง”

                “ฮึ รู้ทันเร็วจริงๆ” เธอกล่าวอย่างติดตลก มือบางที่โผล่พ้นเสื้อคลุมสีทึบค่อยๆดึงหมวกที่คลุมหัวออกตามด้วยหน้ากากสีขาว


                นัยน์ตาสีน้ำตาลไม่ได้แสดงอาการหวั่นเกรงสักนิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต็มตา ใบหน้าที่ถอดกันมาทุกกระเบียด น้ำเสียง ท่าทางการเคลื่อนไหวที่เหมือนแฮวอนไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันแค่ดวงตาสีนิลของอีกฝ่ายและแววตาเย็นชาเหี้ยมโหดที่เคลือบแฝงไว้


                “แต่ฉันจะบอกอะไรให้แฮวอนผู้น่าสงสาร ฉันไม่ได้สวมรอยเป็นใคร” คนตรงข้ามบอกพร้อมกับเอื้อมมือขึ้นไล้ตามโครงหน้าหวานอย่างเบามือ “ฉันคือเธอ ฉันอยู่ในห้วงความคิดมืดมิดของเธอไง ฉันเป็นฝันร้ายของเธอ”


                วินาทีนั้นความรู้สึกทั้งดีชั่วตีทะลักขึ้นมาในสมองของแฮวอนราวกับถูกเสกสรรขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ทั้งดีร้ายในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ความเจ็บปวด เสียงร้องไห้ กรีดร้อง ทุกอย่างที่เป็นความทรงจำที่ไม่น่าจดจำทำให้ร่างบางเผลอถอยหลัง


                “ที่เธอพยายามทำทุกอย่างตอนนี้คิดว่าดีแล้วเหรอ”

                “ไม่ใช่เรื่องของเธอ” แฮวอนกัดฟันบอก เธอต้องพยายามตั้งสมาธิและสลัดภาพร้ายเหล่านั้นออกไปให้หมด

                “พูดผิดแล้ว เราคือคนเดียวกันแฮวอน” ร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ มือบางสองข้างแตะลงที่ขมับของแฮวอนพร้อมถ่ายทอดภาพที่อยู่ลึกสุดในความคิดออกมา ทุกอย่างที่แฮวอนไม่อยากให้เกิด แต่เธอคนนี้กลับดำเนินฝันร้ายของแฮวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า


                สิงโตและเสือที่อยู่ข้างๆเห็นว่าท่าไม่ดีจึงกระโจนเข้าหาคนที่อยู่ในชุดคลุมดำ พวกเขาไม่ได้หลงเหลือความทรงจำใดตอนเป็นมนุษย์ แต่เบื้องลึกสั่งให้เขาปกป้องแฮวอนเอาไว้ แม้ว่าอีกคนจะมีหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ทั้งคู่กลับมีแต่ความเกลียดชังต่อเธอ


                ความเขี้ยวแหลมคมไม่ทันแตะต้องร่างของเธอก็ถูกผลักออกไปอย่างแรง ฝ่ามือข้างหนึ่งพลังสีดำ เส้นสายนั่นพุ่งตรงไปที่ร่างของเสือดำและสิงโตภูเขาแล้วเข้าบีบรัดตรงช่วงลำคอ ขยับมืออีกครั้งหนึ่งร่างของสัตว์สี่ขาก็กลับกลายเป็นมนุษย์


                จองกุกและแทฮยองถูกตรึงค้างไว้ในอากาศไม่แต่แม้จะขยับตัวได้ พลังด้านมืดนั้นค่อยๆบีบรัดลำตัวกระทั่งใกล้ขาดหายใจ แต่พวกเขายังคงมองตรงมาที่แฮวอนที่ตอนนี้ใบหน้าหวานมีน้ำตานองหน้า ฝันร้ายกำลังบาดลึกและกลืนกินเธออยู่


                “ดูพวกมันสิ ช่างอ่อนแอเหลือเกิน ไม่ได้คู่ควรกับพลังของเธอสักนิด เธอจะช่วยพวกมันจริงๆหรือแฮวอน” เธอเอ่ยถามอย่างเจ้าเล่ห์ กล่าวทุกอย่างยั่วยุหวังให้แฮวอนหลงกล

                “แฮวอน อ…อย่าไปฟัง!” จองกุกรีบตะโกนบอก ในใจภาวนาให้แฮวอนรู้สึกตัวเร็วๆ

                “ความจริงแล้วเธอไม่ได้มีค่าในแผ่นดินนั้นเลยสักนิด พวกมันแค่จะหลอกใช้ประโยชน์จากเธอ”

                “เธอมีค่าสำหรับฉันแฮวอน!” แทฮยองบอกว่า “ฟังแค่ฉันก็พอ!!!”

                “ยอมเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน แล้วทุกอย่างที่เธอต้องการจะเป็นของเธอ”

                “ทุกอย่างเลยเหรอ” เสียงหวานเอ่ยถามอย่างเลื่อนลอย ดวงตากลมค่อยๆเลื่อนมองคนตรงหน้า

                “ใช่ ทุกอย่าง”

     





                บรรยากาศของพาราเดียรวมถึงทั้งอาณาจักรดูหมองหม่นขึ้นทุกวัน ดินแดนที่คล้ายสรวงสรรค์เหลือแต่ชื่อ เหตุการณ์แปลกประหลาดและการของโจมตีของบางอย่างที่สร้างความปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน โรงเรียนยังเปิดทำการเรียนการสอนเช่นเคยแต่กลับเพิ่มกฎให้รัดกุมขึ้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคน


                หลังจากที่ทุกปราสาทปิดไฟ อาจารย์ทั้งห้าคนก็รวมตัวประชุมงานอย่างทุกค่ำคืนที่ผ่านมา ยังดีที่พวกเขาได้รับผิดชอบแค่พาราเดีย แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าเป็นงานใหญ่อยู่ดี ไหนจะขาดกำลังไปอีกสองคน และพวกเขานึกเป็นห่วงน้องชายกว่าสิ่งใด


                การวางแผนรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเคร่งเครียด พวกเขาต้องเปลี่ยนแผนและรูปแบบทุกสัปดาห์เพื่อเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ ทุกอย่างดำเนินไปเกือบสองชั่วโมง กระทั่งโฮซอกเริ่มบทสนทนาอย่างหนักใจ


                “นี่มันเกือบเดือนแล้วนะที่แทฮยองกับจองกุกหายไป ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง อีกอย่างจันทรุปราคาก็ใกล้มาถึงแล้ว”

                “ไหนจะเรื่องคำสาปนั่นอีก เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรจะลบล้างมันได้ แต่เรากลับยอมให้พวกเข้าเขาไปในชาโดว์แบลงค์” จีมินบอกคล้ายรู้สึกผิด ป่านนี้พวกเขายังไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนเป็นตายร้ายดีอย่างไร พวกเขาขาดการติดต่อไปเลย มีเพียงจดหมายเวทที่ส่งมาถึงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็ผ่านมานานแล้ว

                “ปราการเทรย์เวอร์แจ้งมาว่าเตรียมจอมเวทพร้อมแล้วสำหรับการวางม่านมนตราครั้งใหม่” ซอกจินที่รับผิดชอบเรื่องนี้แจ้ง เสียงทุ้มแผ่วเบาลงเมื่อถึงประโยคถัดมา “ภายในสัปดาห์นี้”

                “แต่ว่า…”

                “ฉันรู้ แต่ว่าเราไม่มีเวลาแล้ว ฉันเองก็ไม่อยากทำแบบนั้นหรอกนะ แต่เพื่อคนส่วนมากและอาณาจักร เราต้องยอมเสียสละพวกเขา” นัมจุนบอก เขาเองก็ไม่อยากทำแบบนี้สักนิด แต่เรื่องนี้เป็นประโยชน์ส่วนรวม แม้ว่าหลังจากตัดสินใจนี้จะเหมือนมีอะไรแสนหนักอึ้งกดทั้งร่างเขาไว้ก็ตาม

                “ถ้าอย่างนั้นแจ้งให้ปราการเทรย์เวอร์เร่งดำเนินการเร็ว” ยุนกิสรุปปิดท้ายพร้อมทั้งคล้ายกับหมอกมัวก็เข้าครอบคลุมทุกตารางพื้นที่ความคิดของทุกคนที่อยู่ที่นี่


                …การเสียสละที่ทำให้พวกเขานึกอยากเห็นแก่ตัวเองบ้าง

     





                ภายในบ้านหลังโตที่ปลูกบนที่ดินราคาสูงลิ่วของการ์เดียน ร่างในอาภรณ์สีแดงสดก้าวไปทางที่คุ้นเคย เคาะประตูพอเป็นพิธี ซูจองก็เปิดประตูและย้ายร่างเข้ามาในห้องของจุนฮยอก


                “พ่อคะ หนูมีอะไรจะบอก”

                “ว่าไง” จุนฮยอกยังคงยุ่งวุ่นวายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบเดือนของการ์ดิเนีย ชายชราเร่งวางแผนเพื่อรักษาความปลอดภัยให้การ์เดียน เขายอมละสายตาจากแผนที่ของเมืองหลวงเพื่อมองลูกสาวที่เดินทางมาจากบาเรนซ่าเพียงครู่เดียวก็ก้มหน้าทำงานต่อ

                “เรื่องของคังชอลน่ะค่ะ ลูกสาวของเขาอยู่ที่พาราเดีย และเธอเป็นแม่มด”

                “…”

                “ถ้าพ่อกำจัดเธอได้ ทั้งคำสรรเสริญ ทั้งเกียรติยศต้องมากองตรงหน้าพ่อแน่” ซูจองบอกพร้อมรอยยิ้มเคลือบยาพิษ “จักรพรรดิต้องตอบแทนพ่ออย่างสาสมในฐานะที่แจ้งเบาะแสของศัตรูของอาณาจักรได้ พ่อคิดว่าไงคะ”

                “ทหาร!” ชายร่างอ้วนที่ถูกความละโมบเข้ารีบครอบครองความคิดออกคำสั่ง โดยไม่สังเกตแม้แต่นิดว่าลูกสาวของตนมีนัยน์ตาเลื่อนลอยและมีม่านสีเขียวเข้มปกคลุมเอาไว้บางๆ “กระจายข่าวไปให้เร็วที่สุดและแจ้งให้จักรพรรดิทราบ มีแม่มดอยู่ที่พาราเดียและเป็นภัยร้ายแก่อาณาจักร รีบจับเธอมาซะ!!!”



    Loading next chapter...

    “เรื่องวิธีแก้คำสาปนั่นมันหมายถึงชีวิตเธอเลยนะ…”

     “หมายถึงเราจะออกไปจากชาโดว์แบลงค์ไม่ได้?

    “ใช่ พวกฉันด้อยกว่าพวกนาย…แต่ว่านี่มีตัวช่วย”

    “ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่มด!!!”

    “สัญญาว่าจะกลับมาหา รอฉันด้วยนะแฮวอน”

    “งั้นจะเล่าความลับให้ฟังหนึ่งเรื่องดีมั้ย เธอคงดีใจที่ได้รู้” 

    ทำไมสปอยมันเพิ่มทีละประโยคตลอดเยย อิอิ



    สปอยเนื้อหาตอนพิเศษ (มาตามสัญญา อิอิ อัพเดทที่หน้าเปิดพรีไปก่อนแล้ว)
    - แทฮยองกับแฮวอน (คนงอนvsคนง้อ)

    เมื่อแฮวอนดื้อจนได้เรื่อง คนดื้อเลยต้องกลายเป็นคนง้อผู้ชายตัวโตที่งอนเธออยู่

    “หนูเปล่านะ แล้วพี่ก็รีบหายโกรธได้แล้ว” คนถูกกล่าวหารีบแย้ง มือที่ทาบบนแผ่นอกกว้างเผลอขยุ้มเสื้อของอีกคนโดยที่ไม่รู้ตัวก่อนจะซุกหน้าลงไปซบกับอกแล้วบอกด้วยเสียงที่ฟังดูอู้อี้ “งั้นเดี๋ยวเย็นนี้จะทำกับข้าวให้กินอีก พี่จะได้หายโกรธเร็วๆเนอะ”

    “จุ๊บพี่ก่อน” แทฮยองต่อรองพลางขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาก้มลงไปสบตากับคนที่ตัวเองนอนกอดอยู่แล้วบอกอีกครั้ง “อ่ะ เดี๋ยวให้ทำอีกสองสามอย่างเดี๋ยวหายโกรธเลย แต่ตอนนี้จุ๊บก่อน”


    - จองกุกกับแฮวอน (คนดุvsคนดื้อ)

    แฮวอนกลายเป็นคนป่วยขี้อ้อน แต่ว่าก็ยังดื้อ คนดูแลก็เลยต้องดุเป็นพิเศษ

    “อื้อ มันแสบอ่ะ”

    “อีกนิดเดียวน่า อดทนอีกนิด” จองกุกตอบรับคนที่สั่นขาคล้ายจะหนีมือเขาอย่างใจเย็นพลางแอบยิ้มขำอยู่คนเดียว “ไหนบอกว่าแฮวอนเป็นคนเก่งไง”

    “คนละเรื่องแล้ว อ๊ะ…จองกุกทำเบาๆด้วยสิ” เสียงแฮวอนชะงักไปครู่หนึ่งเพราะเธอถูกมือหนาแกล้งเน้นแรงกดลงมาบนแผล กำปั้นเล็กเลยทุบเข้าที่บ่ากว้างทีหนึ่งอย่างเลยอด “อย่าแกล้งหนูสิ”


    - กามเทพแทแท (ไม่เกี่ยวกับเรื่องหลัก)

    “อย่าพยายามจะมองผมเลยที่รัก” เขาบอกเสียงค่อยพลางสอดประสานนิ้วมือทั้งห้ากับฝ่ามือบาง “คุณต้องรอ…อีกไม่นานหรอก เข้าใจมั้ยครับ” คำถามนั้นมาพร้อมกับรอยจุมพิตเบาๆตรงหลังมือ

    “…ค่ะ”

    “เรียกชื่อผมได้หรือเปล่า” ร่างสูงถามอีกครั้งพลางดึงมือของแฮวอนให้ทาบลงมาบนผิวแก้มของตัวเองและรั้งร่างบางให้ลุกขึ้นมานั่งบนหน้าตักแกร่งของตน “เรียกชื่อผมและสัมผัสผมให้มากอย่างที่คุณปรารถนา”


    - กระตุ่ยกุกกี้ (ไม่เกี่ยวกับเรื่องหลัก)

    “นี่มันวิธีรักษาแบบกระต่ายน่ะแฮวอน เห็นมั้ยว่าแผลหายแล้ว” แฮวอนมองคนที่เงยหน้ามองเธอตาปริบๆ ใบหน้าหวานเห่อร้อนขึ้นอย่างไม่รู้ตัวก่อนที่จองกุกจะใช้นิ้วหัวแม่มือลูบวนบนผิวนุ่มแล้วมองเธออย่างมีความหมาย

    “ข…ขอบใจจองกุกนะ แต่เราทำแผลแบบธรรมดาก็ได้”

    “ไม่เอาด้วยหรอก เราจะทำแบบนี้ให้แฮวอนทุกครั้งเลย” คนตัวโตแย้งขึ้นมาพลางหยัดตัวจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกับแฮวอน ลมหายใจร้อนๆพ่นกระทบผิวของกันและกันก่อนที่จองกุกจะบอกอีกครั้ง “ส่วนตอนนี้ก็ต้องเลียอีกที”





    Let's talk  with me

               น้องแฮวอนของพรี่ หนูจะเป็นอะไรไม่ได้นะรู้กกกกก อิเจ้ที่หน้าเหมือนแฮวอนเป็นใคร อย่ายุ่งกับลูกสาวแม่!!! ส่วนทางด้านๆพี่จ๋าทั้งห้าคนก็ช่วยอะไรไม่ได้ แถมเวลาที่พาราเดียยังผ่านไปเกือบเดือนแล้ว จะออกมายังไง จะแก้คำสาปยังไง ข้างนอกเขาจะวางเขตมนตราใหม่กันแล้วปวดหัวววว และคุณซูจอง คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ ยัยขี้ฟ้อง (แง้ม~ ติด #แฮวอนของกุกวี หน่อยได้ป่าว อยากอ่าน ขอร้องงงง) ปล.เปิดพรีแล้วนะจ๊ะ สนใจจิ้มตอนเปิดพรีไม่ก็จิ้มรูปข้างล่างได้เลยจย้าาาา

    ปล.2 กลับมาเปิดQ&Aอีกรอบ คิดว่าชดเชยกับที่นานๆมาอัพที สัญญาว่าจะตอบทุกอันและแปละลงพร้อมกับตอนจบ อยากรู้อะไรถามมาได้เลย จะติจะด่าจะชอมจะอวยอะไรก็ได้หมด แต่อย่ารุนแรงนัก คนเราใจบาง555555

    ปล3.เป็นการบ่นของเราเอง ข้ามได้จ้า
    เฮ้อ~ จำไม่ได้เหมือนกันว่าถอนหายใจไปกี่รอบหลังจากที่อัพแฮวอนทีละ25%แบบนี้ พูดแบบคนขี้น้อยใจคือเรานอยด์มั่กๆที่คอมเมนต์มันค่อยๆลดลงทุกตอนอ่ะ เรายอมรับเลยว่าคิดมากค่ะ แบบมันไม่สนุกหรือว่าอะไร เราพยายามแต่งออกมาให้ดีแล้วนะ แต่คนก็ยังไม่ชอบอะไรงี้เหรอ ไม่ค่อยมีคนอ่านหรือเทกันไปแล้ว เศร้าจัยส์ คือเราไม่ได้เรียกร้องให้คอมเมนต์ให้นะคะเพราะทราบดีว่าเป็นสิทธิ์ของคนอ่านค่ะ ถ้าให้เรากำหนดยอดเมนต์เพื่อการอัพตอนถัดไปเราก็ไม่โอเคด้วย แค่คิดยังละลายใจเลยค่ะ แต่เราแค่อยากรู้ว่ารู้สึกไงกับฟิคเราบ้างงี้ เหมือนตอนนี้คุยกับกำแพงเลยอ่ะ ไร้รีแอคชั่นใดๆ เราก็ไม่รู้หรอก อาจจะมีคนรอให้ครบ100แล้วค่อยมาอ่านงี้ ใจมันคิดไปก่อนแล้วอิอิ มาพูดแค่นี้แหละค่ะ ปกติไม่ค่อยจะไประบายให้ใครฟัง กลัวคนอื่นเขาคิดว่างี่เง่า พอได้พูดแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยค่ะ สัญญาว่าจะงอแงแค่ครั้งนี้จย้า จบการเวิ่น55555



    สนใจจิ้มรูปแทกุกเลยจ้า




    อยากได้คอมเมนต์ให้ชื่นใจจรุม หรือจะกดหัวใจก็ได้ อุ่ย แมวพิมพ์ง่ะ อิอิ

    04/08/18
    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×