คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : ♦ 17 THE STAR ♦
17
♦ THE STAR
แฮวอนเหลือบมองเพื่อนข้างกาย พอเห็นว่าทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับภาพบนท้องฟ้าเธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรก่อนจะปลีกตัวออกมาอย่างเงียบๆแล้วเดินลัดเลาะไปยังด้านส่วนที่เป็นป่าทางด้านหลังชายหาด
เสียงของอะไรบางอย่างกำลังดูดดึงให้แฮวอนเดินออกตามหา เสียงที่ฟังคล้ายกับการะปะทุของอะไรสักอย่างหนึ่ง สองเท้าบางเหยียบย่ำไปตามเส้นทางที่คล้ายกับมีคนสัญจรมาก่อน ดวงไฟสีม่วงถูกเสกออกมาเพื่อนำทาง
ยิ่งเดินไปข้างหน้า เสียงน้ำไหลก็ดังแว่วมา กระทั่งแสงสีม่วงสาดกระทบกับถ้ำหินที่ซ่อนตัวอยู่มุมลึก สายน้ำที่กระเพื่อมน้อยๆเคลื่อนตัวกระทบกับโขดหินเป็นวังวน แต่สิ่งที่ทำให้แฮวอนต้องก้าวเข้าไปในถ้ำที่มืดสนิทนั่นเป็นเพราะแสงสีเขียวเข้มที่ลอดออกมา
แม้จะสังหรณ์ใจ แต่แฮวอนก็เลือกที่จะเดินเข้าไปในถ้ำแสนเย็นชื้น เสียงน้ำที่ดังเบาๆทำให้เธอมั่นใจว่ามีทางน้ำอยู่ในนี้ ไม้สีมะฮอกกานีถูกกระชับไว้ในฝ่ามือพร้อมกับดวงไฟสีม่วงก็แตกออกหลายลูกเพื่อเพิ่มแสงสว่าง ทุกย่างก้าวเสียงฝีเท้าสะท้อนไปมาในถ้ำ เงาของร่างแฮวอนส่ายวูบไหวไปกับผนังถ้ำ มองไปสุดปลายทางก็พบกับบางอย่างที่ดูคล้ายประตูมิติ
“นั่น…ทางเข้าสู่ชาโดว์แบลงค์เหรอ” แฮวอนหลุดเสียงพึมพำ ประตูมิติตรงหน้านั่นดูบิดเบี้ยวภาพที่ปรากฏอยู่อีกฝั่งมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก มีแต่ความมืดมิดและแสงสีนวลของดวงจันทร์ที่ชวนให้ขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
แฮวอนถอยหลัง ตระหนักทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะทำคนเดียวได้
“ต้องกลับไปบอกพวกเขา” แฮวอนพึมพำพร้อมกับเตรียมหันหลังกลับ หากแต่เสียงบางอย่างดังขึ้นก่อน เสียงที่คล้ายกับบางสิ่งครูดและเสียดสีไปตามผนังงถ้ำ มันทวีความดังขึ้นราวกับกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้เธอ
เสียงขู่ฟ่อๆของสัตว์มีพิษดังขึ้น จังหวะที่มันเคลื่อนตัวรุนแรงจนกระทั่งเศษหินในถ้ำกระเด็นมาโดนตัวของแฮวอน ร่างหนักๆเลื้อยออกมาจากโพรงขนาดยักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่หลังโขดหินใหญ่ด้านบนสุดในถ้ำ
แฮวอนรู้ตัวว่าหนีไม่ทันแน่ จากตรงนี้ออกไปถึงปากถ้ำคงใช้เวลาสองถึงสามนาที ถ้าให้เทียบกับสัตว์เลื้อยคลานที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ยังไงเธอก็แพ้เห็นๆ
แฮวอนหลบวูบ ใช้ก้อนหินแถวนั้นอำพรางตัว ในหัวก็คิดหาทางออกเร่งด่วน
น้ำ! เสียงน้ำไหล แสดงว่าต้องมีทางออกอื่น!!! พอนึกอย่างนั้นได้ไม้กายสิทธิ์ในมือก็ถูกกระชับอีกหน เสียงจากรอบข้างที่เงียบไปไม่ได้ทำให้เธอวางใจ
สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆก่อนจะโผล่หน้าออกไปสังเกตการณ์ ภาพสัตว์ที่อยู่ใกล้ๆทำเอาแฮวอนต้องลอบกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ งูยักษ์ตัวสีเขียวสดมีพิษร้ายแรง ลำตัวและหัวชูส่ายไปมาในอากาศคล้ายกับมองหาผู้บุกรุก บาซิลิสก์เป็นงูใหญ่ ลมหายใจของมันมีพิษร้าย ดวงตาของมันสามารถปลิดชีพผู้ที่จ้องมองได้ มันเป็นสัตว์ในตำนานของโลกเวทมนตร์ และแฮวอนก็ไม่คิดสักนิดว่าตัวเองจะได้มาเผชิญหน้ากับมันใกล้ชิดแบบนี้
“บีดาซซิ่ง เฮ…” เสียงน้ำอยู่ด้านเหนือ เธอต้องพาตัวเองไปถึงที่นั่นให้ได้ คาถาพรางตัวถูกเปล่งออกจากปาก แต่บาซิลิสก์กลับหันหัวกลับมา แฮวอนหลับตาแน่นพร้อมกับเปล่งเสียงร่ายคาถาออกมามา
“โพรเทโก้ โททาลัม” บาเรียสีม่วงเปล่งประกายและครอบคุลมร่างของแฮวอนไว้ แต่ลมหายใจร้อนกรุ่นของสัตว์ดุร้ายกับลำงค่อยๆทลายเกราะป้องกันลงจนเธอต้องร่ายคาถาซ้ำๆ “คาเว อินีคัม”
ถ้าหากแฮวอนไม่สามารถออกไปจากตรงนี้ได้เธอคงไม่รอดแน่ๆ แฮวอนรู้ว่าสัตว์ที่สามารถปราบบาซิลิสก์ได้คือวีเซิล หรือไม่ก็เสียงขันของไก่ตัวผู้ แต่วินาทีนี้เธอจะไปหาพวกมันได้จากไหนกัน
บาเรียสีม่วงจากลงทุกขณะก่อนจะแตกออกเป็นเสียง แฮวอนใช้วาโยเวทเพื่อพาตัวเองให้พ้นจะวิถีการเคลื่อนตัวของสัตว์ใหญ่ แต่หลบไม่พ้น หางใหญ่ฟาดเธอเข้าเต็มๆจนร่างบางโดนเหวี่ยงไปกระแทกเข้ากับผนังถ้ำอย่างแรง เลือดสีแดงสดซึมออกมาตามบาดแผลแต่แฮวอนก็ยังกัดฟันสู้
“สตูปเพฟาย” พลังของคาถาไม่ได้ทำให้มันร่นถอยเพียงแต่ถ่วงเวลาเอาไว้
แฮวอนพยายามหยัดกายลุกขึ้น ลมหายใจเป็นพิษของบาซิลิสก์ทำเอาแฮวอนหอบสะท้าน น้ำสีใสรื้นอยู่เต็มขอบตากลม นอกจากแผลที่เพิ่งได้รับนั้นจากแรงกระแทกแล้ว พิษบางส่วนที่อยู่ในตาบิซิลิสก์กำลังแพร่เข้าสู่ตัวเธออีกต่างหาก แฮวอนใกล้จะหายใจไม่ออกเต็มทนแล้ว วินาทีนั้นริมฝีปากบางห่อเข้าหากันก่อนจะเป่าลมออกมาเป็นทำนองน่าฟัง
บทเพลงแห่งเมอร์ลิน คังชอลบอกเธอว่ามันจะนำความช่วยเหลือมาแก่ผู้ที่ต้องการ และตอนนี้แฮวอนต้องการมันมากที่สุด
“อ็อพพักโน” มนตราถูกร่ายออกไปอีกครั้งพร้อมกับเงาของบางอย่างที่บินโฉบเข้ามาในกรอบสายตาที่พร่ามัวด้วยหยดน้ำตา
นกสีแดงสดกำลังบินตรงเข้าหางูใหญ่ มันมีขนาดตัวพอๆกับหงส์ ต่างกันที่สีขนและหางเป็นแพนยาวสีทองเป็นประกายเลื่อมพรายคล้ายนกยูงรวมถึงกรงเล็บยาวสีเดียวกัน ดวงตาคล้ายเม็ดทับทิมราวกับปลอบโยนแฮวอนเมื่อมันจ้องมองมาที่เธอ
นกฟินิกซ์กำลังร้องเพลง บทเพลงนั้นเป็นเพลงเดียวกับที่แฮวอนผิวปากไป เสียงที่ดังออกมาจากปากมันฟังดูน่าขนลุกแต่กลับทำให้แฮวอนรู้สึกสงบขึ้นมา มันบินร่อนไปรอบๆหัวของบาซิลิสก์เพื่อดึงดูดความสนใจ
เจ้างูตัวใหญ่ไล่ฉกนกสีสวยอย่างบ้าคลั่ง มันพุ่งเข้าหานกฟินิกซ์ในเวลาเดียวกับนกฟินิกซ์พุ่งดิ่งลงมา จะงอยปากแหลมจมลงไปในดวงตาสีเหลืองเข้มจนเลือดสีคล้ำพุ่งกระฉูดกระจายลงบนพื้นไปทั่ว มันสะบัดหัวรุนแรง ดวงตาทั้งสองข้างถูกเจาะจนเป็นรู ความเจ็บปวดส่งผลให้งูยักษ์ดิ้นเร่าและพ่นพิษออกมาไม่หยุด หางใหญ่สะบัดไม่มา หวิดจะฟาดร่างแฮวอนที่มุ่งตรงไปอีกทาง
ดวงตากลมหันไปมองที่นกฟินิกซ์เป็นครั้งสุดท้ายด้วยแววตาขอบคุณก่อนที่เธอจะพยุงร่างไปฝั่งตรงข้ามของประตูมิติ มือบางยันกับผนังถ้ำเย็นเฉียบช่วยประคองตัว เสียงร้องเพลงประหลาดยังดังก้องอยู่ในถ้ำ ทว่าแผ่วเบาลงและถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องหวานไพเราะ
ฟันขาวขบลงที่ริมฝีปากอวบอิ่มเพื่อข่มความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาเรื่อยๆ ร่างบางเดินไปจนถึงสระน้ำสีฟ้าอมเขียวที่อยู่ด้านในสุด ช่องว่างที่อยู่ปลายสุดเปิดออกสู่อีกด้านและดูเหมือนเสียงร้องนั่นจะดังมาจากทางนั้น
แฮวอนทรุดตัวลงนั่งริมสระน้ำ แขนข้างที่เจ็บยันกับพื้นไว้ ส่วนมืออีกข้างกำลังบังคับมวลน้ำให้ก่อรูปร่าง
มือบางสั่นระริก หยดเลือดที่ตกลงสู่ผืนน้ำกำลังเรียกบางอย่าง เสียงร้องหวานๆหายไปแต่แฮวอนยังให้ความสนไม่ได้ การปะทะของนกฟินิกซ์และบาซิลิสก์ยังดังอยู่เบื้องหลัง เธอต้องเร่งมือการที่เจ้างูนั่นจะตามเธอทัน
ฝ่ามือเรียวบางโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำและคว้าจับที่ข้อมือของแฮวอน ก่อนออกแรงฉุดกระชากลงไปใต้ผืนน้ำเย็นฉ่ำจนเสียงดังก้องไปทั่ว
ตู้ม!!!
ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นทุกอย่างชัดเจน แฮวอนตื่นตะลึงกับรูปลักษณ์ที่สวยงามของเหล่าเงือก พวกเธอมีผมสีบลอนด์ทองยาวสลวย เส้นผมสีสวยแผ่กระจายภายใต้ท้องน้ำเย็นเฉียบ หางสีฟ้าอ่อนเปล่งประกายให้ความสว่างจนสัตว์ตัวอื่นไม่กล้าเฉียดกายเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวดูดมีพลังดึงดูดจนไม่อยากละสายตา
จากหนึ่งก็เพิ่มขึ้นมาอีกสอง ตอนนี้แฮวอนถูกล้อมรอบด้วยนางเงือกแสนสวย พวกเธอมีหน้าตาเหมือนกันหมดแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสวยหมดจดจริงๆ
“เราไม่ได้จะทำอะไรคุณ”
เธอบอก ความนุ่มนวลในน้ำเสียงนั้นจนแฮวอนยอมสลายพลังและลดมือลงข้างกาย
“เราแค่จะช่วย”
มือบอบบางเย็นจัดแตะลงมาที่ท่อนแขนเรียว
แสงสีฟ้าเรืองแสงขึ้นมาจากมือขาวจัด แสงเหล่านั้นเป็นประกายและขึ้นมายังบาดแผล
ความเย็นจัดเป็นอย่างแรกที่แฮวอนรู้สึกถึงก่อนที่แสงเหล่านั้นจะชะล้างรอยเลือดออกไปจนหมดและสมานบาดแผลจนหายดีในพริบตา
“ตามเรามาสิ”
เสียงนั้นดังขึ้นทันทีจนแฮวอนไม่ทันตอบโต้ ร่างบางถูกดึงไปตามแรงชักนำ
คนตรงหน้ากำลังว่ายน้ำพาเธอออกไปยังเส้นทางที่เชื่อมต่อกับหลังทะเลสาบบลูซีโน่
เส้นทางที่แม้แต่คนในโรงเรียนไม่มีใครทราบ…แฮวอนพบเส้นทางของเหล่าเงือกโดยบังเอิญเข้าแล้ว
ร่างบางถูกเงือกสาวดันขึ้นมาจนนั่งบนฝั่งได้
มือบางปาดเช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวทั่วกรอบหน้าออกก่อนจะก้มลงมองผืนน้ำที่กระเพื่อมไม่หยุด
เมื่อหันมองรอบตัวแฮวอนก็รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงทะเลสาบหลังปราสาทของบลูซีโน่
เพียงแต่เป็นอีกฝั่งที่ติดกับชายป่า จากปราสาทจะมองไม่เห็นด้านนี้
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันเอาไว้”
แฮวอนบอกอย่างซาบซึ้งในน้ำใจจริงๆ
พอได้ยินที่แฮวอนบอก
พวกเธอก็หัวเราะคิกคัก รอยยิ้มสวยๆแต่งแต้มบนใบหน้า
พวกเธอหัวเราะและกระซิบกระซาบกันจนแฮวอนอดแปลกใจไม่ได้ต้องเอ่ยถามออกไป
ปกติพวกเงือกจะไม่สุงสิงกับเผ่าพันธุ์อื่น
พวกเขารักสันโดษและมักแยกตัวและอยู่ด้วยกันเฉพาะในกลุ่ม
“คะ? มีอะไรรึเปล่า”
“เราชอบคุณ” นางเงือกที่ช่วยแฮวอนตอบคำถาม
“คุณสวย”
นางเงือกอกตนเสริมขึ้นมา
“คะ?” แฮวอนถามพร้อมเลิกคิ้ว เธอแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง
พวกเธอชมแฮวอนทั้งที่ความสวยของพวกเธอเทียบเคียงได้กับเทพธิดา
โครงหน้าที่ถูกปั้นแต่งมาลงตัวไม่มีที่ติ แม้แต่ผู้หญิงอย่างแฮวอนเห็นก็ยังรู้สึกว่ามีเสน่ห์และน่าหลงไหล
นางเงือกยังไม่ได้ไหนไกลราวกับติดใจแฮวอนนักหนา
พอเห็นอย่างนี้แฮวอนจึงตะล่อมถามถึงเรื่องหนทางเข้าสู่ชาโดว์แบลงค์
“ขอโทษนะคะ
พวกคุณช่วยตอบคำถามฉันหน่อยได้มั้ยคะ” แฮวอนถาม ส่วนนางเงือกก็รีบพยักหน้ารัวๆให้
แฮวอนจึงใจชื้นขึ้นมาอีก “เส้นทางสู่ชาโดว์แบลงค์ของพวกคุณ พาฉันไปหน่อยได้มั้ยคะ”
พวกเธอมองแฮวอนก่อนจะหันไปปรึกษากันด้วยภาษที่แฮวอนไม่เข้าใจ
นานกว่าสามนาทีที่พวกเธอทำท่าถกเถียงกันไปมาก่อนที่หนึ่งในพวกเธอจะหันมาบอก
“มาสิ
เราจะนำทางไปเอง” เธอว่าพร้อมกับยื่นมือมาให้แฮวอน
แต่ยังไม่ทันได้ยินคำตอบรับหรือปฏิเสธ
เสียงทุ้มเรียกชื่อเธอก็ดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟจากตะเกียงที่ส่องมาจากชายป่าอีกด้าน
จองกุกและแทฮยองออกสำรวจพื้นที่เมื่อไปได้ยินล้มครืนของบางอย่าง
รวมทั้งแฮวอนที่หายออกมาด้วย พวกเขาลัดเลาะในป่าอยู่นานจนกระทั่งเจอแฮวอนที่นี่ เส้นทางที่ใช้เป็นอะไรที่ไม่คุ้นเคยเพราะไม่มีใครสักคนรู้ว่าจากชายหาดของไวท์ดิเวลเลอร์จะมาโผล่ที่ริมทะเลสาบของบลูซีโน่ได้
“แฮวอน!!!”
“เบาเสียงหน่อยค่ะ
พวกเธอตกใจนะ” แฮวอนบอกเสียงดุพลางปรายตาไปทางเงือกสาวที่โผล่จากน้ำแค่หัว
รอยยิ้มจางๆระบายอย่างปลอบขวัญ “ไม่ต้องกลัวหรอกนะคะ”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทำไมตัวเปียกแบบนี้ แล้วทำไมถึงหายไปจากชายหาด
ฉันน่ะ…” แทฮยองรัวคำถามออกมาไม่หยุด ฝ่ามือหนาลูบไปตามผมที่เปียกชื้นและกับกรอบหน้าสวย
ท่าทางร้อนรนเกินเหตุจนแฮวอนต้องคว้าที่ข้อมือและบอกให้เขาใจเย็นลง
“เดี๋ยวก่อนค่ะ
ใจเย็นๆนะคะ ฉันไม่เป็นไรเพราะพวกเธอช่วยฉันไว้ค่ะ” แฮวอนบอกพลางหันไปทางนางเงือกที่ยังอยู่ใกล้ๆ
“แล้วก็…นี่คุณไม่ได้เข้าไปในถ้ำใช่มั้ยคะ”
แทฮยองเพียงแต่ส่ายหน้าตอบคำถาม
เขาโล่งใจที่แฮวอนไม่เป็นอะไร
ร่างสูงถูกมือคนเป็นน้องผลักออกก่อนจะแทรกตัวลงนั่งข้างแฮวอน
“ไอ้เด็กขี้อิจฉา” แทฮยองพึมพำด้วยระดับเสียงที่ตั้งใจให้จองกุกได้ยิน
แต่อีกคนกลับไหวไหล่ไม่สนใจ
“เอ่อ
จริงสิ ฉันกำลังถามเรื่องทางเข้าชาโดว์แลงค์จากพวกเธออยู่พอดีเลยค่ะ”
แฮวอนบอกเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ
“ดื้อ”
เสียงทุ้มพ่นมาสั้นๆพยางค์เดียว พอเห็นว่าแฮวอนตั้งท่าจะเถียงจองกุกบอกอีกครั้ง
“ห่วงจนไม่รู้จนห่วงยังไงแล้วนะ คิดจะลุยคนเดียวหรือไง”
“เปล่าคิดอย่างนั้นสักหน่อยค่ะ
ฉันก็แค่ถามพวกเธอ แล้วโอกาสที่จะเจอตัวนางเงือกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย”
แฮวอนอธิบายเสียงอู้อี้ ใบหน้าหวานมุ่ยลงทันที แฮวอนไม่ชอบตอนจองกุกทำหน้าดุ
“ยังไม่ได้ดุ”
พอเห็นว่าแฮวอนช้อนตามอง จองกุกก็ผ่อนคลายลงทันที เขาหลุดรอยยิ้มออกมา
มือหนาลูบไปยีผมสีสวยที่เปียกชื้นอย่างหมั่นเขี้ยว
เสียงกระแอมจากแทฮยองทำเอาจองกุกชะงักมือลงแต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยจากเรือนผมหนานุ่ม
เขาเลื่อนสายตามองแทฮยอง แฮวอนเองก็เช่นกัน
แต่ที่ทำคนเป็นพี่ชักสีหน้าใส่ก็คงเพราะจองกุกยักคิ้วให้แทฮยองเหมือนเป็นฝ่ายเป็นต่อนั่นแหละ
“เอาอย่างนี้นะคะ
เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟังแบบรวบรัด” พอเห็นบรรยากาศคล้ายมาคุ
แฮวอนก็ขยับหัวให้พ้นจากฝ่ามือหนาและรีบออกตัวแล้วเล่าเรื่องประตูมิติ เรื่องบาซิลิกซ์และเรื่องที่เธอเอาตัวรอดมาได้
“…ฉันเดาว่าพ่อมดคนนั้นคงมีพลังเพิ่มขึ้น
เขาซ่อนประตูมิติให้พ้นจากสายตาพวกคุณได้ อาจจะเป็นเพราะอะไรสักอย่าง”
“เราว่าเรารู้นะ”
นาเงือกโพล่งขึ้นมา เธอหันไปพยักพเยิดหน้ากับเพื่อน
“จะมีผู้ชายที่โผล่ออกมาจากตรงถ้ำ บางทีก็พาผู้หญิงมาด้วย หลายครั้งเลยล่ะ”
“แต่เราไม่เข้าไปยุ่ง
เขาดูอันตราย”
“ใช่
น่ากลัว”
“ฉันรู้แล้ว”
สมองของแฮวอนทำงานทันที
เนื้อหาที่เคยอ่านในหนังสือถูกถ่ายทอดออกมาให้แทฮยองและจองกุกฟัง
“พวกคุณบอกว่ามีหญิงสาวหายไปจากอาณาจักรแล้วตามหาตัวไม่พบ ฉันคิดว่าเขาจับตัวพวกเธอไปแล้วดึงเอาพลังชีวิตเพื่อทำลายม่านมนตราและเขตพลังทั้งหมด”
“เหมือนที่มันจะทำกับเรา?” แทฮยองหันไปมองหน้าจองกุกทันที พวกเขาพยักหน้ารับและเข้าใจกันในทันที
“เราก็ไม่อยากขัดหรอกนะ”
นางเงือกแทรกขึ้น เธอหันไปมองผืนน้ำด้วยสีหน้าหนักใจ “แต่เราเหลือเวลาไม่ถึงชั่วโมงแล้ว
ประตูเข้าชาโดว์แบลงค์ของพวกเราไม่ได้เปิดตลอดเวลาหรอกนะ หากพลาดจากครั้งนี้
ต้องรออีกสามสิบสามราตรีมันถึงจะเปิดอีกครั้ง”
หลังปรึกษากันไม่นานก็ได้ข้อตกลงที่ว่าพวกเขาทั้งสามคนจะเข้าไปในชาโดว์แบลงค์เพราะเวลาที่เหลือไม่มาก
จุดหมายที่ต้องเดินทางไปแฮวอนจำได้ขึ้นใจแล้ว
จดหมายเวทถูกแจ้งไปยังนัมจุนและให้สัญญาว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย
เส้นทางของเหล่านางเงือกอยู่ก้นบึ้งของทะเลสาบ
พวกเธอแหวกว่ายทวนกระแสน้ำรุนแรงและเย็นจัด
หางสีฟ้าโบกสะบัดเพื่อเร่งพาพวกเธอไปยังจุดหมาย เส้นทางเหล่าเงือกเหมือนวังน้ำวน
แฮวอนรู้สึกไม่ดีหากต้องเข้าไปตรงนั้น แต่คำขอก็ดูจะไม่เป็นจริงเมื่อนางเงือกบอก
“ถึงแล้วล่ะ
เราส่งคุณได้แค่ตรงนี้ ส่วนขากลับเราจะมอบไข่มุกนี้ให้
มันจะพาพวกคุณออกมาจากที่นั่นได้”
“ขอให้โชคดีนะ” เธอบอกก่อนจะผลักร่างของทั้งสามเข้าไปในวังน้ำที่หมุนวน
“คำแนะนำข้อสุดท้าย กอดกันให้แน่นเข้าไว้”
ความรู้สึกในวินาทีถัดมาราวกับทั้งร่างถูกเขย่าอย่างรุนแรงจนวูบโหวง
แฮวอนรู้สึกมวนท้องไปหมด เหมือนกับร่างเธอถูกพัดและหมุนวนอยู่ในพายุบ้าคลั่ง
นาบนับนาทีร่างบางถึงหลุดออกจากวงโคจรนั่นและหล่นตุบลงบนพื้นหญ้า
“เจ็บชะมัดเลย”
แฮวอนพึมพำก่อนจะลูบหลังตัวเองป้อยๆ ดูท่าแล้วเธอคงจะตกลงมาจากท้องฟ้าสีดำนั่น
รู้แล้วว่าทำไมเส้นทางของเหล่าเงือกไม่ถูกปิด อีกด้านอยู่ใต้ทะเลสาบ ส่วนอีกด้านเป็นท้องฟ้า
คงไม่มีใครคิดพิเรนทร์ข้ามมาโดยเส้นทางนั้นแบบเธอหรอก
เสียงทุ้มร้องโอดครวญตามกันมาติดๆ
ส่วนแฮวอนก็แอบยิ้มขำเพราะอาจารย์ทั้งสองดูหมดสภาพนอนทับกันก่อนที่แทฮยองจะผลักจองกุกออกให้พ้นจนอีกคนกลิ้ง
พวกเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและปัดเศษใบไม้เศษดินให้หลุดออกจากเสื้อผ้า
“นี่เราถึงชาโดว์แบลงค์จริงๆแล้วงั้นสิ”
จองกุกถามขึ้นก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำ
ท้องฟ้าของที่นี่แตกต่างจากพาราเดียมาก
แม้จะมีพระจันทร์และหมู่ดาวประดับอยู่บนแผ่นฟ้าแต่กลับไม่มีความน่ามองเลยสักนิด มีแต่กลิ่นอายเย็นๆลอยคลุ้งไปหมด
ไหนจะเสียงเห่าหอนของหมาป่าที่ดังแว่วมาจากพื้นที่ใกล้เคียงอีกต่างหาก
“รีบออกไปจากที่นี่เถอะ
รู้สึกใช่มั้ยว่าพื้นนี่มันแปลกๆ” แทฮยองว่าเสียงเบาก่อนก้มลงพื้น
หญ้าสีเขียวเข้มค่อยแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำคล้ายกับช้ำเลือดช้ำหนอง
ใบเรียวแหลมค่อยขยายขนาดและเกี่ยวรัดท่อนขาของผู้มาเยือน
“คงไม่ทันแล้ว”
จองกุกว่า เขากระตุกยิ้มออกมาทั้งที่ดูไม่เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญตอนนี้
“เผาหน่อยดีมั้ย”
“ก็ไม่คิดว่าจะให้เก็บไว้”
ส่วนแทฮยองก็ตอบกลับด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้น แววตาดูท้าทายไปพอๆกัน
แฮวอนมองคนตัวสูงทั้งสองสลับไปมา
เธอเพิ่งจะรู้ว่าพวกเขาใจเย็นมากขนาดนี้
ทั้งที่กำลังจวนตัวทั้งสองคนกลับยังพูดคุยกันได้ตามธรรมดา
จองกุกผินมองแฮวอนก่อนจะขยับปากสั่ง
“สร้างบาเรียเร็ว
ฉันจะวางเพลิงแล้ว”
บาเรียสีฟ้าใสครอบคลุมร่างบางตั้งแต่จองกุกพูดไม่จบ
เขาขยับยิ้มพอใจก่อนจะหันหน้ากลับไป ดวงไฟสีแดงสดปรากฏ พอดีดนิ้วทีหนึ่งดวงไฟก็แตกออกและร่วงลงบนพื้นหญ้าที่กำลังคืบคลานพันธนาการร่างทั้งสามไว้กับที่
ดวงตาสีเข้มที่สะท้อนกับดวงไฟกะพริบครั้งเดียว
บอลเพลิงก็ลุกโชนมากขึ้นและเพียงตวัดมือไปข้างหน้าหนึ่งครั้งกองไฟก็ตีล้อมรอบตัวคล้ายเป็นแนวปราการทันที
“ตาฉันบ้าง”
พูดจบสายลมสีเงินที่มาจากแทฮยองก็พัดเข้าหากองเพลิงจนมันลุกโชนโหมกระหน่ำ เปลวไฟร้อนแรงกวาดต้อนจนไม้เลื้อยนั่นมอดไหม้ไปในพริบตาเดียว
แฮวอนยอมรับว่าพลังของพวกเขามีมากมาย
แต่ว่าการก่อเพลิงตั้งแต่วินทีแรกที่มาเยือนชาโดว์แบลงค์ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำมากสักเท่าไหร่
พวกเขาไม่ควรประกาศตนว่ามาเยือนดินแดนแห่งนี้มีแต่นิด
“ฉันว่าเราออกจากที่นี่จริงๆเถอะค่ะ” แฮวอนบอกหลังจากพื้นหญ้าสีเขียวก่อนหน้ากลายเป็นตอตะโกไปแล้วทั้งหมด
“แล้วไปทางไหน”
“อืม…” ดวงตากลมเลื่อนมองท้องฟ้า ดาวเหนือเปล่งประกายอยู่ทางซ้ายมือ
มือบางยกขึ้นทาบหาระยะห่างตามที่พ่อเคยสอนก่อนจะชี้นิ้วไปทางแม่น้ำอีกด้านที่ไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย
“ไปทางนั้นค่ะ”
แม่น้ำที่มองไม่เห็นความลึกวางทอดตัวตั้งแต่ทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก
ทั้งสามต้องล่องไปตามน้ำเพื่อเข้าสู่ป่าเพนนัมบร้าและมุ่งไปยังสวนแห่งดาร์กวัน
สิ่งที่ตามหาถูกเก็บซ่อนไว้ ณ ที่แห่งนั้น
เถาวัลย์ที่ได้จากพื้นที่ใกล้เคียงถูกนำมาสานขัดกันจนเป็นแผ่นวงกลม
ส่วนอีกส่วนเป็นแผ่นยาว ทั้งสองส่วนถูกนำมาประกอบกันจนเป็นแพที่ลักษณะคล้ายถ้วย
เมื่อถูกทดสอบว่าใช้การได้ แฮวอนก็นำคบเพลิงที่เธอทำเองสอดเอาไว้กับแพเพื่อให้แสงสว่าง
คนที่เหนื่อยมาตลอดคืนซบศีรษะพิงกับพนัก
แฮวอนขดตัวอยู่มุมหนึ่งของแพ
ยิ่งอากาศเย็นๆของที่นี่ทำเอาต้องกระชับวงแขนกอดตัวเองเอาไว้แน่น
“หื้อ?” คนที่เคลิ้มหลับสะดุ้งเมื่อผ้าคลุมอุ่นๆถูกโยนมาให้ถึงสองผืน
ความอบอุ่นเกือบจะกลายเป็นร้อนทำให้แฮวอนขยี้ตาอย่างงัวเงีย
เธอผุดลุกขึ้นนั่งก่อนถาม “นี่อะไรคะ”
“ก็เธอหนาวนี่
เอาไปห่มเถอะ” เป็นแทฮยองที่ตอบกลับมา
นัยน์ตาสีอ่อนมองตรงไปยังร่างสูงทั้งสองที่นั่งข้างๆกัน
เธอส่ายหน้าก่อนจะขยับต้วมเตี้ยมเข้าไปหาทั้งคู่ที่สวมชุดนอนเหมือนกับเธอ มือบางสะบัดเสื้อคลุมสีกรมท่าพลางดันให้ทั้งจองกุกและแทฮยองขยับเข้ามานั่งชิดกัน
คนตัวเล็กยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วคลี่ผ้านั่นคุลมร่างของทั้งคู่
“เดี๋ยวพวกคุณหนาว
ห่มด้วยกันนะคะ ถ้าไม่พอก็กอดกันเอาไว้ค่ะ”
พูดจบแฮวอนก็ขยับกายกลับเข้ามุมเดิม
เธอคลุมเสื้อสีน้ำตาลก่อนจะหลับตาพริ้มอย่างสบายใจโดยไม่สนใจอีกสองคนที่เข่นเขี้ยวใส่กันไม่หยุด
“ถอยไปหน่อย
จะนั่งติดอะไรนักหนา” แทฮยองว่าเสียงขุ่นใส่คนเป็นน้อง
มือหนาพยามกระชากปลายเสื้อของอีกคนมา แต่จองกุกก็ไม่ยอม
“ถอยไปเองสิ”
เขาว่าพลางยื้อแย่งเสื้อคลุมมาทั้งหมด ท่าทางนั้นไม่ต่างกับเด็กที่ทะเลาะกันเพื่อแย่งของเล่นเลยสักนิด
เสียงทุ้มกระซิบกระซาบเถียงกันไม่หยุดในขณะที่รอยยิ้มจางๆของแฮวอนแอบจุดขึ้นที่มุมปากดวงตากลมที่แอบหรี่มองค่อยๆปิดเปลือกตาลง
ร่างบางระบายลมหายใจเฮือกยาวก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปจริงๆ
แทฮยองเป็นคนสุดท้ายที่ยังไม่นอน
เขาวางคางลงกับพนักพิง แพทรงกลมหมุนและลอยไปตามแม่น้ำสีขุ่น
ดวงตาคมเหลือบมองสองคนที่นอนเอาหัวชนกันอย่างนึกขำก่อนจะเลื่อนมองเงาที่สะท้อนบนผืนน้ำ
มือหนาจุ่มลงสัมผัสแม่น้ำเย็นๆ พวกเขาใช้เวลากับแม่น้ำสายนี้มาเกือบสามชั่วโมงแล้ว
ทั้งที่ควรจะใกล้ถึงเวลาฟ้าสางแต่บัดนี้แทฮยองยังไม่เห็นแสงสว่างของดวงอาทิตย์แม้แต่นิดเพราะว่าในชาโดว์แบลงค์มีเวลากลางวันเพียงหนึ่งในสามของการ์ดิเนียเท่านั้น
คิ้วเข้มขมวดขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเกิดฟองผุดขึ้นมาจากใต้ผืนน้ำ
ร่างสูงขยับถอยห่างตามสัญชาตญาณก่อนที่ร่างยักษ์ของจระเข้ตัวสีเทาอมเขียวจะโผล่พรวดขึ้นมา
ปากกว้างแยกออกจนเห็นเขี้ยวคมได้ชัดเจนราวกับจะข่มขวัญ
ลำตัวมโหฬารที่กระแทกกลับสู่พื้นน้ำสร้างคลื่นลูกโตจนแพโคลงเคลงเกือบคว่ำ
จองกุกและแฮวอนผุดลุกขึ้นทันที
ความง่วงและเหนื่อยอ่อนหายวับไปหมด ความเงียบเข้าครอบคลุมในพื้นที่ทันทีหลังจากที่เสียงกระแทกน้ำตู้มใหญ่หายไป
ทุกคนต่างตั้งหลักระวังภัย คบไฟถูกนำไปส่องเหนือท้องน้ำ
ดวงตาสอดส่องมองหาสัตว์ร้าย
จระเข้ยักษ์ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ลำตัวขนาดใหญ่กระโจนข้ามแพเถาวัลย์จนทุกคนได้เห็นขนาดตัวที่ใหญ่เกินสิบเมตรได้อย่างชัดเจน
มันดำดิ่งหายลงไปในแม่น้ำลึกอีกครั้งในขณะที่หัวใจของแฮวอนเต้นระทึก
“นั่น
ยังมีอีกตัว” สิ้นเสียงของจองกุกทุกคนก็ต่างหันมองไปยังทิศทางเดียวกัน
จระเข้ตัวใหญ่ลอยนิ่งๆบนผืนน้ำก่อนจะพุ่งตัวตรงเข้ามาอย่างเร็วไว้
มวลพลังที่ก่อขึ้นถูกส่งออกไปในขณะเดียวกัน จนเกิดระเบิดลูกใหญ่
แพถูกแรงน้ำดันจนลอยเคว้ง แม่น้ำที่เงียบสงบบัดนี้มีแต่เสียงดังตู้มที่สะท้อนไปทั่วผืนน้ำ
“หายไปแล้ว”
เสียงแฮวอนดังอย่างผะแผ่ว แต่น้ำเสียงนั้นก็คงอยู่ไม่นานเมื่ออยู่แพทั้งลำก็ถูกซัดโครมทีเดียว
ตู้ม!!!
“แฮวอน!!!”
ร่างบางจมลงสู่แน่น้ำเย็นเฉียบ
สองขาเรียวพยายามดีดตัวขึ้นเพื่อพาตัวเองให้พ้นจากสายน้ำที่เชี่ยวกราด
แฮวอนสบเข้าดวงตาสีขาวขุ่นของจระเข้ตัวเขื่อง มันพุ่งเข้าหาเธออย่างไม่รีรอ
กระสุนน้ำที่สาดออกจากฝ่ามือทำให้มันชะงักลงแต่กลับเพิ่มความเกี้ยวกราดขึ้นไปอีก
หางยาวฟาดใส่แฮวอนอย่างแรงจนร่างบางจมลงไปลึกกว่าเก่า
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนปรือมองเบื้องบน แสงสว่างพร่ามัวลงเต็มที สติสัมปชัญญะถูกพรากไปทีละน้อยกระทั่งโลกทั้งใบก็มืดลง
ความปวดที่แล่นเป็นระยะตรงขมับทำให้แฮวอนรู้สึกตัวขึ้นในเวลาต่อมา ร่างบางขยับเมื่อรู้สึกไม่สบายตัว ดวงตากลมกะพริบปริบๆ สิ่งที่มองเห็นเป็นอย่างแรกคือใบหน้าคมคายที่โน้มลงใกล้มาก ริมฝีปากขยับบางเบาเพื่อเรียกชื่อคนตรงหน้า
“ค…คุณจองกุก นี่เราอยู่ที่ไหนคะ” แฮวอนถามก่อนจะหยัดกายลุกขึ้น เธออาศัยตักจองกุกหนุนนอนอยู่นาน เมื่อมองสภาพรอบตัวก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่มีผนังไม้หยาบๆกั้นไว้สามด้าน ส่วนด้านที่มีกองฟางบังเป็นลูกกรงเหล็กซี่ใหญ่ สภาพเหมือนคุกไม่มีผิดเลย
“ค่อยๆลุก เธอหลับไปเกือบสองวัน” เสียงทุ้มว่าอย่างเป็นห่วง มือหนาขยับเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าทัดกับใบหู ดวงตาคมเลื่อนมองแผลที่ติดตรงขมับด้านขวา “เธอมีแผลตรงขมับ ยังไม่ได้ทายา ฉันทำแค่เช็ดเลือดให้เธอ แต่ตอนนี้มันแห้งแล้ว อย่าซนก็แล้วกัน”
“คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ” แฮวอนบอกเสียงขุ่นเพราะว่าจองกุกเบี่ยงประเด็นไม่ยอมบอกเธอ
“เราอยู่ในเพนนัมบร้าแล้ว” เขาบอกแล้วถอนหายใจ “แต่ว่าเราถูกขัง หมู่บ้านนี้เป็นของเผ่าอเมซอน พวกนั้นจับแทฮยองไปแล้วขังเราสองคนไว้ในนี้”
“แล้วคุณแทฮยองจะไม่เป็นอะไรเหรอคะ”
“ไม่หรอก ไอ้หนุ่มนั่นถูกใจเจ้าหญิง ป่านนี้คงถูกจับขัดสีฉวีวรรณใหม่แล้วเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วล่ะ” เสียงแหบแห้งดังออกมาจากมุมมืดของห้องขังตรงกันข้าม
เจ้าของเสียงค่อยๆขยับก้าวออกมา โคมไฟสีเหลืองที่แขวนไว้บนทางเดินทำให้มองเห็นสภาพเขาได้ชัดเจนขึ้น ผ้าดิบถูกพันรอบศีรษะ แขนขวาและแผงอก ดวงตาเขาเป็นสีเหลืองทองและมีผิวสีเข้ม
“คุณ…” เสียงหวานพูดแค่นั้น แต่ดวงตากลมมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณา แฮวอนรู้สึกได้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ไอร้อนแผ่ออกมาจากตัวเขา กระทั่งเธอที่ยืนห่างออกมารับรู้ได้
“ฉันเป็นมนุษย์หมาป่า อย่าคิดว่าทุกคนในชาโดว์แบลงค์จะมีแต่พวกตัวซีด” เสียงนั้นกล่าวคล้ายตำหนิ แต่ก็เพียงชั่วคราว นัยน์ตานั้นพราวระยับและเอ่ยขึ้นมาอย่างติดตลก “ฉันหล่อกว่าพวกนั้นเยอะ”
“ขอโทษค่ะ คือว่าฉันไม่รู้” เพราะถูกสอนมาให้รู้จักนอบน้อมและรู้จักยอมรับผิดจนรีบกล่าวขอโทษ จนคนที่ได้รับการโค้งหัวหัวเราะร่วน
“เธอนี่นิสัยน่ารักจังนะ ไม่แปลกที่ไอ้หนุ่มคนข้างๆจะคอยเช็ดตัวนู่นนี่ให้ตลอด ตอนไข้ขึ้นก็กอดตลอดคืน”
แฮวอนเหลือบมองจองกุกทันที ในอกรู้สึกอุ่นๆที่รู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอขนาดนี้ คนตัวโตรีบหันหน้าหนีเพราะกลัวว่าเธอจะเห็นใบหน้าขึ้นสีของเขาและขึ้นเสียงกลบเกลื่อน
“ไหนบอกจะอธิบายทุกอย่างพอเธอฟื้นไม่ใช่หรือไง รีบเล่ามาสิ”
“ฮึ ได้ๆ” คนตรงข้ามยังยกยิ้มที่กวนใจจองกุกไม่เลิกก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนจากแผ่นดินนั้นไม่ได้รู้ทุกอย่างบนแผ่นดินนี้ พวกเราตั้งรกร้างในมิตินี้มานแสนนานก่อนพวกเธอจะผลักดันพวกตัวซีดกับพ่อมดมาซะอีก ฉันเองก็ไม่ได้อยู่มานานอะไรขนาดนั้น เอาเป็นว่าตอนนี้พวกเธอกำลังอยู่ในไซเธียนในเพนนัมบร้า พวกเขาเป็นผู้พิทักษ์ผืนป่าและประตูสู่ดาร์กวัน”
แฮวอนตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดและตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้รับรู้
“ที่นั่นเล่าลือกันว่าเก็บของศักดิ์และมีมีค่าของชาโดว์แบลงค์เอาไว้ ใครๆก็ต่างอยากได้มาครอบครอง แต่แทบจะไม่มีใครที่ผ่านพวกอเมซอนได้ ผู้บุกรุกจะถูกจับและใช้งานตามแต่ที่พวกนั้นจะสั่ง อย่างที่พวกเธออยู่ตอนนี้เป็นที่พักของพวกที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนพวกที่ใช้แรงงานจะอยู่ถัดออกไปอีกสามเรือน และอย่างสุดท้าย พวกที่ต้องตาพวกนั้น มีอยู่สองอย่าง ไม่รอดก็ร่วง”
“งั้นคุณก็เป็นขโมย…”
“ก็ใช่ จะคิดยังไงก็แล้วแต่” เขาไหวไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหันหลังกลับ แต่ก็ถูกรั้งด้วยเสียงของจองกุกอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน! คุณเคยบอกว่ามีทางหลุดพ้นจากที่นี่ มันคืออะไร”
“พวกเธอทำไม่ได้หรอก” น้ำเสียงนั่นแฝงความสิ้นหวังมาด้วย เจ้าของนัยน์ตาสีเหลืองทองหันมองกลับมา “ต้องล้มนักรบมือหนึ่งของที่นี่ได้ พวกเธอถึงจะได้รับอิสระ…แล้วก็ ดูสภาพฉันเป็นตัวอย่างสิ”
จองกุกและแฮวอนนั่งพิงพนักและอยู่ท่ามกลางความเงียบมาหลายนาที ทั้งสองต่างหนักใจกับทุกเรื่องตอนนี้ คนที่ถอนหายใจพร้อมกับหันมองหน้ากันเงียบๆ ก่อนจะเป็นแฮวอนที่พูดขึ้นก่อน
“เราต้องออกไปได้ค่ะ ฉันเชื่ออย่างนั้น”
“ฮึ ปลอบใจฉันทั้งที่ตัวเองยังทำหน้ามุ่ยแบบนี้ใครก็เชื่อไม่หรอกนะ” จองกุกว่ายิ้มๆ นิ้วเรียวเอื้อมบีบแก้มนุ่มแล้วออกแรงให้คนตัวเล็กกว่าส่ายหน้าไปมา
“เจ็บนะคะ” แฮวอนว่าอย่างไม่จริงจังนัก ดวงตาทอดมองคนตรงข้ามอย่างอ่อนโยนก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากๆนะคะคุณจองกุกที่คอยดูแลฉัน”
“ไม่เป็นไร ฉันเต็มใจทุกเรื่องที่เป็นเรื่องของเธอ” น้ำเสียงที่กล่าวออกมาหนักแน่นและชวนให้ใจอ่อนยวบเหลือเกิน หัวใจของแฮวอนถูกเร่งจังหวะจนเต้นตึกตัก ดวงหน้าหวานเริ่มซับสีระเรื่อขึ้นมา แต่เพราะแสงไฟที่ส่องเข้ามาไม่ถึงพื้นที่มุมสุดของห้องขังจึงช่วยซ่อนพวงแก้มแดงจัดเอาไว้
“แล้วคุณเจ็บตรงไหนค่ะ เขาบอกว่าว่าที่นี่เป็นเรือนพักของคนเจ็บ แสดงว่าคุณเองก็ไม่สบายเหมือนกัน แล้วไหงเอาแต่ดูแลฉันล่ะคะ” แฮวอนได้ทีเปลี่ยนเรื่อง เธอไม่อยากให้จองกุกรู้ว่าคำพูดเมื่อสักครู่มีอิทธิพลกับเธอมากแค่ไหน
“เปลี่ยนเรื่องเก่ง ฉันก็แค่ปวดที่แขน” เสียงทุ้มว่าอย่างกลั้วหัวเราะก่อนจะบอกพลางส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่ได้เจ็บปวดตรงไหน
“ขอดูหน่อยคะ” ว่าแล้วแฮวอนก็ขยับไปด้านข้าง มือบางเลิกแขนเสื้อด้านซ้ายที่เธอสังเกตเห็นว่าจองกุกแทบจะไม่ขยับดูอาการ
รอยเขียวบวมช้ำอยู่บนต้นแขนของคนที่ยอมนั่งนิ่งให้แฮวอนตรวจดูแผล จองกุกขยับยิ้มบางๆ ผินใบหน้ามองคนตัวเล็กกว่า มองดูฝ่ามือที่มีไอสีฟ้าอ่อนเกาะกุมที่ค่อยๆทาบลงกับแขนของตน ความเย็นจัดค่อยๆแทรกซึมฉาบบนผิวหนังจนรู้สึกดีขึ้น
“ขอบคุณนะ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆและได้ยินเสียงแฮวอนตอบปฏิเสธกลับมา
“ไม่หรอกค่ะ น้อยกว่าที่คุณทำให้ฉันซะอีก”
“ถ้างั้นคืนนี้หนุนตักเธอนอนได้มั้ย”
“คะ?” แฮวอนรับคำเสียงดัง เธอแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองจนต้องหันมองหน้าจองกุก ดวงตาทั้งคู่สบกันท่ามกลางแสงสลัว แฮวอนเห็นรอยยิ้มของจองกุกก่อนที่เขาจะเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“ฉันอยากหนุนตักเธอ ทีนี้ได้ยินชัดแล้วหรือยังหื้อ?”
“ได้ยินแล้วค่ะ” คนตัวเล็กมุ่ยหน้าก่อนรับคำ “ถ้าคุณไม่หยุดพูดแบบนี้คิดว่าคุณกำลังหยอดฉันนะคะ”
“ก็กำลังหยอดจริงๆ ถ้าเข้าใจยากไปก็กำลังจีบ” จองกุกเองก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว
“พอแล้วค่ะ ฉันไม่พูดด้วยแล้ว” แฮวอนรีบตัดบทเมื่อรู้ตัวว่าเถียงจองกุกไม่ชนะแน่ จนฝ่ายเป็นต่อได้แต่ยิ้มกริ่ม
แฮวอนขยับตัวออกห่างจากจองกุกก่อนจะปัดหน้าตักตัวเองให้สะอาดขึ้น เธอพยักพเยิดหน้าให้อีกคนและเกร็งร่างเมื่อจองกุกล้มตัวลงหนุนตักอย่างที่ปากว่า ไม่ใช่เพราะเขาใช้ตักเธอต่างหมอน แต่เป็นเพราะเขาหันหน้าเข้ากับหน้าท้องแบนราบ ปลายจมูกสัมผัสเนื้อนุ่มอย่างผิวเผินและระบายลมหายใจร้อนระอุของตัวเองอย่างเป็นสุข
“น…นี่คุณ หันมาอีกทางสิ” แฮวอนบอกตะกุกตะกัก มือบางตีเบาๆที่เอวสอบ
“ไม่เอา เดี๋ยวเจ็บแขน” จองกุกบอกอย่างอู้อี้ เขาแกล้งกดใบหน้าลงกับหน้าท้องของแฮวอน แขนข้างหนึ่งโอบกอดรัดรอบเอวบางอย่างต่อต้านความต้องการของเธอ ซ้ำยังทำเสียงดุใส่อีกต่างหาก “รีบนอนได้แล้ว อย่ามัวแต่พูด ฉันง่วงแล้ว”
พอเขาว่าอย่างนั้นแฮวอนเลยต้องปิดปากเงียบ เหลือบมองคนที่หลับตาพริ้มอย่างสบายใจแล้วมองค้อนน้อยๆ อยู่ๆมือข้างหนึ่งถูกคว้าจับและกดให้แนบกับลำคออุ่นๆ แฮวอนได้แต่ขมุบขมิบปากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา ในขณะที่จองกุกฉีกยิ้มบางๆและซุกหน้าลงกับหน้าทองแบนราบมากขึ้นอีกนิด
“แหมๆ หวานจังเลยนะ!” เสียงแซวดังมาจากห้องขังฝั่งตรงข้าม แต่แฮวอนก็ไม่ต้องตอบโต้เพราะคนที่หนุนตักทำหน้าที่นั้นแทนแล้ว
“ยุ่ง!!!”
Loading next chapter...
“ฉันถูกจูบ ช่วยหน่อย”
“อยากแหกคุกมั้ย”
“ปลุกวิญญาณทุกคนแล้ว ทีนี้ก็รอเวลาบุก”
“ฝ่ายเมอร์ลินที่คุณว่า…คือฉันไงคะ”
“ฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากเธอ”
“ยอมเป็นหนึ่งเดียวกับฉัน
แล้วทุกอย่างที่เธอต้องการจะเป็นของเธอ”
เป็นคนใจดี สปอยให้อีก6ประโยคอ่ะ 5555
ความคิดเห็น