คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ♦ 16 THE TOWER ♦ & มีคำถามตรงทอล์คนะ
16
♦ THE
TOWER
แม้ในใจของแฮวอนจะบอกว่าใช่แต่เธอกลับไปไม่ตอบอะไรกลับไป
ดวงหน้าเรียวสวยก้มลง ไหล่เล็กลู่ตกอีกหนเมื่อเธอลอบถอนหายใจ
แทฮยองที่เห็นว่าคนตัวเล็กดื้อเพ่งก็จัดการดึงร่างบางมาประชิดก่อนจะโอบรัดร่างของแฮวอนและล้มตัวลงนอนบนเตียงที่เขาใช้เฝ้าแฮวอนมาสองคืนติด
ในขณะที่คนอื่นต้องเดินทางไปต่างเมืองเพื่อดูแลการรวบรวมจอมเวทและเฝ้าสถานการณ์แปลกประหลาดที่ได้รับรายงานมาทั่วทุกมุมเมือง
“คุณแทฮยอง
ปล่อย!” คนที่โดนพันธการด้วยวงแขนอบอุ่นร้องประท้วงทันที
“อย่าดิ้นให้มาก
ฉันไม่ได้ใจเย็นตลอดเวลานะแฮวอน” แทฮยองว่าด้วยน้ำเสียงกดต่ำก่อนจะบอกด้วยเสียงที่อ่อนลงมากกว่าเดิม
“ฉันถามเพราะเชื่อเธอและฉันก็อยากให้เธอเชื่อใจฉันเหมือนกัน…อย่าดื้อจะได้มั้ย”
ท่อนแขนแกร่งขยับกระชับร่างบอบบางที่ยังดีดดิ้นอย่างไม่ยอมแพ้
พยายามมองเมินแรงทุบตีตรงแผ่นอก เขารู้ว่าแฮวอนดื้อ แต่ไม่คิดว่าจะดื้อได้แบบนี้
พยศซะเขาอยากปราบให้กลายเป็นลูกแมวเชื่องๆให้รู้แล้วรู้รอด
ไฟในห้องถูกปิดลงจนเหลือเพียงดวงเดียว
แฮวอนตื่นขึ้นมากลางดึก
ถ้าเธอยังไม่คิดจะคุยกันดีๆเขาก็จะใช้อ้อมแขนนี้โอบกอดเธอไว้ตลอดคืนจนกว่าจะถึงตอนเช้านั่นแหละ
แฮวอนพยามตีแทฮยองสุดกำลังแล้วแต่ร่างกายคนตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับกำแพง
หนำซ้ำแทฮยองยังแกล้งกดร่างเธอให้แทบจมหายไปกับตัวเขาอีกต่างหาก เธอตีจนเจ็บมือไปหมดแล้ว
สุดท้ายก็เลยยอมนิ่งแล้วอยู่ในอ้อมกอดของเขาต่อไป
“เธอรู้อะไรมั้ย”
แทฮยองเอ่ยถามหลังจากที่แฮวอนเงียบไปพักนิ่ง พอเห็นว่าคนตัวเล็กไม่โต้ตอบ
เขาก็เลยแกล้งเขย่าตัวอย่างเรียกร้องความสนใจจนแฮวอนขึ้นเสียงใส่อย่างนึกหงุดหงิด
“อะไรล่ะคะ!”
“ฉันเป็นสิงโตภูเขา เผื่อว่าเธอไม่รู้”
แทฮยองบอกหลังจากเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง
เขาตัดสินใจบอกเรื่องนี้เผื่อมันจะทำให้แฮวอนรู้สึกดีขึ้น
“เอาเป็นว่าฉันโดนคำสาปก็แล้วกัน”
“…”
“ทุกคืนวันเพ็ญหรือคืนเดือนดับ
ฉันจะกลายเป็นสัตว์และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จิตใต้สำนึกและการกระทำทุกอย่างจะเป็นไปตามสัญชาตญาณของสัตว์ป่า
และอีกไม่นานฉันอาจจะต้องกลายเป็นสัตว์ไปตลอดกาล…แค่นี้ฉันดูแย่พอๆกับเธอแล้วรึยัง”
“ฉันรู้ค่ะ”
แฮวอนตอบด้วยประโยคที่ทำให้แทฮยองประหลาดใจ จากที่ระดับสายตาอยู่ที่แผงอกกว้าง
แฮวอนก็ขยับเลื่อนมองใบหน้าหล่อเหลาที่โดนแสงไฟจากมุมห้องส่องกระทบก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องราวที่ตัวเองพบเจอมา
“ฉันเคยเจอเสือดำกับสิงโตภูเขาตรงทางเข้าประตูทางออกหมายเลขเจ็ดคราวที่ฉันป่วยคราวนั้น
แต่ว่าพวกคุณไม่ได้ทำอะไรฉันนอกจากกัดกันเอง”
“…”
“พวกคุณทั้งเจ็ดคนล้วนถูกคำสาปของพ่อมดที่หวังจะทำลายการ์ดิเนียเมื่อหลายปีก่อน
ก่อนจันทรุปราคาที่จะถึงนี้ ถ้าพวกคุณแก้คำสาปนั่นไม่ได้
ความเป็นมนุษย์จะจางหายไปและพวกคุณจะกลายเป็นสัตว์อย่างสมบูรณ์แบบไปตลอดกาล”
“นี่เธอรู้?”
“ฉันไม่อยากพูดถ้าพวกคุณไม่คิดจะเชื่อใจฉัน
การพยายามอธิบายอะไรให้คนที่มีแต่อคติฟังมันเหนื่อยนะคะ”
แฮวอนบอกเสียงเบาก่อนจะหยุดไปพักหนึ่ง
“ถ้าฉันบอกว่าช่วยได้แลกกับการที่คุณจะไม่ทำอะไรคนในครอบครัวฉัน คุณจะตกลงมั้ยคะ”
หลังจากนั้นความเงียบงันก็เข้าปกคลุมทั่วห้องกว้าง
แฮวอนได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออีกครั้งก็นึกว่าแทฮยองหลับไปแล้ว
เธอจึงค่อยๆขยับตัวหวังให้หลุดออกจากอ้อมกอดอบอุ่นของเรา
ไม่ปฏิเสธว่านั่นรู้สึกดีแต่แฮวอนไม่อยากจะเอาทั้งตัวทั้งใจไว้ใกล้เขามากกว่านี้
“หืม? จะไปไหน” คนที่คาดว่าจะหลับถามขึ้น
วงแขนแกร่งกระชับพร้อมกับคำถามที่เอ่ยออกไปจนแฮวอนลอบถอนหายใจแล้วตอบตามความจริง
“เปล่าค่ะ
แต่แบบนี้มันอึดอัด”
“แต่ฉันไม่เห็นรู้สึกแบบนั้น”
เสียงทุ้มตอบกลับอย่างแกล้งไม่เข้าใจ
ท่อนแขนข้างหนึ่งผละออกมาก่อนจะคว้ามือเธอไปจับ
ปลายนิ้วอุ่นๆลูบไล้ไปตามหลังมือเนียนเบาๆอย่างคนอยู่ไม่สุข “ทำไมคราวที่แล้วถึงยอมกลับมากับจองกุกได้”
“คะ?” คนฟังก็ได้แต่ตอบรับอย่างงุนงง นั่นคือคำถามของแฮวอนเหมือนกัน
ทำไมเธอถึงกลับมาที่นี่ได้ คนที่ให้คำตอบได้คงมีแต่จองกุก
“ไม่ชอบ…ที่เธอกลับมาพร้อมกับเขา ฉันไม่ชอบแบบนั้น”
ความคิดของแฮวอนสะดุดลง
เธอวางไม่ตัวไม่ถูกทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่ครบถ้วนสมบูรณ์ของแทฮยอง
ไม่อยากจะยอมรับว่าหัวใจเธอเร่งอัตราการสูบฉีดเลือดขึ้นมากโข
เธอถึงขั้นประหม่าไม่กล้าสบสายตาคมกริบคู่นั้นจนต้องแสร้งมองแถวๆลำคอและลาดไหล่ของคนที่นอนอยู่ตรงข้ามแทน
“คุณไม่ตามมาเองต่างหาก” แฮวอนแย้งเสียงเบา
“ใครบอก…” เจ้าของวงแขนว่า
แทฮยองไม่ได้บอกว่าตัวเองตามไป แต่พอเห็นจองกุกและเธออยู่ด้วยกันถึงยอมถอยกลับ
แฮวอนที่อยู่ในอ้อมกอดของจองกุกอย่างนั้น คงต้องโทษตัวเองที่ไม่มีความกล้าแบบจองกุก
ไร้เสียงต่อบทสนทนานั้น
คนที่หลับตามาตลอดแอบเปิดเปลือกตามองคนที่อยู่ในอ้อมแขน
พอเห็นว่าแฮวอนดูเหมือนสับสนเขาจึงเปลี่ยนเรื่อง
“เอาเถอะ
นอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปกินข้าวเร็วๆ เธอหลับไปตั้งสองวัน
คงไม่มีแรงเลยใช่มั้ย”
“คุณแทฮยอง…”
“ฝันดีนะ”
และแทฮยองก็ตัดบทด้วยการประทับริมฝีปากเบาๆบนหน้าผากมน
เขาหลับตาลงอีกครั้งพลางโอบกอดร่างบางให้แน่นขึ้นอีกนิด
เอียงใบหน้าลงซบกับกลุ่มผมหนานุ่มของคนที่ถูกเร่งจังหวะการเต้นของหัวใจให้รุนแรงขึ้นอีกระลอก
แฮวอนอยู่กับแทฮยองตามลำพัง
สามวันที่เธอไปไหนมาได้แค่ในพื้นที่ของหอพักของบราวน์ดัชเชส
คล้ายกับการถูกกักบริเวณไม่มีผิด
ร่างบางนั่งกอดเข่าและทอดมองไปยังเส้นขอบฟ้า
พระอาทิตย์ดวงโตกำลังลาลับไป แสงสีส้มแดงสะท้อนลงบนพื้นดิน
ระเบียงชั้นสามใกล้ๆห้องดื่มน้ำชาในปราสาทชนชั้นขุนนางกลายเป็นที่ประจำที่แฮวอนชอบมานั่งรับลมตอนเย็นไปซะแล้ว
ความคิดต่างๆแล่นไปมาในสมอง เธอเอาแต่ครุ่นคิดสิ่งที่คังชอลบอกเอาไว้เมื่อวันนั้น
ทุกอย่างที่รออยู่ข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักนิด ไม่ผิดที่เธอจะรู้สึกกลัว
นิ้วเรียวแตะลงบนจี้เงินที่กลายเป็นของติดตัว
แฮวอนสัญญากับแทฮยองไว้ว่าจะไม่ใช้เวทมนตร์หากไม่จำเป็น
พลังของเธอไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ง่ายๆ
แฮวอนนั่งอยู่นานจนพระจันทร์ขึ้นมาแทนที่
ใบหน้าหวานแหงนมองท้องฟ้าสีดำสนิท
ดวงจันทร์สีเหลืองนวลเหลือเพียงเสี้ยวเดียวพร้อมกับกลุ่มดาวที่ปรากฏบนแผ่นฟ้ากว้าง
บรรยากาศเงียบงันชะงักลงเมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นด้านหลัง
“เดี๋ยวจะลงไปแล้วค่ะ”
แฮวอนตอบอย่างเคยชิน แทฮยองมักจะขึ้นมาตามเธอทุกเย็นเมื่อเธอไม่ยอมลงไปง่ายๆ
แต่ครั้งนี้กลับผิดคาด ผู้ชายที่ยืนข้างหลังเธอไม่ใช่อาจารย์ของบลูซีโน่
ขายาวก้าวเข้ามาใกล้ก่อนจะที่ร่างสูงจะทรุดตัวลงนั่งข้างเคียงแฮวอนที่ยังเงยหน้ามองท้องฟ้า
ตามด้วยเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นถามไถ่
“เป็นยังไงบ้าง”
“…คุณจองกุก” เสียงหวานเรียกชื่อคนที่เพิ่งเข้ามา
ดวงตากลมโตเลื่อนมองจองกุกที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะหลุดคำพูดมาเพียงคำเดียว “ก็…”
“พูดมาเถอะ”
คนตัวสูงบอกก่อนจะผ่อนลมหายใจ มือหนาขยับปลดผ้าคลุมออกแล้ววางข้างตัว
ดวงตาคมกริบมองใบหน้าสวยที่เฝ้านึกถึงตลอดหลายวันที่หายไปจากพาราเดีย
“ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีค่ะ…” แฮวอนบอก่อนจะวางคางกับหัวเข่าที่ชันขึ้นมา สองแขนกอดตัวเองแน่น
อารมณ์ความรู้สึกที่อยู่ในใจแสดงออกมาผ่านแววตาสีสวย “ฉันแค่กลัว
กลัวไปหมดทุกอย่างเลย”
จองกุกมองคนข้างตัวอย่างเห็นใจ
เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเธอนัก
มือหนาอบอุ่นวางลงบนเรือนผมหนานุ่มแล้วลูบเบาๆคล้ายปลอบประโลม
ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“นั่งมองแค่ตรงนี้เบื่อมั้ย”
เสียงทุ้มถามแต่จองกุกก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ
เขาคว้ามือแฮวอนก่อนจะเดินนำเธอไปทางหนึ่ง
แฮวอนถูกพาเดินลัดลงมาจากปราสาทของบราวน์ดัชเชส
จองกุกจูงมือเธอผ่านสวนดอกไม้และจัตุรัสน้ำพุตรงกลางโรงเรียน ร่างสูงพาเธอเดินผ่านประตูสีแดงมอญสูงจรดเพดานของเรดมอนเนิร์ค
แฮวอนอดสอดส่ายสายตาสำรวจสถานที่แปลกใหม่ไม่ได้
ภายในปราสาทประดับไปด้วยเครื่องเรือนราคาแพง
ผ้าม่านสีแดงเลือดขลิบทองถูกติดกับหน้าต่างทุกบาน
ผนังมีรูปวาดสีน้ำมันชื่อดังแขวนติดไว้
รวมถึงโคมไฟห้อยระย้าวิบวับที่แขวนติดไว้ตลอดโถงทางเดิน
เหนือประตูห้องต่างๆมีป้ายสลักระบุชื่อเอาไว้ นัยน์ตากลมกวาดอ่านผ่านๆก็พบว่าในเรดมอนเนิร์คมีทุกอย่างที่เหมือนกับปราสาทหลัก
มือบางที่ถูกกอบกุมมาหลายนาทีถูกคลายลงให้พอหลวม
จองกุกยังคงไม่ได้ปล่อยมือเธอออก ด้านหลังของเรดมอนเนิร์คคือชายป่า
จองกุกพาแฮวอนเดินทะลุเข้าไปตามทางที่พอมีให้เห็นก่อนจะหยุดลงเมื่อถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง
แฮวอนตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า
หน้าผาสีเทาอมน้ำเงินที่อยู่ท่ามกลางต้นไม้ที่โน้มลงมาคล้ายกับซุ้มประตู
ริมผามีดอกลูพินสีม่วงอ่อนที่ขึ้นเฉพาะริมหน้าผาสูงกำลังผลิบานรับกับแสงจันทร์
สถานที่โล่งกว้างแห่งนี้เปิดให้เห็นแผ่นฟ้ากว้าง มองได้สุดลูกหูลูกตา
แรงกระตุกเบาๆที่ฝ่ามือทำให้แฮวอนต้องทรุดตัวลงนั่งข้างๆจองกุก
สองขาหย่อนลงไปกับหน้าผา
รู้สึกวูบวาบเล็กน้อยเพราะความสูงจากตรงนี้ถึงพื้นข้างล่างไม่ใช่น้อยๆ
สายลมเย็นพัดมาปะทะร่างกายทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นจนคลี่ยิ้มออกมา
ก่อนจะหันกลับไปยังจองกุกเมื่อเขาเรียกให้เธอดูบางอย่าง
“ดูตรงนั้นสิ”
แฮวอนมองตานิ้วเรียวที่ชี้ไปยังแผ่นฟ้าว่างเปล่าก่อนที่แถบฝ้าสีขาวคล้ายก้อนเมฆพาดยาวข้ามขอบฟ้าจะค่อยๆปรากฏขึ้นพร้อมกับดวงดาวจำนวนมากมายมหาศาล
ดูคล้ายเส้นทางบนท้องฟ้า แสงสีต่างๆที่เห็นทำเอาแฮวอนคลี่ยิ้มกว้าง
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนกับภาพสวยงามตรงหน้าจนคนที่เฝ้ามองอดยิ้มตามไม่ได้
จองกุกกำลังมีความสุข
“ที่เธอเห็นคือดาราจักรที่โลกเราโคจรอยู่บนนั้น”
อาจารย์วิชาการเมืองกรปกครองกำลังอธิบายเนื้อหาของวิชาดาราศาสตร์จนนักเรียนจำเป็นอดหัวเราะไม่ได้
“ที่จริงแล้วเราไม่สามารถมองเห็นมันได้ตลอดทุกคืนหรอกนะ
แต่ได้แค่ช่วงค่ำถึงดึกของช่วงใบไม้ร่วงถึงหนาวเท่านั้นที่เราจะเห็นมันได้”
“ฉันรู้ค่ะ
แต่ขอบคุณนะคะที่พามาดูอะไรดีๆแบบนี้ แล้วก็ยังให้ความรู้ฉันอีก”
แฮวอนว่าแล้วเบนหน้ากลับไปมองภาพตรงหน้า “แล้วคุณเคยได้ยินทฤษฎีดาวคู่แฝดมั้ยคะ”
“…”
“ที่เขาว่ากันว่าจะมีเราอีกคนอยู่ที่อีกโลกหนึ่ง
คนที่เหมือนเราทุกอย่าง เพียงแต่ดำเนินชีวิตโดยที่ไม่รู้จักอีกฝ่าย
และมีบางช่วงที่จะสื่อถึงกันได้”
เสียงหวานพูดไปเรื่อยเปื่อยตามเนื้อหาหนังสือที่เคยอ่านก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่ง
“ฉันว่าถ้าฉันอยู่ที่นั่นก็คงดีนะคะ”
“ไม่ดี!” จองกุกค้านขึ้นทันที
เสียงเขาแข็งจนแฮวอนต้องเลื่อนสายตากลับมายังคนที่นั่งอยู่ติดกัน
“ถ้านั่นจะทำให้ฉันไม่ได้เจอเธอ ฉันว่าไม่ดี”
กลายเป็นความเงียบที่เข้ามาครอบคลุมบรรยากาศโดยรอบไปโดยปริยาย
แววตาของจองกุกจริงจังซะจนแฮวอนพูดไม่ออก ดวงตาของทั้งคู่สบกันอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแฮวอนเป็นฝ่ายถอนหายใจออกมา
“ฉันก็แค่คิดค่ะ
คุณไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้นเลย”
“แต่ฉันจริงจัง
ฉันไม่สนหรอกว่าเธอจะเป็นอะไร เพราะสำหรับฉันเธอก็คือเธอ
แล้วฉันก็เชื่อด้วยว่าเธอไม่ได้เป็นอย่างที่ใครต่อใครกลัว เธอมันก็แค่คังแฮวอน
คนที่ดื้อๆ บอกอะไรก็ไม่ฟัง ขี้โมโห
แถมยังชอบต่อล้อต่อเถียงเป็นที่หนึ่งอีกต่างหาก”
“คุณจองกุก!” พอได้ยินคำพูดอย่างนั้นเธอก็อดขึ้นเสียงใส่จองกุกไม่ได้
แต่เสียงนั่นกลับทำให้จองกุกหลุดยิ้มขำออกมาก่อนจะบอก
“เห็นมั้ยว่าฉันพูดไม่ผิด”
พอเขาย้อนอย่างนั้นแฮวอนเลยจำเป็นต้องปิดปากให้สนิทก่อนจะสะบัดหน้าหนี
ทั้งคู่นั่งมองเส้นทางดาราจักรที่กำลังเคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าด้วยกันเงียบๆจนกระทั่งแฮวอนถามขึ้นมา
“ทำไมตอนนั้นคุณถึงพาฉันกลับมาคะ”
“เพราะฉันไม่อยากให้เธอหนี
เธอไม่ผิด ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยสักนิด” จองกุกตอบทั้งที่ยังทอดมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า
“หนีแบบนั้นไม่ใช่เธอเลยสักนิดเลยรู้รึเปล่า”
“ดูคุณจะมองฉันแง่ดีจังนะคะ”
แฮวอนอดพูดไม่ได้
เหมือนทั้งแทฮยองและจองกุกดูจะเชื่อมั่นในตัวเธอมากกว่าที่เธอเชื่อซะอีก
ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกหนึ่งก่อนที่รอยยิ้มจางๆจะจุดขึ้นที่มุมปาก
แฮวอนหันไปคลี่ยิ้มให้จองกุกเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว
แฮวอนจะแสดงให้พวกเขาเห็นเองว่าเธอไม่ใช่อย่างที่ใครหลายคนเล่าลือ
“ไม่ใช่แค่ดีนะ…”
“หืม?”
“แต่ยังหอมแล้วก็นุ่มด้วย”
รอยยิ้มร้ายกาจผุดที่ริมฝีปากได้รูป
ร่างสูงโน้มลงมาหาคนที่เลิกคิ้วเพราะงุนงงกับคำตอบก่อนที่รอยจูบจะประทับลงบนเปลือกตาและหางคิ้วของคนตัวเล็กกว่า
แรงจูบหนักๆนั่นทำให้เกิดเสียงดังจนแฮวอนตกใจยิ่งกว่าเก่า
สัมผัสนุ่มนวลแตะลงไม่นานก็ผละออก
ฟอด!!!
“ค…คุณ” แฮวอนได้แต่ตกใจกับการกระทำที่คาดไม่ถึงนั่น
เสียงที่เอ่ยถามไปถึงได้เบาหวิวและสั่นเครือ ดวงตากลมเบิกมองคนตรงหน้าอย่างอึ้งๆ
แก้มเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อทันที
“อ่อ
นี่ยังไม่ได้บอกเหรอว่าคิดถึงน่ะ” จองกุกได้แต่ฉีกยิ้มน้อยๆ
ก่อนจะย้ำความรู้สึกของตัวเองอีกหนด้วยเสียงดังฟังชัด “ฉันคิดถึงเธอ”
ช่วงสายของวันถัดมาอาจารย์ทั้งเจ็ดคนได้มารวมตัวกันที่ห้องประชุมของบราวน์ดัชเชส
รวมทั้งแฮวอนที่ยืนอยู่ตรงกลางห้อง มือเล็กบีบเข้าหากันอย่างกดดัน
เธอเหลือบมองไปทางนัมจุนเมื่อเขาพยักหน้าให้เธอเริ่มพูด
“ฉันยอมรับค่ะว่าตัวเองเป็นแม่มด
แต่มันอาจจะเป็นความจริงอีกอย่างที่พวกคุณยังไม่รู้
พ่อมดและแม่มดถูกแบ่งเป็นสองพวก พวกแรกคือพวกที่ถูกเนรเทศเข้าสู่ชาโดว์แบลงค์เนื่องจากความผิดร้ายแรงที่คิดเข้าครอบครองอาณาจักร
ส่วนอีกพวกคือพวกที่อยู่ในการ์ดิเนียและดำรงตนอย่างคนปกติ
พวกที่เข้าร่วมกับแวมไพร์คือพวกที่สืบเชื้อสายของมาร์คัส
ในขณะที่ฉันมีเมอร์ลินเป็นบรรพบุรุษ พวกเขาเป็นฝ่าแฝดกันแต่ต่างอุดมการณ์จึงตัดขาดออกจากกัน
มาร์คัสแสดงตนว่าฝักใฝ่ด้านมืด ส่วนเมอร์ลินเลือกที่จะใช้ชีวิตปกติ
และเมื่อมาร์คัสเถลิงในอำนาจ เขาได้สาปให้ฝ่ายเมอร์ลินสูญเสียพลังอำนาจ
พวกเรากลายเป็นคนธรรมดา จะยกเว้นก็แต่ฉันที่ใช้พลังได้”
พูดถึงตรงนี้แฮวอนก็เลื่อนสายตามองทุกคนในห้องที่ฟังเธออย่างตั้งใจ
พวกเขาไม่ได้พูดหรือขยับตัวแม้แต่น้อย
“แทฮยองบอกว่าเธอรู้เรื่องคำสาป?”
ซอกจินที่นั่งอยู่ถามขึ้น นัยน์ตาที่แซมสีเหลืองทองของหมาป่าจับจ้องที่ใบหน้าหวาน
“ค่ะ
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกเล่าเรื่องกับพวกผู้ใช้เวท ซึ่งพวกคุณมีมัน
แต่เพราะได้มาจากการแย่งชิงมันถึงไม่สมบูรณ์ หน้าสุดท้ายขาดหายไป”
แฮวอนพูดตามที่พ่อของเธอเล่าให้ฟัง
“และนอกจากนั้นยังมีบางอย่างที่พวกคุณตีความไม่ได้
เลยไม่สามารถอ่านมันออกได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
ยุนกิกับนัมจุนเหลือบมองกันทันที
บางประโยคในหนังสือเล่มเก่าที่ได้มาจากห้องของพ่อมดคนสุดท้ายก่อนที่พวกนั้นจะหายไปอาณาจักร
นัมจุนยังอ่านมันไม่ออก
มันเป็นประโยคแปลกๆที่ตีความไม่ได้และเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครนอกจากพวกพ้องทั้งเจ็ด
“หนังสือเล่มนั้นมีสองเล่มค่ะ
เล่มของพวกคุณคือของมาร์คัส อีกเล่มเป็นของเมอร์ลิน
หนังสือนั่นถูกเขียนขึ้นสมัยที่พวกเขาศึกษาเวทมนตร์ต่างๆด้วยกัน
และความพิเศษมันอยู่ที่ว่าหากเขียนอะไรลงไปในหนังสือเล่มหนึ่ง
สิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้นอยู่ในอีกเล่มเช่นกัน”
“งั้นเธอก็มีอีกเล่ม?
ฉันเข้าใจถูกมั้ย” โฮซอกว่า
คำตอบของแฮวอนคือการดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
หนังสือที่เธอเก็บไว้ในหีบใต้เตียงก็พุ่งเข้ามา
มันถูกวางตุบลงบนโต๊ะประชุมก่อนที่อีกเล่มจะตามมาติดๆ
“หน้าที่หายไปมันอยู่ในเล่มด้านขวามือค่ะ”
ดวงตาคมกริบไล่มองสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียดหลังจากพลิกดูทุกหน้าแล้ว
แผ่นกระดาษของทั้งสองเล่มเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนยกเว้นชื่อของพ่อแฮวอนที่ถูกสลักเอาไว้บนปกเท่านั้น
สิ่งที่อยู่แผ่นกระดาษหน้าสุดท้ายคล้ายจะเป็นแผนที่เพื่อนำไปสู่อะไรสักอย่าง
เส้นแต่ละเส้นไม่ได้ประกอบกันรูปร่าง แฮวอนจึงต้องเดินเข้าไปและนิ้วลงบนนั้น
ประกายเวทสีม่วงขยับไล่ลงจากปลายนิ้วเรียวสู่หน้าหนังสือ
เส้นจึงเริ่มขยับเขยื้อนเข้าหากันปรากฏเป็นเส้นทางและชื่อย่อของสถานที่ต่างๆ
ก่อนที่จุดสุดท้ายของประกายสีม่วงจะหยุดอยู่เกือบสุดแผ่นกระดาษและกระพริบช้าๆ
“นี่คือแผนที่สักส่วนหนึ่งในชาโดว์แบลงค์
ฉันยังไม่แน่ใจว่าเป็นที่ไหน” จีมินที่มองออกเป็นคนแรกบอก
เขาเลื่อนมองทางแฮวอนแล้วถาม “เราต้องเดินทางเข้าไปยังจุดนั้นใช่หรือเปล่า”
“ฉันคิดว่าใช่ค่ะ
คำสาปนั่นทำลายไม่ยากหรอก แค่ต้องทำลายสิ่งที่เป็นแหล่งกักเก็บคำสาป
เพียงแต่ต้องใช้สิ่งจำเพาะในการทำลาย สมมติง่ายๆ เช่นถ้าคุณจะทำลายลูกแก้ว
คุณก็ต้องมีค้อน ฉันหมายถึงอย่างนั้นแหละค่ะ”
“แล้วของที่ว่านั้นคืออะไร”
จองกุกอดถามไม่ได้
“ขอเวลานิดหนึ่งนะคะ”
แฮวอนบอกก่อนจะพลิกดูตามหน้าต่างๆ ประโยคที่มีโครงสร้างต่างจากพวกถูกคัดลอกออกมา
ปลายดินสอวงคำของแต่ละประโยคเอาไว้ก่อนจะรวมมันเข้าด้วยกันใหม่ด้วยวิธีการถอดรหัสแบบที่พ่อเธอใช้เล่นกับแฮวอนสมัยยังเด็ก
กระทั่งมือบางวางปากกาลง
“ยามหยาดเลือดชโลมลง
คงมลายคลายมนตรา มันบอกไว้แค่นี้ค่ะ”
“หยาดเลือด? หมายถึงอะไร แล้วเลือดของใคร” แทฮยองว่าก่อนจะมองทุกคนอย่างขอความเห็น
แต่ไม่มีใครสามารถตอบคำตอบนั้นได้สักคน
“แต่การเดินทางเข้าไปยังชาโดว์แบลงค์ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทุกทางเข้าออกถูกปิดตายเอาไว้ ถึงจะมีเส้นทางที่ไอ้พวกนั้นใช้
แต่เราก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันอยู่ที่ไหน” ยุนกิพูดขึ้น
“ไม่หรอก
มีอยู่อีกทางหนึ่ง เส้นทางของพวกเงือก” ทุกสายตามองมายังนัมจุน
เสียงนั่นฟังดูหนักใจ ร่างสูงโคลงศีรษะครั้งหนึ่งแล้วพูดต่อ
“แต่เราทุกคนก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่ชอบมนุษย์และการผูกมิตรกับเหล่าเงือกไม่ใช่เรื่องง่าย”
“เธอต้องอยู่ในวงมนตรานี้จนกว่าจะเช้า ระหว่างนั้นถึงมีอะไรแปลกๆก็ห้ามออกมา” โฮซอกบอกเมื่อวงมนตราวงกลมเรืองแสงขึ้นโดยที่แฮวอนยืนอยู่ใจกลางนั้น
“ถ้ารักชีวิตก็เชื่อที่เราบอก
คงไม่อยากถูกขย่ำเป็นชิ้นหรอกใช่มั้ย”
คำทิ้งท้ายของจีมินดังขึ้นก่อนที่พวกเขาทั้งเจ็ดจะหันหลังให้แฮวอนที่ยืนอยู่ใต้ต้นวิสทีเรียต้นใหญ่ที่ปลูกอยู่บนเนินหญ้าจุดศูนย์กลางของสวนหวงห้ามหลังประตูทางออกบานที่เจ็ด
วันนี้เป็นคืนเดือนดับ พวกเขาจะกลายร่างเป็นสัตว์เหมือนอย่างทุกครั้ง
แต่ครั้งต่างออกไป ในโรงเรียนไม่ได้มีแต่พวกเขา
ดังนั้นแฮวอนถึงได้รับสิทธิ์เหยียบย่ำเข้ามาในพื้นที่ลึกลับเพราะเกรงว่าพวกจากชาโดว์แบลงค์อาจจะปรากฏตัวขึ้นมา
และการปล่อยให้เธอเชิญหน้ากับพวกนั้นตามลำพังไม่ใช่เรื่องควรทำ
ร่างของหมาป่าตัวใหญ่ปรากฏกายขึ้น
ตามด้วยสิงโตสีน้ำตาลและขาวที่แฮวอนเคยเห็น
ยูนิคอร์นสีขาวบริสุทธิ์และนกอินทรีที่สลายปีกสีน้ำตาลเข้ม
พวกมันต่างมุ่งหน้าออกห่างจากจุดที่แฮวอนอยู่
จะยกเว้นแต่สิงโตภูเขาและเสือดำที่ยังประวิงเวลามองเธอจนวินทีสุดท้าย
นัยน์ตาเรืองแสงสีเหลืองพวกนั้นมองทิ้งท้ายอย่างเป็นห่วง
แฮวอนจึงพยักหน้าให้พร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
ร่างของสัตว์สี่ขาถึงได้กระโจนหายไปในความมืด
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขา
ดอกไม้สีชมพูดอมม่วงกำลังผลิดอกตูม แฮวอนอดถอนหายใจไม่ได้
ดวงตากลมเลื่อนมองบรรยากาศสวยงามรอบตัว
เธอไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่นี้ราวกับสรวงสวรรค์ กลีบดอกพีชสีอ่อนปลิ่วว่อนในอากาศ
ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นกลางท้องฟ้า มันไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แสงสีนวลที่สาดกระทบพื้นดินชวนให้ผ่อนคลายไปหมด
เธอแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบนที่มีกลุ่มดาวทอแสงอีกครั้ง
นัยน์ตาสีเหลืองขุ่นคู่หนึ่งแอบจับจ้องแฮวอนภายใต้พุ่มไม้รกทึบไม่ห่างจากจุดที่เธออยู่มากนัก
แม้ว่าอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้สติสัมปชัญญะจะถูกพรากออกไปจากตัวของจองกุก แต่เขากลับมั่นใจว่าจะไม่ขาดสติหรือคุ้มคลั่งตราบใดที่เห็นแฮวอนอยู่ในกรอบสายตา
แม้กระทั่งภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะจำอะไรไม่ได้ก็ยังคงเป็นรอยยิ้มบางเมื่อเธอแหงนมองดวงดาว
รุ่งอรุณวันของใหม่มาเยือนอย่างรวดเร็ว
แสงแดดอบอุ่นขับไล่ความหนาวเหน็บและเงามืดออกไปให้พ้นจากพื้นดิน
ร่างสูงที่รู้สึกตัวภายใต้พุ่มไม้ค่อยๆขยับตัวอย่างเชื่องช้าและออกจากที่ซ่อน
รอยยิ้มจุดขึ้นอย่างบางเบา ขายาวก้าวเข้าใกล้ร่างบางที่ยังจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา
แฮวอนอาศัยรากพูพอนเป็นหมอนหนุนตลอดทั้งคืน
แสงแดดอุ่นๆที่ไล่เลียกระทบใบหน้าหวานไม่ได้ฉุดเธอให้ออกจากห้วงนิทราแต่อย่างใด
จองกุกขยับตัวอย่างระมัดระวังและเบาเสียงให้มากที่สุด
ร่างสูงค่อยๆนั่งลงใกล้กับคนที่หลับไม่รู้เรื่อง
ปลายนิ้วเรียวเลื่อนไปเกลี่ยปอยผมสีสวยให้พ้นจากกรอบหน้าสวย
จองกุกอดใจไม่ไหวเกลี่ยแก้มนุ่มนิ่มเบาๆ อดลอบถอนหายใจไม่ได้เมื่อแฮวอนไม่ได้รู้สึกสักนิดว่ามีคนกำลังกวนเวลาในห้วงความฝันของเธออยู่
จองกุกมีความสุขเพียงแค่นั่งมองเธอนิ่งๆแบบนี้
ไม่ต้องทำอะไรแฮวอนก็ทำให้เขาใจเต้นได้เสมอ
ดวงตาคมกริบเลื่อนสำรวจเครื่องหน้าของอีกคนเงียบๆ
ไล่ไปตั้งแต่คิ้วเข้มสวยได้รูป ดวงตากลมโตที่มีขนตาหนาเป็นแพประกบกันอยู่
จมูกโด่งรั้นที่เขานึกอยากดึงมันสักครั้งและริมฝีปากรูปกระจับที่เขาเคยฉวยโอกาสกับมันไป
ใช่แล้ว
จองกุกคือเจ้าของรอยจูบปริศนาที่มาพร้อมดอกคาร์เนชั่นสีชมพูคนนั้นเอง
วันนั้นเขาสบโอกาสที่แฮวอนปลีกตัวออกไปข้างนอก แสงสว่างที่หายไปก็เป็นเพราะเขา
แต่จากที่ตั้งใจจะมอบดอกไม้ให้เพียงอย่างเดียว
ความคิดนั้นก็ถูกทำลายลงเพราะน้ำเสียงหวานๆถูกเปล่งออกมา
จองกุกจูบแฮวอนอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก
เขาแค่อยากสัมผัสและลิ้มลองว่าริมฝีปากนุ่มนิ่มนั่นจะหวานเหมือนเสียงเธอหรือไม่
และก็คิดไม่ผิด
มันหวานล้ำอย่างแท้จริง
แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ทำแบบนั้นอีก
นอกจากจูบเบาๆที่หน้าผากของเธออีกสองครั้งโดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้สึกถึงมันด้วยซ้ำ
“ฉันไม่ได้อยากเป็นแค่คนแอบรักหรอกนะ”
ประโยคพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนจะเพิ่มระดับเสียงขึ้นเมื่อต้องการปลุกอีกคน
“ตื่นได้แล้วแฮวอน”
และแล้วภาคเรียนที่สองของโรงเรียนพาราเดียก็เริ่มทำการสอน
แฮวอนได้ทักทายเพื่อนๆตั้งแต่ต้นสัปดาห์
พร้อมทั้งรับฟังข่าวลือต่างๆที่ถูกลือจนแพร่สะพัดในอาณาจักร
เรื่องราวของหญิงสาวที่หายไปและพบอีกครั้งในสภาพศพ หรือไม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ
ข่าวลือหนาหูนั่นทำให้อาณาจักรเริ่มอยู่ไม่สุข
ทุกเมืองต่างเพิ่มระดับการคุ้มกันขึ้นแต่ก็ยังมีหญิงสาวหายไปอยู่ดี
ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรกับการหยามหน้าระบบป้องกันระดับสูงของการ์ดิเนียเลยสักนิด
ตอนนี้หญิงสาวก็นั่งเหม่อลอยระหว่างรออาหารมื้อเย็นเริ่มในวันสุดท้ายของสัปดาห์เรียนแรกคาบ
นัยน์ตาสีอ่อนจับจ้องไปยังสวนดอกไม้ด้านนอกที่อยู่ใกล้ๆ
เพราะว่านี่ก็หลายวันแล้วนับตั้งแต่ที่แฮวอนเล่าเรื่องภูมิหลังและตัวตนของเธอให้เหล่าอาจารย์ฟัง
พวกเขาลงความเห็นว่าเธอไม่อันตราย รวมไปถึงเรื่องคำสาป
เพราะคิดไม่ตกเธอจึงเอาแต่ถอนหายใจทิ้ง
ท่าทางกลัดกลุ่มนั่นอยู่ในสายตาของพวกอาจารย์ที่นั่งประจำโต๊ะอาหาร
พวกเขายังไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้อาณาจักรทราบ
เรื่องที่แฮวอนคือผู้ใช้เวทที่การ์ดิเนียหวาดกลัว
“วันนั้นมีใครรู้สึกเหมือนฉันบ้าง”
เสียงของโฮซอกดังเรียกความสนใจของทุกคน “ถึงจะจำอะไรไม่ได้
แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นทั้งที่เป็นคืนแรมอย่างนั้น”
“ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้น”
หลังจากที่ซอกจินว่าจีมินและยุนกิก็ตอบรับ ส่วนอีกสามคนที่เหลือก็ทยอยๆพยักหน้ารับ
“นี่มันแปลกๆหรือเปล่า”
“ฉันว่าชีวิตพวกเราก็ไม่เคยธรรมดานะ”
คำพูดติดตลกนั่นทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาวงสนทนา
“ฉันว่าเราคงหาคำตอบในเรื่องไม่ได้หรอก”
นัมจุนบอกก่อนจะวกเข้าเรื่องสำคัญ
“การ์เดียนเร่งวางแผนและประกาศกฎระวังภัยขึ้นภายในสัปดาห์นี้
และคิดว่าทางนั้นก็คงจะทำอะไรอีกแน่”
“หนทางเข้าสู่ชาโดว์แบลงค์ก็ยังหาไม่เจอ
เวลาที่เหลือก็น้อยเต็มที”
“แต่อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่าจุดนั้นอยูทางทิศตะวันออกของชาโดว์แบลงค์
ถ้าหาทางเข้าเจอ เรื่องที่จะเดินทางไปที่นั่นก็ง่ายขึ้น”
ทุกคนต่างรับฟังสิ่งที่จีมินพูดก่อนเรื่องในวงสนทนาจะถูกเปลี่ยนเมื่อเสียงกระดิ่งสำหรับเริ่มมื้ออาหารดังขึ้น
“แล้วงานคืนนี้ล่ะ”
“จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
คงตกใจกันน่าดู”
กริ๊ง!!!
นี่เป็นเสียงสัญญาณเตือนเวลามีเหตุฉุกเฉินของโรงเรียน
แฮวอนที่นั่งเล่นอยู่บนเตียงดีดตัวลุกขึ้นทันที ร่างบางหันรีหันขวาง
ห้องพักข้างเคียงก็เป็นเสียงเปิดปิดประตูตังตึงตัง
แฮวอนไม่มีเวลาคิดมากนักก็รีบสวมรองเท้าแล้ววิ่งออกไป
บริเวณบันไดทั้งชั้นสามและสองมีแต่นักเรียนคนอื่นที่วิ่งกรูออกมาจากห้องพัก
ทุกคนอยู่ในชุดนอนเพราะเลยเวลาปิดหอพักมาได้ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว
เสียงโวยวายอึกทึกภายในปราสาทเก่าแก่ก่อนที่สมาชิกของบลูซีโน่จะวิ่งออกไปรวมตัวกันลานน้ำพุตามที่โรงเรียนจัดให้เป็นจุดรวมพลเวลาเกิดเรื่อง
ไม่ได้มีแค่บลูซีโน่
แต่ดูเหมือนว่านักเรียนของอีกทั้งสี่ปราสาทเองก็มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้จนพื้นที่ดูคับแคบไปถนัดตา
แฮวอนที่ยังมองหาเพื่อนไม่เจอหันไปมองข้างกายเมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจรุนแรงของใครบางคน
ซองอูที่วิ่งตามาติดๆเท้ามือยันเข่าตัวเองพร้อมกับสูดหายใจเข้าออกเสียงดัง
“พี่ไหวมั้ยคะเนี่ย”
“สบาย!” ประธานหอบอกเสียงดังพร้อมกับยิ้มแฉ่งก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆอีกที
“แล้วแบกกระเป๋ามาด้วยทำไมคะ”
แฮวอนพยักหน้ารับ ก่อนจะอดถามขึ้นอีกครั้งไม่ได้
สายตาหลุบมองกระเป๋าสีดำที่ซองอูสะพายมาด้วย
“ลืมตัวน่ะ
แฮะๆ” พอเขาบอกด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆแฮวอนก็หัวเราะไปด้วย
ก่อนที่ความสนใจจะถูกดึงไปเมื่อเสียงประกาศของนัมจุนดังขึ้น
“ขอให้นักเรียนทุกคนเดินไปยังประตูทางออกหมายเลขหก”
“อ๋อ…” จู่ๆคนข้างๆก็พึมพำเหมือนรู้อะไรบางอย่าง แต่พอแฮวอนเลิกคิ้วเป็นเชิงถามซองอูก็เอาแต่ส่ายหน้าและยิ้มให้
พอสิ้นเสียงประกาศประธานหอแต่ละหอก็จัดการพาสมาชิกให้เข้าแถวเป็นระเบียบและมุ่งตรงไปยังจุดหมายที่อาจารย์กำหนด
ทางออกหมายเลขสองอยู่ใกล้กับปราสาทสีขาวสะอาดของไวท์ดิเวลเลอร์
เส้นทางด้านหลังนั้นติดกับทะเลและชายหาดที่แฮวอนยังไม่เคยมาเยือน
แฮวอนเดินตามหลังซอนโฮไปติดๆ
เส้นทางสู่ประตูบานที่หกถูกประดับด้วยดอกไม้เรืองแสง
ลมเย็นๆพร้อมกับกลิ่นทะเลโชยมาปะทะกาย
ยิ่งก้าวไปข้างหน้าเสียงคลื่นกระทบหาดทรายก็ดังแว่วให้ได้ยิน
กระทั่งแฮวอนเดินพ้นซุ้มประตูหินที่มีดอกยิปโซสีขาวแตกกอเลื้อยพันสร้างร่มเงา
ภาพชายหาดก็ปรากฏให้เห็น
ผืนน้ำสีดำเหลือบน้ำเงินครามที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามีเกลียวคลื่นม้วนตัวกระทบหาดทรายเนื้อละเอียดตลอดเวลา
โขดหินที่ตั้งอยู่ริมหาดก็ถูกคลื่นสาดกระทบไม่หยุดหย่อนจนเกิดเสียงดัง
“สวยมั้ย”
แฮวอนสะดุ้งโหยงก่อนจะมองเขม็งใส่คนที่อยู่ๆก็โผล่มากระซิบข้างหูอย่างแดเนียล
พอเห็นรอยยิ้มตาหยีแบบนั้นเธอเลยฟาดมือไปทีหนึ่ง
“เข้าทำไมเงียบๆ
แล้วยังจะมากระซิบข้างหูอีกแดน”
“ก็ชอบเวลาเธอตกใจนี่”
คนเป็นเพื่อนบอกพร้อมรอยยิ้ม มือหนายีผมที่มัดรวบไว้เรียบจนมันฟูฟ่อง
ยิ่งแฮวอนจะดึงมือลง แดเนียลก็ยิ่งออกแรงจนแฮวอนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด
นั่นแหละ
พอแกล้งจนหน่ำใจแดเนียลถึงปล่อยแฮวอนเป็นอิสระ
เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกอาจารย์ประจำหอเรดมอนเนิร์คกับบลูซีโน่จับจ้องอยู่และนึกเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ
“รำคาญคนพูดไม่รู้เรื่อง”
“แล้วไงอ่ะ”
เขาไหวไหล่ไม่สนใจ พอเห็นว่าแฮวอนย่นจมูกให้รอยยิ้มก็ระบายบนใบหน้ามากกว่าเก่า
“คืนนี้หวังว่าจะสนุกนะ”
“หื้อ? หมายถึงอะไร”
“ก็คืนนี้มีของขวัญสำหรับน้องใหม่ของพาราเดียไง
แต่ว่าบอกก็ไม่สนุกสิ เอาเถอะ ไปนั่งกับเพื่อนๆได้แล้ว” คนบอกพูดเชิงเป็นต่อ แดเนียลยกคิ้วให้เธอทีหนึ่ง
เขาไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม
มือหนาจัดการดันแผ่นหลังบางให้เดินเข้าไปหาพวกเพื่อนๆที่โบกไม้โบกมือเรียกกันใหญ่
แฮวอนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆโดยอน ถัดไปเป็นยูจองและโซฮเย
ส่วนซอนโฮและอูจินนั่งอยู่หน้าเธอไปแถวหนึ่ง นักเรียนแต่ละคนไม่ได้ถูกจำแนกปราสาทเลยสามารถนั่งรวมกันได้แบบนี้
เสียงพลุจุดดังปัง
ความสนใจทั้งหมดเลยถูกดึงไปยังแผ่นฟ้าสีคราม
แสงสีต่างๆถูกจุดและกระจายตัวบนนั้นเป็นรูปร่างต่างๆ
ทั้งยังพุ่งเข้ามาหานักเรียนที่นั่งบนหาดทราย สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ได้ง่ายๆ
กระทั่งเสียงพลุดังขึ้นอีกหน และครั้งนี้ตราสัญลักษณ์ของโรงเรียนก็ปรากฏอยู่บนฟากฟ้า
“อะไรกันน่ะ”
“อ๋อ
คงงานสำหรับปีหนึ่งอย่างพวกเราน่ะ ฉันเคยได้ยินรุ่นพี่พูดถึง”
อูจินโผล่หน้ามาตอบคำถามของยูจอง “เขาว่างานนี้จัดทุกปีในเทอมสอง
แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะจัดขึ้นวันไหนและรูปแบบของงานคืออะไร”
“งั้นดูข้างบนนั้นสิ”
ดวงตากลมเลื่อนมองตามที่ซอนโฮว่า
บนฟ้าสีครามมีรูปหนึ่งปรากฏขึ้น
แฮวอนจำได้แม่นว่านั่นเป็นวันสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียน
ก่อนที่จะเปลี่ยนไปยังห้องประชุมตอนปฐมนิเทศวันแรก
ภาพแต่ภาพที่ฉายอยู่บนท้องฟ้าค่อยไล่เรียงเรื่องราวตั้งแต่วันแรกของการมาอยู่ในพาราเดีย
ภาพบรรยากาศในห้องเรียน ในโรงอาหาร ทุกอิริยาบถของสมาชิกปีหนึ่ง
ภาพถ่ายหมู่ของนักเรียนของแต่ละปราสาทที่ถูกถ่ายเอาไว้เมื่อต้นเทอมหนึ่ง
แม้กระทั่งภาพในวันหยุดที่คงไม่มีใครรู้เลยว่าถูกเก็บบันทึกเอาไว้
นัยน์ตาสีอ่อนสะท้อนภาพเหล่าจนอดยิ้มไม่ได้
มีรูปเธออยู่บ้างเหมือนกัน
และเมื่องานประลองเวทสภาพของแฮวอนดูไม่จืดเลยสักนิดจนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จากรูปแรกที่ไล่ไปรูปถัดไป
ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะก็กว้างขึ้นเมื่อมีภาพตลกๆของแต่ละคนถูกฉายขึ้นมา
ไม่ใช่แค่ปีหนึ่ง แต่นักเรียนปีอื่นก็โผล่เข้ามาร่วมด้วยจนทั้งหาดมีเสียงหัวเราะครื้น
ครั้งนี้แฮวอนอดไม่ได้จริงๆที่จะกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้
ภาพโฮซอกที่โดนถังน้ำครอบหัวถูกฉายขึ้นมา
ความทรงจำวันนั้นแล่นกลับเข้ามาจนแฮวอนนึกตลกไม่ได้ที่ตัวเองดันมีความคิดพิเรนทร์แกล้งเพื่อนร่วมห้องอย่างนั้น
ไหนจะหลังจากนั้นที่เธอขย้ำหน้าอกจนกุกอีก พอย้อนคิดอีกที
ไม่รู้ว่าเธอทำไปได้ยังไง
ไม่ใช่แค่นักเรียนที่หัวเราะไปกับภาพนั้น
เหล่าอาจารย์เองก็อดหัวเราะไม่ได้
แม้กระทั่งเจ้าตัวอย่างโฮซอกก็ยังพ่นหัวเราะออกมา
ดวงตาคมของจองกุกเลื่อนจากแผ่นฟ้าไปยังร่างบางที่นั่งอยู่ริมสุดใกล้กับโขดหินอย่างไม่รู้ตัว
เขายิ้มและกำลังคิดเรื่องเดียวกับแฮวอนอยู่
แต่ถ้าให้พูดจริงๆ
เขายิ้มทุกครั้งที่เป็นเรื่องของเธอ
ส่วนแทฮยองที่ลอบมองใบหน้าหวานมาตั้งแต่ต้นขมวดคิ้วขึ้นทันทีเมื่อไม่เห็นร่างบางอยู่ตรงจุดเดิม
เขาเพิ่งละสายตาออกจากเธอไปไม่ถึงนาที แต่พอหันกลับมาอีกครั้งแฮวอนก็หายไปจากชายหาดแล้ว
“เธอหายไปไหนน่ะ”
Loading...
“เราชอบคุณ”
“ไอ้เด็กขี้อิจฉา”
“เดี๋ยวพวกคุณหนาว ห่มด้วยกันนะคะ ถ้าไม่พอก็กอดกันเอาไว้ค่ะ”
“ไม่หรอก ไอ้หนุ่มนั่นถูกใจเจ้าหญิง ป่านนี้คงถูกจับขัดสีฉวีวรรณใหม่แล้วเตรียมตัวเป็นเจ้าบ่าวแล้วล่ะ”
“ถ้างั้นคืนนี้หนุนตักเธอนอนได้มั้ย”
ใจดีสปอยไว้ห้าประโยค555555
ความคิดเห็น