ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Taehyung & Jungkook | PARADIA [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #16 : ♦ 14 TEMPERANCE ♦

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.51K
      434
      2 มิ.ย. 61

    อ่านทอล์คเราหน่อยจิ






    14

    ♦ TEMPERANCE 






                ร่างสูงภายใต้เสื้อคลุมสีดำสนิทตัดกับสีผิวขาวซีดกำลังพิงหลังกับกำแพงสีเหลืองทองคล้ายสีนวลตาของดวงจันทร์ เขาต้องการสอบถามบางเรื่องกับผู้นำของปราการฟีเรนเซ่ที่เข้าประชุมในเพรย์ลูน่า ยุนกิเลยต้องรออยู่ตรงนี้ พอนาฬิกาตีดังครบเก้าครั้งประตูสีเดียวกับกำแพงก็เปิดออกตามมาด้วยร่างของผู้นำปราการคนอื่นๆในแถบการปกครองตะวันออก และคนที่เขารอพบก็ก้าวออกมาพร้อมกับคู่ชีวิต


                ยุนกิไม่รอที่จะก้าวไปหยุดตรงหน้าของผู้นำปราการฟีเรนเซ่


                “สวัสดีครับคุณจุนซา”

                “สวัสดีคุณยุนกิ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรครับ หรือว่าทางปราการทำอะไรให้ทางพาราเดียไม่พอใจ” คนแก่กว่าเว้นจังหวะไปชั่วครู่เพื่อรำลึกว่าคนตรงหน้าคือใครก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ จุนซาหันไปพยักหน้าให้ภรรยาก่อนที่เธอจะเดินเลี่ยงออกไป “ผมไม่ได้ออกไปต้อนรับพวกคุณ ขอโทษด้วยแล้วกัน”

                “เปล่าครับ แต่ผมมีเรื่องอื่นจะคุยกับคุณต่างหาก เชิญตามผมมาทางนี้ครับ”


                มุมปากหนากระตุกยิ้มชอบใจทีหนึ่ง นึกชื่นชมไม่เบากับความเถรตรงนี้ของคนเด็กกว่า จุนซาเดินตามยุนกิไปเงียบๆก่อนจะหยุดตรงบริเวณสวนดอกไม้ที่เงียบสงบของสภาเขตตะวันออก


                “ผมจะไม่อ้อมค้อมนะครับ ผมอยากทราบเรื่องเกี่ยวกับแฮวอน หรือถ้าจะให้พูดชัดเจน คังแฮวอนลูกสาวของคุณคังชอลเพื่อนสนิทของคุณ เมื่อสิบปีก่อนคุณสั่งลดขั้นฐานะของพวกเขาทำไมกันครับ”

                “หาข้อมูลได้จากโดโนแวนงั้นสิ” จุนซาไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกใดๆทั้งสิ้น “ใช่ ฉันเป็นคนที่ให้ลดฐานะของครอบครัวของคังชอลเอง”

                “ผมอยากทราบเหตุผลครับ ทำไมต้องการซ่อนแฮวอนเอาไว้หากบริสุทธิ์ใจ”

                “ฮึ แฮวอนเป็นยังไงบ้างล่ะที่โรงเรียน” อัศวินมากฝีมือถามคนเป็นอาจารย์ “คุณเห็นใช่มั้ยว่าเธอเก่งกาจ ไม่ใช่เพียงเรื่องสติปัญญา การต่อสู้ การใช้เวท ทั้งศาสตร์และศิลป์เธอทำได้อย่างไม่มีที่ติราวกับถูกฝึกฝนให้เป็นเช่นนั้น”

                “…”

                “นั่นอาจเป็นการส่งต่อทางสายเลือด ความเก่งกาจผิดมนุษย์มนานั่นเหมือนกับพ่อของเธอไม่มีผิด คุณลองคิดดูสิ หากพวกสภาโดยเฉพาะจุนฮยอกที่ปรึกษาของจักรพรรดิรู้เข้าจะเป็นยังไงระหว่างที่พวกเขาสอบสวนคังชอล” จุนซาเอ่ยถึงญาติห่างๆที่ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อเท่าใดนักของยุนกิ เขาย้ำถึงข้อกำหนดอันโหดร้ายของการ์ดิเนีย การล้างวงศ์วานจะเกิดขึ้นเมื่อศาลตัดสินว่าผู้นั้นต้องความผิดร้ายแรง คนในครอบครัวจะถูกกำจัดอย่างไม่มีข้อแม้ “เด็กน้อยนั่นอาจจะกลายเป็นข้ออ้างในการทำความผิดของคังชอลก็เป็นได้ ความริษยาในสภาช่างน่ากลัว คุณเองก็คงทราบ ฉะนั้นการซ่อนตัวพวกกเขาไว้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้”


                ยุนกิรับฟังอย่างนิ่งสงบ เมื่อลองคิดตามแล้วทุกอย่างล้วนเป็นอย่างที่จุนซาบอก ญาติฝ่ายพ่ออย่างจุนฮยอกนั้นแม้จะจงรักภักดีกับจักรพรรดิ ทว่าเขามีความทะเยอทะยานและมักใหญ่ใฝ่สูง หลงไหลในตำแหน่งและเกียรติยศเกินใคร หากต้องกำจัดคังชอลที่เป็นคนโปรดของจักรพรรดิด้วยวิธีสกปรกเขาก็คงไม่ลังเลที่จะทำแน่ ยุนกิดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองและรับฟังประโยคสุดท้ายของจุนซาที่แผ่วเบาคล้ายสายลม


                “และอีกอย่าง นั่นไม่ใช่ความประสงค์ของฉันคุณยุนกิ”

     





                บทสนทนาของแฮวอนไม่ได้ถูกต่อ จองกุกมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สะท้อนกับแสงสว่างของฟ้าแลบ มือบางที่แตะอยู่ข้างแก้มของเขาอุ่นจัดตดกับน้ำฝนเย็นๆที่สาดกระทบกับร่างกายของเขาตอนนี้


                แววตาของแฮวอนทำให้นึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเธอเคยทำตัวอบอุ่นเช่นนี้กับเขา น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองพร้อมทั้งภาพรอยยิ้มของแฮวอน แม้ว่ามันจะค่อนข้างเลือนรางแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความจริงใจ


                “จทำแผลให้ไม่ตกลัว”


                สัมผัสของเธอตอนนี้ช่างนุ่มนวลไม่ต่างจากตอนนั้น


                ตอนไหนล่ะ ความคิดของจองกุกแย้งขึ้นมาอย่างนั้น เขารู้สึกว่าเคยหนุนตักแฮวอน นอนกอดเธอไปจนถึงรุ่งเช้าแต่กลับจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั่นมันเกิดขึ้นตอนไหนกัน


                เสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้แฮวอนค่อยๆลดมือลงจากใบหน้าของจองกุก เธอมองเขาด้วยแววตาที่อธิบายความหมายไม่ถูก แฮวอนเพียงแต่รู้สึกว่าเขาและเธอไม่ต่างกัน ต้องแบกรับบางเรื่องโดยที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์จะเลือกหรือปฏิเสธด้วยซ้ำ


                “ขอโทษค่ะ” แฮวอนบอกเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทกับอีกคน

                “เป็นอะไรไป” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม เขาไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของแฮวอนมาก่อน พอเห็นว่าเธอเป็นแบบนี้ก็อดจะห่วงไม่ได้

                “ก็อาจจะคล้ายๆกับคุณนั้นแหละค่ะ กลัวว่าพรุ่งนี้จะมาถึงอะไรประมาณนี้”

     





                แฮวอนนิ่งไปมากจากที่เคยหัวเราะหรือสนใจบทสนทนาและบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของสมาชิกบลูซีโน่ เธอก็เอาแต่เงียบ สมองเอาแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นหัวข้อในวงประชุมของอาจารย์ทั้งเจ็ดที่นั่งสังเกตการณ์เงียบๆ


                “คุณจุนซาบอกว่าอย่างนั้นข้อมูลที่ถูกเปลี่ยนแปลงก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง แต่สิ่งที่เรายังไม่ทราบแน่ชัดก็คือพลังในตัวของแฮวอน” ยุนกิว่าหลังจากบอกเล่าเรื่องที่ทราบมาเมื่อคืน

                “เธออาจจะมีพลังธาตุในตัวมากกว่าหนึ่ง” นัมจุนบอกหลังจากที่สังเกตการใช้พลังของแฮวอนมาสักพัก “หาได้ยากและไม่เป็นอันตราย ตราบใดที่เธออยู่ฝ่ายเดียวกับเราหรือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”

                “อย่างน้อยก็พอวางใจเรื่องตัวตนของเธอได้แล้ว ส่วนเรื่องการวางเขตมนตราใหม่ฉันแจ้งไปยังปราการเทรย์เวอร์แล้วสำหรับการจัดหาจอมเวททุกระดับ คาดว่าอีกหกสิบวันทุกอย่างจะเรียบร้อย” ซอกจินแจ้งถึงความคืบหน้าในส่วนงานของตัวเอง

                “เรื่องรายงานคนหาย ช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น” จีมินว่าขึ้นมาก่อนที่จะเป็นแทฮยองรายงานถึงเรื่องการเฝ้าระวังภัยของอาณาจักร

                “ปราการโอเรียนน่าเพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นเดลต้าแล้วทุกเมือง มีบางเมืองที่ระดับความปลอดภัยเป็นเบต้าเนื่องจากเขตมนตราที่แปรปรวน”


                โฮซอกและจองกุกรับฟังเรื่องราวนั้นเงียบๆและไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆออกมา มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขายังไม่ปริปากบอกให้ใครรู้


                เหตุการณ์ที่น้ำตกและแสงสีม่วงนั่นของแฮวอนที่จองกุกเห็น และภาพคำนายที่โฮซอกรับรู้




                แฮวอนร่ำลายองเคและแดเนียลก่อนจะออกจากปราการฟีเรนเซ่โดยที่ไม่ได้เอ่ยถามถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น แดเนียลยังยิ้มร่าเริงให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนพี่ชายของเขาก็ยังพูดทีเล่นทีจริงเรื่องของแทฮยองอยู่ ยองเคยืนยันว่าเขาชอบเธอแน่ๆจนแฮวอนต้องแกล้งเมินไม่รับฟัง




                สองชั่วโมงถัดมาทุกคนก็เดินทางเข้าสู่เขตเพรย์ลูน่า บรรยากาศแวดล้อมเต็มไปด้วยผืนป่าสีเขียวชอุ่มและสายน้ำลำธารเส้นเล็กที่ทอดผ่านไปทั่วเมือง ดอกลิลลี่สีเหลืองถูกปลูกประดับไปทั่วพื้นที่ เมืองแห่งจันทรานี้พิเศษกว่าที่อื่นเพราะไม่ต้องลงมนตรา พื้นที่ทั่วทุกตารางนิ้วของเพรย์ลูน่ามีสมดุลของธาตุทุกชนิด พอข้ามประตูสีเหลืองงาช้างเข้ามาก็จะเห็นตัวปราสาทใหญ่โตตั้งอยู่ไกลลิบๆ







                สระเซลีนคือสระน้ำที่กว้างที่สุดในเพรย์ลูน่า โคมไฟจะถูกลอยจากผืนน้ำขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่ากันว่าหากพระจันทร์ตอบรับคำขอของผู้ใด โคมจะลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ถ้าหากไม่ โคมจะตกลงสู่สระน้ำและผุดดอกลิลลี่สีเหลืองนวลขึ้นมาเป็นของปลอบใจและเชื่อว่าดอกลิลลี่นั้นจะเป็นตัวแทนของความโชคดีแก่คนคนนั้นภายในหนึ่งปีจนกว่างานเทศกาลลอยโคมจะเวียนกลับมาอีกหน


                แสงจากดวงจันทร์ครึ่งดวงไม่ได้สว่างมากนักแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆสำหรับคนที่ตั้งใจจะเข้าร่วมเทศกาลลอยโคม ดวงไฟสีเหลืองอมส้มถูกจุดบนประทีบดินเผาและวางไว้เป็นระเบียบทั่วบริเวณดูสวยงามระยิบระยับ


                คนอื่นๆต่างทยอยจุดโคมลอยและนำไปอธิษฐานต่อหน้าสระเซลีนก่อนจะปล่อยโคมขึ้นไป บางคนสมหวัง บางคนผิดหวัง แต่นั่นถือเป็นเสน่ห์ของที่นี่ เพราะมันย้ำเตือนเราเสมอว่าไม่มีใครได้ทุกสิ่งอย่างตามที่ใจปรารถนา


                แฮวอนก้าวเข้ามาในงานพร้อมกับโคมกระดาษที่เลือกมาตอนเย็น เธอกับเพื่อนหันมองนู่นนี่เพื่อมองหาจุดที่คนไม่ค่อยเยอะจะได้ไปลอยโคมกัน


                เหตุผลที่แฮวอนเลือกซื้อโคมรูปสโนว์ดรอปมาก็เพราะว่ามันคือดอกไม้แห่งความหวัง เป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา มันแบ่งบานต้นฤดูใบไม้ผลิหลังจากเพิ่งผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวอันแสนหนาวเหน็บ


                เธออยากให้ความหวังของเธอเป็นจริงบ้าง


                “โห้ คนเยอะจังเลยแฮะ” ซอนโฮบ่นแล้วหันมองไปทั่ว “เราจะไปตรงไหนกันดีเนี่ย”

                “ตรงนู้นมั้ย ฝั่งนั้นน่ะ” พอโซฮเยเสนอขึ้นมาทุกคนก็หันมองตามที่เธอชี้ก่อนที่อูจินจะเป็นคนสรุป

                “ได้ ไปกันเถอะ”


                แฮวอนเดินตามเพื่อนๆไป กระทั่งแสงสีตระการตาที่ถูกจุดขึ้นบนฟ้าเรียกความสนใจจากคนในงานได้ดี พลุสีสวยถูกจุดขึ้นเป็นชุด บ่งบอกว่าเทศกาลโคมลอยของเพรย์ลูน่าได้เริ่มขึ้นแล้ว


                เพราะคนที่เบียดเสียดทำให้แฮวอนถูกผลักออกมา เธอคลาดกับเพื่อนๆอีกครั้งจนต้องถอนหายใจ แต่ครั้งนี้พวกเธอตกลงกันแล้วว่าถ้าใครหายไประหว่างทางให้กลับไปเจอกันตรงหน้างานจะไม่ต้องมัวพะวงและห่วงกันไปมา


                “ขอโทษค่ะ” แฮวอนรีบบอกทันทีเมื่อเธอถูกชายตัวอ้วนดันจนเซถลาไปชนกับอีกคน เธอก้มหัวให้อีกฝ่ายจะรีบปลีกตัวออกมาแต่กลับถูกอุ้งมือหนาคว้าหมับที่ข้อมือพลางออกแรงกระตุกให้เธอหันกลับไปหา

                “คุณแทฮยอง


                นอกจากตรงนั้นจะมีแทฮยองแล้ว แฮวอนยังเห็นพี่ชายของเขาและซูจองอีกด้วย แทมินเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าแทฮยองคว้าแขนหญิงสาวแปลกหน้าต่างกับซูจองที่แทบปกปิดความไม่พอใจแทบไม่มิด พอเหลือบเห็นว่าแฮวอนถือโคมกระดาษแบบเดียวกับแทฮยอง มือเรียวบางก็บีบเข้าหากันแน่นจนเล็บยาวจิกเข้าเนื้อแต่ตอนนี้เธอหาได้สนใจไม่


                “ผมเจอคนที่นัดไว้แล้ว ขอตัวก่อน” เขาทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก่อนจะลากแฮวอนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยออกมา


                ท่อนแขนแกร่งคว้าโอบเอวบางไว้หลวมๆก่อนจะออกแรงดันให้แฮวอนเดินเลี่ยงออกไปจากจุดเดิม ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดอยู่ใกล้ใบหูของแฮวอนจนเธอไม่กล้าถามอะไร แฮวอนพอจับสังเกตได้ว่าแทฮยองมักมีเรื่องให้คิดเมื่อเขาเจอว่าที่พี่สะใภ้อย่างซูจอง


                รู้ว่าไม่ชอบเขา แต่จำเป็นต้องทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆด้วยหรือไง




                ร่างสูงพาเธอเดินมาจนถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เกือบสุดขอบของสระน้ำที่ร้างผู้คน เพราะมันอยู่ไกลคนอื่นๆถึงเลือกที่จะลอยโคมใกล้ๆกัน เมื่อตัวแฮวอนเป็นอิสระ เธอก็ขยับหลบจากสัมผัสของแทฮยองช้าๆ พอเห็นดวงหน้านิ่งเฉยเดาอารมณ์ไม่ได้ของอีกฝ่ายแฮวอนก็ยิ่งปิดปากเงียบ


                ร่างบางทรุดตัวลงนั่งเงียบๆริมตลิ่ง เทียมหอมสีชมพูอ่อนถูกวางลงในตำแหน่งของมันก่อนที่บนปลายนิ้วเรียวจะปรากฏดวงไฟสีน้ำเงิน


                “เดี๋ยวก่อน รอฉันด้วย” คนที่นิ่งไปหลายนาทีบอก


                แทฮยองขยับมาใกล้แฮวอนก่อนจะนั่งลงข้างๆ เขาคว้าโคมกระดาษมาวางบนหน้าตักและใส่เทียนหอมลงไปเช่นเดียวแฮวอน


                “เอาสิ เริ่มอธิษฐานได้แล้ว” พอแทฮยองบอกอย่างนั้นแฮวอนก็จุดไฟขึ้นใหม่อีกครั้ง


                โคมไฟรูปสโนว์ดรอปวางไว้ในมือก่อนเทียมหอมในนั้นจะจุดไฟ กลิ่นหอมๆของมันทำให้แฮวอนจิตใจสงบมากยิ่งขึ้น คำอธิษฐานของเธอถูกกล่าวขึ้นในใจ


                ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเถอะค่ะเพราะฉันกลัวความผิดพลาดหลังจากนั้น

                ผมกลัว ผมอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกๆเรื่องเลย


                คำขอที่คล้ายคลึงกันถูกขอออกไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ก่อนที่โคมกระดาษจะถูกหย่อนลงไปบนผืนน้ำนิ่งสนิทที่ตอนนี้มีโคมกระดาษหลายรูปแบบลอยเอื่อยๆอยู่บนนั้น


                ควันจางๆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ทุกคนต้องรอให้เทียนหมดก่อนที่จะรู้ผลว่าคำอธิษฐานของตัวเองจะเป็นอย่างไร


                แฮวอนนั่งเงียบก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามอมดำ พระจันทร์ทอแสงนวลตาพร้อมกับดวงดาวที่พร่างพราวบนฟากฟ้า


                “ชอบพระจันทร์หรือไง” คนข้างๆถามเธอขึ้นมาดื้อๆจนแฮวอนต้องละสายตาไปจากภาพสวยงามและย้อนถามแทฮยอง

                “แล้วคุณไม่ชอบเหรอคะ มันก็สวยดี แถมยังแตกต่างด้วย”

                “หืม? ยังไง”

                “ก็ถ้าเป็นดวงอาทิตย์เราจะเห็นมันเต็มดวงทุกครั้ง เพียงแต่เปลี่ยนทิศทาง ขึ้นตะวันออก ตกทางตะวันตก” แฮวอนอธิบายความเห็นเธออย่างเจื้อยแจ้ว “แต่ถ้าเป็นพระจันทร์ เราจะเห็นรูปร่างมันเปลี่ยนไปทุกคืนยังไงล่ะคะ ตั้งแต่เต็มดวงไปจนถึงหายไป ฉันก็แค่มองว่ามันพิเศษดีค่ะ”

                “งั้นเหรอ แล้วเธอชอบตอนไหนล่ะ”

                “ก็คงพระจันทร์เต็มดวงมั้งค่ะ เป็นวันที่ท้องฟ้าสว่างที่สุดเลย” พอแฮวอนตอบกลับไปอย่างนั้น เธอกลับไปด้ยินเสียงถอนหายใจของแทฮยองจนต้องหันไปถามด้วยสายตา

                “ฉันไม่เคยเห็นพระจันทร์เต็มดวงมาสิบปีแล้ว”

                “คะ? คุณหมายความว่าอะไร” แฮวอนย่นคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ

                “ก็ตามนั้นแหละ ฉันไม่เคยได้มองพระจันทร์เต็มดวงด้วยความรู้สึกดีๆเลย”


                ความหวาดกลัวบางเบาส่งผ่านมาตามน้ำเสียงนั้นจนแฮวอนเผลอตัวเอื้อมไปตบบ่าคนตัวโตกว่าเบาๆ รอยยิ้มหวานถูกจุดขึ้นที่มุมปากก่อนที่เธอจะบอก


                “งั้นฉันขอให้คำอธิษฐานของคุณเป็นจริงนะคะ คุณจะได้มีความรู้สึกดีๆกับพระจันทร์บ้าง ที่เพรย์ลูน่าเชื่อกันว่าหากคำขอข้อใดมาจากใจจริงดวงจันทร์จะบันดาลให้เราสมหวังค่ะ แค่มีศรัทธาอันแน่วแน่และความเชื่อมั่นต่อคำอธิษฐานของตัวเองเท่านั้นพอ”


                แทฮยองเหล่มองมือบอบบางที่แตะตัวเขาอยู่ก่อนจะเลื่อนมองหน้าอีกคน เมื่อเห็นว่าแฮวอนยังยิ้มให้ ร่างกายหนาก็โถมเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่ให้สัญญาณ แขนยาวเท้ายันกับพื้นหญ้าข้างตัวและกักให้แฮวอนตกอยู่ใต้อาณัติ ยิ่งเห็นว่าดวงตากลมเบิกกว้างแทฮยองก็ยิ่งกดใบหน้าเข้าไปใกล้แฮวอนมากกว่าเก่า


                “รู้รึเปล่าว่าฉันใจเต้นกับรอยยิ้มแบบนี้” เสียงทุ้มแหบถามเบาเท่ากระซิบ เพราะอยู่ใกล้กันมาก เพียงแค่เขาปล่อยริมฝีปาก ลมร้อนผ่าวก็ปะทะกับใบหน้าหวานจนแฮวอนประหม่าและเกร็งไปหมด

                “

                “สัมผัสแบบเบาๆนี้ฉันก็ใจเต้น แค่เธอมอง ใจฉันยังเต้นเลย” แทฮยองบอกอย่างเนิบนาบสวนทางกับคนฟังที่เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง “ฉันว่าเธอคงเข้าใจที่ฉันพูดนะแฮวอน”

                “ฉันตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้หรอกนะคะ” แฮวอนตัดสินใจบอกเสียงเบา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบนมองอย่างอื่น เธอไม่มีความกล้าพอจะสบตากับเขาได้ตรงตรงๆ และเมื่อแฮวอนพยามเอนหลังหนี แทฮยองก็โน้มตัวตามเธอมาอยู่ดี

                “แล้วยังไง เธอไม่มีสิทธิ์ห้ามหรอกนะว่าไม่ให้รู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไร”

                “

                “อยากชอบก็ชอบ อยากรักก็รัก ฉันไม่ได้ร้องขอให้เธอรู้สึกตอบ แต่แค่ให้ฉันได้รู้สึกอย่างจริงใจและซื่อตรงกับตนเอง” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอธิบายออกมาชัดเจน ดวงตาสีสวยของเขาสบตากับแววตาที่แอบสั่นไหวของแฮวอน “ขอแค่ได้รัก เพราะฉะนั้นแค่รับฟังว่าฉันรู้สึกยังไงก็พอแล้ว”


                แฮวอนสบตากับแทฮยองในพื้นที่ที่ห่างกับไม่ถึงฝ่ามือ ในอกเธอวูบไหวไปหมดเมื่อได้รับฟังคำสารภาพที่ซื่อตรงแบบนั้น เสียงตึกตักที่อกซ้ายทวีจังหวะที่หนักหน่วงและรุนแรงขึ้นจนแฮวอนรู้สึกปวดตุบๆขึ้นมาดื้อๆ


                ให้ตายสิ เหมือนหัวใจจะกระดอนออกมานอกอกเลย


                เพียงพริบตาเดียวเนื้อนุ่มหยุ่นก็แตะกันอย่างบางเบาซะแล้ว ลมหายของแฮวอนราวกับถูกกระชากจนหายลับไป เธอลอบกลืนน้ำลายและย่นคอออกจากแทฮยองเงียบเชียบ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ยอม ริมฝีปากร้อนจัดกดเข้ามาแนบชิดก่อนจะไล้เล็มกลีบปากนุ่มนิ่มอย่างช้าๆ


                ท่อนแขนแกร่งรวบเอวบางคอดไว้กับตัวคล้ายกลัวว่าตนจะถูกผลักออก ริมฝีปากหนักลึกขยับนวดเฟ้นและดึงดูดกลีบปากนุ่มหยุ่นอย่างละเมียดละไม แทฮยองไม่ได้รุกเร้าเพียงแต่ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองผ่านการจูบนั้น รสจูบนุ่มละมุนแบบนั้นทำเอาแฮวอนลืมวิธีการปฏิเสธไปเลย


                สุดท้ายเธอก็ยอมหลับตาลง วินาทีนั้นเป็นตอนเดียวกับที่โคมกระดาษสีขาวที่ลอยเคียงคู่กันขยับลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ได้ตอบรับคำอธิษฐานของพวกเขาแล้ว แต่แฮวอนกลับไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากสัมผัสนุ่มนวลบนริมฝีปากของเธอ ทว่าสัมผัสนี้มันไม่ใช่แบบเดียวกับจูบแรกของเธอ




                “คุณผู้หญิงเกลียดใครหรือครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนดูเหตุการณ์นั้นเงียบๆภายใต้ร่มมเงาของไม้ต้นใหญ่


                ซูจองที่มีแต่ความเคียดแค้นไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามีชายแปลกหน้ายืนอยู่ข้างเธอในเวลานี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ เธอมั่นใจแล้วว่าเธอเสียแทฮยองไปแล้วจริงๆ เสียให้กับผู้หญิงคนนั้น คนที่เธอพยายามกำจัดออกไปจากชีวิตของเขาหลายต่อหลายครั้ง


                “มัน” เสียงของซูจองแทบกับด้วยที่แค่นออกมาจากลำคอดูไม่น่าฟังนักแต่คนได้ยินกลับเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆในลำคอ

                “คุณผู้หญิงคนนั้นเหรอแล้วอยากให้ผู้ชายคนนั้นเขากลับมาเป็นของคุณมั้ยล่ะครับ” เมื่ออีกฝ่ายเสนอสิ่งน่าสนใจซูจองก็หันมองคนที่อยู่ข้างกายทันที


                ดวงตาที่เต็มไปด้วยความริษยาทำให้ฮยอนซอกกระตุกยิ้มออกมา นัยน์ตาสีนิลเหลือบสีมรกตขึ้นมาและใช้ดวงตาทรงอำนาจของตัวเองจ้องเข้าไปในตาของซูจอง


                “อิมเปริโอ”


                มนตราต้องห้ามบทหนึ่งถูกเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย แสงสีเขียวสว่างวาบอยู่ในตาของซูจอง แววตาที่เคยโหมด้วยไฟริษยา ตอนนี้ถูกแทรกซึมด้วยความว่างเปล่าราวกับว่าสำนึกของเธอไปจางหายไปแล้ว


                “แค่ทำตามที่ฉันบอก ทุกอย่างจะสมใจเธอเอง”

                “ค่ะ ท่าน”

                “ดีมากจองซูจอง”


                ฮยอนซอกเอ่ยนามของคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ ลูกสาวของตาแก่โลภมากนั่นตกอยู่ใต้อำนาจมนตราของเขาแล้ว เพราะไฟริษยาที่แผดเผาในหัวใจนั่นแท้ๆ เขาถึงได้เข้าควบคุมจิตใจเธอได้โดยง่าย


                เขามาที่นี่เพื่อช่วงชิงของล้ำค่าของเพรย์ลูน่า อัญมณสีขาวใสที่เขาจะใช้มันเพื่อทำลายม่านมนตราของชาโดว์แบลงค์และพาราเดีย แต่ตอนนี้เขากลับได้หมากอีกตัวเพื่อจะขับเคลื่อนเกมในกระดานสงครามระหว่างพวกเขาและการ์ดิเนีย

                “อย่างแรกที่เธอต้องทำ คืนพรุ่งนี้ต้องนำมูนสโตนมาให้ฉัน”

     





                สติแฮวอนยังกลับเข้าที่ได้ไม่ดีนัก เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนทำเอาหัวสมองเธอโล่งจนแทบคิดอะไรไม่ออก แทฮยองเป็นฝ่ายผละออกไปก่อนและจ้องหน้าเธอนิ่งๆอย่างนั้นจนแฮวอนทนไม่ไหวต้องรีบปลีกตัวออกมาก่อน


                ร่างบางเดินลัดเลาะเพื่อกลับออกไปหน้างานตามที่นัดหมายกับเพื่อนเอาไว้ แม้งานเทศกาลจะเริ่มไปเกือบชั่วโมงแล้ว นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็ทยอยกลับไปเที่ยวในเมืองต่อแต่นักท่องเที่ยวชุดใหม่จำนวนมากพอๆกับกลุ่มคนก่อนหน้าก็ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย แฮวอนจึงโดนเบียดจนแทบแทรกตัวออกมาจากกลุ่มคนหนาแน่นนั่นไม่ได้


                ไม่ทันไรมือปริศนาก็คว้าจับที่ข้อมือบาง แฮวอนสะดุ้งโหยงเตรียมจะสะบัดออกแต่เพราะเด็กชายตัวตุ้ยนุ้ยกับเพื่อนที่คนที่วิ่งแทรกสวนเข้าไปในงานเบียดเธอเข้า คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถลาไปชนกับร่างกำยำที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


                ท่อนแขนแกร่งเอื้อมมารั้งเอวบางไว้ทันก่อนที่แฮวอนจะล้มไปกองกับพื้น มือบางคว้าจับที่ไหล่หนาเพื่อพยุงตัว พอเลื่อนสายตาจากเสื้อสีขาวที่คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีดำขลิบแดงก็พบว่าคนตรงหน้าคือจองกุก แฮวอนตีสีหน้าไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็รีบบอกขอบคุณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


                “ขอบคุณค่ะ”

                “เป็นอะไรหรือเปล่า” จองกุกไม่ได้ว่าอะไรกับคำกล่าวนั้น เขาถามแฮวอนต่อโดยที่ยังไม่ผละวงแขนแกร่งออกจากร่างบอบบาง

                “เปล่าค่ะ” เสียงแฮวอนฟังดูเบาเหลือเกิน เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้ชิดกับเขามากจนแทบต้องกลั้นหายใจแล้ว “คุณปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”

                “กลัวหลง”


                จองกุกบอกแค่นั้นก่อนจะคลายวงแขนลงแต่ก็ยังโอบรั้งแฮวอนไว้หลวมๆ เขาใช้ร่างกายของตัวเองกำบังเธอไว้จากคนอื่นๆ แรงดันเบาๆจากคนข้างหลังทำให้แฮวอนต้องยอมเดินไปตามทางที่จองกุกต้องการ


                แค่หลงทางครั้งเดียวนี่กลายเป็นเรื่องยาวเลยแฮะ เธอบ่นอุบอิบในใจ จองกุกชอบทำเหมือนกับเธอเป็นเด็กเหลือเกิน เอะอะก็กลัวว่าเธอจะหลงทาง ถึงเขาจะออกตามหาเธอทุกครั้งก็เถอะ แต่พอคิดอย่างนั้นแฮวอนก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที


                นั่นไม่ได้ความว่าเขาเป็นห่วงเธอหรอกหรือ




    [ต่อ]




                ทางที่จองกุกบังคับให้เธอเดินมาเป็นส่วนไหนของสระก็ไม่ทราบ แต่ว่าที่นี่ไม่มีใครเลย เป็นเพียงลานโล่งกว้าง มองเห็นท้องฟ้าสีดำเหลือบครามได้กว้างไกลและพระจันทร์และกลุ่มดาวระยิบระยับ สายลมพัดมาเบาๆพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกลิลลี่ ที่นี่เงียบสงบจนแฮวอนเผลอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อซึมซับบรรยากาศ


                “แฮวอน”

                “คะ?”


                แฮวอนหันกลับไปทางด้านหลัง จองกุกเพิ่งคลายอ้อมแขนลงก่อนที่เขาจะเรียกชื่อเธอ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ เธอไม่เข้าใจว่าเขาพาเธอมาทำอะไรที่นี่และกอดเธอไว้ทำไมเพียงแต่ไม่กล้าถามออกมา


                พอนัยน์ตาคมกริบมองสบกับตาสีน้ำตาลอ่อน ร่างบางก็ถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่นอีกครั้ง


                “คคุณจะทำอะไรคะ” แฮวอนถามอย่างตะกุกตะกักพลางตะกุยแผงอกกว้างเท่าที่จะสามารถ แต่ว่าอ้อมกอดเขารัดแน่นไปหมดจนเธอแทบหายใจไม่ออก

                “อยากฟังอีกสักคำสารภาพมั้ย” ประโยคที่กล่าวออกมาอย่างราบเรียบทำเอาแฮวอนชะงักไปชั่วคราว ดวงตากลมเลื่อนมองใบหน้าคนตรงข้าม ก้อนเนื้อในอกถูกเร่งจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง


                ราวกับว่ารอบข้างเงียบสงัดไปจนหมด แฮวอนได้ยินพียงแต่เสียงลมหายใจที่พยายามสูดเข้าออกให้เป็นปกติกับเสียงเต้นตึกตักของใครสักคน มันดังซะจนเธอชักไม่แน่ใจว่าเป็นของเธอคนเดียว ลมหายใจอุ่นๆปะทะกับใบหน้าของเธออย่างผะแผ่วจนแฮวอนตัวเกร็งไปหมด


                “ฉันไม่สนหรอกว่าเมื่อกี้เธอจะได้ยินหรืออะไรมาบ้าง แต่ถ้าฉันไม่ได้พูดออกมา ฉันคิดว่าฉันแพ้” แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะที่จองกุกเปิดปากพูด เพราะอยู่ใกล้ชิดกันแฮวอนเลยรับรู้ทุกการขยับขึ้นลงของแผงอกที่แนบชิดกับตัวเธอ

                “

                “คนที่ไม่กล้าพูดออกมาแม้กระทั่งความคิดของตัวเองคงเรียกว่าขี้ขลาดใช่มั้ย เพราะฉะนั้น” จองกุกว่าพลางเลื่อนสบนัยน์ตาสีสวยที่มองจ้องเขาไม่กะพริบพร้อมกับดวงหน้าที่ซับสีระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ “ฉันชอบเธอแฮวอน ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตอนนี้ฉันชอบเธอ”


                “คคุณ” แฮวอนครางอย่างไม่อยากเชื่อ เธอได้รับคำสารภาพสองครั้งทั้งที่เหตุการณ์ที่ว่าห่างกันไม่ถึงสิบนาทีดีเนี่ยนะ

                “นั้นแหละที่ฉันอยากให้เธอรู้” จองกุกว่าอย่างไม่เขินอายสักนิด “รู้เอาไว้ว่าฉันชอบเธอ และคงจะดีถ้าเธอก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

                “คุณจองกุก ฉัน

                “ถึงฉันไม่ได้หวังคำตอบอะไรจากเธอ แต่ฉันไม่อยากฟังคำปฏิเสธหรอกนะ” จองกุกแทรกขึ้นมาอย่างนั้นจนแฮวอนปิดปากสนิท


                ใบหน้าหวานก้มลงหลบสายตา เรือนผมนุ่มเสียดสีกับลาดไหล่กว้าง ความอึดอัดใจส่งผลให้แฮวอนต้องระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เรียวแขนบางทิ้งลงข้างตัวราวกับยอมแพ้แล้วตอนนี้


                “นั่นมันทำให้ฉันหนักใจนะคะ” แฮวอนว่าเสียงเบา “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

                “มีคนชอบนี่คือไม่ชอบหรือไง” จองกุกแกล้งหยอก เขาพยายามทำตัวอารมณ์ดีทั้งที่หัวใจเต้นตึกตักไปจนหมด ฝ่ามือหนาเลื่อนมาลูบผมหนานุ่มเบาๆ


                ตอนแรกเขาก็คิดว่าจะไม่พูดมันออกมาหรอก แต่พอเห็นว่าแทฮยองทำแล้ว เขาเองก็ต้องทำบ้าง จองกุกไม่ได้มองว่ามันเป็นการแข่งขัน แต่มันจะยุติธรรมกว่าถ้าแฮวอนได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา


                “แบบนี้มันดีเกินไปค่ะ สำหรับคนอย่างฉัน”


                เพราะพวกคุณดีแบบนี้ยังไง ฉันเลยเริ่มกลัวว่าสักวันพวกคุณจะเปลี่ยนไป





     

                แฮวอนใช้เวลาอยู่ในเพรย์ลูน่าก่อนจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้อย่างสนุกสนาน แต่ก็เพียงภายนอก ความว้าวุ่นทุกอย่างแล่นไปมาในหัวของเธอไม่หยุด แฮวอนไม่รู้จะจัดลำดับความสำคัญยังไงแล้ว ทั้งเรื่องคำสาป ทั้งเรื่องความรู้สึกที่ได้รับจากจองกุกและแทฮยอง


                หน้าผากมนซบลงกับโต๊ะ แฮวอนนั่งที่โต๊ะระหว่างที่คนอื่นๆอาสาออกไปซื้อขนมกินเล่นรอเวลาที่งานอาบแสงจันทร์ของมูนสโตน อัญมณีศักดิ์สิทธิ์ของเพรย์ลูน่าจะเริ่มขึ้น เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก เพียงแต่บางอย่างพร่ำบอกว่าให้จับตามองค่ำคืนอย่าให้กะพริบตา


                พิธีเริ่มขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดินได้ราวชั่วโมงครึ่ง แฮวอนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่เพรย์ลูน่าเห็นดวงจันทร์ชัดเจนแล้วดวงใหญ่มากแค่ไหน แม้ว่าคืนนี้จะไม่ใช่คืนเดือนเพ็ญแต่ว่าแสงสว่างจากดวงจันทร์ไม่เต็มดวงก็ได้สาดส่องลงมาบนพผืนดินแล้ว ลานหินอ่อนถูกประดับไปด้วยกลีบดอกกุหลาบสีเหลือง ลวดลายบนพื้นเป็นรูปใบหน้าของหญิงสาวบนดวงจันทร์ที่ถูกสลักอย่างสวยงาม ชาวเมืองทุกคนของเพรย์ลูน่าได้ยืนล้อมรอบลานซินเธียเอาไว้ ส่วนคนนอกอย่างแฮวอนนั้นได้เพียงแต่มองพิธีการอยู่ไกลๆ


                เสียงบรรเลงของเครื่องสายดังขึ้นก่อนที่ร่างอรชรของหญิงสาวบริสุทธิ์ในชุดสีขาวสะอาดและปักเลื่อมสีเหลืองทองจะร่ายรำเข้ามา ตามมาด้วยร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธ์ ดวงหน้าหวานถูกคลุมด้วยผ้าบางๆ รัดเกล้ารูปพระจันทร์เสี้ยวที่ประดับเหนือหน้าผากมน เธอเหยียบย้ำเข้ามาด้วยเท้าเปล่าก่อนที่นางรำคนอื่นๆจะเริ่มโยกย้ายไปรอบตัวของร่างสวยสง่า


                 กลีบกุหลาบสีเหลืองถูกโปรยลงในสระน้ำที่ผุดขึ้นมาจากวารีเวท ยิ่งพวกเธอเคลื่อนไวท่วงท่า สายน้ำก็หมุนวนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนละอองน้ำก่อตัวเป็นผลึกสีเหลืองอ่อนและครอบคลุมร่างของเทพธิดาจันทราเอาไว้ พลันพลอยสีน้ำนมก็เคลื่อนตัวออกมาจากรัดเกล้า มันสาดแสงสีนวลไปทั่วบริเวณจนดึงสายตาทุกคู่ให้อยู่ตรงจุดเดียว           


                วูบหนึ่งที่ไอสังหารแผ่ออกมาจากคนที่ยืนอยู่ในมุมลับตาจนขนอ่อนลุกชัน แฮวอนหันมองรอบกายทันทีทันใดก่อนจะมองเห็นซูจองที่ยืนอยู่ข้างๆแทมิน แต่ดวงตาที่ดูคล้ายกับไร้แววนั่นทำเอาแฮวอนสะดุดใจ


                แสงจันทร์สาดส่องมายังร่างบางเป็นทาง แสงสีเหลืองนวลค่อยแทรกซึมผ่านบาเรียก่อนที่มันจะพุ่งตรงเข้าสู่มูนสโตนและสว่างเจิดจ้ามากกว่าเดิม บาเรียสีเหลืองอ่อนค่อยๆสลายตัวออกไปจนปรากฏร่างของหญิงสาวที่ดูใสสะอาดผุดผ่องราวกับกับแสงจันทร์


                “มูนสโตนได้รับการชำระล้างแล้ว!!!” สิ้นเสียงประกาศเสียงดนตรีก็เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นมาจากแผ่นฟ้า


                ทุกอย่างดูปกติดี ไหล่บางที่เกร็งมาหลายนาทีก็ค่อยๆผ่อนลง ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกหนึ่งก่อนที่แฮวอนจะขยับเท้าออกจากพื้นที่ที่ผู้คนคับคั่ง แต่ไม่ทันไรร่างบางของเทพธิดาก็ล้มวูบไปกับพื้นพร้อมกับควันสีดำไร้ที่มาก็แผ่กระจายปกคลุมลานซินเธียไปหมด


                เสียงโวยวายดังขึ้นระงม แฮวอนเองก็ตกใจแต่ก็พยายามควบคุมสติ สายน้ำสีฟ้าจากสระรอบข้างถูกดึงขึ้นมาดับควันสีดำนั่น แต่เมื่อทุกอย่างสลายหายไปร่างของเทพธิดาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว


                “ออกตามหาเทพธิดา!!!


                เมื่อเสียงนั้นตะโกนขึ้นทั่วบริเวณก็เข้าสู่ความโกลาหลเต็มรูปแบบ คนอื่นๆวิ่งหนีกันให้วุ่นเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง


                “แฮวอน รีบออกไปจากที่นี่”


                ร่างสูงของแทฮยองก้าวมาประชิดตัวคนที่ยืนนิ่งก่อนจะคว้าแขนและกระตุกให้เธอตามไป แต่ไม่ทันไรเสียงของซอจินก็ดังขึ้น เขาจึงจำต้องหันมากำชับแฮวอนแทนที่จะพาเธอออกไปอย่างปลอดภัยอย่างที่ตั้งใจ “รีบออกไปรวมตัวกับคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีๆ”

                “แทฮยองไปดูแลทางเหนือ เร็ว!” เสียงตะโกนสั่งของซอกจินที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้เขาต้องยอมละสายตาจากแผ่นหลังบาง ก่อนจะเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางที่ซอกจินสั่ง ใบหน้าคมคายพยักเล็กน้อยให้เพื่อนรักก่อนที่ร่างของพญาอินทรีจะโผบินขึ้นฟ้าเพื่อดูแลและควบคุมเหตุการณ์จะข้างบน 






                ความวุ่นวานด้านนอกค่อยๆสงบลงหลังจากที่กันประชาชนคนอื่นออกไปได้แล้ว แต่ที่น่าวิตกกังลตอนนี้คือไม่มีใครหาตัวเทพธิดาพบสักคน


                ยุนกิก้มลงสำรวจพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งก่อนจะพบเศษซากบางอย่าง ส่วนคนอื่นๆกระจายตัวปิดล้อมพื้นที่ใกล้เคียงเอาไว้ ผลึกแก้วที่มอดไหม้สีดำนั่นทำให้เขามั่นใจว่าคนที่ลงมือทำเรื่องอุกอาจเป็นซูจอง ของประเภทนี้หาได้แค่ในห้องเก็บอาวุธของจุนฮยอกเท่านั้น และคนที่จะนำมันมาถึงเพรย์ลูน่าได้ก็คงเป็นแค่เธอเพียงคนเดียว แต่เพราะอะไรกันซูจองถึงได้ทำแบบนั้น ถ้าเธอลงมือทำอะไรกับแฮวอนยังดูมีความเป็นไปได้มากกว่าซะอีก


                ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ แทฮยองไม่ได้มีความรู้สึกกับซูจองแล้ว เขาดูออก คงจะมีเพียงคนดื้อด้านไม่ยอมรับความจริงอย่างซูจองนั้นแหละที่ไม่เปิดหูเปิดตารับรู้อะไร เอาแต่จมปลักกับความคิดเดิมๆ ยุนกิเองก็ไม่แน่ใจว่าซูจองรักแทฮยองจริงๆหรือเป็นแค่เพียงความรู้สึกหวงก้างตามประสาคนที่เคยได้ทุกอย่างมาครอบครองหากต้องการ และตอนนี้คนที่แทฮยองรู้สึกด้วยคนบุคคลลึกลับอย่างแฮวอน


                แม้ภายนอกยุนกิจะดูเป็นคนไม่สนใจอะไรมากนักแต่ไม่ใช่กับคนรอบข้าง เขาใส่ใจทุกสิ่งและจับตามองทุกความเป็นไปของคนใกล้ชิด เขารู้แต่ทำเหมือนไม่รู้ เห็นแต่แกล้งทำไม่เห็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างแฮวอนกับจองกุกและแทฮยอง ทั้งสองคนนั้นให้ความสำคัญกับหญิงสาวมากอย่างที่ยุนกิไม่เคยเห็น เพียงเท่านั้นก็ตีความหมายได้ว่าความรู้สึกอ่อนไหวได้มาเยือนน้องชายทั้งสองคนของเขาแล้ว


                อยู่ๆรอบกายกลับเงียบสงัดลง เสียงฟ้าร้องคำรามแว่วมาแต่ไกลรวมทั้งประกายปลาปแปลบสีขาวที่ปรากฏอยู่บนแผ่นฟ้าสีดำสนิท เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาพร้อมกับลมหอบหนึ่งที่ทำเอาขนลุกวูบ บางอย่างที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ทำเอายุนกิรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก และเมื่อหันมอง ยุนกิก็ถึงขั้นสบถออกมาเมื่อตอนนี้เขากำลังเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต


                ร่างสูงใหญ่พวกนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีดำสีมอซอและขาดวิ่น พวกมันลอยอยู่เหนือพื้น ไอเย็นเยียบแผ่กระจายออกมาจากตัวของพวกมัน ใบหน้าเห็นได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากส่วนหมวกนั้นคลุมมาจนถึงช่วงปลายจมูก แต่ที่แน่ๆเขาไม่อยากเข้าใกล้มันสักนิด


                “เวร! นี่มันอะไรกันวะ!” 




    Let's talk  with me

               จะอิจฉาดีมั้ย แฮวนถูกกสารภาพรักสองครั้งติดๆกันไปเลยจ้า คำสารภาพอาจจะคล้ายกันๆ แต่ของจกุกคืออยากให้แฮวอนรู้สึกแบบเดียวกันนะคะ พูดมาแบบโต้งๆเลยด้วย5555 บั่บ ฉันชอบเธอ เธอก็ต้องชอบฉันด้วยงี้ อิอิ แล้วพี่กิเป็นคนที่มาเทพตลอดเวลาในความรู้สึกเรา พี่รู้ พี่เห็น แค่พี่ไม่พูด แล้วพี่จะเจอกับอัลลัยล่ะ ตอนหน้าจะตื่นเต้นมาก (แง้ม~ ติด #แฮวอนของกุกวี หน่อยได้ป่าว อยากอ่าน ขอร้องงงง) 

    ส่วนอันนี้เราจะถามเรื่องรูปเล่มค่ะ คือเราคำนวณคร่าวๆและจะมีประมาณ500หน้า มีตั้งแต่Prologueไปจนถึงตอนจบ ตอนพิเศษน่าจะมี4ตอนขึ้นไปค่ะ (จะพยายามแต่งตอนพิเศษให้ได้นะคะ 555) ราคาอาจจะอยู่ที่370บาท บวกกับค่าลงทะเบียนอีก40บาท แต่ว่าเราจะยังไม่ได้เปิดพรีเร็วๆนี้ค่ะและปิดพรีอย่างเร็วที่สุดอาจจะเป็นปลายเดือนสิงหา เราก็ต้องดูคิวเราก่อน555 (สารภาพว่ายังแต่งไม่จบค่ะ+เราจัดหน้า ทำปก ทำที่คั่นเอง มันเลยใช้เวลานานนิดหน่อย ไหนจะนานาจิตตัง เรากลายเป็นปีแก่แล้วแต่ยังไม่รู้ตารางเรียนเลย ต้องขอจัดการเรื่องตัวเองก่อนเนอะ) ตอนนี้ก็เลยอยากถามว่ามีคนสนใจรูปเล่มมั้ยเอ่ย อยากรู้จำนวนค่ะ คอมเมนต์ทิ้งไว้ในตอนเลยนะคะ หรือจะเดมไปถามในทวิตหรือในไลน์ก็ได้ค่ะทิ้งไว้ด้านล่างแล้ว แล้วก็เรื่องนี้ค่อนข้างสั้นนะคะมีแค่22ตอนซึ่งตอนนี้คือตอนที่15แล้วนะทุกคน ส่วนพระเอกเรื่องนี้ดูจากชื่อเรื่องนะคะ มันคือ Taehyung & Jungkook ค่ะ ก็ตามนั้นเลย55555 ไม่เอา ไม่พูดมาก เขิงงงง

    Twitter : @darlene_p7
    Line : powderppp



    ฝากเรื่องพี่แทด้วยค่ะ แอบอัพไปแล้ว



    2/06/18
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×