คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ♦ 14 TEMPERANCE ♦
อ่านทอล์คเราหน่อยจิ
14
♦ TEMPERANCE
ร่างสูงภายใต้เสื้อคลุมสีดำสนิทตัดกับสีผิวขาวซีดกำลังพิงหลังกับกำแพงสีเหลืองทองคล้ายสีนวลตาของดวงจันทร์
เขาต้องการสอบถามบางเรื่องกับผู้นำของปราการฟีเรนเซ่ที่เข้าประชุมในเพรย์ลูน่า
ยุนกิเลยต้องรออยู่ตรงนี้
พอนาฬิกาตีดังครบเก้าครั้งประตูสีเดียวกับกำแพงก็เปิดออกตามมาด้วยร่างของผู้นำปราการคนอื่นๆในแถบการปกครองตะวันออก
และคนที่เขารอพบก็ก้าวออกมาพร้อมกับคู่ชีวิต
ยุนกิไม่รอที่จะก้าวไปหยุดตรงหน้าของผู้นำปราการฟีเรนเซ่
“สวัสดีครับคุณจุนซา”
“สวัสดีคุณยุนกิ
ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรครับ หรือว่าทางปราการทำอะไรให้ทางพาราเดียไม่พอใจ”
คนแก่กว่าเว้นจังหวะไปชั่วครู่เพื่อรำลึกว่าคนตรงหน้าคือใครก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
จุนซาหันไปพยักหน้าให้ภรรยาก่อนที่เธอจะเดินเลี่ยงออกไป
“ผมไม่ได้ออกไปต้อนรับพวกคุณ ขอโทษด้วยแล้วกัน”
“เปล่าครับ
แต่ผมมีเรื่องอื่นจะคุยกับคุณต่างหาก เชิญตามผมมาทางนี้ครับ”
มุมปากหนากระตุกยิ้มชอบใจทีหนึ่ง
นึกชื่นชมไม่เบากับความเถรตรงนี้ของคนเด็กกว่า
จุนซาเดินตามยุนกิไปเงียบๆก่อนจะหยุดตรงบริเวณสวนดอกไม้ที่เงียบสงบของสภาเขตตะวันออก
“ผมจะไม่อ้อมค้อมนะครับ
ผมอยากทราบเรื่องเกี่ยวกับแฮวอน หรือถ้าจะให้พูดชัดเจน คังแฮวอนลูกสาวของคุณคังชอลเพื่อนสนิทของคุณ
เมื่อสิบปีก่อนคุณสั่งลดขั้นฐานะของพวกเขาทำไมกันครับ”
“หาข้อมูลได้จากโดโนแวนงั้นสิ”
จุนซาไม่ได้มีอาการตื่นตระหนกใดๆทั้งสิ้น “ใช่
ฉันเป็นคนที่ให้ลดฐานะของครอบครัวของคังชอลเอง”
“ผมอยากทราบเหตุผลครับ ทำไมต้องการซ่อนแฮวอนเอาไว้หากบริสุทธิ์ใจ”
“ฮึ
แฮวอนเป็นยังไงบ้างล่ะที่โรงเรียน” อัศวินมากฝีมือถามคนเป็นอาจารย์
“คุณเห็นใช่มั้ยว่าเธอเก่งกาจ ไม่ใช่เพียงเรื่องสติปัญญา การต่อสู้ การใช้เวท
ทั้งศาสตร์และศิลป์เธอทำได้อย่างไม่มีที่ติราวกับถูกฝึกฝนให้เป็นเช่นนั้น”
“…”
“นั่นอาจเป็นการส่งต่อทางสายเลือด
ความเก่งกาจผิดมนุษย์มนานั่นเหมือนกับพ่อของเธอไม่มีผิด คุณลองคิดดูสิ
หากพวกสภาโดยเฉพาะจุนฮยอกที่ปรึกษาของจักรพรรดิรู้เข้าจะเป็นยังไงระหว่างที่พวกเขาสอบสวนคังชอล”
จุนซาเอ่ยถึงญาติห่างๆที่ไม่ค่อยสนิทชิดเชื้อเท่าใดนักของยุนกิ
เขาย้ำถึงข้อกำหนดอันโหดร้ายของการ์ดิเนีย การล้างวงศ์วานจะเกิดขึ้นเมื่อศาลตัดสินว่าผู้นั้นต้องความผิดร้ายแรง
คนในครอบครัวจะถูกกำจัดอย่างไม่มีข้อแม้
“เด็กน้อยนั่นอาจจะกลายเป็นข้ออ้างในการทำความผิดของคังชอลก็เป็นได้
ความริษยาในสภาช่างน่ากลัว คุณเองก็คงทราบ
ฉะนั้นการซ่อนตัวพวกกเขาไว้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้”
ยุนกิรับฟังอย่างนิ่งสงบ
เมื่อลองคิดตามแล้วทุกอย่างล้วนเป็นอย่างที่จุนซาบอก ญาติฝ่ายพ่ออย่างจุนฮยอกนั้นแม้จะจงรักภักดีกับจักรพรรดิ ทว่าเขามีความทะเยอทะยานและมักใหญ่ใฝ่สูง
หลงไหลในตำแหน่งและเกียรติยศเกินใคร
หากต้องกำจัดคังชอลที่เป็นคนโปรดของจักรพรรดิด้วยวิธีสกปรกเขาก็คงไม่ลังเลที่จะทำแน่
ยุนกิดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองและรับฟังประโยคสุดท้ายของจุนซาที่แผ่วเบาคล้ายสายลม
“และอีกอย่าง
นั่นไม่ใช่ความประสงค์ของฉันคุณยุนกิ”
บทสนทนาของแฮวอนไม่ได้ถูกต่อ
จองกุกมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่สะท้อนกับแสงสว่างของฟ้าแลบ
มือบางที่แตะอยู่ข้างแก้มของเขาอุ่นจัดตดกับน้ำฝนเย็นๆที่สาดกระทบกับร่างกายของเขาตอนนี้
แววตาของแฮวอนทำให้นึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
ราวกับเธอเคยทำตัวอบอุ่นเช่นนี้กับเขา
น้ำเสียงกระท่อนกระแท่นบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองพร้อมทั้งภาพรอยยิ้มของแฮวอน แม้ว่ามันจะค่อนข้างเลือนรางแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความจริงใจ
“จ…ทำแผลให้…ไม่ต…กลัว”
สัมผัสของเธอตอนนี้ช่างนุ่มนวลไม่ต่างจากตอนนั้น
…ตอนไหนล่ะ
ความคิดของจองกุกแย้งขึ้นมาอย่างนั้น เขารู้สึกว่าเคยหนุนตักแฮวอน
นอนกอดเธอไปจนถึงรุ่งเช้าแต่กลับจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์นั่นมันเกิดขึ้นตอนไหนกัน
เสียงฟ้าร้องที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้แฮวอนค่อยๆลดมือลงจากใบหน้าของจองกุก
เธอมองเขาด้วยแววตาที่อธิบายความหมายไม่ถูก แฮวอนเพียงแต่รู้สึกว่าเขาและเธอไม่ต่างกัน
ต้องแบกรับบางเรื่องโดยที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์จะเลือกหรือปฏิเสธด้วยซ้ำ
“ขอโทษค่ะ”
แฮวอนบอกเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยาทกับอีกคน
“เป็นอะไรไป”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยถาม เขาไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของแฮวอนมาก่อน
พอเห็นว่าเธอเป็นแบบนี้ก็อดจะห่วงไม่ได้
“ก็อาจจะคล้ายๆกับคุณนั้นแหละค่ะ
กลัวว่าพรุ่งนี้จะมาถึง…อะไรประมาณนี้”
แฮวอนนิ่งไปมากจากที่เคยหัวเราะหรือสนใจบทสนทนาและบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของสมาชิกบลูซีโน่
เธอก็เอาแต่เงียบ สมองเอาแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นหัวข้อในวงประชุมของอาจารย์ทั้งเจ็ดที่นั่งสังเกตการณ์เงียบๆ
“…คุณจุนซาบอกว่าอย่างนั้นข้อมูลที่ถูกเปลี่ยนแปลงก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง
แต่สิ่งที่เรายังไม่ทราบแน่ชัดก็คือพลังในตัวของแฮวอน”
ยุนกิว่าหลังจากบอกเล่าเรื่องที่ทราบมาเมื่อคืน
“เธออาจจะมีพลังธาตุในตัวมากกว่าหนึ่ง”
นัมจุนบอกหลังจากที่สังเกตการใช้พลังของแฮวอนมาสักพัก “หาได้ยากและไม่เป็นอันตราย
ตราบใดที่เธออยู่ฝ่ายเดียวกับเราหรือไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
“อย่างน้อยก็พอวางใจเรื่องตัวตนของเธอได้แล้ว
ส่วนเรื่องการวางเขตมนตราใหม่ฉันแจ้งไปยังปราการเทรย์เวอร์แล้วสำหรับการจัดหาจอมเวททุกระดับ
คาดว่าอีกหกสิบวันทุกอย่างจะเรียบร้อย” ซอกจินแจ้งถึงความคืบหน้าในส่วนงานของตัวเอง
“เรื่องรายงานคนหาย
ช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น”
จีมินว่าขึ้นมาก่อนที่จะเป็นแทฮยองรายงานถึงเรื่องการเฝ้าระวังภัยของอาณาจักร
“ปราการโอเรียนน่าเพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นเดลต้าแล้วทุกเมือง
มีบางเมืองที่ระดับความปลอดภัยเป็นเบต้าเนื่องจากเขตมนตราที่แปรปรวน”
โฮซอกและจองกุกรับฟังเรื่องราวนั้นเงียบๆและไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆออกมา
มีเรื่องหนึ่งที่พวกเขายังไม่ปริปากบอกให้ใครรู้
เหตุการณ์ที่น้ำตกและแสงสีม่วงนั่นของแฮวอนที่จองกุกเห็น
และภาพคำนายที่โฮซอกรับรู้
แฮวอนร่ำลายองเคและแดเนียลก่อนจะออกจากปราการฟีเรนเซ่โดยที่ไม่ได้เอ่ยถามถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น แดเนียลยังยิ้มร่าเริงให้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนพี่ชายของเขาก็ยังพูดทีเล่นทีจริงเรื่องของแทฮยองอยู่ ยองเคยืนยันว่าเขาชอบเธอแน่ๆจนแฮวอนต้องแกล้งเมินไม่รับฟัง
สองชั่วโมงถัดมาทุกคนก็เดินทางเข้าสู่เขตเพรย์ลูน่า บรรยากาศแวดล้อมเต็มไปด้วยผืนป่าสีเขียวชอุ่มและสายน้ำลำธารเส้นเล็กที่ทอดผ่านไปทั่วเมือง ดอกลิลลี่สีเหลืองถูกปลูกประดับไปทั่วพื้นที่ เมืองแห่งจันทรานี้พิเศษกว่าที่อื่นเพราะไม่ต้องลงมนตรา พื้นที่ทั่วทุกตารางนิ้วของเพรย์ลูน่ามีสมดุลของธาตุทุกชนิด พอข้ามประตูสีเหลืองงาช้างเข้ามาก็จะเห็นตัวปราสาทใหญ่โตตั้งอยู่ไกลลิบๆ
สระเซลีนคือสระน้ำที่กว้างที่สุดในเพรย์ลูน่า
โคมไฟจะถูกลอยจากผืนน้ำขึ้นสู่ท้องฟ้า ว่ากันว่าหากพระจันทร์ตอบรับคำขอของผู้ใด
โคมจะลอยขึ้นไปบนฟ้า แต่ถ้าหากไม่ โคมจะตกลงสู่สระน้ำและผุดดอกลิลลี่สีเหลืองนวลขึ้นมาเป็นของปลอบใจและเชื่อว่าดอกลิลลี่นั้นจะเป็นตัวแทนของความโชคดีแก่คนคนนั้นภายในหนึ่งปีจนกว่างานเทศกาลลอยโคมจะเวียนกลับมาอีกหน
แสงจากดวงจันทร์ครึ่งดวงไม่ได้สว่างมากนักแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆสำหรับคนที่ตั้งใจจะเข้าร่วมเทศกาลลอยโคม
ดวงไฟสีเหลืองอมส้มถูกจุดบนประทีบดินเผาและวางไว้เป็นระเบียบทั่วบริเวณดูสวยงามระยิบระยับ
คนอื่นๆต่างทยอยจุดโคมลอยและนำไปอธิษฐานต่อหน้าสระเซลีนก่อนจะปล่อยโคมขึ้นไป
บางคนสมหวัง บางคนผิดหวัง แต่นั่นถือเป็นเสน่ห์ของที่นี่
เพราะมันย้ำเตือนเราเสมอว่าไม่มีใครได้ทุกสิ่งอย่างตามที่ใจปรารถนา
แฮวอนก้าวเข้ามาในงานพร้อมกับโคมกระดาษที่เลือกมาตอนเย็น
เธอกับเพื่อนหันมองนู่นนี่เพื่อมองหาจุดที่คนไม่ค่อยเยอะจะได้ไปลอยโคมกัน
เหตุผลที่แฮวอนเลือกซื้อโคมรูปสโนว์ดรอปมาก็เพราะว่ามันคือดอกไม้แห่งความหวัง
เป็นสัญลักษณ์ของการกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา มันแบ่งบานต้นฤดูใบไม้ผลิหลังจากเพิ่งผ่านพ้นช่วงฤดูหนาวอันแสนหนาวเหน็บ
เธออยากให้ความหวังของเธอเป็นจริงบ้าง
“โห้
คนเยอะจังเลยแฮะ” ซอนโฮบ่นแล้วหันมองไปทั่ว “เราจะไปตรงไหนกันดีเนี่ย”
“ตรงนู้นมั้ย
ฝั่งนั้นน่ะ” พอโซฮเยเสนอขึ้นมาทุกคนก็หันมองตามที่เธอชี้ก่อนที่อูจินจะเป็นคนสรุป
“ได้
ไปกันเถอะ”
แฮวอนเดินตามเพื่อนๆไป
กระทั่งแสงสีตระการตาที่ถูกจุดขึ้นบนฟ้าเรียกความสนใจจากคนในงานได้ดี
พลุสีสวยถูกจุดขึ้นเป็นชุด บ่งบอกว่าเทศกาลโคมลอยของเพรย์ลูน่าได้เริ่มขึ้นแล้ว
เพราะคนที่เบียดเสียดทำให้แฮวอนถูกผลักออกมา
เธอคลาดกับเพื่อนๆอีกครั้งจนต้องถอนหายใจ
แต่ครั้งนี้พวกเธอตกลงกันแล้วว่าถ้าใครหายไประหว่างทางให้กลับไปเจอกันตรงหน้างานจะไม่ต้องมัวพะวงและห่วงกันไปมา
“ขอโทษค่ะ” แฮวอนรีบบอกทันทีเมื่อเธอถูกชายตัวอ้วนดันจนเซถลาไปชนกับอีกคน
เธอก้มหัวให้อีกฝ่ายจะรีบปลีกตัวออกมาแต่กลับถูกอุ้งมือหนาคว้าหมับที่ข้อมือพลางออกแรงกระตุกให้เธอหันกลับไปหา
“คุณแทฮยอง…”
นอกจากตรงนั้นจะมีแทฮยองแล้ว
แฮวอนยังเห็นพี่ชายของเขาและซูจองอีกด้วย แทมินเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าแทฮยองคว้าแขนหญิงสาวแปลกหน้าต่างกับซูจองที่แทบปกปิดความไม่พอใจแทบไม่มิด
พอเหลือบเห็นว่าแฮวอนถือโคมกระดาษแบบเดียวกับแทฮยอง มือเรียวบางก็บีบเข้าหากันแน่นจนเล็บยาวจิกเข้าเนื้อแต่ตอนนี้เธอหาได้สนใจไม่
“ผมเจอคนที่นัดไว้แล้ว
ขอตัวก่อน” เขาทิ้งท้ายไว้อย่างนั้นก่อนจะลากแฮวอนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยออกมา
ท่อนแขนแกร่งคว้าโอบเอวบางไว้หลวมๆก่อนจะออกแรงดันให้แฮวอนเดินเลี่ยงออกไปจากจุดเดิม
ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดอยู่ใกล้ใบหูของแฮวอนจนเธอไม่กล้าถามอะไร
แฮวอนพอจับสังเกตได้ว่าแทฮยองมักมีเรื่องให้คิดเมื่อเขาเจอว่าที่พี่สะใภ้อย่างซูจอง
รู้ว่าไม่ชอบเขา แต่จำเป็นต้องทำให้ฉันรู้สึกแปลกๆด้วยหรือไง
ร่างสูงพาเธอเดินมาจนถึงใต้ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เกือบสุดขอบของสระน้ำที่ร้างผู้คน
เพราะมันอยู่ไกลคนอื่นๆถึงเลือกที่จะลอยโคมใกล้ๆกัน เมื่อตัวแฮวอนเป็นอิสระ
เธอก็ขยับหลบจากสัมผัสของแทฮยองช้าๆ
พอเห็นดวงหน้านิ่งเฉยเดาอารมณ์ไม่ได้ของอีกฝ่ายแฮวอนก็ยิ่งปิดปากเงียบ
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งเงียบๆริมตลิ่ง
เทียมหอมสีชมพูอ่อนถูกวางลงในตำแหน่งของมันก่อนที่บนปลายนิ้วเรียวจะปรากฏดวงไฟสีน้ำเงิน
“เดี๋ยวก่อน
รอฉันด้วย” คนที่นิ่งไปหลายนาทีบอก
แทฮยองขยับมาใกล้แฮวอนก่อนจะนั่งลงข้างๆ
เขาคว้าโคมกระดาษมาวางบนหน้าตักและใส่เทียนหอมลงไปเช่นเดียวแฮวอน
“เอาสิ
เริ่มอธิษฐานได้แล้ว” พอแทฮยองบอกอย่างนั้นแฮวอนก็จุดไฟขึ้นใหม่อีกครั้ง
โคมไฟรูปสโนว์ดรอปวางไว้ในมือก่อนเทียมหอมในนั้นจะจุดไฟ
กลิ่นหอมๆของมันทำให้แฮวอนจิตใจสงบมากยิ่งขึ้น คำอธิษฐานของเธอถูกกล่าวขึ้นในใจ
ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเถอะค่ะ…เพราะฉันกลัวความผิดพลาดหลังจากนั้น
ผมกลัว
ผมอยากให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกๆเรื่องเลย…
คำขอที่คล้ายคลึงกันถูกขอออกไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ก่อนที่โคมกระดาษจะถูกหย่อนลงไปบนผืนน้ำนิ่งสนิทที่ตอนนี้มีโคมกระดาษหลายรูปแบบลอยเอื่อยๆอยู่บนนั้น
ควันจางๆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน
ทุกคนต้องรอให้เทียนหมดก่อนที่จะรู้ผลว่าคำอธิษฐานของตัวเองจะเป็นอย่างไร
แฮวอนนั่งเงียบก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามอมดำ
พระจันทร์ทอแสงนวลตาพร้อมกับดวงดาวที่พร่างพราวบนฟากฟ้า
“ชอบพระจันทร์หรือไง”
คนข้างๆถามเธอขึ้นมาดื้อๆจนแฮวอนต้องละสายตาไปจากภาพสวยงามและย้อนถามแทฮยอง
“แล้วคุณไม่ชอบเหรอคะ
มันก็สวยดี แถมยังแตกต่างด้วย”
“หืม? ยังไง”
“ก็ถ้าเป็นดวงอาทิตย์เราจะเห็นมันเต็มดวงทุกครั้ง
เพียงแต่เปลี่ยนทิศทาง ขึ้นตะวันออก ตกทางตะวันตก”
แฮวอนอธิบายความเห็นเธออย่างเจื้อยแจ้ว “แต่ถ้าเป็นพระจันทร์ เราจะเห็นรูปร่างมันเปลี่ยนไปทุกคืนยังไงล่ะคะ
ตั้งแต่เต็มดวงไปจนถึงหายไป ฉันก็แค่มองว่ามันพิเศษดีค่ะ”
“งั้นเหรอ
แล้วเธอชอบตอนไหนล่ะ”
“ก็คงพระจันทร์เต็มดวงมั้งค่ะ
เป็นวันที่ท้องฟ้าสว่างที่สุดเลย” พอแฮวอนตอบกลับไปอย่างนั้น
เธอกลับไปด้ยินเสียงถอนหายใจของแทฮยองจนต้องหันไปถามด้วยสายตา
“ฉันไม่เคยเห็นพระจันทร์เต็มดวงมาสิบปีแล้ว”
“คะ?
คุณหมายความว่าอะไร” แฮวอนย่นคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ
“ก็ตามนั้นแหละ
ฉันไม่เคยได้มองพระจันทร์เต็มดวงด้วยความรู้สึกดีๆเลย”
ความหวาดกลัวบางเบาส่งผ่านมาตามน้ำเสียงนั้นจนแฮวอนเผลอตัวเอื้อมไปตบบ่าคนตัวโตกว่าเบาๆ
รอยยิ้มหวานถูกจุดขึ้นที่มุมปากก่อนที่เธอจะบอก
“งั้นฉันขอให้คำอธิษฐานของคุณเป็นจริงนะคะ
คุณจะได้มีความรู้สึกดีๆกับพระจันทร์บ้าง
ที่เพรย์ลูน่าเชื่อกันว่าหากคำขอข้อใดมาจากใจจริงดวงจันทร์จะบันดาลให้เราสมหวังค่ะ
แค่มีศรัทธาอันแน่วแน่และความเชื่อมั่นต่อคำอธิษฐานของตัวเองเท่านั้นพอ”
แทฮยองเหล่มองมือบอบบางที่แตะตัวเขาอยู่ก่อนจะเลื่อนมองหน้าอีกคน
เมื่อเห็นว่าแฮวอนยังยิ้มให้ ร่างกายหนาก็โถมเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่ให้สัญญาณ
แขนยาวเท้ายันกับพื้นหญ้าข้างตัวและกักให้แฮวอนตกอยู่ใต้อาณัติ
ยิ่งเห็นว่าดวงตากลมเบิกกว้างแทฮยองก็ยิ่งกดใบหน้าเข้าไปใกล้แฮวอนมากกว่าเก่า
“รู้รึเปล่าว่าฉันใจเต้นกับรอยยิ้มแบบนี้”
เสียงทุ้มแหบถามเบาเท่ากระซิบ เพราะอยู่ใกล้กันมาก เพียงแค่เขาปล่อยริมฝีปาก
ลมร้อนผ่าวก็ปะทะกับใบหน้าหวานจนแฮวอนประหม่าและเกร็งไปหมด
“…”
“สัมผัสแบบเบาๆนี้ฉันก็ใจเต้น
แค่เธอมอง ใจฉันยังเต้นเลย” แทฮยองบอกอย่างเนิบนาบสวนทางกับคนฟังที่เลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง
“ฉันว่าเธอคงเข้าใจที่ฉันพูดนะแฮวอน”
“…ฉันตอบรับความรู้สึกของคุณไม่ได้หรอกนะคะ” แฮวอนตัดสินใจบอกเสียงเบา
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบนมองอย่างอื่น เธอไม่มีความกล้าพอจะสบตากับเขาได้ตรงตรงๆ และเมื่อแฮวอนพยามเอนหลังหนี
แทฮยองก็โน้มตัวตามเธอมาอยู่ดี
“แล้วยังไง
เธอไม่มีสิทธิ์ห้ามหรอกนะว่าไม่ให้รู้สึกหรือไม่รู้สึกอะไร”
“…”
“อยากชอบก็ชอบ
อยากรักก็รัก ฉันไม่ได้ร้องขอให้เธอรู้สึกตอบ
แต่แค่ให้ฉันได้รู้สึกอย่างจริงใจและซื่อตรงกับตนเอง” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอธิบายออกมาชัดเจน
ดวงตาสีสวยของเขาสบตากับแววตาที่แอบสั่นไหวของแฮวอน “ขอแค่ได้รัก
เพราะฉะนั้นแค่รับฟังว่าฉันรู้สึกยังไงก็พอแล้ว”
แฮวอนสบตากับแทฮยองในพื้นที่ที่ห่างกับไม่ถึงฝ่ามือ
ในอกเธอวูบไหวไปหมดเมื่อได้รับฟังคำสารภาพที่ซื่อตรงแบบนั้น
เสียงตึกตักที่อกซ้ายทวีจังหวะที่หนักหน่วงและรุนแรงขึ้นจนแฮวอนรู้สึกปวดตุบๆขึ้นมาดื้อๆ
ให้ตายสิ
เหมือนหัวใจจะกระดอนออกมานอกอกเลย…
เพียงพริบตาเดียวเนื้อนุ่มหยุ่นก็แตะกันอย่างบางเบาซะแล้ว
ลมหายของแฮวอนราวกับถูกกระชากจนหายลับไป
เธอลอบกลืนน้ำลายและย่นคอออกจากแทฮยองเงียบเชียบ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ยอม
ริมฝีปากร้อนจัดกดเข้ามาแนบชิดก่อนจะไล้เล็มกลีบปากนุ่มนิ่มอย่างช้าๆ
ท่อนแขนแกร่งรวบเอวบางคอดไว้กับตัวคล้ายกลัวว่าตนจะถูกผลักออก
ริมฝีปากหนักลึกขยับนวดเฟ้นและดึงดูดกลีบปากนุ่มหยุ่นอย่างละเมียดละไม
แทฮยองไม่ได้รุกเร้าเพียงแต่ถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองผ่านการจูบนั้น
รสจูบนุ่มละมุนแบบนั้นทำเอาแฮวอนลืมวิธีการปฏิเสธไปเลย
สุดท้ายเธอก็ยอมหลับตาลง วินาทีนั้นเป็นตอนเดียวกับที่โคมกระดาษสีขาวที่ลอยเคียงคู่กันขยับลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ได้ตอบรับคำอธิษฐานของพวกเขาแล้ว แต่แฮวอนกลับไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นนอกจากสัมผัสนุ่มนวลบนริมฝีปากของเธอ ทว่า…สัมผัสนี้มันไม่ใช่แบบเดียวกับจูบแรกของเธอ
“คุณผู้หญิงเกลียดใครหรือครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนดูเหตุการณ์นั้นเงียบๆภายใต้ร่มมเงาของไม้ต้นใหญ่
ซูจองที่มีแต่ความเคียดแค้นไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ามีชายแปลกหน้ายืนอยู่ข้างเธอในเวลานี้
ดวงตาคู่สวยจ้องมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ
เธอมั่นใจแล้วว่าเธอเสียแทฮยองไปแล้วจริงๆ เสียให้กับผู้หญิงคนนั้น
คนที่เธอพยายามกำจัดออกไปจากชีวิตของเขาหลายต่อหลายครั้ง
“มัน”
เสียงของซูจองแทบกับด้วยที่แค่นออกมาจากลำคอดูไม่น่าฟังนักแต่คนได้ยินกลับเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆในลำคอ
“คุณผู้หญิงคนนั้นเหรอ…แล้วอยากให้ผู้ชายคนนั้นเขากลับมาเป็นของคุณมั้ยล่ะครับ”
เมื่ออีกฝ่ายเสนอสิ่งน่าสนใจซูจองก็หันมองคนที่อยู่ข้างกายทันที
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความริษยาทำให้ฮยอนซอกกระตุกยิ้มออกมา
นัยน์ตาสีนิลเหลือบสีมรกตขึ้นมาและใช้ดวงตาทรงอำนาจของตัวเองจ้องเข้าไปในตาของซูจอง
“อิมเปริโอ”
มนตราต้องห้ามบทหนึ่งถูกเอ่ยออกมาอย่างเรียบง่าย
แสงสีเขียวสว่างวาบอยู่ในตาของซูจอง แววตาที่เคยโหมด้วยไฟริษยา
ตอนนี้ถูกแทรกซึมด้วยความว่างเปล่าราวกับว่าสำนึกของเธอไปจางหายไปแล้ว
“แค่ทำตามที่ฉันบอก
ทุกอย่างจะสมใจเธอเอง”
“ค่ะ
ท่าน”
“ดีมากจองซูจอง”
ฮยอนซอกเอ่ยนามของคนตรงหน้าอย่างพึงพอใจ
ลูกสาวของตาแก่โลภมากนั่นตกอยู่ใต้อำนาจมนตราของเขาแล้ว เพราะไฟริษยาที่แผดเผาในหัวใจนั่นแท้ๆ
เขาถึงได้เข้าควบคุมจิตใจเธอได้โดยง่าย
เขามาที่นี่เพื่อช่วงชิงของล้ำค่าของเพรย์ลูน่า
อัญมณสีขาวใสที่เขาจะใช้มันเพื่อทำลายม่านมนตราของชาโดว์แบลงค์และพาราเดีย แต่ตอนนี้เขากลับได้หมากอีกตัวเพื่อจะขับเคลื่อนเกมในกระดานสงครามระหว่างพวกเขาและการ์ดิเนีย
“อย่างแรกที่เธอต้องทำ
คืนพรุ่งนี้ต้องนำมูนสโตนมาให้ฉัน”
สติแฮวอนยังกลับเข้าที่ได้ไม่ดีนัก
เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนทำเอาหัวสมองเธอโล่งจนแทบคิดอะไรไม่ออก
แทฮยองเป็นฝ่ายผละออกไปก่อนและจ้องหน้าเธอนิ่งๆอย่างนั้นจนแฮวอนทนไม่ไหวต้องรีบปลีกตัวออกมาก่อน
ร่างบางเดินลัดเลาะเพื่อกลับออกไปหน้างานตามที่นัดหมายกับเพื่อนเอาไว้
แม้งานเทศกาลจะเริ่มไปเกือบชั่วโมงแล้ว
นักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็ทยอยกลับไปเที่ยวในเมืองต่อแต่นักท่องเที่ยวชุดใหม่จำนวนมากพอๆกับกลุ่มคนก่อนหน้าก็ทยอยเข้ามาไม่ขาดสาย
แฮวอนจึงโดนเบียดจนแทบแทรกตัวออกมาจากกลุ่มคนหนาแน่นนั่นไม่ได้
ไม่ทันไรมือปริศนาก็คว้าจับที่ข้อมือบาง
แฮวอนสะดุ้งโหยงเตรียมจะสะบัดออกแต่เพราะเด็กชายตัวตุ้ยนุ้ยกับเพื่อนที่คนที่วิ่งแทรกสวนเข้าไปในงานเบียดเธอเข้า
คนที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ถลาไปชนกับร่างกำยำที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
ท่อนแขนแกร่งเอื้อมมารั้งเอวบางไว้ทันก่อนที่แฮวอนจะล้มไปกองกับพื้น
มือบางคว้าจับที่ไหล่หนาเพื่อพยุงตัว
พอเลื่อนสายตาจากเสื้อสีขาวที่คลุมทับด้วยผ้าคลุมสีดำขลิบแดงก็พบว่าคนตรงหน้าคือจองกุก
แฮวอนตีสีหน้าไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็รีบบอกขอบคุณอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณค่ะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
จองกุกไม่ได้ว่าอะไรกับคำกล่าวนั้น
เขาถามแฮวอนต่อโดยที่ยังไม่ผละวงแขนแกร่งออกจากร่างบอบบาง
“เปล่าค่ะ”
เสียงแฮวอนฟังดูเบาเหลือเกิน เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้ชิดกับเขามากจนแทบต้องกลั้นหายใจแล้ว
“คุณปล่อยฉันได้แล้วค่ะ”
“กลัวหลง”
จองกุกบอกแค่นั้นก่อนจะคลายวงแขนลงแต่ก็ยังโอบรั้งแฮวอนไว้หลวมๆ
เขาใช้ร่างกายของตัวเองกำบังเธอไว้จากคนอื่นๆ
แรงดันเบาๆจากคนข้างหลังทำให้แฮวอนต้องยอมเดินไปตามทางที่จองกุกต้องการ
แค่หลงทางครั้งเดียวนี่กลายเป็นเรื่องยาวเลยแฮะ
เธอบ่นอุบอิบในใจ จองกุกชอบทำเหมือนกับเธอเป็นเด็กเหลือเกิน
เอะอะก็กลัวว่าเธอจะหลงทาง ถึงเขาจะออกตามหาเธอทุกครั้งก็เถอะ
แต่พอคิดอย่างนั้นแฮวอนก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที
นั่นไม่ได้ความว่าเขาเป็นห่วงเธอหรอกหรือ
[ต่อ]
ทางที่จองกุกบังคับให้เธอเดินมาเป็นส่วนไหนของสระก็ไม่ทราบ
แต่ว่าที่นี่ไม่มีใครเลย เป็นเพียงลานโล่งกว้าง
มองเห็นท้องฟ้าสีดำเหลือบครามได้กว้างไกลและพระจันทร์และกลุ่มดาวระยิบระยับ
สายลมพัดมาเบาๆพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกลิลลี่
ที่นี่เงียบสงบจนแฮวอนเผลอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อซึมซับบรรยากาศ
“แฮวอน”
“คะ?”
แฮวอนหันกลับไปทางด้านหลัง
จองกุกเพิ่งคลายอ้อมแขนลงก่อนที่เขาจะเรียกชื่อเธอ ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ
เธอไม่เข้าใจว่าเขาพาเธอมาทำอะไรที่นี่และกอดเธอไว้ทำไมเพียงแต่ไม่กล้าถามออกมา
พอนัยน์ตาคมกริบมองสบกับตาสีน้ำตาลอ่อน
ร่างบางก็ถูกรั้งเข้าไปในอ้อมกอดอบอุ่นอีกครั้ง
“ค…คุณจะทำอะไรคะ”
แฮวอนถามอย่างตะกุกตะกักพลางตะกุยแผงอกกว้างเท่าที่จะสามารถ
แต่ว่าอ้อมกอดเขารัดแน่นไปหมดจนเธอแทบหายใจไม่ออก
“อยากฟังอีกสักคำสารภาพมั้ย”
ประโยคที่กล่าวออกมาอย่างราบเรียบทำเอาแฮวอนชะงักไปชั่วคราว
ดวงตากลมเลื่อนมองใบหน้าคนตรงข้าม ก้อนเนื้อในอกถูกเร่งจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง
ราวกับว่ารอบข้างเงียบสงัดไปจนหมด
แฮวอนได้ยินพียงแต่เสียงลมหายใจที่พยายามสูดเข้าออกให้เป็นปกติกับเสียงเต้นตึกตักของใครสักคน
มันดังซะจนเธอชักไม่แน่ใจว่าเป็นของเธอคนเดียว
ลมหายใจอุ่นๆปะทะกับใบหน้าของเธออย่างผะแผ่วจนแฮวอนตัวเกร็งไปหมด
“ฉันไม่สนหรอกว่าเมื่อกี้เธอจะได้ยินหรืออะไรมาบ้าง
แต่ถ้าฉันไม่ได้พูดออกมา ฉันคิดว่าฉันแพ้”
แผ่นอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะที่จองกุกเปิดปากพูด
เพราะอยู่ใกล้ชิดกันแฮวอนเลยรับรู้ทุกการขยับขึ้นลงของแผงอกที่แนบชิดกับตัวเธอ
“…”
“คนที่ไม่กล้าพูดออกมาแม้กระทั่งความคิดของตัวเองคงเรียกว่าขี้ขลาดใช่มั้ย
เพราะฉะนั้น…”
จองกุกว่าพลางเลื่อนสบนัยน์ตาสีสวยที่มองจ้องเขาไม่กะพริบพร้อมกับดวงหน้าที่ซับสีระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ
“ฉันชอบเธอแฮวอน ฉันไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ตอนนี้ฉันชอบเธอ”
“ค…คุณ…” แฮวอนครางอย่างไม่อยากเชื่อ เธอได้รับคำสารภาพสองครั้งทั้งที่เหตุการณ์ที่ว่าห่างกันไม่ถึงสิบนาทีดีเนี่ยนะ
“นั้นแหละที่ฉันอยากให้เธอรู้”
จองกุกว่าอย่างไม่เขินอายสักนิด “รู้เอาไว้ว่าฉันชอบเธอ และคงจะดีถ้าเธอก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
“คุณจองกุก
ฉัน…”
“ถึงฉันไม่ได้หวังคำตอบอะไรจากเธอ
แต่ฉันไม่อยากฟังคำปฏิเสธหรอกนะ” จองกุกแทรกขึ้นมาอย่างนั้นจนแฮวอนปิดปากสนิท
ใบหน้าหวานก้มลงหลบสายตา
เรือนผมนุ่มเสียดสีกับลาดไหล่กว้าง
ความอึดอัดใจส่งผลให้แฮวอนต้องระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
เรียวแขนบางทิ้งลงข้างตัวราวกับยอมแพ้แล้วตอนนี้
“นั่นมันทำให้ฉันหนักใจนะคะ”
แฮวอนว่าเสียงเบา “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย”
“มีคนชอบนี่คือไม่ชอบหรือไง”
จองกุกแกล้งหยอก เขาพยายามทำตัวอารมณ์ดีทั้งที่หัวใจเต้นตึกตักไปจนหมด
ฝ่ามือหนาเลื่อนมาลูบผมหนานุ่มเบาๆ
ตอนแรกเขาก็คิดว่าจะไม่พูดมันออกมาหรอก
แต่พอเห็นว่าแทฮยองทำแล้ว เขาเองก็ต้องทำบ้าง จองกุกไม่ได้มองว่ามันเป็นการแข่งขัน
แต่มันจะยุติธรรมกว่าถ้าแฮวอนได้รับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของเขา
“…แบบนี้มันดีเกินไปค่ะ สำหรับคนอย่างฉัน”
เพราะพวกคุณดีแบบนี้ยังไง
ฉันเลยเริ่มกลัวว่าสักวันพวกคุณจะเปลี่ยนไป
แฮวอนใช้เวลาอยู่ในเพรย์ลูน่าก่อนจะเดินทางกลับในวันพรุ่งนี้อย่างสนุกสนาน
แต่ก็เพียงภายนอก ความว้าวุ่นทุกอย่างแล่นไปมาในหัวของเธอไม่หยุด
แฮวอนไม่รู้จะจัดลำดับความสำคัญยังไงแล้ว ทั้งเรื่องคำสาป
ทั้งเรื่องความรู้สึกที่ได้รับจากจองกุกและแทฮยอง
หน้าผากมนซบลงกับโต๊ะ
แฮวอนนั่งที่โต๊ะระหว่างที่คนอื่นๆอาสาออกไปซื้อขนมกินเล่นรอเวลาที่งานอาบแสงจันทร์ของมูนสโตน
อัญมณีศักดิ์สิทธิ์ของเพรย์ลูน่าจะเริ่มขึ้น
เธอรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก
เพียงแต่บางอย่างพร่ำบอกว่าให้จับตามองค่ำคืนอย่าให้กะพริบตา
พิธีเริ่มขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ตกดินได้ราวชั่วโมงครึ่ง แฮวอนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่เพรย์ลูน่าเห็นดวงจันทร์ชัดเจนแล้วดวงใหญ่มากแค่ไหน
แม้ว่าคืนนี้จะไม่ใช่คืนเดือนเพ็ญแต่ว่าแสงสว่างจากดวงจันทร์ไม่เต็มดวงก็ได้สาดส่องลงมาบนพผืนดินแล้ว
ลานหินอ่อนถูกประดับไปด้วยกลีบดอกกุหลาบสีเหลือง
ลวดลายบนพื้นเป็นรูปใบหน้าของหญิงสาวบนดวงจันทร์ที่ถูกสลักอย่างสวยงาม
ชาวเมืองทุกคนของเพรย์ลูน่าได้ยืนล้อมรอบลานซินเธียเอาไว้
ส่วนคนนอกอย่างแฮวอนนั้นได้เพียงแต่มองพิธีการอยู่ไกลๆ
เสียงบรรเลงของเครื่องสายดังขึ้นก่อนที่ร่างอรชรของหญิงสาวบริสุทธิ์ในชุดสีขาวสะอาดและปักเลื่อมสีเหลืองทองจะร่ายรำเข้ามา
ตามมาด้วยร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมสีขาวบริสุทธ์ ดวงหน้าหวานถูกคลุมด้วยผ้าบางๆ
รัดเกล้ารูปพระจันทร์เสี้ยวที่ประดับเหนือหน้าผากมน
เธอเหยียบย้ำเข้ามาด้วยเท้าเปล่าก่อนที่นางรำคนอื่นๆจะเริ่มโยกย้ายไปรอบตัวของร่างสวยสง่า
กลีบกุหลาบสีเหลืองถูกโปรยลงในสระน้ำที่ผุดขึ้นมาจากวารีเวท
ยิ่งพวกเธอเคลื่อนไวท่วงท่า
สายน้ำก็หมุนวนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนละอองน้ำก่อตัวเป็นผลึกสีเหลืองอ่อนและครอบคลุมร่างของเทพธิดาจันทราเอาไว้
พลันพลอยสีน้ำนมก็เคลื่อนตัวออกมาจากรัดเกล้า
มันสาดแสงสีนวลไปทั่วบริเวณจนดึงสายตาทุกคู่ให้อยู่ตรงจุดเดียว
วูบหนึ่งที่ไอสังหารแผ่ออกมาจากคนที่ยืนอยู่ในมุมลับตาจนขนอ่อนลุกชัน
แฮวอนหันมองรอบกายทันทีทันใดก่อนจะมองเห็นซูจองที่ยืนอยู่ข้างๆแทมิน
แต่ดวงตาที่ดูคล้ายกับไร้แววนั่นทำเอาแฮวอนสะดุดใจ
แสงจันทร์สาดส่องมายังร่างบางเป็นทาง แสงสีเหลืองนวลค่อยแทรกซึมผ่านบาเรียก่อนที่มันจะพุ่งตรงเข้าสู่มูนสโตนและสว่างเจิดจ้ามากกว่าเดิม
บาเรียสีเหลืองอ่อนค่อยๆสลายตัวออกไปจนปรากฏร่างของหญิงสาวที่ดูใสสะอาดผุดผ่องราวกับกับแสงจันทร์
“มูนสโตนได้รับการชำระล้างแล้ว!!!”
สิ้นเสียงประกาศเสียงดนตรีก็เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นมาจากแผ่นฟ้า
ทุกอย่างดูปกติดี ไหล่บางที่เกร็งมาหลายนาทีก็ค่อยๆผ่อนลง
ลมหายใจถูกระบายออกมาเฮือกหนึ่งก่อนที่แฮวอนจะขยับเท้าออกจากพื้นที่ที่ผู้คนคับคั่ง
แต่ไม่ทันไรร่างบางของเทพธิดาก็ล้มวูบไปกับพื้นพร้อมกับควันสีดำไร้ที่มาก็แผ่กระจายปกคลุมลานซินเธียไปหมด
เสียงโวยวายดังขึ้นระงม แฮวอนเองก็ตกใจแต่ก็พยายามควบคุมสติ
สายน้ำสีฟ้าจากสระรอบข้างถูกดึงขึ้นมาดับควันสีดำนั่น แต่เมื่อทุกอย่างสลายหายไปร่างของเทพธิดาก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว
“ออกตามหาเทพธิดา!!!”
เมื่อเสียงนั้นตะโกนขึ้นทั่วบริเวณก็เข้าสู่ความโกลาหลเต็มรูปแบบ
คนอื่นๆวิ่งหนีกันให้วุ่นเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
“แฮวอน รีบออกไปจากที่นี่”
ร่างสูงของแทฮยองก้าวมาประชิดตัวคนที่ยืนนิ่งก่อนจะคว้าแขนและกระตุกให้เธอตามไป
แต่ไม่ทันไรเสียงของซอจินก็ดังขึ้น เขาจึงจำต้องหันมากำชับแฮวอนแทนที่จะพาเธอออกไปอย่างปลอดภัยอย่างที่ตั้งใจ
“รีบออกไปรวมตัวกับคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีๆ”
“แทฮยองไปดูแลทางเหนือ เร็ว!” เสียงตะโกนสั่งของซอกจินที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้เขาต้องยอมละสายตาจากแผ่นหลังบาง ก่อนจะเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็วไปยังทิศทางที่ซอกจินสั่ง ใบหน้าคมคายพยักเล็กน้อยให้เพื่อนรักก่อนที่ร่างของพญาอินทรีจะโผบินขึ้นฟ้าเพื่อดูแลและควบคุมเหตุการณ์จะข้างบน
ความวุ่นวานด้านนอกค่อยๆสงบลงหลังจากที่กันประชาชนคนอื่นออกไปได้แล้ว
แต่ที่น่าวิตกกังลตอนนี้คือไม่มีใครหาตัวเทพธิดาพบสักคน
ยุนกิก้มลงสำรวจพื้นที่เกิดเหตุอีกครั้งก่อนจะพบเศษซากบางอย่าง
ส่วนคนอื่นๆกระจายตัวปิดล้อมพื้นที่ใกล้เคียงเอาไว้
ผลึกแก้วที่มอดไหม้สีดำนั่นทำให้เขามั่นใจว่าคนที่ลงมือทำเรื่องอุกอาจเป็นซูจอง
ของประเภทนี้หาได้แค่ในห้องเก็บอาวุธของจุนฮยอกเท่านั้น
และคนที่จะนำมันมาถึงเพรย์ลูน่าได้ก็คงเป็นแค่เธอเพียงคนเดียว แต่เพราะอะไรกันซูจองถึงได้ทำแบบนั้น
ถ้าเธอลงมือทำอะไรกับแฮวอนยังดูมีความเป็นไปได้มากกว่าซะอีก
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้
แทฮยองไม่ได้มีความรู้สึกกับซูจองแล้ว เขาดูออก
คงจะมีเพียงคนดื้อด้านไม่ยอมรับความจริงอย่างซูจองนั้นแหละที่ไม่เปิดหูเปิดตารับรู้อะไร
เอาแต่จมปลักกับความคิดเดิมๆ
ยุนกิเองก็ไม่แน่ใจว่าซูจองรักแทฮยองจริงๆหรือเป็นแค่เพียงความรู้สึกหวงก้างตามประสาคนที่เคยได้ทุกอย่างมาครอบครองหากต้องการ
และตอนนี้คนที่แทฮยองรู้สึกด้วยคนบุคคลลึกลับอย่างแฮวอน
แม้ภายนอกยุนกิจะดูเป็นคนไม่สนใจอะไรมากนักแต่ไม่ใช่กับคนรอบข้าง
เขาใส่ใจทุกสิ่งและจับตามองทุกความเป็นไปของคนใกล้ชิด เขารู้แต่ทำเหมือนไม่รู้
เห็นแต่แกล้งทำไม่เห็น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างแฮวอนกับจองกุกและแทฮยอง
ทั้งสองคนนั้นให้ความสำคัญกับหญิงสาวมากอย่างที่ยุนกิไม่เคยเห็น
เพียงเท่านั้นก็ตีความหมายได้ว่าความรู้สึกอ่อนไหวได้มาเยือนน้องชายทั้งสองคนของเขาแล้ว
อยู่ๆรอบกายกลับเงียบสงัดลง
เสียงฟ้าร้องคำรามแว่วมาแต่ไกลรวมทั้งประกายปลาปแปลบสีขาวที่ปรากฏอยู่บนแผ่นฟ้าสีดำสนิท
เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาพร้อมกับลมหอบหนึ่งที่ทำเอาขนลุกวูบ บางอย่างที่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ทำเอายุนกิรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
และเมื่อหันมอง
ยุนกิก็ถึงขั้นสบถออกมาเมื่อตอนนี้เขากำลังเผชิญกับบางสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิต
ร่างสูงใหญ่พวกนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีดำสีมอซอและขาดวิ่น
พวกมันลอยอยู่เหนือพื้น ไอเย็นเยียบแผ่กระจายออกมาจากตัวของพวกมัน
ใบหน้าเห็นได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากส่วนหมวกนั้นคลุมมาจนถึงช่วงปลายจมูก
แต่ที่แน่ๆเขาไม่อยากเข้าใกล้มันสักนิด
“เวร! นี่มันอะไรกันวะ!”
ความคิดเห็น