คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ♦ 11 JUSTICE ♦
11
♦ JUSTICE
แฮวอนเดินออกจากห้องพักโดยมีพวกเขาสองคนเดินตามต้อยๆ
ก่อนหน้านั้นเธอก็เพียงแต่โค้งหัวให้เล็กน้อยแล้วเร่งฝีเท้าจากมาทันที
แต่ก็อย่างว่า เธอไม่เคยสลัดพวกเขาพ้นเลยสักครั้ง ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ
เพราะฉะนั้นแฮวอนจะตีหน้ามึนอย่างนี้นี่แหละ
กว่าจะไร้เงาพวกเขาก็ตอนที่แฮวอนเจอกับเพื่อนพอดี
พอหันไปดูก็ไร้ร่างของอาจารย์ทั้งคู่แล้ว แฮวอนปล่อยให้อูจินและซอนโฮเดินคู่กัน
ส่วนเธอก็เดินกับโซฮเยเพื่อนผู้หญิงที่คนเดียวในบลูซีโน่
ทั้งสองคนก็พูดคุยตามประสาผู้หญิงและแวะดูร้านดอกไม้น่ารักๆบางร้าน
ผ่านไปนานๆก็เหลือเพียงแฮวอนกับโซฮเย
ส่วนสองหนุ่มคู่หูนั่นเดินไหนไปส่วนไหนของตลาดแล้วก็ไม่ทราบ
“เดี๋ยวก็คงเจอกันแหละ
ไม่อย่างนั้นก็กลับไปโรงแรมแล้วกันเนอะ”
แฮวอนพยักหน้าเออออกับโซฮเยก่อนจะจูงมือกันไปในร้านขายอุปกรณ์ศิลปะแห่งหนึ่ง
โซฮเยที่ชอบวาดรูปตรงไปยังโซนสีและพู่กัน ส่วนแฮวอนก็เดินด้อมๆมองๆรูปวาดในร้าน
ร้านแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวางและตีกรอบด้วยกระจกทำให้มองเห็นความเป็นไปข้างนอกได้ด้วย
เธอไล่ดูตั้งแต่รูปวาดสถานที่ ภาพเหตุกาณ์ต่างๆไปจนกระทั่งรูปวาดของบุคคล
ขาเรียวชะงักลงเมื่อเห็นรูปภาพชายสองคน
ในมือพวกเขาถือถ้วยรางวัลหน้าตาคุ้นๆ
ใบหน้าอ่อนเยาว์แต่แฝงด้วยความชาญฉลาดของคนตรงหน้าทำให้เธอยิ้มออกมา
“เมื่อก่อนพ่อก็หล่อใช่เล่นนี่”
ภาพที่เห็นคือภาพจำลองวันที่พ่อของเธอและคิมแทฮยอนชนะการประลองเวทในวันสถาปนาโรงเรียน
ถ้วยรางวัลสีเหลืองทองในภาพคืออันเดียวกับที่เธอเห็นในโถงเกียรติยศ
หนูหวังว่าพ่อจะยังอยู่จริงๆนะคะ
ฉับพลันนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เหลือบเห็นแผ่นหลังคุ้นตา
ผมยาวสีดำสลวยถูกถักเปียสองข้างและร้อยด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนที่แฮวอนจำได้ว่าเธอเป็นคนถักเองกับมือ
ร่างบางเลิกสนใจสิ่งรอบข้างก่อนจะวิ่งออกจากร้าน
แฮวอนรีบมองหาเด็กสาวคนนั้นอย่างเร่งรีบก่อนจะเห็นแผ่นหลังบางไวๆตรงหัวมุมถนนที่ห่างออกไปอีกสามตรอก
แฮวอนเร่งฝีเท้าเต็มที่ ปากก็ตะโกนเรียกชื่อของคนที่หวังจะเจอ
“แชยอง!”
กว่าที่แฮวอนจะปลีกตัวออกมาจากกลุ่มคนคับคั่งที่มุงดูการแสดงข้างถนน
ตรงหัวมุมนั้นก็ไม่ปรากฏร่างที่ดูคุ้นตาแล้ว
ไม่ว่าจะหันมองไปทางไหนก็ไร้วี่แววจนแฮวอนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
มือบางรวบเสยผมด้วยอย่างเคร่งเครียด
“พี่เป็นห่วงเธอแทบบ้าแล้วแชยอง”
ท้ายที่สุดแฮวอนก็เดินคอตกกลับไปที่ร้านอุปกรณ์ศิลปะแต่กลับพบว่าร้านแขวนป้ายประกาศปิดทำการและโซฮเยก็ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วด้วย
ร่างบางเลยจำใจหมุนตัวกลับแล้วเริ่มออกตามหาเพื่อนสาว
พยายามจะเดินไปยังร้านที่คาดว่าซอนโฮหรือโซฮเยจะไป
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบก่อนที่ความจริงอย่างหนึ่งจะประจักษ์
แฮวอนกำลังหลงทาง!
เพราะเอาแต่เดินทะลุตรอกนั้นตรอกนี้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายเธอก็จำทางกลับไปโรงแรมไม่ได้
แม้ว่าแฮวอนจะความจำดีแต่เพราะคนที่พลุกพล่านและสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกันทำให้เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของตลาด
เสียงกังวานของนาฬิกาตีดังเจ็ดครั้งบอกเวลาหนึ่งทุ่ม
นั่นแสดงว่าเธอพลาดมื้อเย็นแถมยังหลงทางไม่ต่างจากเด็กๆ
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆลานน้ำพุ
ยิ่งค่ำลงตลาดของบาเรนซ่ายิ่งคึกคัก ผู้คนรายล้อมตัวแฮวอนไปหมด
มีเสียงดนตรีบรรเลงแว่วมาตามลมและเสียงพูดคุยและหัวเราะแต่เธอกลับพบว่าตัวเองไม่ได้สนุกไปกับมันเลยสักนิด
แฮวอนอยากเจอแม่
เจอน้อง และสุดท้ายเธออยากเจอพ่อ แม้ว่าอย่างสุดท้ายจะคล้ายจะเป็นเหมือนกับฝันกลางวันก็ตามที
เธอยันข้อศอกลงกับเข่าก่อนจะวางคางลงไป
ดวงตากลมหลุบมองพื้นอิฐสีทรายที่ปูไว้โดยรอบ
ลมหายใจเฮือกหนึ่งถูกระบายออกมายาวเหยียด แฮวอนกำลังรู้สึกเคว้งคว้างอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งปวดขา ทั้งหิวข้าวแถมยังว้าวุ่นใจไปหมด เหนื่อยจนอยากวูบหลับมันไปซะตรงนี้
“แฮวอน…”
เธอหลุดออกจากภวังค์เมื่อเสียงทุ้มของใครบางคนเรียกชื่อเธอ
ดวงตากลมโตค่อยๆเลื่อนขึ้นมองร่างสูงตรงหน้า
ริมฝีปากบางเฉียบได้รูปค่อยๆคลี่ยิ้มน่ามองก่อนจะถามเธอ
“ใช่มั้ย
นี่พี่เองไง”
“สรุปว่าแฮวอนไม่ได้กลับมากับเธอเหรอ”
“ใช่
ก็เราอยู่ในร้านอุปกรณ์วาดรูป พอฉันหันกลับมาเธอก็ไม่อยู่ในร้านแล้ว”
โซฮเยที่หน้าเสียไปถนัดเมื่อกลับมาแล้วไม่พบแฮวอน “อีกแปบนึงร้านก็ปิดพอดี
ฉันเลยออกมาข้างนอก พอเห็นคนที่เหมือนแฮวอนก็เลยตามไปแต่ก็ไม่ใช่
ฉันมองหาเธออยู่หลายนาทีก่อนจะตัดสินใจกลับมานี่แหละ”
พอได้ยินสิ่งที่โซฮเยบอกทั้งสามคนก็นิ่งไปทันที
เหลือบมองนาฬิกาเรือนใหญ่ของโรงแรมก็พบว่าเหลือไม่ถึงสิบนาทีอาหารมื้อค่ำก็จะเริ่มแล้ว
นักเรียนคนอื่นๆทยอยเข้าไปยังห้องอาหารเว้นแต่พวกเขาทั้งสามที่ยังยืนจับกลุ่มปรึกษากันอย่างคิดไม่ตก
บาเรนซ่าเป็นเมืองที่พระอาทิตย์ตกเร็ว
เพียงแค่หกโมงเย็นท้องฟ้าก็เริ่มมีดวงดาวขึ้นมาประดับแล้ว
“แล้วเราจะทำไงดี
ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้วนะ”
“ไปบอกอาจารย์เหอะ”
ซอนโฮคือหน่วยกล้าตายที่ออกหน้าไปแจ้งอาจารย์ว่าแฮวอนหายตัวไปโดยมีเพื่อนอีกสองคนที่หลบอยู่ข้างหลังเสาต้นใหญ่ก็ยังอุตส่าห์มีน้ำใจชะโงกหน้ามาให้กำลังใจคนที่ขาสั่นพั่บๆอยู่ตอนนี้
“อ…อาจารย์ครับ” นักเรียนตัวสูงทำใจกล้าออกปากเรียกอาจารย์คนสุดท้ายที่ยังไม่ได้เดินเข้าไปในห้องรับประทานอาหาร
“ครับ?
คุณซอนโฮ มีอะไรครับ” คิ้วเข้มเลิกคิ้วเหมือนรอฟังเมื่อซอนโฮยังไม่หลุดเสียงพูดออกมาสักคำ
“ถ้าคุณไม่พูดผมก็ไม่รู้นะครับ”
“คือว่า…แฮวอนหายตัวไปน่ะครับ”
“อะไรนะ”
จองกุกรีบออกจากโรงแรมอย่างเร่งรีบเพื่อตามหาคนที่หายไป
ดวงไฟสีนวลถูกเปิดให้ความสว่างตั้งแต่เส้นทางเล็กๆจากโรงแรมไปยังตลาดนัดที่ผู้คนคึกครื้น
ร่างสูงเดินเข้าไปยังตลาดนัดแสนวุ่นวาย
ดวงตาสีเข้มกวาดมองหาร่างสูงโปร่งของแฮวอนก่อนจะเริ่มตามหาตามตรอกซอกซอยเล็กๆที่แฮวอนอาจจะอยู่แถวนั้น
เหงื่อซึมตามกรอบหน้าคมคาย เขาวิ่งทะลุไปตามหัวมุมต่างๆแต่ก็ยังไม่เจอแฮวอนสักที
ปลายจมูกโด่งพ่นลมหายใจร้อนระอุออกมาครั้งหนึ่ง
มือหนาเสยเรือนผมสีเข้มขึ้นพลางขยี้มันอย่างนึกหงุดหงิด
“หายไปไหนของเธอนะแฮวอน”
ยิ่งมืดลงจองกุกก็ยิ่งร้อนใจ
ถึงแม้ว่าบาเรนซ่าจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองของเหล่าอัศวินมากมายแต่ว่าพวกอาชญากรรมก็ขึ้นชื่อไม่แพ้กัน
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่มาเยือน พวกนั้นมักใช้ช่วงกลางคืนออกก่อความเดือดร้อนและสถานที่ที่ชุกชมแบบนี้แหละที่พวกนั้นยิ่งชอบ
แล้วแฮวอนที่ทั้งเป็นผู้หญิงแล้วยังหลงทางแบบนั้นจะไม่น่าห่วงได้ยังไง
ทันทีที่ในกรอบสายตาปรากฏร่างบางที่นั่งอยู่ตรงม้านั่งที่ลานน้ำพุ
คนตัวสูงก็ไม่รีรอ จองกุกแทบจะวิ่งเข้าไปหาแฮวอนด้วยซ้ำจนลืมสังเกตไปเสียสนิทว่ามีร่างของชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
แฮวอนเผลอปล่อยริมฝีปากให้เผยอ
ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเธอก็จำได้ทันทีว่าคนตรงหน้าคือใคร รอยยิ้มอบอุ่นนั้นยังคงเหมือนวันวานจนเธอรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากเมื่อก่อน
แต่เสียงที่กำลังจะพูดออกไปก็หายไปในลำคอเมื่อจองกุกตรงเข้ามาคว้าข้อมือเธอไว้แน่นแล้วออกแรงดึงให้ร่างบางเดินตามเขาไป
“พี่…”
ดวงตากลมโตเลื่อนสบกับดวงตาเรี่ยวเฉี่ยวคล้ายสุนัขจิ้งจอกแต่แฝงไว้ด้วยความใจดีหลายส่วน
เธอเกือบจะเรียกชื่อเขาออกมาแล้วแต่หยุดเอาไว้ทัน
แฮวอนเพียงแต่คลี่ยิ้มจืดจางแล้วเร่งฝีเท้าตามจองกุกที่เอาแต่จ้ำไปข้างหน้าไม่หยุดพร้อมกับกับประโยคตำหนิเธอก็ดังมาแว่วๆ
แต่วินาทีนั้นแฮวอนแทบจะไม่ได้ยินคำต่อว่าของจองกุกเลย
เพราะเอาแต่นึกถึงคนที่เธอทิ้งไว้ข้างหลังนั้น…พี่ชายของแดเนียล
“…อย่าทำตัวเถลไถลอีก เพราะครั้งหน้าเธออาจจะเจอปัญหาเข้าจริงๆ”
มีแค่ประโยคสุดท้ายของจองกุกที่แฮวอนจับใจความได้
เธอค่อยๆผินใบหน้าไปมองคนที่เดินนำไม่กี่ก้าวแถมยังกระชับฝ่ามือเธอเสียแน่น
แฮวอนไม่เห็นประโยชน์ที่จะต่อล้อต่อเถียงเลยเลือกที่จะกล่าวคำขอโทษแม้ในใจจะคิดว่านั่นไม่ใช่ความผิดของเธอเลยแม้แต่นิด
“ฉันขอโทษค่ะ
แต่ว่าคุณจองกุกคะ…ฉันหิวข้าวค่ะ”
“…”
“ไม่ได้มีแผนอะไรทั้งนั้นค่ะ
ฉันหิวข้าวจริงๆ” แฮวอนบอกพร้อมกับทำตาปริบๆหวังให้อีกคนเห็นใจ
เธอหิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว
เสียงท้องร้องโครกครากจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินจนเธอขายหน้า มือบางเลื่อนแตะหน้าท้องแบนราบก่อนจะส่งสายตาอ้อนวอนอีกที
“…งั้นก็ตามมา”
มือหน้าคว้ากำข้อมือบางไว้หลวมๆอีกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางการเดิน
จองกุกพาแฮวอนเดินเข้าไปในตรอกที่อยู่ใกล้สุดแทนที่จะกลับเข้าโรงแรมอย่างที่ตั้งใจตอนแรก
ทันที่ก้าวเท้าเข้ามาควันอาหารหอมฉุยก็ลอยมาแตะจมูกทันที
ร้านรวงสองข้างทางล้วนเป็นร้านอาหารทั้งสิ้น
ฝ่ามือหนาขยับมาจับมือเธอแน่นเมื่อทั้งคู่ถูกคนอื่นๆเบียด
จองกุกไม่อยากให้แฮวอนคลาดสายตาอีกจึงตัดสินใจสอดประสานกับมือบางทันที เขาออกแรงกระตุกมือของเธอเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้คนตัวเล็กเดินตามมา
จองกุกพาแฮวอนเดินมาจนเกือบพ้นตรอกก่อนที่จะดันให้ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่ก่อนจะเดินหายไปสั่งอาหารให้คนที่บอกว่าหิว
ร่างสูงเดินกลับมานั่งข้างๆแฮวอนแล้วหันหน้าสบสายตากับคนที่มองเขาก่อนอยู่แล้ว
รอยยิ้มเจื่อนๆเป็นสิ่งแฮวอนมอบให้ก่อนจะเบนหน้าหนีไปอีกด้าน
นิ้วเรียกเกาแก้มตัวเองอย่างเก้อๆแล้วเลื่อนมองบรรยากาศรอบตัวเป็นการตัดความรู้สึกเก้อเขินออกไป
แผ่นหลังบางเอนพิงกับกำแพงตึกด้านหลัง เปลือกตาสีน้ำนมกะพริบช้าๆก่อนจะปิดลงเพราะความเหนื่อยล้า
หูของแฮวอนได้ยินเสียงรอบข้างแผ่วลงไปเรื่อยๆก่อนที่เธอจะตัดการรับรู้ไปโดยสบูรณ์แบบ
จองกุกหันไปด้านข้างเมื่อบางอย่างเอนลงมาซบตรงบ่ากว้าง
ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มออกมาทีหนึ่งเมื่อเห็นว่าแฮวอนเผลอหลับหมดสภาพไปแล้ว มือขยับไปเอื้อมคว้าท่อนแขนเรียวที่จะตกลงไปข้างตัวอย่างรวดเร็วแต่ไม่ได้เป็นฝ่ายปล่อยมือ
แฮวอนก็ดึงมือเขาวางไว้บนหน้าตักของตัวเอง
ปลายนิ้วเรียวเกี่ยวเข้ากับฝ่ามือหนาคล้ายกับการบอกว่าอย่าเพิ่งปล่อยมือเธอตอนนี้
“อย่าวิ่งหนีพี่สิ…” เสียงหวานพึมพำออกมาราวกับตกอยู่ในภวังค์ความฝัน
ฝ่ามือบางบีบมือจองกุกแน่นขึ้นอีกนิด
“ก็อยู่ตรงนี้แล้วไง”
ฉันยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้หนีไปที่ไหนสักหน่อยแฮวอน นั่นเป็นสิ่งที่จองกุกคิดจะบอกอีกคนให้รับรู้เพียงแต่ว่าพูดออกไปตอนนี้ก็ยังไม่มีประโยชน์ก็เพราะแฮวอนดันหลับลึกจนกระทั่งแอบโดนจูบเบาๆที่หน้าผากแล้วยังไม่รู้ตัวเลย
กว่าแฮวอนจะรู้ตัวอีกทีก็เป็นตอนที่จองกุกสะกิดเข้าที่ไหล่
ดวงตากลมปรือขึ้นอย่างงัวเงีย
แต่พอเธอจะยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างเคยชินมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือบางเข้าทันที
จองกุกตีหน้าดุใส่คนที่ทำตัวคล้ายกับเป็นเด็กก่อนจะว่า
“เป็นเด็กหรือไงที่ต้องขยี้ตาน่ะ
เดี๋ยวก็ตาแดงหมด”
แฮวอนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
เธอโน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกคนแล้วถูไถใบหน้าลงกับแผงอกกว้าง ในเมื่อจองกุกไม่ให้เธอใช้มือเช็ด
เธอก็จะใช้เสื้อเขานี่แหละ
“ไม่ขยี้ตาแล้วมันปวดตาค่ะ
ปวดตุบๆเลยนะ” น้ำเสียงอู้อี้อธิบายติดคล้ายจะอ้อนไปด้วยเสียงค่อยๆขณะที่แฮวอนก็ยังไม่หยุดป้วนเปี้ยวอยู่ตรงอกเสื้อของคนตัวสูง
จองกุกเผลอกลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัว
พอก้มลงมองกระทำของแฮวอนเขาก็พบว่าปลายจมูกของตัวเองแทบจะจมลงไปในกลุ่มผมหนานุ่มแล้ว
ในอกเขาเต้นดังตึกตัก เสียงนั่นด้องก้องไปมาในความคิดเขา
จองกุกหวังว่าคนตรงข้ามจะไม่รับรู้ถึงมัน
ใบหน้าหล่อรื้นสีแดงขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นจนเขาอยากจะเบือนหน้าหนีอย่างไม่อยากให้แฮวอนเห็น
“อ่า…ฉันไม่ควรทำแบบนี้เนอะ”
แฮวอนถามเสียงเบาหลังจากที่ผละออกไปแล้ว
“เพิ่งรู้ตัวหรือไง”
จองกุกสวนกลับอย่างห้วนๆแม้เสียงเขาแทบจะไม่มีความนักแน่นเลยก็ตาม “ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นได้แล้ว
จะไปกลับโรงแรมสักที”
“คุณจองกุก
แล้วข้าวฉันล่ะคะ” คนที่เพิ่งโดนต่อว่าถามตาละห้อย เธอหิวมากจริงๆนะ
แทบจะไม่แรงเดินแล้วตอนนี้ ถึงหลับไปแล้วตื่นหนึ่งก็ยังไม่หายหิวสักที
“กินระหว่างกลับเนี่ยแหละจะได้กลับไปพักเร็วๆ
พรุ่งนี้เธอต้องตื่นแต่เช้า” จองกุกบอกแล้วยื่นทาโก้ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของบาเรนซ่ามาให้
แฮวอนรับอาหารหน้าตาน่ารับประทานมาแล้วกัดเข้าไปคำโตทันที
มือข้างหนึ่งถูกดึงให้ไปกำชายเสื้อของจองกุกไว้ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆเดินออกจากตลาดนัดและกลับไปยังโรงแรม
สถานที่แรกที่แฮวอนได้มาเยือนในวันรุ่งขึ้นคือปราการโอเรียนน่าของบาเรนซ่า
ที่ทำการใหญ่ที่สุดของเหล่าอัศวิน ภายในจะแบ่งเป็นปราสาทหลักและป้อมปราการย่อยๆอีก
มีทั้งสนามประลองที่กว้างกว่าของโรงเรียน
ทั้งยังมีโรงตีเหล็กสำหรับทำอาวุธที่ขึ้นชื่อว่าดีและมีคุณภาพที่สุดในการ์ดิเนียอีกต่างหาก
นักเรียนจากบลูซีโน่ได้เข้าชมสถานที่สำคัญภายในปราการอย่างใกล้ชิด
ไล่ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์นักรบที่เก็บชุดเกราะและอาวุธที่ขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานของการ์ดิเนียไว้
เครื่องแต่งกายยามออกรบถูกตีจากโลหะเนื้อดีและขัดจนเรียบ
ผิวมันวาวสีเงินสะท้อนกับสงไฟดูระยิบระยับ ส่วนอาวุธที่ตั้งแสดงไว้มีตั้งแต่ดาบ
หอก ทวน ธนูไปจนถึงอาวุธพกพาอย่างกริชและมีดสั้น ทุกอย่างดูขลังจนแฮวอนแทบจะไม่เฉียดกายเข้าไปใกล้เลย
จะยกเว้นก็แต่ซอนโฮและยงกุกนั่นแหละที่แทบจะเกาะกระจกดู
ร่างบางเดินรั้งท้ายแถว
มือบางป้องปากไว้ตอนที่หาว
ดวงตากลมที่รื้นน้ำตาเล็กน้อยเลื่อนมองรอบตัวอย่างสนอกสนใจ
แฮวอนปล่อยให้เพื่อนๆเดินนำอยู่ด้านส่วนตัวเองก็หยุดดูบางอย่างที่ดูน่าสนใจบ้าง
นัยน์ตาสีสวยกวาดอ่านข้อมูลที่ติดไว้พลางเก็บข้อมูลไปด้วยอย่างเคยชิน
เป็นเพราะอย่างนั้นแหละ พอหันกลับมาอีกทีทุกคนก็เดินไปจนสุดหัวมุมแล้ว
แฮวอนคงนึกว่าตัวเองถูกทิ้งไว้คนเดียวถ้าไม่เหลือบไปเห็นคนตัวสูงที่อยู่เยื้องข้างหลังไปเล็กน้อยเข้าซะก่อน
“อ่า
คุณแทฮยอง”
“เมื่อคืนหายไปไหนมา
ฉันเห็นว่าเธอกลับมาพร้อมจองกุก”
คนที่ทำหน้านิ่งไม่รีรอจะถามเรื่องข้องใจที่ติดค้างในห้วงความคิดตั้งแต่เมื่อคืน
เขาเห็นว่าคนที่หายไปตอนมื้อค่ำกับมาถึงห้องตอนดึกๆพร้อมกับจองกุก
แทฮยองเห็นว่าพวกเขาคุยกับอีกสองสามคำก่อนที่แฮวอนจะเดินเข้าห้องตัวเองไป และรอยยิ้มหายากของคนเป็นน้องปรากฏให้เขาเห็น
จองกุกอมยิ้มน้อยๆก่อนจะกลับเข้าห้องไปพร้อมกับการขยี้ผมแบเก้อเขิน
แทฮยองเองก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกนี้ว่ายังไงแต่เขารู้ตัวว่าไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่
ความรู้สึกแบบนี้มันไม่เกิดขึ้นมานานเท่าไหร่แล้วนะ…คงตั้งแต่เรื่องของซูจอง
เขาก็ไม่เคยรู้สึกวุ่นวายทั้งหัวใจและความรู้สึกอย่างกับเด็กวัยรุ่นเลยแฮะ
“อ่อ
คือว่าฉันหลงทางน่ะค่ะแล้วคุณจองกุกก็ไปเจอเข้าพอดี เราก็เลยกลับมาพร้อมกัน”
แฮวอนพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงธรรมดาแม้จะตงิดใจกับน้ำเสียงอีกฝ่ายเล็กน้อย
ทำอย่างกับหวงงั้นแหละ
แต่ว่าเขาหวงใคร จองกุกเหรอ…งั้นก็แปลกๆแฮะ
แทฮยองทำทีเป็นพยักหน้ารับรู้แม้จะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
หน้าที่ตามหาเธอมันควรจะเป็นของเขาสิ
แฮวอนเป็นคนในปกครองของบลูซีโน่ไม่ใช่เรดมอนเนิร์ค
“ถ้าต่อไปเกิดปัญหาอะไรขึ้น
คนที่เธอต้องนึกถึงคือฉัน คิดถึงฉันเป็นคนแรก ไม่ใช่คนอื่น”
“คะ?”
“ถึงนี่จะไม่ใช่คำสั่งแต่ฉันอยากให้เธอทำมันจริงๆนะแฮวอน”
แฮวอนได้แต่งุนงงกับอารมณ์ที่ดูไม่ปกติของแทฮยอง
ร่างสูงเดินนำหน้าเธอสองสามก้าว ทั้งคู่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของศูนย์บัญชาการของโอเรียนน่าที่อยู่ตรงส่วนกลางของปราการ
ขณะที่มองแผ่นหลังกว้างดูแข็งแรงเธอก็เอาแต่ครุ่นคิดถึงคำพูดของแทฮยองไม่หยุดแถมยังรู้สึกว่าหัวใจเต้นแปลกๆตอนที่เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มอย่างนั้นด้วย
ศูนย์บัญชาการของโอเรียนน่าเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่กินความสูงที่สองชั้น
บานกระจกแบบโมเสคที่เป็นลวดลายของอัศวินของปราการหลายคนสูงเกือบจรดเพดาน
แสงที่สาดส่องเข้ามาเป็นแสงสีนวลทำให้โถงไม่มืดสลัวมากเกินไป นักเรียนและอาจารย์ของบลูซีโน่กำลังฟังการอธิบายกลไกการป้องกันอาณาจักรจากอัศวินระดับสูงของปราการอยู่
ร่างบางรีบขยับไปรวมกลุ่มกับคนอื่นๆทันทีเพื่อหลีกหนีจากความรู้สึกอึดอัดที่ปกคลุมรอบตัวมาตั้งแต่อยู่กับแทฮยองตามลำพัง
แฮวอนก้มหัวน้อยๆให้แก่อาจารย์บางคนที่มองมาแต่ก็ไม่คิดจะหยุดอธิบายอะไร
เธอรีบเดินเข้าไปหาโซฮเยที่ยืนอยู่เกือบหลังสุด
“…ระบบการป้องกันของอาณาจักรมีทั้งหมดห้าระดับโดยปราการของเราจะเป็นคนดูแลทั้งหมด
ระดับแรก…” คนที่ยินอธิบายอยู่ด้านหน้ากำลังชี้ไปยังผังของอาณาจักร
เส้นสีดำแบ่งให้เห็นพื้นที่ของแต่ละเมือง จุดสีทองหมายถึงที่ตั้งของเมืองหลวง
ส่วนสีดำหมายถึงปราการของแต่ละเมือง สัญลักษณ์อื่นๆปรากฏคล้ายกับแผ่นที่ในคาบเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของนัมจุน
แต่ที่แตกต่างไปคือแนวม่านนตราของแต่เมืองแสดงขึ้นมาด้วย
“ส่วนเส้นสีแดงตรงนี้คือม่านมนตรา
และผมคงให้พวกคุณดูนานกว่านี้ไม่ได้เพราะถือว่าเป็นความลับอย่างหนึ่งของอาณาจักรนะครับ”
คนที่อธิบายบอกพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ พอเขาตวัดมือทีหนึ่ง
ผังของการ์ดิเนียก็หายไปทันที
ตอนนั้นเองที่แฮวอนเพิ่งจะสังเกตว่าอัศวินคนนี้หน้าตาละม้ายคล้ายกับแทฮยองมาก
เพียงแต่ว่าสีผิวไม่เข้มเท่าแทฮยอง เรือนผมเป็นสีแดงเพลิงและบนใบหน้าก็มีแว่นสายตาประดับไว้
เขาหันมาคลี่ยิ้มให้ทุกคนอีกครั้งก่อนจะเดินนำไปยังห้องพิพิธภัณฑ์อีกส่วนหนึ่ง
นั่นคงจะเป็นคิมแทมิน พี่ชายของแทฮยองสินะ
หลังจากที่อธิบายข้อมูลคร่าวๆ
แทมินก็ปล่อยให้ทุกคนเดินดูพิพิธภัณฑ์ตามอัธยาศัย แฮวอนอาศัยเดินตามคนอื่นไปเรื่อยๆ
บางทีก็เงี่ยหูฟังที่ซองอูโม้ไม่หยุดพร้อมรอยยิ้มขบขัน
ส่วนอาจารย์คนอื่นๆก็เดินคุมเชิงอยู่ด้านหลังเพราะว่าคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว
เรียกว่าเห็นมาตั้งแต่เด็กเลยก็ว่าได้
“ไม่เข้าไปทักพี่ชายหน่อยเหรอแทฮยอง”
โฮซอกที่กวาตามมองบันทึกสำคัญของปราการโอเรียนน่าถามก่อนจะเลื่อนสายตามองคนข้างๆที่เงียบมานาน
แทฮยองเพียงแต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่กินเส้นหรือมีเรื่องบาดหมางกับพี่ชาย เพียงแต่ว่าเพราะสิ่งที่ซูจองทำไว้มันทำให้เขารู้สึกไม่สนิทใจเท่าที่ควร
อีกอย่างใช่ว่าเขาทั้งสองคนจะเป็นพี่น้องที่สนิทสนมกันซะเมื่อไหร่
“แล้วนายเจอซูจองหรือยัง
ฉันว่าเห็นเธอแว้บๆตรงห้องรับรอง”
“ยังครับ
แล้วผมก็ไม่อยากเจอเธอด้วย”
โฮซอกส่งเสียงฮึมฮัมรับในคอและไม่ได้สอบถามอะไรต่อ
แทฮยองเองก็ปลีกตัวไปอีกด้านหนึ่งเพราะเห็นว่า
ร่างสูงจ้องมองชั้นหนังสือสูงลิ่วก่อนจะไล้ปลายนิ้วเรียวไปยังสันหนังสือแต่ละเล่ม
ตั้งแต่จำความได้แทฮยองก็ชอบมาขลุกตัวอยู่ในห้องพิพิธภัณฑ์
เขาชอบอ่านหนังสือมากกว่าการซ้อมดาบหรือการเรียนการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างพี่ชาย
“แทฮยอง”
เจ้าชื่อหันไปตามเสียงเรียกคุ้นหู
ก่อนที่แทฮยองจะเผชิญหน้ากับพี่ชายที่แก่กว่าแค่ปีเดียว แทมินดูไม่เปลี่ยนไปสักนิด
เขาแค่ดูโตขึ้นเท่านั้น
แววตาและน้ำเสียงใจดีที่ทำเหมือว่าแทฮยองเป็นเด็กยังคงเหมือนเดิมเช่นวันวาน
“ครับ”
“สบายดีใช่มั้ย”
แทมินเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคทั่วไป แต่สายตาที่เขามองแทฮยองอย่างเอ็นดูนั่นทำเอาคนเป็นน้องนึกหงุดหงิด
อย่าทำตัวเป็นคนดีนักหน่อยเลย
“ผมไม่ได้อ่อนแอ
เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องกังวลไปหรอก”
แทฮยองพยายามตอบด้วยเสียงที่ไม่ดูแข็งกระด้างมากเกินไป
“ยังไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
แทยองว่ายิ้มๆ นัยน์ตาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ
“ว่าแต่รู้แล้วหรือยังว่าเดือนหน้าพี่จะแต่งงานแล้ว”
แทฮยองมองหน้าอีกคนนิ่งๆก่อนจะย้อนถามเสียงเย็นชา
“ผมรู้แล้ว”
“พี่อยากขอโทษ
พี่รู้ว่าซูจองรักนาย ไม่ใช่พี่ แต่คนที่ต้องแต่งงานกับเธอ…”
“ผมไม่ได้รักเธอ
และพี่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาอธิบายเรื่องนี้เพราะผมไม่คิดจะสนใจ”
แทฮยองตัดบทอย่างราบเรียบ
ดวงตาคมกริบสบเข้ากับนัยน์ตาสีเหมือนกันครั้งหนึ่งแล้วหมุนตัวออกมาทันที
ร่างสูงหลบมุมไปยังอีกฝากหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ส่วนที่จัดแสดงรูปจำลองของผู้นำของปราการโอเรียนน่าแต่ละรุ่น
แต่กลับเห็นว่าร่างของแฮวอนยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับผู้ชายอีกคนหนึ่ง
ทั้งคู่ตอบโต้อะไรกันอยู่
แทฮยองเห็นรอยยิ้มจากคนที่ดูคุ้นหน้าค่าตาก่อนที่จะผู้ชายคนนั้นจะเหลือบเห็นเขา
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วกระตุกยิ้มบางเบาตรงริมฝีปาก
แทฮยองขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
และภาพที่เห็นต่อมาในวินาทีถัดไปคือมือหนาเอื้อมไปยีเรือนผมสีเปลือกไม้ของแฮวอนด้วยท่าทางสนิทสนม
จนความคุกรุ่นปะทุขึ้นในอกทันใด
…ไอ้หมอนั่นเป็นใคร
[ต่อ]
แฮวอนสอดส่องทุกอย่างที่ปรากฏให้เห็นในกรอบสายตา
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอเดินแยกออกมาจากกลุ่ม ดวงตากลมกวาดมองทุกอย่างด้วยความสงสัยใคร่รู้
แต่ทุกอย่างก็ชะงักลงเมื่อเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“แฮวอน”
แฮวอนยังไม่กล้าหันไปหาเขาเมื่อรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังคือใคร
ก้อนเนื้อในช่องอกซ้ายกำลังสูบฉีดเลือดเป็นจังหวะที่ถี่รัวขึ้นจนเธออยากจะยกมือขึ้นกดให้มันเบาบางลง
ความรู้สึกสมัยเด็กของเธอกำลังหวนกลับมาอีกครั้ง
ตื่นเต้น
ประหม่า และเขินอายต่อหน้าผู้ชายที่แอบปลื้ม
“พี่ยองเค…”
ริมฝีปากบางปล่อยชื่อของอีกฝ่ายมาอย่างแผ่วเบา
แฮวอนชักจะรู้สึกว่าหัวใจของเธอมันเริ่มไม่รักดี
มันเต้นรุนแรงเกินความจำเป็น เธอแทบจะบังคับให้ร่างกายไม่ให้สั่นไม่ได้
แม้แต่น้ำเสียงที่คิดว่าเป็นปกติยังแกว่งไปมากโขเลย
คนตรงหน้าเผยรอยยิ้มตรงมุมปากก่อนจะฉีกยิ้มกว้างขึ้น
ดวงตาชั้นเดียวของเขากลายเป็นมุมโค้งดูน่ารัก
ยิ่งเห็นเรือนผมสีส้มอมชมพูของเขาแฮวอนก็ยิ่งต้องบอกให้ตัวเองทำใจให้สงบแล้วแอบสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติ
เขาคือคังยองเคหรือไบรอัน พี่ชายแท้ๆของแดเนียล และเขาคือคนที่แฮวอนเคยแอบชอบสมัยยังเด็กอีกด้วย
“ใช่ครับ ก็นึกว่าเราจำพี่ไม่ได้ซะอีก ที่ตลาดนั่น”
ยองเคทิ้งจังหวะไว้และหมายถึงเรื่องตอนที่แฮวอนหลงทางก่อนที่จองกุกจะเข้ามาพาเธอเดินออกไปต่อหน้าต่อตาเขา
“ไม่เจอกันตั้งหลายปีเลยนะตั้งแต่ที่เราย้ายจากฟาราเวลไปอยู่ที่อื่น”
“…ค่ะ
แล้วพี่ไบรอันสบายดีมั้ยคะ” แฮวอนพยายามจะทำตัวให้เป็นปกติด้วยการถามกลับตามมารยาท
รอยยิ้มจืดเจื่อนเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอกำลังทำทั้งที่ในอกกำลังปวดตุบเพราะความเกร็งและประหม่า
“ฮึ
จะเกรงทำไมฮะ? พี่ดูน่ากลัวเหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ
ก็แค่เราไม่เจอกันนานแล้วฉันก็เลยรู้สึกเขินๆยังไงก็ไม่รู้”
“พี่เข้าใจแล้วล่ะ
แล้วแฮวอนมาทำอะไรที่นี่ล่ะ เราเป็นนักเรียนของพาราเดียงั้นเหรอ” ยองเคหัวเราะน้อยๆก่อนจะพยักหน้ารับหงึกหงัก
เขาเอ่ยถามแฮวอนอีกครั้ง
“ค่ะ
ปราสาทของเราได้รับรางวัลทัศนศึกษาที่บาเรนซ่ามาค่ะ”
“โชคดีที่พี่มาจัดการธุระให้ปราการที่นี่น่ะเลยได้เจอเราเข้าพอดี
ว่าแต่ผู้ชายที่ดึงมือเราออกไปตอนนั้น…เขาเป็นอะไรกับแฮวอนเหรอ
พอดีพี่เห็นว่าเขาดูจะเป็นห่วงเรามากเลยนะ”
อ่า…อย่ามาถามกันแบบนี้สิ
ฉันรู้สึกแปลกๆแล้วนะ
“เป็นอาจารย์ค่ะ
พอดีว่าฉันหายไปจากโรงแรมเพราะว่าหลงทาง เขาก็เลยออกมาตามหา”
“อย่างนั้นสินะ
อืม แต่ว่าโตขึ้นแล้วน่ารักกว่าเดิมเยอะเลยนะ” อยู่ๆคนตัวสูงก็เปลี่ยนเรื่อง
มือหนาเอื้อมมาลูบเรือนผมสีสวยเบาๆ
แฮวอนมัวแต่ตกใจกับการกระทำที่หุนหันจนไม่ได้สังเกตแววตาที่ทอประกายวาววับของยองเค
เธอคงลืมไปสินะว่าอีกคนขี้แกล้งมากแค่ไหนและตอนนี้เขากำลังทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้ให้โดยที่แฮวอนไม่ทันตั้งตัวซะแล้ว
“ไว้เจอกันที่ฟีเรนเซ่นะ”
“คะ?”
“พี่ต้องไปแล้วนะครับแฮวอน”
แฮวอนได้แต่มองตามร่าสูงที่เดินหายไปอีกทิ้ง
เธอขยับมือแตะผมที่โดนยีเบาๆเมื่อสักครู่ด้วยความมึนงงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดี
แม้จะไม่ได้เป็นความรู้สึกที่จริงจังและมั่นคง แต่ครั้งหนึ่งเธอก็เคยชอบเขาและความรู้สึกตอนนั้นมันไม่ได้หายไปง่ายๆ
“เป็นเหมือนตอนเด็กเลยแฮะ”
แฮวอนพึมพำอย่างนั้นก่อนจะหลุดรอยยิ้มมุมปากขึ้นมา
“ใคร?”
แฮวอนสะดุ้งตัวโยนเมื่อเสียงทุ้มนั้นดังอยู่ข้างหู
ไหนจะน้ำเสียงเย็นชาและออกจะห้วนสั้นนั่นอีก
เธอหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคนอย่าไวและไม่ใช่แค่หนึ่ง
“คุณจองกุก
คุณแทฮยอง…” เธอเรียกพวกเขาเสียงอ่อยๆ
แฮวอนชักจะทำตัวไม่ถูกเพราะรับรู้ถึงบรรยากาศแปลกๆที่รายล้อมรอบกาย
คล้ายๆมีทั้งน้ำแข็งเย็นเฉียบและร้อนรุ่มเหมือนกองเพลิง
ขนอ่อนเธอลุกเกรียวไปหมดแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจถามออกไป หวังให้ความกดดันในอากาศคลายลงไปบ้าง
ดวงตาสีสวยกลอกมองสลับไปมาระหว่างร่างสูงที่ยังไม่ยอมปริปากพูดอะไรทั้งคู่
“แล้วทำไมต้องทำตัวน่ากลัวแบบนี้ด้วยล่ะคะ”
“ก็…ก็แค่…”
จองกุกและแทฮยองเลื่อนสบตากันโดยบังเอิญ
เมื่อสักรู่พวกเขายืนอยู่ในระยะที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แน่นอนว่าความไม่พอใจต่างปะทุขึ้นเพียงเห็นว่าแฮวอนกับผู้ชายคนนั้นแสดงท่าทีเหมือนสนิทสนมกัน
พวกเขายังไม่เคยได้ลูบผมของคนตัวเล็กเลยสักครั้ง แล้วหมอนั่นมันเป็นใคร
อีกฝ่ายต่างเร่งให้หาคำตอบให้แฮวอนผ่านทางสายตา
จนกระทั่งเป็นแทฮยองที่พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก พอเห็นว่าคนเป็นพี่ทำอะไรไม่เข้าท่าจองกุกก็เลยรีบตีหน้าขรึมแล้วถามเสียงห้วน
“แล้วเมื่อกี้เธอคุยกับใคร”
“ก็คนที่รู้จักน่ะค่ะ”
“ขอขยายความมากกว่านี้หน่อย”
พอเริ่มตั้งสติได้ แทฮยองก็ถามต่อบ้าง
“นี่มัน…เรื่องส่วนตัวไม่ใช่เหรอคะ”
แฮวอนไม่ได้มีเจตนาจะกวนอารมณ์หรือทำให้พวกเขาหงุดหงิด
เพียงแต่เธอนึกว่านั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ พวกเขาอยากจะรู้ไปเพื่ออะไร
คนฟังหน้าชาไปครู่หนึ่งเพราะไม่คิดว่าเธอจะสวนกลับมาอย่างนั้น
พอแฮวอนเห็นว่าพวกเขานิ่งค้างเธอก็รีบพูดต่อเพราะกลัวพวกเขาจะเข้าใจเธอผิด
“ฉันก็แค่อยากรู้น่ะค่ะ
ว่าพวกคุณถามถึงทำไม”
“ถ้าแค่คนรู้จักก็บอกมาสักทีสิ”
อ้าว
เหวี่ยงใส่เฉยเลย จองกุกนี่ประจำเดือนขาดหรือไง ถึงจะแอบก่นด่าในใจ
แฮวอนก็ยอมอธิบายสิ่งที่พวกเขาถามแต่โดยดี
“เขาเป็นพี่ชายสมัยเด็กค่ะ”
“พี่ชาย?
เป็นแค่พี่ชายแล้วจำเป็นต้องถึงเนื้อถึงตัวขนาดนั้นเลย”
แฮวอนกระพริบตาปริบๆกับประโยคจากปากแทฮยอง
เธอสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดและโมโหปนอยู่ในน้ำเสียงของเขาหลายส่วนแต่กลับไม่ทราบสาเหตุของอารมณ์นั้นสักนิด
“แต่ก็แค่ลูบผมเองนะ…”
“อย่าเถียง!”
“แต่นี่เขาเรียกอธิบายต่างหาก…”
“เงียบ!”
พอได้ยินคำเตือนคำรบสอง
แฮวอนก็ปิดปากเงียบทันที เธอมองดูคนที่หายใจฮึดฮัดตรงข้าม
ในใจก็ครุ่นคิดว่าพวกเขาเป็นอะไรกันแน่
“พวกคุณ…ชอบฉันหรือไงคะ”
นั่นเป็นประโยคงี่เง่าที่สุดที่เธอนึกออก แต่ว่าแฮวอนก็ถามมันออกไปจนได้และปฏิกิริยาที่ได้จากคนฟังไม่ใช่อย่างที่เธอคาดไว้
แฮวอนนึกว่าจะโดนใครคนหนึ่งสวนกลับมาอย่างเช่น
‘อย่ามาไร้สาระ’ ‘ถามอะไรบ้าๆ’ หรือ‘เธออยากตายหรือไง’ อะไรทำนองนั้น
แต่ว่าสิ่งที่เธอเห็นในตอนนี้กลับเป็นอาการนิ่งค้างทำตัวเป็นหินไปซะอย่างนั้น
เสียงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ของใครคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
แฮวอนได้แต่กะพริบตาปริบๆ ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ว่าเธอก็เริ่มจะทำตัวไม่ถูกบ้างแล้วก่อนจะเห็นว่าใบหูของจองกุกขึ้นสีแดงจัด
แก้มเขาเองก็เริ่มซับสีระเรื่อไม่ต่างจากแทฮยองเลยเพียงนิด
นี่มันไม่ใช่อะไรอย่างที่เธอคาดหวังไว้เลยนะ!
“แฮวอน เราจะไปแล้วกันนะ”
ต้องขอบคุณโซฮเยที่โผล่หน้าออกมาเรียกเธอในจังหวะที่ต้องการพอดี
แฮวอนรีบหันหน้าไปหาเพื่อนก่อนจะหมุนตัวแล้วก้าวขาฉับๆไปหาโซฮเยอย่างรวดเร็ว
ปล่อยคนหน้าแดงไว้ข้างหลังสองคน
“อะไร!”
คนที่ถูกทิ้งไว้หันไปกระชากเสียงถามอีกคนอย่างนึกหงุดหงิดทั้งยังรู้สึกเสียฟอร์มอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วอะไร!”
แทฮยองก็ตอบด้วยเสียงห้วนจัดพอๆกัน
พวกเขาจ้องมองกันด้วยสายตาจิกกัดและฟาดฟันกันครู่หนึ่งก่อนจะส่งเสียงในลำคอแล้วสะบัดหน้าหนีกันไปคนละทาง
“เหอะ/เหอะ”
จีมินเป็นคนสุดท้ายที่เดินทางมาถึงบาเรนซ่า
ก่อนหน้านั้นนัมจุนได้มอบภารกิจให้เขาเดินทางไปยังปราการโดโนแวนที่ซึ่งรวมรวบข้อมูลข้าวสารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง
ข้อมูลทุกอย่างถูกกลั่นกรองให้เหลือเพียงแต่ความจริงเท่านั้น
แต่การที่จะได้ข้อมูลมากไม่ใช่ง่ายๆ เขาถึงต้องใช้เวลาเกินกว่าที่นัมจุนกำหนดไว้ไปตั้งหลายวัน
การประชุมถูกจัดขึ้นในคืนที่สองในบาเรนซ่า
พวกเขาใช้ห้องประชุมของโรงแรมสำหรับการพูดคุยและปรึกษากัน
ร่างสูงสมส่วนดูซูบซีดไปเล็กน้อย ใต้ตาคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัดแต่เขาก็ยังไม่ยอมพัก
จีมินตั้งใจจะรายงานทุกเรื่องที่เขาได้รับทราบมาให้ทุกคนฟังเร็วที่สุด
“ตอนแรกเรารู้แค่ว่าแฮวอนคือชั้นชนกลางจากวิลโลว์และสอบเข้าโรงเรียนแทนน้องสาวที่ป่วยของเธอ แต่บางอย่างฟ้องว่าไม่ใช่อย่างนั้น ตั้งแต่ผลทดสอบรอบสัมภาษณ์ การประลองเวท ความสามารถในการใช้พลังเวทและทักษะต่างๆที่เกินกว่าคนทั่วไปจะทำได้ รวมถึงเรื่องเรียนกับความรอบรู้อย่างเท่าที่เราจับตาดูกันมา”
“ข้อมูลที่ได้จากปราการโดโนแวนบอกว่าข้อมูลในทะเบียนของแฮวอนเป็นข้อมูลที่ถูกลบและเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดโดยที่ไม่สามารถสืบได้ว่าต้นตอมาจากไหนตั้งแต่ประมาณสิบปีก่อน
แต่ตอนนี้ผมได้ข้อมูลที่แท้จริงของเธอมาแล้ว” ทุกอย่างที่จีมินรายงานเรียกความสนใจได้ดีก่อนที่ดวงตาคมจะกวาดมองรอบวงและบอกเล่าทุกสิ่งอย่างที่เขาหาได้
“ที่จริงแล้วแฮวอนมีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่ฟาราเวล
มีน้องสาวหนึ่งคนชื่อคังแชยอง พ่อของเธอเป็นคนที่นั่น ส่วนแม่ของเธอคือฮันยอนจูเป็นคนจากเพรย์ลูน่า
และเธอคืออดีตเทพธิดาจันทราเมื่อยี่สิบปีก่อน”
แค่ฟังถึงตอนนี้พวกเขาก็ชักจะสนใจในตัวแฮวอนมากขึ้นอีก
เพรย์ลูน่าเป็นเมืองที่ปกครองด้วยระบบพิเศษ ที่นั่นไม่มีราชนิกุลของราชวงศ์ใด
แต่จะถูกปกครองโดยหญิงสาวพรหมจรรย์ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างดวงจันทร์และประชาชน
เทพธิดาแห่งจันทราจะถูกเลือกขึ้นทุกสิบห้าปีและมีสิทธิ์ปกครองเพรย์ลูน่าตราบใดที่ยังถือพรหมจรรย์อยู่
“ทั้งพ่อและแม่ของแฮวอนอยู่ในชนชั้นปราชญ์ เธอเองก็เช่นเดียวกัน
แฮวอนไม่ใช่ชั้นชนกลางในตอนแรก แต่กลับถูกลดขั้นฐานะลงเพราะเหตุผลบางอย่าง
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเรียนเก่งและมีความรู้มากขนาดนั้น” จีมินบอกก่อนจะเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งราวกับสิ่งที่จะพูดออกมาก็ทำให้เขาแปลกใจไม่แพ้กัน
“และส่วนที่สำคัญที่สุด เธอคือลูกสาวของคังชอล คนที่ถูกที่ปรึกษาของจักรพรรดิกล่าวหาในข้อหาวางแผนก่อกบฏและหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อสิบปีก่อน”
โฉมหน้าคนที่แฮวอนแอบชอบสมัยเด็ก555
(บอกเลยว่าเพราะรักและหลงล้วนๆ นั่งฟังเพลงวนไปเป็นอาทิตย์ง่ะ 555)
ความคิดเห็น