คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ♦ 10 WHEEL OF FORTUNE ♦
10
♦ WHEEL
OF FORTUNE
ร่างสง่างามของสัตว์ในเทพนิยายดำดิ่งสู่แผ่นน้ำเย็นยะเยือก
เขาสีเงินบริสุทธิ์เปล่งประกายใต้ผืนน้ำดำสนิท มันขยับตัวราวกับเคลื่อนไหวบนผืนดิน
ประตูเหล็กสนิมเขรอะที่ถูกทิ้งไว้ตรงก้นบึ้งของทะเลสาบเป็นจุดมุ่งหมายของมัน
แสงสว่างเจิดจ้าของเขาเรียวแหลมทำให้สัตว์ต่างๆภายใต้ทะเลสาบไม่กล้าเยื้องกรายเข้าใกล้
ประตูบานหนาถูกวงมนตราพันเกลียวปกคลุมไว้โดยรอบ
ยูนิคอร์นสีขาวก้มลงใช้เขาของมันกดและลากไปยังจุดต่างๆเป็นรูปหกเหลี่ยมก่อนที่แสสว่างจ้าสีขาวจะปรากฏขึ้นและสว่างวาบไปทั่วผืนน้ำนิ่งสนิท
เฟืองตัวใหญ่ที่คล้ายกับเป็นลูกบิดของประตูบานนั้นค่อยๆบิดเกลียวเข้าหากันจนแน่นหนากว่าเดิมก่อนวงมนตราจะสว่างขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตากลมสุกใสกวาดมองทุกอย่างเพื่อตรวจตราความเรียบร้อยก่อนจะทะยานร่างขึ้นสู่เบื้องบน
ขนสีขาวสะอาดเปียกชุ่มไปหมด ยูนิคอร์นตัวโตสะบัดขนอยู่สองสามทีก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
ผมสีน้ำตาลแดงลู่ไปกับศีรษะทุย
มือเรียวลูบผมที่ปรกหน้าออกก่อนจะเดินเข้าไปหาหมาป่าตัวใหญ่ขนสีขาวแซมเทา ดวงตาคมกริบสีเหลืองสะท้อนให้เห็นแม้จะอยู่ในที่มืดก่อนที่ร่างสูงเจ้าของไหล่กว้างจะปรากฏตัวขึ้นตรงจุดเดิมที่หมาป่าเคยยืนอยู่
พวกเขาทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามแนวทะเลสาบที่อยู่ลับตาอย่างรวดเร็ว
ทางเข้าอุโมงค์ลับถูกพืชไม้เลื้อยสีเขียวปกคลุมจนทึบ มือหนาของซอกจินขยับมือบังคับคันโยกที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆให้ขยับเปิดทางให้แก่เขาและโฮซอก
อุโมงค์มืดสนิทค่อยๆปรากฏแสงสว่างเมื่อทั้งคู่ก้าวย่างเข้ามา
เปลวไฟสีแดงส้มถูกจุดขึ้นให้ความสว่างและดับลงเมื่อร่างสูงย่างกรายผ่านไป จากพื้นหินขรุขระค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นพื้นหญ้าสีเขียวชอุ่ม
สายลมอ่อนๆพัดปะทะร่างกายแข็งแรง
กลิ่นหอมของดอกไม้ลอยอบอวลในอากาศ ดอกของต้นพีชสูงใหญ่ไหวตามแรงลมจนกลีบสีชมพูของมันปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ
เบื้องบนคือท้องฟ้าสีครามที่ประดับด้วยดวงดาวสุกสกาวหลายดวง มีดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวตลอดเด่นบนแผ่นฟ้า
มันไม่เคยเปลี่ยนไปตามวันเวลาเพราะมันมีเอาไว้ควบคุมพวกเขายามที่ไม่สามารถบังคับตัวเองได้อย่างคืนข้างขึ้นและข้างแรมที่หมุนเวียนมาเยือนทุกเดือน
เสียงร้องของพญาอินทรีดังแหวกอากาศมา
วงปีกกว้างแข็งแรงกระพืออยู่กลางอากาศก่อนที่จะร่อนลงมาเกาะยังกิ่งไม้ท่อนใหญ่
กรงเล็บแหลมเกาะมั่นบนกิ่งไม้ตำแหน่งประจำ ขนปีกสีน้ำตาลเข้มเลื่อมสะท้อนกับแสงจันทร์
มันปล่อยบางอย่างลงมาที่พื้นแล้วกระพือปีกบินหายไปอีกครั้ง
ร่างสูงใหญ่ของสิงโตสีน้ำตาลทองและขาวบริสุทธิ์เดินพ้นเงามืดออกมา
เสียงคำรามสอดประสานกู่ก้องไปทั่วก่อนที่ร่างของสัตว์สี่ขาจะค่อยๆลดรูปกลับมาเป็นมนุษย์เช่นเดิม
สิงโตภูเขาที่กระโจนลงมาจากชะง่อนผาที่อยู่สุดขอบของพื้นที่ลึกลับแตะพื้นด้วยร่างของมนุษย์
ผมสีบลอนด์เงินปลิวไปตามแรงลมเช่นเดียวกับเสือดำที่กระโจนลงมาจากต้นไม้ใหญ่อีกด้านแล้วกลายเป็นร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาแทน
พื้นที่ตรงกลางของสวนกว้างเป็นโต๊ะวงกลมขัดเงาอย่างดี
แต่ละคนทยอยเดินเข้ามาร่วมกลุ่มและนั่งลงประจำที่ก่อนจะเป็นร่างสูงสมส่วนที่เดินเข้ามาเป็นคนสุดท้าย
จีมินกางแผนที่ที่เขาทิ้งลงบนพื้นก่อนจะเริ่มอธิบายอย่างละเอียด
“ปราการมาเดลินรายงานว่าตอนนี้เกือบทุกประตูทางเข้ามีการแปรปรวนของพลังเวททำการตรวจสอบคนเดินทางยุ่งยากขึ้น
จากที่ทางเหนือรายงานมาช่วงรอยต่อระหว่างอาร์มันโดและมาร์ธาเซนมีรอยร้าวของกำแพงเวทเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ…”
สถานการณ์ในอาณาจักรไม่ค่อยสู้ดีนักซึ่งเป็นเรื่องที่รู้กันแค่วงใน
ชาวเมืองคนอื่นๆยังใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันงานสถาปนาการ์ดิเนียถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด
แต่การที่พลังเวทในแต่ละเมืองเริ่มปรวนแปรแสดงถึงความสั่นคลอนของมนตราขั้นสูงที่ถูกวางไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ในการ์ดิเนียประกอบด้วยธาตุทั้งสี่คือดิน
น้ำ ลม และไฟ
ทุกธาตุกระจายกันอยู่ในแต่ละเมืองและถูกแบ่งแยกไว้โดยเขตมนตราเพื่อไม่ให้ธาตุที่เป็นคู่ข่มปะปนกัน
ประตูทางเข้าของแต่ละเมืองจะมีจุดลงมนตราไว้เพื่อปรับสภาพร่างกายของคนแต่ละธาตุที่จะเดินทางเข้าไปในเมืองนั้นๆ
และหากทุกธาตุปะปนรวมกันคงจะหนีไม่พ้นคำว่าโกลาหล
จิมินบอกเล่าถึงสถานการณ์ภานนอกพาราเดียก่อนจะเป็นแทฮยองและจองกุกที่ออกไปสำรวจประตูเมืองทั้งเหนือและใต้
“ไม่พบอะไรผิดปกติแม้แต่นิด”
ยุนกิพยักหน้ารับกับคำรายงานนั้น
เขาเหลือบมองนัมจุนที่กำลังใช้ความคิดแล้วย้อนถามถึงซอกจินและโฮซอกที่รับผิดชอบความปลอดภัยในโรงเรียน
“วางกับดักปฐพีไว้ทุกมุมแล้ว
แต่ก็อย่างที่รู้ว่าม่านมนตราที่คั่นระหว่างโรงเรียนกับชาโดว์แบลงค์อ่อนแอลงทุกที
อีกไม่นานคงจะสลายไป” ซอกจินเป็นคนรายงานก่อนแล้วหันไปส่งไม้ต่อให้โฮซอก
“ประตูที่เชื่อมกับชาโดว์แบลงค์ฉันร่ายมนตราซ้ำลงไปอีกครั้งแล้ว
แต่ก็อย่างที่รู้ มันอ่อนแอเต็มที คงจะรั้งไว้ได้อีกไม่นานหรอก”
“ตอนนี้สรุปว่าตอนนี้สิ่งที่เราทำได้เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
ส่วนเรื่องต้นเหตุนั่นน่ะมันยากเกินไป เราอยู่ในที่แจ้งส่วนพวกมันอยู่ในที่มืด
ไม่ว่ามองทางไหนเราก็เสียเปรียบ” นัมจุนว่าพลางถอนหายใจ
น้อยครั้งนักที่เขาจะเป็นอย่างนี้ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่ามันยากลำบากอย่างที่นัมจุนบอก
แม้กำลังคนจะมากกว่า
แต่ถ้าให้สู้กับศัตรูที่ไม่รู้จักก็มีโอกาสเพลี่ยงพล้ำ ยิ่งคนเจ้าแผนการที่พวกเขาเคยเผชิญเมื่อสิบปีก่อนอย่างซองจุนนั่นยิ่งไว้วางใจอะไรไม่ได้
เมื่อสิบที่แล้วการ์ดิเนียเกือบเสียท่า
ผลพวงที่ตกทอดมาถึงทุกวันนี้คือสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้…การกลายร่างเป็นสัตว์และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เป็นอะไรที่เลวร้ายเหลือเกิน
และหากพ้นราตรีของวันจันทรุปราคาครั้งที่สิบเอ็ด
พวกเขาจะไม่มีโอกาสกลับมาเป็นมนุษย์อีกตลอดกาล
“หวังว่าการไปบาเรนซ่าครั้งนี้คงจะทำให้อะไรดีขึ้นนะ”
แฮวอนนั่งหาววอดอยู่ที่โต๊ะอาหาร
เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับเกือบทั้งคืนเพราะภาพที่เห็น
แต่ครั้งนี้เธอไม่กล้าตามลงไปอย่างครั้งที่แล้วเพราะกลัวจะเจอเข้ากับแวมไพร์ไม่ก็พ่อมดเข้าให้ เธอจะไม่เสี่ยงอีกเด็ดขาด
บรรยากาศในห้องอาหารดูผ่อนคลายลงเพราะวันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายแล้ว
ส่วนผลสอบของนักเรียนทุกคนจะถูกติดไว้ตรงบอร์ดของห้องประชุมรวมในเย็นวันพรุ่งนี้และแน่นอนว่าทุกคนจะได้ทราบกันว่าปราสาทไหนจะได้ครอบครองรางวัลทัศนศึกษานั่น
แฮวอนเคยคิดว่าเธอคงจะได้คะแนนสูงสุดอยู่ไม่วิชาใดก็วิชาหนึ่ง แต่จากที่สอบผ่านๆมาเธอแทบจะไม่เหลือความมั่นใจเลยสักนิดเพราะข้อสอบช่างโหดหิน
แม้ว่าจะอ่านหนังสือทวนไปหลายรอบก็มักมีคำถามที่ไม่เคยอยู่ในห้องเรียนโผล่มาอยู่ร่ำไป
กว่าเสียงช้อนกระทบจานจะเงียบลงก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง
แฮวอนยังไม่ได้ลุกไปไหนเพราะเธอมีสอบตอนเที่ยงวันซึ่งเป็นวิชาจริยธรรมของซอกจิน
ร่างบางยังนั่งแกร่วมองคนนู้นคนนี้พูดคุยกันไม่รู้เบื่อ
ยิ่งเห็นซอนโฮกำลังเล่าเรื่องตอนประลองดาบก็หลุดยิ้มออกมาเพราะท่าทางที่เขาแสดงออกมาอย่างเกินจริง
คนที่กำลังหัวเราะหันไปตามแรงสะกิดเบาๆตรงลาดไหล่
เป็นแดเนียลนั่นเองที่เข้ามาทักเธอ
ร่างสูงนั่งลงข้างๆแฮวอนท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนที่ยังอยู่ในห้องอาหาร
ก็แน่นอนสิ เขาเป็นทั้งหัวหน้าหอพักแล้วยังหน้าตาดีอีก
เวลากระดิกตัวทำอะไรทีหนึ่งก็มีคนสนใจ
“มีอะไร”
แฮวอนถามเรียบๆแต่ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเย็นชาอย่างก่อนหน้า
เธอยอมวางลงให้ครึ่งหนึ่งก่อนเพราะเนื้อแท้แล้วเธอไม่อยากโกรธเขา
แต่ถ้าจะให้เธอเป็นเพื่อนกับลูกชายของคนที่ฆ่าพ่อของตัวเองแฮวอนก็ทำไม่ได้
และถ้าหากเรื่องราวไม่ได้เลวร้ายนักเธออาจจะกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาได้
“เรื่องที่ฉันบอกน่ะ
ทัศนศึกษาที่บาเรนซ่ามีปราการฟีเรนเซ่รวมอยู่ด้วย เธอควรจะปลีกตัวไปกับฉันตอนนั้น”
เขาบอกเสียงเบาเพราะเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว
“บาเรนซ่า?
นายแน่ใจหรือไงว่าบลูซีโน่จะได้ไปน่ะ” แฮวอนถามอย่างเยาะๆ ส่วนแดเนียลก็คลี่ยิ้มบางๆให้
มือหนาเอื้อมมายีผมหนานุ่มอย่างหมั่นเขี้ยวแล้วบอก
“ใต้ตาคล้ำแบบนี้อ่านหนังสือโต้รุ่งเลยสิท่า”
“แดน!” แฮวอนเอ็ดเสียงเขียว มือบางปัดมือของอีกคนออกก่อนจะชักสีหน้าใส่อย่างไม่ชอบใจนัก
แดเนียลก็รู้ว่าเธอไม่ค่อยชอบให้ใครเล่นหัวแต่เขาก็ยังแกล้งทำอีก
แดเนียลเอาแต่หัวเราะจนตาหยีลงเป็นเส้น
เขายังชอบท่าทางเหมือนลูกแมวขู่ฟ่อๆนี่ไม่เคยเปลี่ยน
เสียงหัวเราะเขาเรียกความสนใจจากซองอูจนประธานหอของบลูซีโน่รีบโผล่หน้าเข้ามากลางวง จ้องมองคนนั้นหันมองคนนี้ก่อนจะโพล่งออกมา
“ทำไมดูสนิทสนมกันจัง”
แฮวอนแอบตีลงที่หน้าตักแกร่งทีหนึ่งเมื่อแดเนียลเอาแต่ขำไม่หยุด
คนตัวเล็กเผลอย่นจมูกทีหนึ่งก่อนส่งสายตาให้แดเนียลเป็นคนตอบซองอูไป
“ก็ฉันกับแฮวอนสนิทกันไง”
คำตอบนี้ของเขาทำเอาแฮวอนลอบถอนหายใจเฮือกยาวทั้งยังกลอกตามองบนเล็กน้อยกับความคิดเองเออเองของแดเนียล
คนขี้ตู่
ฉันเลิกสนิทกับนายมาตั้งหลายปีแล้ว
“ไหงคราวที่แล้วบอกว่าแฮวอนเกลียดนาย ตกลงว่ายังไงกันแน่
แล้วจะสนิทกันได้ไงในเมื่อแฮวอนเด็กกว่าเราตั้งสามปี”
ซองอูถามขึ้นอย่างสับสนกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่
“เอ่อ…แฮวอนเป็นน้องสาวที่ฉันรู้จักมาตั้งแต่เด็กๆน่ะ ส่วนเรื่องที่เธอเกลียดฉัน
คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดล่ะมั้ง” แดเนียลบอกเสียงค่อยพลางช้อนสายตามองแฮวอนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
“ฉันหวังว่าความสัมพันธ์ของเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมเร็วๆ”
นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาสะท้อนให้เห็นความจริง
แฮวอนก็เลยพยักหน้ารับน้อยๆเพราะเธอเองก็หวังเหมือนกัน
ฉันก็อยากกลับไปเป็นเพื่อนนายเหมือนกันแดน
ภาพของคนสามคนอยู่ในกรอบสายตาของแทฮยอง
เขาแอบหงุดหงิดเล็กน้อยที่เห็นว่าสายตาที่แฮวอนมองแดเนียลมันอ่อนโยนลงและรอยยิ้มจางๆของเธอก็ดูอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยเห็น
ส่วนเพื่อนเขาอย่างซองอูก็เอาแต่คุยจ้ออะไรอยู่ก็ไม่รู้
“คุณแฮวอน”
กว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็เรียกชื่อเธอออกไปซะแล้ว
เจ้าของชื่อกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง
ดวงตากลมเลื่อนสายตาไปยังร่างสูงของอาจารย์ประจำหอพัก
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยแต่ก็ยอมลุกขึ้นแล้วเดินไปหาแทฮยองที่ยืนอยู่ใกล้ๆกับประตูทางออก
“คะ?
คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ…”
แทฮยองไปไม่เป็น อารามหงุดหงิดทำให้เขาเผลอเรียกเธออกมาโดยที่ไม่มีธุระอะไรทั้งนั้น
แค่อยากกันเธอให้ออกจากแดเนียลท่านั้น เหตุผลรองรับไม่มีหรอก มีแค่อารมณ์พาไปล้วนๆ
แฮวอนเอียงคอมองเขาอีกทีเพราะเห็นว่าอยู่ๆแทฮยองก็มีท่าอึกอักขึ้นมาซะดื้อๆ
ดวงตากลมส่งสายตาไปเร่งเร้าเอาคำตอบจากเขาอีกทีหนึ่ง
“อาจารย์นัมจุนมีเรื่องจะคุยกับเธอน่ะ”
เขารีบบอกทันทีที่เห็นว่าร่างสูงโปร่งของนัมจุนกำลังเดินผ่านมาพอดีทั้งยังออกปากเรียกคนเป็นพี่อย่างรวดเร็ว
“อาจารย์นัมจุนครับ ผมเรียกแฮวอนออกมาแล้ว”
อาจารย์วิชาประวัติศาสตร์และปรัชญาถึงกับขมวดคิ้วง่วน
แต่พอเห็นสายตาร้อนรนของแทฮยอง คนไหวพริบดีก็พอจะรู้เรื่องเลยทำตัวไหลไปตามน้ำ
“อ่า
ใช่ครับ คุณลืมเขียนเลขที่นั่งสอบของวิชาผมน่ะครับคุณแฮวอน”
“คะ?”
แฮวอนรับคำพลางนึกย้อนไปถึงข้อสอบที่ทำไปเมื่อสองวันก่อน
เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเขียนทุกอย่างครบแล้ว
ทั้งเวลาที่ส่งข้อสอบก็ต้องตรวจทานอีกรอบจากอาจารย์คุมสอบแต่ถ้านัมจุนว่าอย่างนั้นเธอก็ไม่มีอะไรต้องเถียง
“แล้วฉันต้องทำยังไงล่ะคะ”
“…ไม่ต้องทำอะไรครับ
ผมแค่แจ้งคุณไว้เฉยๆ ครั้งหน้าจะได้ไม่ลืมอีก”
นัมจุนบอกพลางเลื่อนสายตาไปยังแทฮยองที่แอบทำท่าโล่งอกพร้อมกับสะดุดใจน้อยๆ
แทฮยองกำลังเปลี่ยนไปหรือเปล่า
เวลาห้าโมงเย็นคะแนนของแต่ละคนถูกติดไว้ตรงบอร์ดตามที่โรงเรียนเคยแจ้งไว้
หน้ากระดานสี่เหลี่ยมก็แออัดไปด้วยนักเรียนหลายชีวิต แฮวอนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เธอถูกซอนโฮกระตุกแขนให้ฝ่าเข้าไปหน้ากระดานและปล่อยให้เธอมองหารายชื่อของตัวเอง
นิ้วเรียวจิ้มไปยังคะแนนแต่ละวิชาก่อนจะย้อนไปยังชื่อของตัวเอง
ทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งก็พบว่าตัวเลขที่ปรากฏอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
“ทำไมถึงได้เต็มร้อยล่ะ”
เธอครางอย่างไม่อยากเชื่อกับคะแนนของตัวเอง
ทั้งๆที่ข้อสอบออกจะยากขนาดนั้นแถมบางข้อเธอยังเขียนอะไรที่ไม่เชิงเป็นคำตอบลงไปอีก
ท่าทางเหล่านั้นอยู่ในวายตาของอาจารย์ประจำปราสาทบราวน์ดัชเชสและไวท์ดิเวลเลอร์ที่ยืนจับตามองร่างบางอยู่ไกลๆก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะหันมาคุยกันด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แฮวอนพิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ธรรมดา
ข้อสอบที่บางข้อไม่มีคำตอบเธอก็แก้มาให้รวมถึงบางเรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้เธอก็ยังหาคำตอบมาให้ได้
ฉันว่าเธอไม่ใช่ชนชั้นกลางธรรมดาแน่”
นัมจุนว่าพลางหันไปถามความคิดเห็นของพี่ใหญ่ทางสายตา
สำหรับเขาแฮวอนพิเศษกว่าใครคนอื่นตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอแล้ว
เขาสัมผัสได้ถึงพลังงานธาตุดินในตัวเธอทั้งที่ข้อมูลระบุว่าเธอมีน้ำเป็นธาตุหลักเพียงแต่ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา
และยิ่งเห็นการแข่งขันประลองเวทที่ผ่านมา
การใช้เวทจากธาตุทั้งสี่ได้คล่องแคล่วและไหลลื่นนั่นยิ่งห่างไกลคำว่าธรรมดาไปอีก
“ใช่…ให้จีมินสืบหาข้อมมูลของแฮวอนจากปราการโดโนแวน ครั้งนี้ต้องให้มั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มาจะไม่ใช่ข้อมูลเท็จอีก ฉันอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนจะเดินทางไปบาเรนซ่า เราต้องรู้ให้ได้ว่าแฮวอนเป็นมิตรหรือศัตรู ยิ่งเร็วยิ่งเป็นผลดีต่อเรา นายก็คิดอย่างนั้นใช่มั้ยนัมจุน”
“อื้ม
ยิ่งเร็วยิ่งดี”
แฮวอนเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วยความแปลกใจไม่หาย
เธอหันกลับไปทางบอร์ดอีกคนก่อนที่เสียงอูจินที่เพิ่งเดินตามมาทีหลังจะถามขึ้น
“คะแนนเป็นไงกันบ้าง
คนเยอะอ่ะเลยไม่ได้ดูของพวกเธอมาด้วย”
“ก็ดี
แล้วแฮวอนล่ะ เห็นทำหน้านิ่งๆมาตั้งแต่ตะกี้แล้ว ของเธอเป็นไงบ้าง” ซอนโฮตอบก่อนแล้วค่อยหันไปทางแฮวอน
“ก็ดีเหมือนกัน”
…ดีจนเกินคาดเลยล่ะ
ซอนโฮและอูจินยังคุยกันเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องคะแนนที่เพิ่งประกาศก่อนจะลามไปถึงรางวัลทัศนศึกษาที่จะรู้กันในอีกไม่กี่นาทีว่าปราสาทไหนจะได้รับไป
ส่วนแฮวอนก็นั่งฟังเงียบๆ ใจจริงเธออยากจะลุกขึ้นไปถามอาจารย์สักคนถึงคะแนนของตัวเองด้วยซ้ำ
“ถ้าข้อนั้นตอบน้ำยารูฟเวลไป
ฉันก็ได้คะแนนเพิ่มแล้วล่ะ”
“อ๋อ
ข้อที่ถามถึงวิธีปรุงยาฟื้นความจำใช่มั้ย”
“เดี๋ยวนะ
พวกนายพูดถึงเรื่องอะไรกัน” แฮวอนทักขึ้นเมื่อได้ยินประโยคสะดุดหู
“ข้อสอบวิชาปรุงยาเหรอ มีข้อนั้นด้วย?”
“อื้อ
ข้อที่สิบสองไง”
เธอไม่ได้ตอบรับเพียงแต่พยักหน้าเออออทั้งที่คำถามข้อที่ว่านั่นไม่อยู่ในหัว
แฮวอนไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าเคยเห็นมันผ่านตา
ยิ่งนิ่งฟังเรื่องข้อสอบเธอก็ชักรู้สึกว่าข้อสอบที่ซอนโฮและอูจินทำมันไม่ใช่แบบเดียวอย่างที่เธอทำ
นั่นหมายความว่าอะไรกัน
อาหารมื้อค่ำเป็นไปอย่างครื้นเครงเพราะไม่มีสอบแล้ว
คะแนนก็ออกแล้วทุกคนถึงได้ดูมีความสุขกันเหลือเกิน ช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนใกล้มาเยือนแล้ว
ทุกคนอยู่ในความสงบอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงกระดิ่งดังกังวาน
โต๊ะอาหารถูกเก็บให้เรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่วินาที
ตรงกลางห้องปรากฏร่างท้วมของผู้อำนวยการโรงเรียน
รอยยิ้มน้อยๆประดับบนใบหน้าใจดีของเขาอย่างเคย
“ทุกคนคงทราบคะแนนของตัวเองกันทุกคนแล้วใช่มั้ย
ผมขอให้มีความสุขกับมันนะครับ”
“ฉันไปเข้าห้องน้ำนะ”
แฮวอนกระซิบบอกเพื่อนที่โต๊ะก่อนจะปลีกตัวออกไปเงียบๆ เสียงของผู้อำนวยการยังไล่ตามหลังมากระทั่งมือบางดันประตูไม้บานใหญ่ให้ปิดลง
แผ่นหลังบางพิงลงกับประตูแล้วระบายลมหายใจออกมาเฮือกยาว
แฮวอนเพียงแต่หาข้ออ้างออกมาข้างนอกเพียงเท่านั้น เธอรู้สึกว่าตัวเองจะกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นๆเลยเลือกที่จะเลี่ยงออกมาก่อน
บรรยากาศที่เงียบสงบภายนอกช่วยให้แฮวอนผ่อนคลายลง
มือเล็กยกขึ้นเสยผมที่ปรกหน้าทีหนึ่งก่อนจะเดินลัดเลาะไปยังสวนนั่งเล่นที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกล
พอนั่งลงบนม้านั่ง
แฮวอนก็เอนหลังพิงพนักแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่มีเพิ่งจะเริ่มมีดวงจันทร์โผล่ออกมาให้เห็นเพียงนิด
“ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่กันนะ”
…อยากกลับบ้านจัง
แฮวอนนั่งซึมซับความเงียบตามลำพังจนนานพอที่จะทำให้ใจสงบอีกครั้ง
สูดหายใจเข้าลึกรอบหนึ่งก่อนจะลุกยืนขึ้นแต่พอจะหันหลังกลับร่างบางกลับปะทะเข้ากับร่างกายแข็งแรงที่ยืนมองเธออยู่เงียบๆเกือบยี่สิบนาที
ด้วยความไม่ทันตั้งตัวแฮวอนเลยชนกับคนตรงข้ามเข้าเต็มแรง
สันจมูกที่กระแทกเข้ากับบ่ากว้างเจ็บแปลบขึ้นมาทันที เธอใช้หลังมือถูไถจมูกแรงๆอยู่สองสามทีพลางเลื่อนสายตามองคนที่เข้ามาขวาง
“อ๊ะ…”
เสียงอุทานหลุดออกมาจากริมฝีปากเมื่อแฮวอนรู้สึกว่าปลายจมูกมีของเหลวไหลออกมาช้าๆ
ปลายนิ้วถูตรงจมูกก่อนจะพบว่าเลือดกำเดาสีแดงเปื้อนติดมือมาด้วย
“ก้มหน้าลง”
เสียงทุ้มออกคำสั่งอย่างรวดเร็วก่อนที่มือหนาข้างหนึ่งจะเอื้อมลงมากดเข้าที่ท้ายทอยให้แฮวอนก้มหน้าลง
เขากดไหล่บางให้เธอนั่งลงที่เดิม มืออุ่นจัดของเขาจับให้แฮวอนบีบจมูกของตัวเองไว้ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงในระดับต่ำกว่าตรงข้ามคล้ายว่ากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ
ดวงตาคมกริบเหลือบมองเธอเล็กน้อยก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวผมที่ระใบหน้าไปทัดไว้ที่หลังใบหู
ปลายนิ้วของเขาแผ่นซ่านความอุ่นร้อนเมื่อมันสัมผัสเบาๆลงตรงใบหูเธอ
“คุณจองกุก…”
แฮวอนเรียกชื่ออีกคนเสียงอ่อยแต่ก็ถูกเขาตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“หยุดพูดก่อน
เดี๋ยวเลือดจะได้ไหลลงคอหรอก”
เพราะน้ำเสียงดุๆของเขาทำเอาแฮวอนต้องยอมปิดปากเงียบ
มีเพียงแค่ดวงตาที่กลอกมองดูการกระทำของจองกุก เขาละมือข้างหนึ่งไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีพื้นออกมา
เวทวารีสีฟ้าอ่อนประกายขึ้นเล็กน้อยพอทำให้ผ้าเช็ดหน้าชุ่ม ก่อนที่เขาจะใช้มันเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนบนใบหน้าให้อย่างแผ่วเบา
แฮวอนลอบกลืนน้ำลายโดยที่เธอไม่รู้ตัว
เธอทำตัวไม่ถูกเมื่ออีกคนทำตัวอ่อนโยนใส่ จองกุกไม่ได้สบตาเธอ เขาจดจ่ออยู่ที่รอยเลือดกำเดา
พอเช็ดบนหน้าเสร็จ เขาก็ยึดมือบางข้างที่เปื้อนเลือดกำเดาไปวางบนเข่าข้างหนึ่งแล้วเช็ดรอยเลือดออกให้อย่างเบามือ
ความอุ่นร้อนจากฝ่ามือหนาทำเอาตัวแฮวอนแข็งทื่อไปเลยแม้จะเป็นเพียงการสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็ตาม
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงที่บอกแผ่วเบาเมื่อจองกุกยอมปล่อยมือเธอลง
ดวงตากลมเสมองทางอื่นเล็กน้อยเพราะอยู่ๆก็ไม่กล้าสบตาเขาขึ้นมาซะอย่างนั้น
“พูดกับเขาก็มองตาสิ
อย่างนี้มันเสียมารยาท”
น้ำเสียงห้วนๆทำให้แฮวอนต้องตวัดตามองค้อนเขาทันที
พอได้เห็นท่าทีแบบนั้นจองกุกก็หลุดหัวเราะออกมา
รอยยิ้มบางๆฉาบบนใบหน้าหล่อเหลาเผลอทำเอาเธอลืมวิธีหายใจไปดื้อๆ
ยิ้มแล้วก็น่ารักดีนี่…
“ค่ะ
ขอบคุณนะคะ”
“แล้วนี่อ่อนแอนักหรือไง
ชนนิดชนหน่อยถึงขั้นเลือดกำเดาไหล” จองกุกเปลี่ยนเรื่อง เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเองมากขึ้นทั้งยังขยับตัวขึ้นมานั่งข้างๆเธออีกต่างหาก
“ไม่หรอกค่ะ
แต่บ่าคุณมันแข็งอย่างกับหินนี่ กระแทกแรงซะขนาดนั้น เลือดไหลก็ไม่แปลกหรอก”
“แล้วหนีออกมาทำไมข้างนอก”
แฮวอนได้ยินเสียงฮึมฮัมในคอก่อนที่เขาจะถามขึ้นอีกที
“ก็ไม่อยากอยู่ข้างในค่ะ”
แฮวอนตอบแล้วเหลือบมองอีกคน พอเห็นว่าคิ้วเข้มเลิกขึ้นจึงอธิบายต่อ
“ฉันไม่ชอบเป็นจุดสนใจ แล้วถ้าผู้อำนวยการเรียกฉันออกไป ฉันก็คงอึดอัด”
“มั่นใจว่างั้น”
“ก็คะแนนร้อยเต็มทุกวิชาจะยังมีคนให้ได้มากกว่านี้อีกเหรอคะ”
แฮวอนผ่อนความเคอะเขินลงแล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงติดจะขุ่นเล็กน้อย
“ถ้าคะแนนเต็มร้อยห้าสิบหรือสองร้อยก็ว่าไปอย่าง”
“…”
“แล้วอีกอย่าง…ข้อสอบที่ฉันทำไปมันก็คงไม่ใช่ชุดเดียวกับที่พวกคุณใช้ทดสอบนักเรียนคนอื่นด้วย
ใช่มั้ยคะคุณจองกุก”
“แต่เธอก็ทำได้นี่
แถมยังดีกว่าที่คาดไว้อีก” เขาไม่ได้ปฏิเสธ แค่นั้นก็เพียงพอให้แฮวอนรู้แล้วว่าสิ่งที่เธอคิดเป็นความจริง
“พวกคุณคงจะไม่ไว้ใจฉันสินะคะ
ถึงได้ไม่ยอมปล่อยตัวฉันไปสักที…เฮ้อ รู้งี้แกล้งโง่ดีกว่า”
แฮวอนถามแล้วลดเสียงบ่นพึมพำกับตัวเอง แม้จะแผ่วเบาแต่จองกุกก็จับใจความได้
จองกุกผินหน้ามองอีกฝ่ายพลางนึกในใจว่าแฮวอนเป็นคนหัวไว
เข้าใจอะไรง่ายดาย แต่ติดที่บางครั้งก็ไม่พูดออกมา แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนคนโง่คนหนึ่ง
“คนเราไม่สามารถหลบซ่อนตัวตนของตัวเองได้ตลอดไปหรอก
ไม่ว่าช้าหรือเร็วความเป็นจริงจะปรากฏออกมา ฉันว่าข้อนี้เธอน่าจะรู้ดีนะแฮวอน”
ก็เพราะอย่างนั้นไงล่ะ
ฉันถึงต้อง…หนี
[ต่อ]
สมาชิกของบลูซีโน่ได้ไปเที่ยวบาเรนซ่าเพราะคะแนนสอบที่สูงลิ่วของแฮวอน
เรื่องคะแนนที่สูงเป็นประวัติการณ์ถูกพูดถึงอยู่หลายวัน
เธอเป็นหนึ่งในนักเรียนไม่กี่คนที่สามารถทำคะแนนสอบได้เต็มและที่น่าบังเอิญพ่อของเธอก็เคยทำแบบนั้นได้เช่นกัน
ระหว่างที่รอเดินทางแฮวอนพยายามติดต่อแม่กับน้องสาวแต่กลับไม่ได้ข่าวคราวใดๆเพิ่มเติม
เธอได้แต่กังวลใจแต่เรื่องสืบหาความจริงเรื่องของพ่อสำคัญกว่าในตอนนี้
เธอนัดแนะกับแดเนียลว่าจะเจอกันตรงรูปปั้นอัศวินตรงฝั่งซ้ายของปราการ
แฮวอนนั่งพับเสื้อผ้าลงกระเป๋าอยู่บนพื้น
โดยที่มีหนังสือเล่มเก่าของพ่อพลิกเปิดไปทีละหน้า
เธอมักเอาออกมาอ่านเมื่อคิดถึงเขา
หนังสือที่ลอยค้างกลางอากาศพับปิดและลอยกลับเข้าไปอยู่ที่เก่าอย่างรวดเร็วเมื่อแฮวอนขยับมือ
“แฮวอนเก็บของเสร็จยัง
อีกสิบห้านาทีจะเดินทางแล้วนะ” เป็นซอนโฮนั่นเองที่เคาะประตูห้องเธอแล้วส่งเสียงเรียกเสียงดังจนแฮวอนล่ะกลัวว่าจะทำให้เพื่อนข้างห้องเธอรำคาญเอาได้
“เสร็จแล้ว
จะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เพียงแต่ดีดนิ้วซ้ำสองครั้งประกายสีม่วงอ่อนก็กระจายออกจากปลายนิ้วของแฮวอนไปยังข้าวของต่างๆภายในห้อง
ผ้าม่านที่เลิกทิ้งไว้เลื่อนปิดอย่างเรียบร้อย
ผ้าห่มที่กองอยู่ปลายเตียงถูกสะบัดคลุมเตียงเหมือนถูกมือที่มือไม่เห็นจัดการ
ส่วนข้าวของที่ไร้ระเบียงก่อนหน้าก็กลับเข้าที่
กวาดตามองความเรียบร้อยอีกทีแฮวอนก็เปิดประตูออกไป
ซอนโฮที่สะพายกระเป๋าเป้อันใหญ่ยิ้มร่าแล้วขยับเข้าคล้องแขนเรียวก่อนจะออกแรงดึงให้เธอตามเข้าไป
ปากก็คุยจ้อถึงเรื่องเมนูอาหารขึ้นชื่อของบาเรนซ่าไม่หยุด
การเดินทางไปบาเรนซ่าไม่ได้ลำบากนัก
ทุกคนได้นั่งรถไฟจากพาราเดียไปลงสถานีบรานส์ที่เป็นเมื่องหน้าด่านเข้าสู่บาเรนซ่า คนจากบาเรนซ่าอย่างเช่นแทฮยองและซองอูสามารถเข้าเมืองได้เลยเพียงแค่ยื่นบัตรประจำตัว
ส่วนคนอื่นๆต้องทำการลงทะเบียนและรับการลงมนตราเพื่อปรับสภาพร่างกาย
แฮวอนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน เธอต่อแถวที่ร่นระยะไปเรื่อยๆ
ห้องเล็กๆสีดำที่เธอไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านในทำเอาแฮวอนยิ่งตื่นเต้น
ร่างบางก้าวสู่ห้องคับแคบเมื่อถึงตาเธอ
อากาศเย็นเฉียบเป็นอย่างแรกที่แฮวอนรับรู้
เธอหยุดเดินเมื่อมีตัวอักษรสีขาวกำกับเบื้องหน้า ชั่ววินาทีนั้นสายลมรุนแรงก็พัดวูบอย่างรวดเร็ว
มือบางต้องจิกประโปรงยาวของตัวเองแน่น
ตัวเธอเย็นชื้นไปหมดก่อนจะแห้งในวินาทีถัดมาเพราะลมร้อนวูบหนึ่ง
“กรุณาก้าวออกมาสามก้าวค่ะ”
แฮวอนทำตามคำสั่งนั้นอย่างไม่อิดออด
ฉับพลันร่างบางก็ลอยหวือจากจุดเดิมและถูกมวลอากาศหนึ่งหอบร่างลงมายังพื้นเบื้องล่าง
เธอเกือบหลุดเสียงร้องออกมาแล้วเพียงแต่ตั้งสติทันและภาพเบื้องหน้าก็สวยงามจนแฮวอนลืมความหวาดเสียวเมื่อสักครู่ไปซะสนิท
เสียงสุภาพของผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นเมื่อเท้าแฮวอนแตะลงกับพื้น
“ขอต้อนรับสู่บาเรนซ่าค่ะ
หวังว่าคุณจะมีความสุขกับเมืองของเรา”
บาเรนซ่าเป็นเมืองแห่งนักรบก็จริงแต่ว่าพวกเขามีความโรแมนติกอยู่ในสายเลือด
แม้ว่าพื้นที่ส่วนมากบนแผ่นดินบาเรนซ่าจะขาวโพลนราวกับหิมะแต่กลับมีความเขียวชอุ่มของต้นไม้และสีสันของดอกไม้ที่ผลิบานอยู่ตลอด
กลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของที่นี่
สถาปัตยกรรยมและสิ่งก่อสร้างเน้นความคงทนทว่าแฝงความอ่อนช้อยเอาไว้
บ้านเรือนถูกทาด้วยสีพื้นๆไม่ฉูดฉาด ดูเรียบง่ายและนุ่มนวล พอเลื่อนสายตาจากรอบข้างกลับมาจุดเดิมก็พบว่าอูจินกำลังโบกมือเร่งเธออยู่ไม่ไกล
แฮวอนก้าวขึ้นมาบนรถม้าที่จุคนได้จำนวนสี่คน
รอไม่นานรถม้าโอ่อ่าก็เคลื่อนตัวไปตามถนนอย่างช้าๆ
ดวงตากลมลอบมองออกนอกหน้าต่างด้วยความสนอกสนใจ
ผู้คนในเมืองแต่งกายด้วยชุดสีดำ
เทา และขาวเป็นส่วนใหญ่ เนื้อผ้าคลุมกำมะหยี่สีเข้มถูกคลุมอยู่บนตัวของหลายคน
บ่งบอกว่าพวกเขาอยู่ในชนชั้นอัศวิน
ร้านรวงที่แฮวอนเห็นผ่านตาเป็นร้านขายอาวุธเป็นส่วนมากแต่ว่าก็มีร้านดอกไม้มากพอๆกัน
ป้ายบอกทางต่างๆถูกเขียนไว้ชัดเจนและจัดเป็นระเรียบ
เดินทางไม่นานก็ถึงจุดหมาย
ปราสาทสีงาช้างปรากฏให้เห็นในกรอบสายตา
ธงสีเหลืองทองประทับรูปดาบไขว้ประดับตามยอดต่างๆของปราสาท
ตัวอักษรสีเดียวกับธงผืนใหญ่เขียนไว้บนป้ายที่แขวนเหนือทางประตูทางเข้าของโรงแรมลีไมดาสแห่งบาเรนซ่า
“ทุกคนมาถึงแล้วใช่มั้ยครับ ไม่มีใครหายไปใช่มั้ย” นันจุนถามเมื่อนักเรียนจากบลูซีโน่เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อไม่เห็นว่ามีใครแจ้งอะไรเขาก็เอ่ยต่อ “ให้แต่ละคนรับกุญแจห้องพัก ชายที่อาจารย์ยุนกิ
หญิงที่อาจารย์โฮซอก ส่วนกำหนดการต่างๆเป็นไปตามที่ผมเคยแจ้งเอาไว้
มื้อเย็นเริ่มตอนหกโมงครึ่ง ระหว่างนั้นพวกคุณสามารถเที่ยวเล่นได้ตามอัธยาศัยครับ”
เมื่อรับกุญแจห้องพักแล้วแฮวอนก็สะพายกระเป๋าใบพอดีของตัวเองเข้ามาในโรงแรมก่อนจะพบว่ามันหรูหราและโอ่อ่ามาก
ทุกอย่างตกแต่งด้วยสีนวลตา โคมไฟห้อยระย้าดูระยิบระยับ
ภายในโรงแรมจะแบ่งออกเป็นทางปีกซ้ายและขวา
ส่วนตรงกลางเป็นห้องอาหารและส่วนพักผ่อนที่เตรียมไว้บริการลูกค้า
“อ้าวพี่ซองอู
พี่เป็นคนที่นี่นี่คะ แล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะ”
แฮวอนเอ่ยทักรุ่นพี่ที่เดินไปทางเดียวกับเธอ
ส่วนเพื่อนของเธอนั้นได้ห้องพักที่แยกไปอีกทางหนึ่ง
“โห้ย
ได้มาเที่ยวทั้งที่ก็ต้องเอาให้คุ้มสิแฮวอน อีกอย่างพี่ก็เพิ่งกลับบ้านไปตอนเดือนที่แล้วนี่เอง”
ซองอูว่าด้วยสิหน้าจริงจังจังแฮวนเกือบหลุดหัวเราะ
เธอพยักหน้ารับกับคำตอบนั้นก่อนจะบอกลารุ่นพี่ที่เดินขึ้นไปอีกชั้น
ส่วนเธอเลี้ยวมาทางขวามือ
ไล่มองเลขห้องที่ระบุเอาไว้ก่อนจะทาบบัตรสีเหลืองอ่อนกับประตู พอวงมนตราคลายลงประตูก็เปิดออก
เธอวางกระเป๋าลงบนเก้าอี้โต๊เครื่องแป้งก่อนจะสำรวจห้องพักอย่างอยากรู้
แฮวอนพักอยู่ที่ชั้นสาม ในห้องมีประตูเลื่อนที่เปิดออกสู่ระเบียงด้านนอก
ห้องพักของเธอหันหน้าออกสู่สวนพักผ่อนของโรงแรม
ดวงตากลมมองไปยังสระน้ำสีฟ้าและทะเลสาบขนาดเล็กที่มีเรือพายผูกโยงไว้กับท่าน้ำ
เปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งเล่นอยู่ในห้องสักพักก็ถึงเวลาที่นัดกับซอนโฮและอูจินไว้
สองคนนั้นอยากลองไปเดินเล่นที่ตลาดนัดกลางเมืองใกล้ๆกับโรงแรม
แฮวอนที่ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้ากับการเดินทางเท่าไหร่นักก็เลยตอบตกลงไป
อีกอย่างเธอก็อย่างลองสำรวจเมืองนักรบแห่งนี้ดูบ้าง
ร่างบางก้าวออกมาจากห้องพักก่อนจะหันกลับไปเช็กความเรียบร้อยอีกครั้งพร้อมกับเสียงปิดประตูที่ดังมาจากห้องตรงข้ามทั้งคู่
พอหมุนตัวกลับมาเธอก็เห็นร่างสูงของพวกเขาทั้งคู่
…แทฮยองกับจองกุก
นี่ฉันจะหนีพวกเขาไม่พ้นเลยใช่มั้ยเนี่ย
ปราสาทสีดำทมิฬดังอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนพื้นที่รกร้างคล้ายกับสุสาน
บนฟากฟ้ามีเพียงดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ประดับอยู่กลางนภาตลอดเวลาลอยอยู่
ความมืดมิดแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
ยิ่งเสียงร้องของสัตว์ดุร้ายกับเหล่าอีกาตัวดำเลื่อมดังเซ็งแซ่ยิ่งทวีความน่าหวาดกลัวขึ้นไปอีก
ตัวอาคารเย็นเฉียบปรากฏดวงไฟสีเขียวเข้มที่พุ่งเป็นเส้นตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นร่างสูงในเสื้อคลุมตัวโคร่งสีดำสนิท
เสียงฝีเท้าก้าวเป็นจังหวะหนักแน่นดังสะท้อนไปมาในโถงทางเดินที่ทอดยาวสู่ปราสาทชั้นบน
มือเรียวขาวจัดยกขึ้นเลิกผ้าคลุมให้พ้นออกจากศีรษะ
แท่งไม้เรียวยาวสีน้ำตาลดำถูกสอดเก็บเข้าในกระเป๋าที่เย็บซ่อนไว้ภายในตัวเสื้อ
เขาสะบัดเสื้อสองสามทีก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องทางปีกซ้ายของตัวปราสาท
เสียงกรีดร้องอย่างทรมานดังครืดคราดอยู่หลังประตูบานใหญ่ทำให้ฮยอนซอกต้องหลุดฝีเท้าตัวเองไว้ก่อนเพราะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างในคนกำลังจัดการเหยื่อของตัวเองอยู่
“เข้ามาสิ”
เสียงนี้ดังขึ้นหลังจากเหตุการณ์สงบได้ไม่กี่วินาที
ประตูที่ปิดสนิทไว้เมื่อสักครู่เปิดกว้างต้อนรับอีกคนทันที
นัยน์ตาสีเลือดปรากฏขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำนิลดังเดิม ซองจุนค่อยๆใช้ปลายลิ้นไล่เลียเลือดสีแดงสดที่ติดอยู่รอบริมฝีปากอย่างเชื่องช้าราวกับละเลียดความหอมหวานรัญจวนใจก่อนที่จะใช้หลังมือปาดเช็ดคราบเลือดออกไปอีกครั้ง
ฮยอนซอกเบือนหน้าหนีภาพไม่น่าดูของเหยื่อเคราะห์ร้ายเพราะรู้สึกนึกขยะแขยงแม้จะเห็นจนชินตา
ผลึกสีเทาขุ่นลอยขึ้นมาจากหน้าผากซีดเซียวเพียงขยับมือก่อนจะพุ่งตรงเข้าสู่บอลสีใสที่ลอยอยู่กลางอากาศที่ภายในบรรจุผลึกลักษณะเดียวกันเอาไว้
ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวแรกแย้มนั้นจะหายไปจากห้องเมื่อเขาตวัดมือทีหนึ่ง
ประกายสีเขียวเข้มตรงเข้าจัดการสภาพภายในห้องที่ไม่ต่างมรสุมพัดทำลายให้กลับมาเรียบร้อยตามนิสัยเจ้าระเบียบของตัวเอง
“ฮึ
รักสะอาดสินะนายน่ะ แก้ไม่หายบ้างหรือไง” ซองจุนถามขึ้นอย่างเยาะๆ
ดวงตาเรียวเฉี่ยวฉายแววขบขันเล็กน้อยก่อนจะเคลื่อนไหวไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่แล้วนั่งลงอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่ออกไปหาเหยื่อให้นายภายในวันสองวันหรอกนะซองจุน
เพราะฉะนั้นเพลาๆบ้าง ฉันรู้ว่านายไม่จำเป็นต้องกินเลือดทุกวัน”
“ก็มันอร่อยนี่
ฉันได้กินแต่พวกสัตว์ในที่บ้าๆนี่เกือบตลอดสิบปี นายเองก็รู้นี่”
พอไม่มีคำต่อล้อต่อเถียงจากฮยอนซอกเขาก็ยกมือยอมแพ้ “ได้ๆ
ฉันเหลืออีกสามกับอีกสองที่เพิ่งได้มาหลายวันก่อน จะพยายามห้ามใจไว้ก็แล้วกัน”
“ทางนี้เป็นยังไงบ้าง”
ฮยอนซอกออกปากถาม
เขาเพิ่งเดินทางกลับมาจากสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งภายในชาโดว์แบลงค์
เพราะมันเป็นที่ตั้งของบางอย่างที่ทรงพลังเขาถึงไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายนอกแม้แต่น้อย
“ม่านมนตราระหว่างชาโดว์แบลงค์กับพาราเดียถูกพวกนั้นเพิ่มกำลังขึ้น
แต่ช่องทางที่นายสร้างเอาไว้ยังใช้งานได้อยู่”
“เห็นมั้ยล่ะ
การ์ดิเนียน่ะหลงคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดจนลืมไปว่าแม้แต่ช่องเล็กๆก็ทำให้กำแพงแข็งแรงพังครืนลงมาได้
ไอ้ความหลงตัวเองนั่นแหละที่จะทำให้พวกมันพ่ายแพ้”
รอยยิ้มถูกใจจุดตรงมุมปากหนาอย่างเบาบาง ฮยอนซอกว่าด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
ซองจุนพยักหน้ารับกับพูดนั้นก่อนที่จะบอกต่อ
“เห็นว่าวันนี้พวกมันจะเดินทางไปบาเรนซ่า
คงไม่พ้นไปพบกับจอมเวทนั่น แถมยังเอารางวัลอะไรสักอย่างบังหน้า
คงไม่อยากให้คนอื่นตื่นตระหนกน่ะสิ ก็อย่างที่รู้ๆกันว่าบาเรนซ่าเป็นเมืองนักรบ
มีแขกมาเยือนเท่ากับสงครามจะมาถึง”
“ฮึ
ถ้าคิดว่ามันมีประโยชน์ก็ลองดู”
ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มคล้ายจะเยาะเย้ยก่อนที่เขาจะเลื่อนมองคนผิวซีดจัด “รวบรวมพรรคพวกของนายไว้
อีกไม่นานหรอก อาณาจักรที่มันรักนักหนาจะพังราบเป็นหน้ากอง” น้ำเสียงดุดันของฮยอนซอกกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
ดวงตาคมกริบสีอ่อนฉายแววความคั่งแค้นที่เก็บเอาไว้เนิ่นนาน
ทุกอย่างต้องได้รับการชำระ ความโกรธแค้นของเขาเองก็ด้วย
ความคิดเห็น