คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ♦ 08 THE STRENGTH ♦
08
♦ THE STRENGTH ♦
แฮวอนเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือจองกุก
หาใช่ชายชราคนไหนไม่
นั่นหมายความว่าเธอหนีพวกเขาไม่พ้นทั้งยังโดนหลอกเข้าเต็มเปาอีกด้วย
มือบางจัดการผลักหัวอีกฝ่ายออกอย่างไม่ไยดี
เธอไม่ได้อยู่ในฐานะนักเรียนของเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำตัวมีมารยาทด้วย
ความลับจะถูกเปิดเผยหรืออย่างไรก็แล้วแต่ แต่เธอจะไม่กลับไปที่พาราเดียเด็ดขาด
หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่!
“จะไปไหน”
จองกุกที่เพิ่งลุกขึ้นถามพลางคว้าข้อมือบางเอาไว้แน่นจนแฮวนอสะบัดไม่หลุด
เธอขึงตาให้เขาทีหนึ่งก่อนจะตีลงที่มือหนาเป็นการสั่งสอน ปากก็ต่อว่า
“ปล่อยฉันด้วยค่ะ
อย่ามาเสียมารยาทแบบนี้”
“แล้วที่เธอผลักฉันอย่างเมื่อกี้นี่คือมารยาทดีสินะ”
จองกุกย้อนกลับอย่างยียวน
คนตัวโตกว่าใช้พละกำลังของตัวเองรั้งให้ร่างบางขยับเข้ามาหาตัว
“คุณก็ใช้กำลังกับผู้หญิงเหมือนกันแหละค่ะ”
แฮวอนเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ เล็บยาวทั้งจิกทั้งข่วนจนอีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด
“ถ้าเธอยังดื้อฉันจะไม่ใจเย็นแล้วนะ”
“คุณก็ปล่อยฉันสิ
จะจับไว้ทำไมเล่า”
เสียงกดต่ำคล้ายกัดฟันของจองกุกไม่ได้ทำให้แฮวอนรู้สึกกลัวขึ้นมาแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ต้องการหนีเขา ให้พ้นแบบที่ว่าอย่าได้มาเจอหน้ากันอีก แต่ดูเขาสิ ทู่ซี้ไม่ยอมปล่อยเธอสักทีแล้วเธอจะหนีได้ยังไงล่ะ
หัวคิ้วจองกุกกระตุก แฮวอนชักจะพูดยากกว่าที่เคย เขาเลยสอดประสานฝ่ามือกับมือบอบบางพลางกระชับไว้แน่นก่อนที่วงแหวนมนตราสีแดงเลือดจะปรากฏขึ้นและรัดข้อมือทั้งสองให้อยู่ในพันธนาการเดียวกัน
“คุณจองกุก!”
“เอาสิ
อยากจะปล่อยมือฉันก็ได้นะถ้าไม่กลัวเจ็บ”
นายมันบ้าบิ่นที่สุดจอนจองกุก!
เขากล้าใช้เวทที่เข้าข่ายเวทเกือบต้องห้ามพันธนาการตัวเองกับเธอได้ยังไงกัน
ซาคาร์จะผูกมัดสิ่งที่มันต้องพันธนาการและจะไม่คลายลงจนกว่าเจ้าของจะเป็นผู้ปลดเปลื้องเอง
แฮวอนรู้ว่าเพียงแค่ขยับซาคาร์จะบีบรัดทั้งเธอและเขาให้เจ็บปวด เพราะอย่างนี้ไงล่ะ
เธอถึงคิดว่าจองกุกเป็นบ้าไปแล้วรึไง
“คุณบ้าหรือไง”
ถึงปากจะว่าแต่แฮวอนก็กระชับฝ่ามือกับมือของจองกุกเสียแน่น
เธอไม่อยากเจ็บเพราะฉะนั้นจะเสียฟอร์มไปหน่อยก็ช่างมันเถอะ “สรุปจะไม่ยอมปล่อยสินะ
งั้นก็กลับบ้านพร้อมกับฉันเลยแล้วกัน”
จองกุกชะงักไปเล็กน้อยกับคนที่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว
เขาถูกคนตัวเล็กว่าจับมือแน่นแล้วดึงมือเขาเบาๆเป็นเชิงให้ก้าวตามเธอไป
ระหว่างนั้นแฮวอนไม่พูดอะไรเลย ทั้งยังไม่พยายามขยับมือหรือปลดซาคาร์ออก
เธอเพียงแต่ก้าวเท้าไปข้างหน้าเรื่อยๆ แม้จะแปลกใจจองกุกก็ยอมตามไปแต่โดยดี
เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าแฮววอนมีแผนอะไรในใจ
“คิดยังไงถึงตามฉันมาคะ”
แฮวอนถามขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่กำลังข้ามลำธารสายเล็กๆในป่า
“คุณรู้แล้วใช่มั้ยว่าฉันเป็นใครและเข้าไปในโรงเรียนเพราะอะไร แล้วทำไมถึงปล่อยให้ฉันอยู่ในโรงเรียนได้ตั้งนาน”
“ใช่
เรารู้” จองกุกตอบรับเพียงสั้นๆ เขาไม่ได้อธิบายเพิ่มถึงคำถามข้อหลังของแฮวอน
เขาเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย แฮวอนไม่ไม่มีปฏิกิริยาตอบตอบอะไรมากมาย
เธอเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย จองกุกได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ “ว่าแล้ว” จากนั้นเธอก็หันมองเส้นทางต่อดังเดิม
การเดินทางสู่วิลโลว์ที่ควรจะราบรื่นกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่ออยู่ๆเสียงร้องโหยหวนคล้ายหมาป่ากลับดังระงมขึ้นเป็นทาง
แฮวอนหันไปมองข้างทางทันใดเพราะเพียงไม่กี่ก้าวเธอก็จะเข้าสู่เขตวิลโลว์แล้ว บริเวณชุมชนจะเวทป้องกันไว้
แต่ที่แฮวอนประหลาดใจก็คือเธอมันใจว่าแถวนี้ไม่มีสัตว์ป่าแต่ทำไมถึง…
ใช่สิ
ไอ้ลูกแก้วดูดวิญญาณในถุงผ้านี่ไงเล่า!
เธอลืมไปซะสนิทว่านอกจากจะลูกแก้วนั่นจะสูบพลังชีวิตแล้วมันยังเรียกสัตว์จำพวกที่กินพลังวิญญาณเป็นอาหาร
พวกมันจะหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ลึกลับและจะไม่ออกมา เว้นแต่ว่าเป้าหมายของมันสูงพอที่จะเสี่ยง
ถ้าอย่างนั้นไอ้ลูกแก้วที่เรืองแสงนี่คงจะดูดวิญญาณมานักต่อนักแล้วสิ
เงาต้นไม้ที่ทอดลงมายังพื้นวูบไหวราวกับมีบางอย่างเคลื่อนไหวและไม่ใช่เพียงหนึ่ง
เสียงฝีเท้าย่ำหนักเบาสลับกันกำลังดังขึ้นเป็นจุดๆและวนเวียนรอบตัวทั้งคู่ไม่ต่างอะไรกับการตกอยู่ใต้วงล้อมของศัตรูที่มองไม่เห็น
“เพราะคุณแท้ๆ จะเก็บมาทำไมรู้”
แฮวอนหันไปต่อว่าจองกุกก่อนจะใช้มือข้างขวาหยิบลูกเจ้าปัญหาออกมา
แก้มทรงกลมใสบัดนี้กลางเป็นสีแดงฉานไม่ต่างจากเลือดสักนิด เธอมองพียงชั่วครู่ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้น
จองกุกชะงักเมื่อเห็นว่าวัตถุตรงหน้ากำลังเปล่งแสงสีเลือดทั้งที่ตอนที่เขาเก็บมันขึ้นมาเพื่อเป็นข้ออ้างร่วมทางกับแฮวอนมันยังเป็นสีเหลืองของลูกแก้วอารักษ์แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่
“เธอได้มาจากใคร”
“คุณซูจอง”
แฮวอนไม่ปกปิดแม้แต่นิด เธอตอบเขาแต่สายตากลับกวาดมองอย่างระแวดระวัง
เสียงขู่คำรามดังอยู่ใกล้และดังขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตั้งใจว่าจะถอยหนี
เธออาจจะต้องสู้
“ยัยนั้นอีกแล้ว”
แฮวอนไม่ได้มีเวลาใส่ใจกับเสียงกัดฟันกรอดนั้นเมื่อสัตว์สีขาตัวใหญ่กระโจนเข้ามาตรงหน้า
มันมีรูปร่างคล้ายหมาป่าเพียงแต่มีดวงตาสีแดงก่ำทั้งเบ้า ขนสีเทาดำเลื่อมทั้งตัวและขนาดใหญ่กว่าเกือบเท่าตัว
และตอนนี้มันกำลังแยกเขี้ยวใส่อย่างน่ากลัว ไพทอนเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่น่าหวาดกลัวในการ์ดิเนียเพราะมันกินทั้งวิญญาณและมนุษย์
วินาทีนั้นมือเธอก็ถูกกอบกุมแน่นขึ้นไปอีก แฮวอนเผลอหันไปมองจองกุกด้วยความรู้สึกประหลาดๆอีกคราและเห็นสีเหลืองขุ่นๆในดวงตาของเขาก่อนที่มันจะหายวับไป เสียงขู่คำรามและน้ำลายเหนียวหนืดน่าเกลียดของสัตว์สี่ขานั่นมาพร้อมกับประโยคคำถามของจองกุก
“เชื่อใจฉันมั้ย”
แฮวอนพยักหน้าพร้อมกับไพทอนที่คล้ายเป็นจ่าฝูงกระโจนเข้ามาหา
ซาคาร์ถูกปลดออกทันใดก่อนที่จองกุกจะผลักแฮวอนไปด้านข้างและเขาก็ฟาดลำแสงสีแดงใส่ตัวไพทอน
แต่ทุกอย่างไม่ได้สงบลงเมื่อไพทอนตัวอื่นกรูเข้ามาหาทั้งคู่
วงมนตราสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้นบนผืนตามด้วยวงมนตราสีน้ำเงินอีกอัน
ทั้งสองบิดเกลียวสอดแทรกกันก่อนจะสร้างบาเรียขึ้นครอบร่างของแฮวอนและจองกุก
ฝ่ามือปรากฏบอลเพลิงสีน้ำเงินเข้มขึ้นก่อนจะขว้างไปยังไพทอนที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุด
ธนูเพลิงของจองกุกพุ่งทะลุร่างของไพทอนไปหลายตัวแต่กลับไม่สามารถลดจำนวนสัตว์ร้ายที่เข้าจู่โจมอย่างไม่หยุดหย่อนได้เท่าที่ควรเพราะจำนวนที่มากเกินไป มือหนาทั้งสองข้างแปรเปลี่ยนพลังเวทในตัวเป็นวงมนตราเพลิงขนาดใหญ่และซัดใส่ไพทอนอย่างไม่ลังเลจนเสียงกรีดร้องโหยหวยดังไปทั่ว
แฮวอนหอบหายใจเพราะพลาดท่าไปเล็กน้อย
เธอถูกไพทอนข่วนและพิษจากคมเขี้ยวที่ปวดแสบปวดร้อนกำลังเล่นงานเธอทีละน้อย
เธอเสกอาวุธน้ำแข็งไว้ในมือก่อนจะปาใส่สัตว์สี่ขาที่อยู่รายล้อมขณะเดียวกันก็ผินหน้ามองจองกุกเป็นระยะ
เธอไม่มีทางกำจัดพวกมันได้สำเร็จแน่ถ้ายังมีสิ่งที่ล่อพวกมันออกมาอยู่อย่างนี้
ยิ่งไพทอนตายลงเรื่อยๆ วิญญาณยิ่งเข้าไปสะสมในลูกแก้ว
แฮวอนต้องรีบทำลายมันให้เร็วที่สุด
หลังจากสะบัดกริชน้ำแข็งใส่ไพทอนตัวอยู่ที่อยู่ใกล้สุด
แฮวอนก็รีบออกวิ่งไปยังลูกแก้วที่อยู่บนพื้นทันที
“ระวังด้วย”
จองกุกว่าเมื่อเขาคว้าตัวเธอมาไว้อ้อมแขนเพื่อหลบไพทอนตัวหนึ่งที่กระโจนเข้ามาหาแฮวอนโดยที่เธอไม่รู้ตัว
ร่างกายอบอุ่นของเขาทำเอาแฮวอนสะดุดไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ารับแล้วบอก
“คุณก็ด้วยค่ะ”
สบตากันเพียงชั่ววินาทีแฮวนก็เป็นฝ่ายผละออกก่อน
แม้จะอยู่ในสถาการณ์อันตรายเธอยังเผลอยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะขยับริมฝีปากอย่างบางเบา
“แอ็กซิโอ”
ลูกแก้วลอยมาหาแฮวอนทันทีแต่ชะงักค้างกลางอากาศก่อนจะถึงมือเธอ
จากพลังสีม่วงอ่อนที่ปรากฏใจกลางฝ่ามือเปลี่ยนเป็นเวทสีฟ้าประกายน้ำเงินและเข้าเกาะกุมลูกแก้วอย่างรวดเร็ว
ผลึกน้ำแข็งก่อตัวบนผิวลูกแก้วและกลืนกินสีแดงเลือดไปทีละนิด
แขนบางสั่นระริกเพราะแรงต่อต้านภายในของลูกแก้ว
เธอเสียพลังไปหลายส่วนรวมถึงรอยแผลที่กำลังแผ่ซานความปวดแสบปวดร้อนบนท่อนแขน นิ้วมือทั้งห้าเกร็งจัด
เธอพยายามอัดพลังลงไปให้มากที่สุดเพื่อที่ทุกอย่างจะได้จบสิ้นลงสักที
ทางด้านจองกุก
เขาขยับเข้ามาใกล้แฮวอนเพราะเห็นว่าเธอกำลังจะกำจัดลูกแก้วและจดจ่อกับมันจนไม่ได้สนใจอันตรายรอบข้าง
เขาวาดมือเรียกเวทอัคคีเพื่อปกป้องตัวเองและแฮวอนเอาไว้
พละกำลังของเขาเองก็เริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ
ตามกรอบหน้าคมคายมีเหงื่อผุดซึมไปทั่วทั่ว
แม้จะหอบหายใจผิดจังหวะแล้วจองกุกก็ยังกัดฟันสู้
รอยร้าวบนลูกแก้วต่อยๆแตกปริก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยง
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นตามตามกลุ่มควันสีแดงสดที่คล้ายรูปร่างของคนและสัตว์กระจายออกมาจากเศษซากลูกแก้ว
ท่อนแขนแกร่งวาดโอบร่างบางก่อนจะฉุดให้แฮวอนนั่งลงเพื่อหลบพลังมหาศาลที่ระเบิดออกมาจากลูกแก้ว
พลังสีแดงฉานระเบิดเป็นวงกว้าง
แรงอัดของมันกวดต้นไม้ใกล้ๆล้มไปเป็นแถบ
ร่างของจองกุกและแฮวอนเองก็ถูกผลักออกจากจุดเดิมไปหลายเมตรก่อนที่ความสงบจะกลับมาสู่ค่ำคืนที่เงียบสงัด
ร่างไพทอนที่ตายเกลื่อนสูญสลายกลายเป็นเพียงฝุ่นผง ไม่เหลือร่องรอยใดๆทั้งสิ้น
แม้จะมีสภาพสะบักสะบอมเพียงไรทั้งคู่ก็ดั้นด้นมาถึงบ้านของแฮวอนจนได้
เธอเหลือบมองจองกุกก่อนจะขยับฝ่ามือเพียงปลดล็อกประตูบ้าน
แฮวอนก็ไม่ได้อยากต้อนรับเขามากเท่าไหร่นักเขาก็ช่วยเธอไว้ จะให้ใจร้ายด้วยก็ทำไม่ลง
ในบ้านเงียบสนิท
จริงอยู่ที่ตอนนี้ล่วงเลยวันใหม่ไปสองชั่วโมงแล้วแต่บ้านเธอไม่เคยเงียบขนาดนี้มาก่อน
อย่างน้อยก็ต้องมีวารีเวทของแม่ที่คอยปกป้องบ้านแต่นี่เธอกลับไม่รู้สึกถึงอะไรแม้แต่นิด
เหมือนว่าที่แห่งนี้มีเพียงแค่เธอและจองกุกเท่านั้น
“แม่คะ
แชยอง” เธอลองส่งเสียงเรียกพวกเขาแต่ไม่มีเสียงตอบรับ
แสงสว่างในบ้านติดพรึบเมื่อเธอดีดนิ้ว ร่างบางรีบวิ่งเข้าไปดูห้องนอนของแต่ละคนแต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
แม่กับน้องสาวเธอหายไปไหน?
ระหว่างที่แฮวอนจะรีบวิ่งออกไปดูห้องอื่น
จองกุกที่ตามหลังมาก็คว้าข้อมือเธอเอาไว้พลางรั้งให้แฮวอนหยุดอยู่กับที่
ดวงตาสีเข้มกวาดมองเรียวแขนขาวที่ตอนนี้มีรอยเลือดแห้งกรังก่อนจะออกปากบอก
“ไปทำแผลก่อน
แม่กับน้องเธออาจะไปธุระข้างนอกก็ได้”
“แต่ว่า…”
ความร้อนใจทำให้แฮวอนนิ่งนอนใจไม่ได้ แม่กับน้องเธอไม่เคยไปทำธุระดึกดื่นแบบนี้
พวกเขาหายไปไหนกันแน่ เธอเป็นห่วงจนกังวลไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นว่าคนหัวดื้อตั้งท่าจะเถียงน้ำเสียงนุ่มทุ้มก็เอ่ยแทรกอีกครั้ง
“อย่าดื้อแฮวอน เธอน่าจะเจ็บแผลแทบแย่ รู้ตัวไว้ด้วย”
พอเขาเอ่ยทักเท่านั้นแหละ เธอก็รู้สึกปวดตุบๆขึ้นมาทันที แฮวอนเผลอเบ้หน้าออกมาก่อนจะจำใจไปหากล่องยามาทำแผลอย่างที่จองกุกบอก ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนพรม เธอบิดแขนซ้ายเพื่อดูแผลแล้วนิ่วหน้าเล็กน้อย แฮวอนไม่ชอบแผล มันน่ากลัว
คนตัวสูงที่มีสภาพไม่ต่างกันนักนั่งลงข้างๆก่อนจะคว้าสำลีเช็ดแผลและของเหลวสีฟ้าสำหรับล้างแผลไปจากมือแฮวอน
“ฉันเห็นว่าทุลักทุเลหรอกนะถึงช่วย” คำพูดคำจาติดห้วนจัดของจองกุกว่าก่อนที่เขาจะค่อยๆเลิกแขนเสื้อที่ขาดวิ่นขึ้นและชุบสำลีแล้วเช็ดรอยเลือดออกอย่างเบามือ
แฮวอนแอบระบายลมหายใจเล็กน้อย นี่สิจอนจองกกุก เขาพูดห้วนๆกับเธอแล้วค่อยรู้สึกอย่างปกติหน่อย ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบตอนที่เขาพูดจาดีๆด้วย แต่เธอแค่เกร็งและประหม่า ยิ่งสัมผัสของเขาอย่างเมื่อวันก่อนนั่นยิ่งทำให้แฮวอนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง
ยาสมานแผลแต้มลงมาทารอบรอยเขี้ยวก่อนที่ผ้าพันแผลสีขาวจะพันลงปิดบาดแผล จองกุกใช้เวลาไม่นานในการจัดการแผลให้แฮวอน เขาสะกิดเบาๆต้นท่อนแขนเพื่อบอกว่าเขาทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เหลือบเห็นว่าใบหน้าของอีกคนซีดลงเล็กน้อยก็โยนผ้าเช็ดหน้าของตัวเองให้อย่างส่งๆแล้วบอกสั้นๆ
“เช็ดหน้าซะ แล้วก็นอนพักได้แล้ว”
“ขอบคุณค่ะ” ดวงตากลมเลื่อนสบกับคนตรงข้ามก่อนจะบอกจองกุก “คืนนี้คุณก็นอนที่นี่แล้วกันนะคะ ห้องน้ำอยู่ด้านหลัง เดี๋ยวฉันไปหาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้”
กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยไปอีกชั่วโมงกว่า แฮวอนให้จองกุกนอนที่ห้องของเธอ ส่วนตัวเองก็มานอนที่ห้องของแชยอง ความคิดเกี่ยวกับแม่และน้องยังวนเวียนอยู่ในหัว เธอหลับไปทั้งที่ยังคิดเรื่องของครอบครัวไม่หยุดในขณะที่อีกคนยังลืมตามมองความมืดสลัวในห้องนอน
“เธอหลับไปแล้วค่ะนายท่าน”
“อืม ไปพักเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
สิ้นสียงสนทนาระหว่างจองกุกกับภูติตัวเล็กของเขาทุกอย่างก็กลับมาสู่ความเงียบสงัด ชายหนุ่มกลอกตามองเพดานในห้องของแฮวอนพลางระบายลมหายใจเฮือกยาว เขานอนไม่หลับ สาเหตุก็เพราะกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งไปทั่วนี่ไงล่ะ
แฮวอนร้ายมากขนาดนี้เลยหรือไง
เขาปวดระบมไปทั้งตัวแต่กลับนอนไม่หลับ แต่ดูสิต้นเหตุอย่างแฮวอนกลับหลับสนิทไปซะแล้ว ยิ่งซึมซับตัวตนของแฮวอนที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมนี่เขาก็ยิ่งกระวนกระวาย ความรู้สึกที่พยามกดเอาไว้เริ่มปะทุออกมาทีละนิด แค่ฝังใบหน้าซีกหนึ่งกับหมอนใบนุ่มนิ่มเขาก็แทบคลั่ง หัวใจเขาเต้นระทึก เขาอยากจะสัมผัสตัวเธอจริงๆไม่ใช่แค่ข้าวของของเธออย่างตอนนี้
“บ๊าเอ๊ย คิดอะไรอยู่วะ!” จองกุกอดสบถไม่ได้ อาการของเขาแทบจะกลายเป็นคุล้มคลั่งอยู่รอมร่อ เขาไม่เข้าใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำไมความต้องการบางอย่างมันถึงรุนแรงมากขนาดนี้ เขาล่ะกลัวว่าสักวันจะเผลอทำอะไรบ้าๆลงไป อย่างเช่นทำให้แฮวอนเป็นของเขา…อะไรทำนองนั้น
แฮวอนที่ตื่นแต่เช้ากลับมาจากร้านจดหมายในตัวเมืองที่เป็นแหล่งรับจดหมายและศูนย์ข้อมูลภายในเมืองด้วยความสงสัย เจ้าหน้าที่แจ้งว่าแม่และแชยองออกเดินทางไปยังฟาราเวลเมื่อวันก่อนเพื่อเยี่ยมญาติ แต่ปกติแล้วแม่แทบจะไม่ออกเดินทางไปเยือนที่ไหนนัก ทั้งยังพาแชยองไปด้วยอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าสุขภาพของน้องจะดีขึ้นหรือยังหรือว่าพวกเขามีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า แฮวอนคิดไม่ตกเลยจริงๆ
“ประหลาดจริงๆเลยแฮะ”
แฮวอนกลับมาถึงบ้านพร้อมกับอาหารเช้าชุดเล็กๆที่แวะซื้อมาจากตลาด อีกคนที่ยังอยู่ที่บ้านคงหิวน่าดูเพราะเมื่อคืนเขาใช้พละกำลังไปมากโข ถือว่าเป็นการตอบแทนอีกครั้งก่อนจะไล่เขาออกจากบ้านไปก็แล้วกัน
สองขาเรียวชะงักลงทันควันเมื่อเห็นว่าหน้าบ้านของตัวเอง ณ เวลานี้มีร่างสูงของจองกุกและแทฮยองกำลังยืนคุยกันอยู่ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม แฮวอนเองก็ไม่รู้ว่าแทฮยองมาถูกได้อย่างไรหรือว่าอาจจะเป็นจองกุกที่บอกเขา แต่สิ่งที่เธออยากรู้มากที่สุดก็คือเขาตามเธอมาทำไม ปล่อยให้เธออยู่อย่างสงบสุขบ้างไม่ได้หรือยังไงกัน
“พากันแห่มาที่บ้านฉันทำไมเนี่ย แล้วทีนี้จะหนียังไงพ้น”
ดวงตาสีเข้มกวาดมองบ้านสองชั้นขนาดกะทัดรัดก่อนจะเลื่อนมาสบตากับคนตรงข้าม เขาเพิ่งมาถึงวิลโลว์หลังจากที่จองกุกส่งสารเวทไปแจ้งเรื่องที่นักเรียนในปกครองหนีออกจากโรงเรียนยามวิกาล จองกุกที่เดินตรวจตราโรงเรียนจากหอคอยบังเอิญเห็นแฮวอนทำลับๆล่อๆอยู่ตรงประตูทางออกชั้นนอกสุดจึงตามเธอมาและประสบเรื่องราวอย่างเมื่อคืนที่ผ่านมา
“เธอน่าจะหนีออกมาเมื่อคืน แล้วยังเจอซูจองเข้าอีกด้วย” จองกุกรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้อีกคนฟังคร่าวๆ “ครั้งนี้เป็นลูกแก้วดูดวิญญาณ เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้กลางป่าแล้ว”
“แล้วเหตุผลล่ะ เธอบอกมั้ย”
จองกุกไหวไหล่กับคำถามนั้นของแทฮยอง เขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุที่แฮวอนหนีออกมาจากโรงเรียนทั้งที่ตอนแรกเป็นฝ่ายดั้นด้นเข้าไปเองแท้ๆ แต่อยู่ๆกลับหนีออกมากลางคันซะอย่างนั้น
แทฮยองคงจะเอ่ยปากถามต่อหากไม่รับรู้ถึงดวงตากลมโตคู่หนึ่งที่มองจ้องมา เขาเบนหน้าไปยังต้นตอสายตาก็พบว่าแฮวอนยืนอยู่ตรงนั้น ร่างบางอยู่ในชุดผ้าฝ้ายสบายๆและดูเป็นกันเอง ผมสีสวยรวบเป็นช่อเดี่ยวประกอบกับผมหน้าที่ดูยุ่งๆกลับทำให้แทฮยองสะดุดขึ้นมาในใจ
น่ารัก
ยิ่งเวลาที่แก้มสองข้างพองลมแล้วเอียงคอมองเขาน้อยๆแบบนั้นหัวใจแสนเยือกเย็นกลับเต้นด้วยจังหวะระส่ำระส่ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่แทฮยองเผลอมองแฮวอนอย่างตาไม่กะพริบจนกระทั่งเธอเดินเข้ามาใกล้เขาถึงเพิ่งได้สติแล้วรีบปรับสีหน้าอาการให้กลับไปเป็นดังเดิม
อย่าว่าแต่แทฮยองเลย จองกุกเองก็ใจเต้นแรงพอๆกันเลยล่ะ…
“พวกคุณ…กลับไปได้มั้ยคะ” เชื่อเถอะว่ากว่าจะพ้นประโยคนี้ออกมาได้แฮวอนต้องคิดทบทวนเกือบสิบรอบ เธอมองคู่สนทนาทั้งครู่ก่อนจะบอกอีก “พวกคุณรู้ทุกอย่างแล้วนี่คะและตอนนี้ฉันเองก็ไม่ได้อยากอยู่ที่นั่นแล้วด้วย เพราะฉะนั้น…”
“แล้วการที่เธอทำผิดกฎล่ะแฮวอน คิดว่าตัวเองต้องรับผิดชอบมั้ยหรือไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยสักอย่าง”
แฮวอนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อถูกสวนกลับมาอย่างนั้น เธอหน้าเสียในขณะที่แทฮยองก็รู้ว่าตัวเองพลั้งปากต่อว่าเธออย่างเย็นชาเสียแล้ว เขาเพียงอยากกลบเกลื่อนความรู้สึกวูบไหวก่อนหน้าต่างหาก
น้ำเสียงเย็นชานี่มันอะไรกัน แทฮยองเป็นคนแบบนี้เลยหรือเนี่ย แฮวอนคิดพลางแอบกลอกตาไปทางอื่น ความใจเย็นและนุ่มละมุนนั่นคงเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของเขาสินะถึงได้ปากร้ายถึงขนาดนี้ คำพูดคำจาคมกริบจนเหมือนจะตบหน้าเธอทางอ้อม
“ค่ะ ฉันทำผิดกฎ ฉันสวมรอยเข้าเรียนแทนน้องสาวที่เธอป่วยจนไปสอบรอบสัมภาษณ์ไม่ได้ เธออยากเรียนที่พาราเดียมาก ฉันรับรู้ถึงความตั้งใจของเธอเลยทำแบบนั้นไป ทีแรกฉันก็คิดว่าจะใช้ชีวิตแทนเธอไปก่อน แต่ทุกอย่างก็พังลงเมื่อฉันได้เข้าไปอยู่ที่บลูซีโน่แทนที่จะเป็นไวท์ดิเวลเลอร์ ฉันคิดจะหาทางย้ายไปอยู่ปราสาทที่เหมาะสมกับชนชั้นของตัวเองแต่ตอนนี้มันทำไม่ได้แล้วไงคะ” แฮวอนเริ่มอธิบายอย่างยืดยาว “ฉันเพิ่งชนะงานประลองเวทมาเป็นตัวแทนของนักปราชญ์แล้วจะให้ฉันย้ายไปอยู่ชนชั้นกลางได้งั้นหรือคะ แล้วถ้าวันหนึ่งคนที่ต้องเข้าไปเรียนคือน้องสาวฉันล่ะ เธอจะเป็นยังไง ฉันเลยคิดว่าตัวเองควรถอยออกมา แต่หากที่ฉันทำมันร้ายแรงมากก็แล้วแต่พวกคุณเลยเถอะค่ะ”
เธอชักจะหมดปัญญา เอาเถอะจะทำอะไรก็ทำ เธอเล่าจุดประสงค์ทุกอย่างให้พวกเขาฟังและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะเห็นใจเธอ ย้ำว่ามากๆเพราะแฮวอนไม่อยากรับโทษหรืออะไรทั้งนั้น แต่สิ่งที่เธอปรารถนามากที่สุดคือการไม่ต้องกลับไปเหยียบที่พาราเดียอีก
เธอกลัวจะได้เผชิญหน้ากับพ่อมดคนนั้นและกลัวที่สุดคือการจะไม่ได้มีลมหายใจต่อไป
ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณที่ทั้งสามคนยืนอยู่ คนมีศักดิ์เป็นอาจารย์รับฟังสิ่งที่แฮวอนบอกเล่าอย่างเงียบๆ ดวงตาคมทั้งสองคู่มองคนตัวเล็กว่าที่เอาแต่หลุบตามองพื้นก่อนที่จองกุกจะเปิดปากก่อน
“เราขอปรึกษากันก่อนเรื่องของเธอ”
เพราะไม่ได้คิดหนีแฮวอนถึงได้มาหลบมุมอยู่ข้างหลังบ้าน ฝ่าเท้าบอบบางสัมผัสกับหินกรวดเย็นๆ เธอปล่อยในน้ำเย็นไหลผ่านตั้งแต่หน้าแข้งลงไป แฮวอนนั่งแช่ขาอยู่ตรงโขดหินใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตากลมทอดมองไปยังลำธารเส้นใหญ่ที่ไหลเอื่อยๆอยู่ตรงหน้า เลื่อนมองไปทางซ้ายมือก็เห็นชิงช้าไม้ที่เธอเคยเล่นกับแชยองบ่อยๆ
มือบางกางฝ่ามือไปยังผืนน้ำก่อนที่เวทสีฟ้าอ่อนจะค่อยๆโอบอุ้มสายน้ำให้กลายเป็นมวลทรงกลมแล้วค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ เจ้ากระต่ายตัวเล็กวิ่งอยู่รอบๆตัวของแฮวอนก็จะกระโดดพุ่งลงน้ำและกลับคืนสู่สภาพเดิม บรรดาสัตว์ตัวเล็กๆทยอยวิ่งวุ่นอยู่กลางอากาศ ร่างกายที่ทำจากน้ำสะท้อนกับวารีเวทเป็นประกายระยิบระยับก่อนจะสลายไปเมื่อเธอตวัดมือ น้ำในลำธารถูกเสกสรรเป็นหลายอย่างมากมายตามที่แฮวอนจะคิดออกจนกระทั่งใครบางคนเดินเข้ามาหาเธอพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มก็ดังขึ้น
“กลับกันได้แล้วแฮวอน” แทฮยองไม่ว่าเปล่า เขายังคว้าข้อมือเธอไปกำด้วยพลางกระตุกจนอีกคนต้องลุกพรวดโดยเร็ว
“ฉันบอกเหตุผลไปแล้วนะคะและฉันก็จะไม่กลับค่ะ ฉันขอลาออก!” แฮวอนไม่ลังเลที่จะแย้งแม้แต่นิด นี่เขาเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องหรือไงกัน ก็เธอบอกปาวๆแล้วว่าจะไม่กลับไป แต่เขาก็ยังบีบบังคับแล้วนี่ยังจะลากเธอออกจากบ้านตัวเองอีกต่างหาก แฮวอนก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆจะไปสู้แรงเขาได้ยังไงกัน
“โรงเรียนเราไม่มีนโยบายให้นักเรียนลาออกกลางคัน” แทฮยองสวนเธอขึ้นมาทันที อุ้งมือหนากระชับรอบข้อมือบางเป็นการสำทับว่าเขาไม่ปล่อยให้เธอหลุดมือแน่นอน
“แต่ฉันไม่อยากเรียนแล้วนี่คะ พวกคุณเองก็รู้ความจริงแล้วยังจะให้ฉันอยู่ต่อไปทำไม”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่อยากเรียนล่ะ” เพราะคำถามที่เขาย้อนกลับมาทำเอาแฮวอนเกิดอาการน้ำท่วมปาก เธอพูดเหตุผลของตัวเองไม่หรอก ไม่มีใครสมควรรับรู้มัน “ทั้งๆที่อายุเธอถึงเกณฑ์ที่ต้องเข้าเรียน แต่ทำไมถึงเลือกที่จะไม่เรียนล่ะแฮวอน”
แทฮยองกระตุกยิ้มบางๆแล้วอาศัยช่วงที่แฮวอนชะงักสอดแขนโอบร่างบางเอาไว้ก่อนจะรอบตัวเธอขึ้นอุ้มคล้ายกับแบกของ ผมยาวสลวยทิ้งตัวลงมาตามแรงโน้มถ่วง แฮวอนอยากจะดีดดิ้นเป็นการต่อต้านแต่เธอพบว่าตัวเองเวียนหัวแถมยังปวดแผลที่แขนอีกต่างหาก เธอหลุดเสียงร้องมาคำหนึ่งเมื่อแทฮยองกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น มือหนาตีเข้าที่สะโพกเบาๆเหมือนเธอเป็นเด็กก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความขบขัน
“ดื้อดีนักก็ห้อยหัวกลับก็แล้วกันนะ”
นี่เขามันสี่มิติของจริงเลยเถอะ!!!
[ต่อ]
เพิ่งจากไปยังไม่ถึงยี่สิบสีชั่วโมงดีแฮวอนก็กลับมาอยู่ในห้องพักตัวเองอีกจนได้
แทฮยองกับจองกุกไม่ได้บอกเหตุผลที่พาเธอกลับมาเพียงแต่ออกคำสั่งให้ปฏิบัติตัวให้ดีและห้ามหนีออกไปอีก
ไม่อย่างนั้นเขาจะส่งเรื่องนี้ไปให้ยุนกิจัดการ และแน่นอนว่าเธอกลัว!
กลัวมินยุนกินะ ไม่ใช่พวกเขาสองคนหรอก
แฮวอนนั่งระบายลมหายใจทิ้งบนเตียงหนานุ่ม
แผลตรงแขนได้รับการดูแลอีกครั้งจนรู้สึกสบายขึ้นเล็กน้อย
พรุ่งนี้ยังเป็นวันหยุดอีกวันแฮวอนเลยมีโอกาสรักษาตัวเพิ่มวันหนึ่ง เธอไม่อยากไปสอบยิงธนูด้วยสภาพไม่สมประกอบแบบนี้หรอก
ร่างบางล้มตัวลงนอนแผ่หลาพลางคิดทบทวนทุกอย่างในหัว
อย่างแรก
สถานการณ์ในอาณาจักรตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงการระวังภัยแล้วหลังจากที่ผู้ใช้เวทที่คล้ายกับศัตรูอีกพวกมาปรากฏตัวตรงหน้าแล้ว
อย่างที่สอง พ่อมดคนนั้นต้องวางแผนอะไรไว้สักอย่างและไม่แน่ เขาอาจจะร่วมมือกับแวมไพร์ที่แฮวอนเจอเมื่อคราวก่อน
และอย่างสุดท้ายที่แฮวอนไม่อยากให้เป็นมากที่สุดคือการที่พ่อมดคนนั้นล่วงรู้ถึงตัวตนของเธอ
“ใช่สิ
ต้องมีจุดเชื่อมต่อระหว่างชาโดว์แบลงค์กับสักที่ในโรงเรียนแน่”
เธอโพล่งขึ้นอย่างนึกได้
แฮวอนสงสัยเรื่องนี้มาสักพักแล้ว
จะนับว่าเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดก็นับได้ เหล่าจอมเวทคงไว้ใจในตัวพวกอาจารย์ของโรงเรียนให้ดูแลจุดเชื่อมต่อที่ว่านั้น
หากคนจากชาโดว์แบลงค์หลุดรอดออกมาก็ต้องต่อสู้ดิ้นรนออกจากโรงเรียนที่มีการคุ้มกันแน่นหนาอย่างพาราเดีย
แต่แน่นอนว่าทุกอย่างย่อมสองด้าน หากอีกพวกเล่นสกปรกคนที่อยู่ในโรงเรียนก็ไม่ต่างจากตัวประกันชั้นดีเลย
“สิ่งที่ลูกต้องจำให้ขึ้นใจก็คือแสงสว่างเพียงนิดก็ทำให้ความมืดมิดหายไปได้
พวกของมาร์คัสเองก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ต้องการให้ฝ่ายของเมอร์ลินมีชีวิตต่อไปเพราะปาฏิหาริย์เกิดได้ขึ้นเสมอ
พวกเขาต่างหวาดกลัวการสูญเสียพลังอย่างที่บรรพบุรุษของเราต้องเผชิญ
และตัวแปรที่พวกเขาต้องการกำจัดก็คือลูกแฮวอน”
หากให้พูดกันตรงๆ แฮวอนไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถเอาชนะพวกพ่อมดดำได้
เธอไม่เคยฝึกฝนอย่างจริงจัง ไม่รู้ข้อจำกัดของพลังและไม่มีประสบการณ์
เธอแค่กลัวว่าหากพลาดพลั้งขึ้นมาและทุกอย่างถูกเปิดเผยแม่และน้องจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อคติของคนมืดมิดยิ่งกว่าสายตาที่มืดบอดซะอีก
หากพวกเขาเดือดร้อนเพราะตัวตนที่แท้จริงของเธอเล่า
“หนูจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะพ่อ”
แฮวอนวางธนูลงหลังจากที่ยิงเข้าเป้าได้จากแปดในสิบ
ถือว่าทำได้ในระดับที่น่าพึงพอใจแล้ว เธอคงไม่ต้องเรียนซ้ำชั้นอย่างที่กังวลไว้
ร่างบางเดินกลับมารวมกลุ่มกับซอนโฮกับอูจินและเปลี่ยนให้นักเรียนหญิงอีกกลุ่มหนึ่งเข้าทดสอบโดยมียุนกิยืนควบคุมอยู่อย่างใกล้ชิด
เธอสบดวงตาเรียวรีที่ดูเหมือนจะคาดโทษเธอตลอดเวลาแวบหนึ่งก่อนจะเบนหน้าหนี
ไม่บอกก็รู้ว่าอาจารย์อีกสองคนคงเอาเรื่องเธอไปฟ้องแล้วล่ะ
แฮวอนต้องโดนจับตาเพิ่มจากสองเป็นเจ็ดแน่นอน แค่คิดก็รู้สึกอึดอัดแล้ว
“อยู่แบบนี้ไม่เห็นต่างจากคุกเลยสักนิด”
“หืม?
เมื่อกี้ว่าอะไรนะแฮวอน”
“เปล่า
ฉันบ่นไปเรื่อยน่ะ” แฮวอนปฏิเสธทันทีเมื่ออูจินหันมาถามพร้อมกับซอนโฮที่กะพริบตาปริบๆ
เมื่อได้ฟังคำตอบทั้งคู่จึงเบนสายตาไปยังการทดสอบรอบใหม่ที่กำลังเพิ่มขึ้น
แฮวอนทอดสายตาไปตรงหน้าอย่างเบื่อหน่ายปนเปกับความอึดอัด
นัยน์ตาสีอ่อนมองสลับกลุ่มนักเรียนและเป้าธนู
กระทั่งได้ยินเสียงซุบซิบจากนักเรียนจากบราว์ดัชเชสที่อยู่ใกล้ๆ
“ฉันกังวลมากเลยแหละเมื่อกี้
อาจารย์ก็กดดันทางสายตาเกือบยิงไม่ออกแล้ว”
“เอาน่า
เธอก็สอบผ่านแล้วนี่” เพื่อนเธอปลอบใจพลางตบบ่าเบาๆ
“ฉันล่ะกลัวว่าจะสอบตกจนถูกไล่ออกแทบแย่”
หืม?
ไล่ออก?
รอยยิ้มบางเบาถูกจุดตรงมุมปากเมื่อความคิดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาในหัวของแฮวอน
แทฮยองบอกว่าไม่มีนโยบายให้นักเรียนลาออก แต่ถ้าเธอทำตัวแย่ๆจนถูกไล่ออกล่ะ
พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์มารั้งไว้ใช่มั้ย
“มาลองดูสักตั้งแล้วกันแฮวอน”
เกือบครึ่งวันที่แฮวอนคิดหาแผนการปั่นป่วนโรงเรียน
เธอจะยอมกลายเป็นเด็กเกเรชั่วคราวเพื่ออิสระของตัวเองสักพักแล้วกัน
ดวงตากลมกลอกมองไปทั่วห้องทรงกลมของห้องเรียนวิชาพยากรณ์
เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นยังอยู่ในช่วงพักกลางวัน
แฮวอนปลีกตัวเข้ามาใน้องเรียนก่อนใครเพื่อนเพื่อจะลงมือทำตามแผนที่วางไว้
กระเปราะของไลเซนซึ่งเป็นพืชที่มีกลิ่นเน่าเหม็นคล้ายของเสียถูกแขวนไปกับเพดานเหนือประตูทางเข้า
เชือกเส้นบางๆถูกโยงไว้ระหว่างขอบประตูทั้งสอง ถังน้ำที่บรรจุน้ำกลิ่นหืนๆลอยค้างอยู่กลางอากาศและกับดักบางอย่างที่แฮวอนวางไว้บนพื้น
เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยเธอก็แสร้งเดินออกไปจากห้องและกลับมาพร้อมกับซอนโฮ
นักเรียนจากแบล็คเวอร์เลตเป็นผู้โชคร้ายที่ได้รับเลือก
เธอนึกขอโทษทุกคนในใจขณะที่ขยับตัวเข้าไปใกล้อีกคนก่อนจะแกล้งทรงตัวไม่อยู่และเซไปชนจนเขาทรงตัวไม่ได้
อีอึยอุงที่โดนชนสะดุดเข้ากับเชือกที่แฮวอนผูกเอาไว้จนกลไกต่างๆที่เธอวางไว้เริ่มทำงาน
ผงเกสรสีเขียวเข้มแตกกระจายทั่วห้องเรียนพร้อมทั้งถังน้ำก็เทน้ำกลิ่นไม่พึงประสงค์ลงมา
นักเรียนที่เดินเข้าไปในห้องเรียนก่อนมีสภาพเละเทะไม่ต่างจากห้อง
หนังสือที่วางไว้ในชั้นถูกลมหมุนที่อยู่ในกับดักวาโยพัดจนปลิวว่อนไปทั่วห้อง
เดือดร้อนให้ทุกคนต้องหลบกันจ้าละหวั่น
แต่ความวุ่นวายก็ยังไม่จบเมื่อคนเจ้าเล่ห์ดีดนิ้วทีหนึ่ง
บรรดาข้าวของที่ลอยว่อนกลางอากาศก็หล่นลงมาเบื้องล่าง
ใครหลบทันก็รอดไปแต่หากไม่ก็ถูกของกระแทกใส่หัวจนหัวปูดกันระนาว
“เกิดอะไรข…”
โฮซอกที่ได้ยินเสียงโวยวายรีบถามขึ้นก่อนจะก้าวเข้ามาในห้องเรียน
แต่เสียงทุ้มก็พูดได้ไม่จบประโยคเมื่อของบางอย่างดูดกลืนเสียงเขาให้หายไปซะก่อน
เคร้ง!
ครั้งแรกแฮวอนก็ไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะหรอก
เพียงแต่เธอเห็นโฮซอกที่มีถังน้ำเก่าๆครอบหัวเอาไว้เท่านั้นแหละ เสียงหัวเราะก็หลุดรอดออกมาจนได้
เธอส่งเสียงท่ามกลางความเงียบภายในห้องเรียนซึ่งเรียกความสนใจเป็นอย่างดี
แฮวอนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดต่างจากเพื่อนนักเรียนคนอื่น
แววตาทอประกายความสนุกสนานอยู่นัยๆจนพอจะเดาอะไรออก
คนอารมณ์ดีอย่างโฮซอกเลยต้องขึ้นเสียงอย่างมีน้ำโห
“คุณแฮวอน!!!”
แฮวอนได้เดินเข้าห้องปกครองอย่างสมใจ
เธอมั่นใจว่าสภาพยับเยินทั้งห้องเรียน
อาจารย์และนักเรียนคงจะหนักหนาพอจะไล่เธออกได้ เธอเลยเดินเข้ามาอย่างสบายอารมณ์
เอาแต่กระยิ้มกระหย่องในใจว่าจะได้จากพาราเดียไปให้พ้นๆสักที
ในห้องมีอาจารย์สอนวิชาสอนวิชาการเมืองและการปกครองรออยู่
จองกุกนั่งอยู่บนเก้าอี้ของโต๊ะทำงานตน
ห้องปกครองเป็นห้องทรงกลมและโต๊ะทำงานถูกจัดให้หันหน้าเข้าหากัน
อากาศในนี้เย็นเยียบจนแฮวอนอดขนลุกไม่ได้
แต่ก็ยังทำใจกล้าเดินไปหาคนที่นั่งนิ่งฉับๆและเอ่ยถามคำถามที่อยากรู้ที่สุด
“ว่าบทลงโทษของฉันมาสิคะ”
“ไม่กลัวอะไรเลย?”
จองกุกย้อนถามทั้งที่ตัวเองก็พอจะเดาได้ “อยากถูกไล่ออกขนาดนั้นเชียว”
“ก็คุณบอกว่าลาออกไม่ได้
แต่ไม่ได้บอกว่าทำให้ถูกไล่ออกไม่ได้นี่คะ” แฮวอนบอกพลางเลิกขึ้นอย่างกวนอารมณ์
“ฉันทำขนาดนี้แล้วก็ไล่ฉันออกเถอะค่ะ”
จองกุกลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะเดินมาประจันหน้ากับแฮวอน
เขากวาดตามองแฮวอนหัวจรดเท้าด้วยสายตานิ่งๆจนเธอชักจะกังวลขึ้นมาแต่ก็ยังเชิดหน้าสู้
“ไล่ฉันออกได้แล้วค่ะ”
“ไม่”
จองกุกปฏิเสธเสียงหนักแน่นพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้
เขาอยากรู้นักว่าแฮวอนมีเหตุผลใดที่อยากจะหนีไปจากพาราเดียขนาดนั้น
“เธอต้องโดนลงโทษ แต่นั่นไม่ใช่การไล่ออก”
“จะไล่ออกมั้ย!”
ชักจะหัวเสียเธอเลยขึ้นเสียงใส่เขา ดวงตากลมขึงมองอย่างไม่สบอารมณ์ ท่าทางเหมือนคนเจ้าอารมณ์แต่เอะใจหนึ่งจองกุกกลับคิดว่าน่ารักซะอย่างนั้น
“ไม่!”
เมื่อได้ยินคำตอบไม่ตรงใจแฮวอนก็ยกมือขึ้นขย้ำหน้าอกแน่นๆของจองกุกทันที
เธอลงแรงไปเต็มที่เพื่อระบายความหัวเสียของตัวเอง คนถูกกระทำแข็งทื่อทั้งตัว
ดวงตาคมเบิกกว้างมองคนตรงข้ามอย่างไม่เชื่อว่าเธอจะใจกล้าทำได้ถึงขนาดนี้
ยัยนี่กำลังลวนลามเราใช่มั้ยเนี่ย
ริมฝีปากบางเข้าหากันแน่น
ใบหน้าสวยหวานง้ำงอพลางเพิ่มแรงบีบขย้ำลงไปอย่างหมั่นไส้เต็มแก่ก่อนจะทุบแผงอกกว้างทิ้งท้ายอีกสองทีแล้วสะบัดหน้าเดินหนีไปอย่างรวดเร็วโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังหน้าขึ้นสีเพียงใด
“เธอโดนหมายหัวไว้แล้วล่ะแฮวอน”
เสียงทุ้มเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหยักลึกเมื่อจองกุกตั้งสติได้
ลิ้นชื้นไล่เลียบนกลีบปากของตน รอยยิ้มร้ายกาจที่ไม่ค่อยมีใครเห็นถูกจุดออกมาช้าๆ
นัยน์ตาสีเข้มมองตามแผ่นหลังบางที่เดินกระฟัดกระเฟียดหายไปจนลับสายตา
ด้านแฮวอนที่เดินหนีออกมาอย่างไม่รู้ทิศทางชะลอฝีเท้าลงเมื่อเดินพ้นจากปราสาทเรียนแล้ว
หันมองซ้ายขวาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ใกล้ๆคอกสัตว์เลี้ยงท้ายโรงเรียน
ร่างบางทรุดตัวลงนั่งข้างกรงลูกกระต่ายตัวน้อย
นิ้วเรียวจิ้มลงที่ขนนุ่มนิ่มก่อนจะเปลี่ยนเป็นใช้ฝ่ามือลูบกระต่ายตัวสีเทาอย่างอ่อนโยน
“ทำไมหนูน่ารักจัง
ไม่เห็นเหมือนกระต่ายตัวเมื่อกี้เลย”
แฮวอนพึมพำพลางย่นจมูกเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่
ทั้งยังว่าจองกุกว่าเหมือนกระต่ายอีกต่างหาก
แต่ผู้ชายตัวโตเมื่อกี้เป็นกระต่ายยักษ์แถมนิสัยก็ยังไม่ดีอีกด้วย
เพียงแบมืออีกครั้งแครอทสีส้มที่ถูกฝานเป็นเส้นก็ปรากฏในมือของแฮวอน
เธอยื่นแครอทป้อนลูกกระต่ายหลายตัวที่กำลังรุมล้อมเธอไว้ รอยยิ้มบางคลี่ออกมาหลังจากเล่นกับกระต่ายจนอารมณ์ที่ขุ่นมัวเมื่อสักครู่ดีขึ้น
มือบางยกเจ้ากระต่ายตัวอ้วนที่กระโดดผลุบมาอยู่กลางฝ่ามือขึ้นอย่างนึกเอ็นดู
ในขณะที่เพื่อนของมันก็กระโดดมาเล่นบนตักของแฮวอนบ้าง
จมูกสีชมพูถูไถกับปลายนิ้วเรียวเมื่อเธอยื่นนิ้วไปใกล้ๆ เมื่อปล่อยตัวมันลง
เจ้าตัวเล็กก็ใช้ตัวอวบอ้วนของมันซุกไซ้กับหน้าท้องของเธอเรียกเสียงหัวเราะเบาๆได้ดี
แฮวอนนึกว่าตัวเองอยู่ตามลำพังกระทั่งเสียงทุ้มดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“แฮวอน”
น้ำเสียงคุ้นหูของแดเนียลทำเอาแฮวอนชะงักลง
เธอยิ่งอารมณ์ไม่ค่อยดี มีแต่เรื่องน่าปวดหัวเต็มไปหมดแล้วนี่ยังจะมาเจอเขาอีก
แฮวอนอุ้มลูกกระต่ายใส่ลงกรงอย่างไม่พูดไม่จาก่อนจะลุกยืนเต็มความสูงแล้วปัดกระโปรงสองสามที
เธอเตรียมจะเดินหนีไปอีกทางแต่ร่างสูงของเพื่อนเก่าก็ตามมาขวางทางเอาไว้
“หลบไป”
“ไม่
ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอแฮวอน”
“แต่ฉันไม่อยากคุยกับนาย”
แฮวอนบอกพลางเบี่ยงตัวหลบไปอีกทางแต่แดเนียลก็ขยับตามจนเธอไม่สามารถปลีกตัวไปทางไหนได้
“แต่เรื่องนี้ฉันต้องพูดจริงๆ”
แดเนียลว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาก้าวเข้ามาใกล้เธออีกก้าวก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงฟังชัดเจน
“ถ้าพ่อเธอยังไม่ตายล่ะแฮวอน”
ความคิดเห็น