ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [BTS X YOU] Fallin' all in you [END!] + มีebook

    ลำดับตอนที่ #5 : ♥ Fallin' 04 ♥

    • อัปเดตล่าสุด 23 เม.ย. 63




     Fallin’ 04 

    She is a good girl!

    น้องเพ่ยเด็กดี

     


                หน้าตักและกำปั้นหลวมๆเป็นจุดรวมสายตาของฉันมาได้สักพักใหญ่แล้ว ครุ่นคิดกับตัวเองว่าไม่ได้จับปืนมานานแค่ไหนแล้ว ครั้งสุดท้ายที่จำได้ ฉันจับปืน แต่กลับช่วยชีวิตใครอีกคนไม่ได้

                “เฮียกลัวว่าม๊าจะตกใจถ้าเห็นน้องมีแผล” เฮียวีพูดขึ้นระหว่างที่ฉันจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เสียงทุ้มเรียกร้องให้ต้องหันกลับไปให้ความสนใจ “งั้นคืนนี้น้องนอนกับเฮียที่เพนท์เฮ้าส์แทนแล้วกัน”

                “คะ? แล้ว

                คำถามของฉันจำเป็นต้องชะงักลงเมื่อเมอร์เซเดสเบนซ์เบี่ยงไปเลนซ้ายก่อนจะเลี้ยวไปตามเส้นทาง ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ จะถามไม่ถาม สุดท้ายฉันก็ต้องไปค้างที่เพนส์เฮ้าส์ที่ว่าอยู่ดี เผลอเบ้หน้านิดหน่อยตอนที่ความรู้สึกระบมแล่นผ่านแก้มข้างซ้าย ถ้าพรุ่งนี้แก้มตุ่ยจนโดนเด็กๆล้อจะทำยังไงเนี่ย

                “เจ็บเหรอ”

                “ก็นิดหน่อยค่ะ ถ้าไม่รีบประคบก็คงจะบวมน่าดู” ฉันตอบคนที่อยู่ๆก็ตั้งคำถาม ทั้งที่สายตายังจับจ้องมองถนนตรงหน้า แต่เฮียวีกลับจับสังเกตอาการของฉันได้อย่างรวดเร็ว

                “เดี๋ยวก็ถึง เฮียให้คนเตรียมของไว้ให้แล้ว”

                ส่งเสียงรับคำไปเบาๆก่อนจะนั่งนิ่งตามเดิม รถยนต์คันหรูแล่นอยู่บนท้องถนนอีกไม่เกินสิบนาทีก็ถึงที่หมาย แอบกวาดสายตามองพื้นที่รอบตัวครู่หนึ่ง สนามหญ้าพื้นที่ส่วนกลางกับสระว่ายน้ำกว้างการันตีได้ว่าที่พักอาศัยตรงนี้ไม่ธรรมดา

                คีย์การ์ดแพลตตินั่มถูกแตะลงบนแผงควบคุมหน้าลิฟต์ ฉันที่ย้ายเข้ามายืนในลิฟต์แล้วเลื่อนสายตามองตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันหยุดลงที่ชั้นที่ยี่สิบเจ็ด ขยับเท้าตามเฮียวีที่เดินนำออกไป เขาก้มหน้ามองโทรศัพท์คล้ายกับสื่อสารกับใครอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเว้นระยะห่างกับฉันที่เดินตามอยู่ด้านหลังได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ

                ใช้เวลาครู่เดียวสำรวจรอบตัวก็พบว่าทั้งชั้นถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งและมีเพียงแค่สี่ห้อง คีย์การ์ดที่เฮียวีใช้ก็สำหรับผู้พักอาศัยชั้นนี้เท่านั้น เร่งฝีเท้าขึ้นตอนที่เห็นเฮียวีมองมา มือหนากำที่จับประตูเอาไว้คล้ายกับรอให้ฉันเดินเข้าไปหา

                เขาพยักพเยิดหน้าคล้ายกับบอกว่าให้ทำตัวตามสบายหลังจากผลักประตูให้เปิดเข้าไป แปลกใจเหมือนกันที่ในห้องตกแต่งด้วยโทนสีขาวและเครื่องเรือนไม้สีน้ำตาลหลายเฉดตัดกับสีเขียวเข้มของไม้ประดับหลายชนิดที่จัดวางไว้ในหลายๆจุดทำให้บรรยากาศในห้องดูผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม

                เอาเข้าจริงๆแล้วฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะพาตัวเองไปอยู่ตำแหน่งไหนในห้อง สุดท้ายก็เลยหยุดเท้าลงตรงห้องนั่งเล่นพลางกวาดสายตามองสำรวจรอบห้อง หลังม่านสีขาวครีมที่ปิดเอาไว้คงจะเป็นภาพทิวทัศน์ยามกลางคืนจากมุมสูง และเหมือนกับว่าเฮียวีอ่านใจฉันได้ เขาถึงได้กดรีโมทสั่งการให้ม่านเคลื่อนตัวไปด้านข้างเพื่อให้ฉันได้มองภาพแสงไฟระยิบระยับจากด้านนอกได้เต็มตา

                เอี้ยวตัวหันกลับไปเมื่อเสียงออดจากทางประตูห้องดังขึ้น สบตากับเฮียวีวูบหนึ่งก่อนที่ร่างสูงจะหมุนตัวไปทางเสียง เขาแง้มประตูให้เปิดครึ่งหนึ่ง ฉันจึงมองไม่เห็นคนที่อยู่ข้างนอก แต่พอได้ยินสรรพนามที่เฮียวีใช้เรียกก็พอจะเดาได้ว่าใครที่เป็นคู่สนทนากับร่างสูง

                “ขอบใจตัวเล็ก”

                “แค่นี้เองเฮียดื้อ” เป็นน้องหมิงอย่างที่ฉันเดาเอาไว้จริงๆด้วย เธอเว้นวรรคไปครู่หนึ่งก่อนจะเบี่ยงประเด็นมาที่ฉัน “แล้วพี่เพ่ยอยู่ไหนเหรอคะ”

                ฉันมองเฮียที่หันหลังกลับมา เลื่อนสายตามองถุงของเสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งในมือของเขาพลางขยับเท้าไปยืนข้างๆร่างสูง ฉีกยิ้มหวานๆให้น้องหมิงพร้อมกับทักทายคนเด็กกว่า

                “หวัดดีค่ะน้องหมิง”

                “หมิงรู้เรื่องแล้วนะคะ พี่เพ่ยไม่เจ็บตรงไหนใช่มั้ย หมิงเป็นห่วง” น้องหมิงยิ้มรับพร้อมแสดงท่าทีเป็นห่วงอย่างที่ปากว่าด้วยการกวาดสายตามองฉันทั้งตัว เธอผ่อนลมหายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าฉันไม่ได้มีอาการบาดเจ็บรุนแรงก่อนที่จะรีบบอกต่อคล้ายกับฟ้อง “เฮียดื้อก็รีบโทรมาให้หมิงเตรียมเสื้อผ้ากับหยูกยาให้พี่เพ่ยหลังจากจบเรื่องเลย”

                ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะเลื่อนสายตามองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างที่บอกว่าฉันเดาเฮียวีไม่ค่อยออก การที่เขาบอกให้น้องหมิงเตรียมของไว้ล่วงหน้าก็ไม่ใช่การกระทำที่ฉันคาดเดาได้ เฮียวีนิ่งไปวูบหนึ่งตอนที่สบตากับฉันก่อนจะตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคนฟังกลับยิ้มกริ่ม น้องหมิงทำท่าจะพูดต่อแต่กลับถูกขัดจังหวะโดยคนที่เพิ่งจะผลักประตูห้องตรงข้ามให้เปิดออก

                “พูดมากน่าตัวเล็ก”

                “หมิงกลับมาห้องเราได้แล้ว” จองกุกว่าพลางยักคิ้วให้อย่างจงใจกวนอารมณ์ ท่อนแขนแกร่งโอบตัวน้องหมิงเข้าไปแนบชิด ก้มลงหอมแก้มคนตัวเล็กเสียงดังฟอดก่อนจะแกล้งทำกระซิบบอกข้างหูโดยที่ไม่สนใจฉันและเฮียวีที่ยืนอยู่ตรงข้ามเลยสักนิด “ปล่อยคู่ผัวเมียเขาได้ใช้เวลาด้วยกันเถอะค่ะ”

                “พูดไม่เพราะ” คนหน้าแดงรีบตำหนิคนตัวโตกว่า มือบางหยิกเข้าที่เอวของจองกุกทีหนึ่งพลางหันมาฉีกยิ้มให้ฉันก่อนออกปากชวนทานมื้อค่ำ “ถ้าพี่เพ่ยไม่รังเกียจ วันนี้มาทานมื้อเย็นกับหมิงนะคะ”

                จองกุกไม่ได้รอให้น้องหมิงพูดต่อ เขารีบคว้าตัวคนรักเข้าไปในห้องก่อนที่จะปิดประตูเสียงดังปัง ฉันกะพริบตามองบานประตูที่ปิดสนิทปริบๆในขณะที่หูได้ยินเสียงถอนหายใจของเฮียวี

                “น้องไปอาบน้ำเถอะ เสร็จแล้วจะได้ประคบแก้ม” คนตัวสูงพูดขึ้นมาก่อนพลางใช้ดวงตาคมกริบเลื่อนมองผิวแก้มที่เริ่มบวมเป่งของฉัน

                “เฮียเองก็เหมือนกัน เดี๋ยวเราทำแผลให้”

     





                ชุดนอนลายสก็อตสีชมพูอ่อนสลับขาวย้ายมาอยู่บนตัวฉันหลังจากจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จ ยังเหลือเสื้อและกระโปรงอีกชุดอยู่ในถุงที่น้องหมิงให้มา เดาว่าคงเป็นชุดทำงานของฉันวันพรุ่งนี้เพราะในเพนท์เฮ้าส์ของเฮียวีไม่มีข้าวของที่เป็นของฉันแม้แต่ชิ้นเดียว

                รอยเลือดบนแก้มถูกซับออกไปจนเหลือแต่รอยแผล ตอนนี้ฉันกำลังใช้น้ำแข็งประคบแก้มเพื่อลดอาการบวม ส่วนคนที่สวมชุดนอนลายสก็อตสีดำสลับขาวที่ดูยังไงก็เหมือนชุดคู่ก็กำลังค่อยๆใช้ยาแต้มลงบนผิวแก้มให้อย่างระมัดระวัง

                “พรุ่งนี้หยุดงานมั้ย” อยู่ๆเฮียวีก็เริ่มต้นบทสนทนาขึ้นมาหลังจากที่ต่างคนต่างเงียบไปนาน เขาเหลือบมองฉันหนหนึ่งก่อนจะค่อยๆแปะพลาสเตอร์ปิดแผลอย่างเบามือ

                “เพิ่งจะเปิดเทอม เราไม่อยากลาค่ะ” ฉันตอบไปตามความจริงแม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้ร่างกายคงจะปวดเมื่อยเอาเรื่อง ไม่ได้ออกแรงๆเยอะมาสักพักแล้ว พอต้องออกแรงปุบปับอย่างวันนี้คงไม่พ้นอาการเส้นยึดแน่นอน

                ถึงคราวที่ฉันต้องผลัดมาทำแผลให้เฮียวีบ้าง ขยับตัวเข้าไปหาเขานิดหน่อยเพราะระยะห่างยังไม่พอดี แตะสำลีลงตรงมุมปากหยักลึกเบาๆก่อนจะย้ายไปที่สันจมูก ไม่รู้จะตีสีหน้ายังไงเมื่อถูกนัยน์ตาสีเข้มจับจ้องไม่คลาดสายตา กระทั่งลดมือลงเมื่อจัดการแปะพลาสเตอร์ลงบนสันจมูกโด่งเรียบร้อย

                “เฮียโกรธอะไรเราหรือเปล่า” ตัดสินใจถามออกไปแบบนั้น จดจำแววตาไม่สบอารมณ์ของเฮียวีได้แม้จะเห็นมันแค่วูบเดียว ฉันไม่อยากอยู่ในบรรยากาศอึดอัดกับเขา ถึงจะแค่คืนเดียวเถอะ “ถ้าเฮียไม่ชอบใจ เราก็ขอโทษ”

                “เฮียเป็นคนแรกที่น้องควรจะทักไม่ใช่หรือไง”

                เข้าใจแจ่มแจ้งเพียงเขาเกริ่นมาเท่านั้น แววตาลุ่มลึกของเฮียวีสะกดไม่ให้ฉันละสายตาไปทางอื่น ไม่ยักรู้ว่าคนตัวโตจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องแค่นี้ แต่ก็อีกอย่างได้รู้ว่า

                เฮียวีเป็นคนขี้หวง และไม่ชอบที่ต้องถูกลดความสำคัญ

                “เราเข้าใจแล้ว” รับคำเชื่องช้าก่อนที่จะหลุดปากแบบที่ไม่ทันคิด “จะไม่ทำเฮียให้หวงอีก เราสัญญา”






                เสียงสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาเมื่อชั่วโมงก่อนยังดังไม่ขาดสาย ถูกจองกุกแซวเรื่องไอเท็มคู่ไปหนหนึ่งตอนที่ทานมื้อเย็นกับน้องหมิง พื้นที่บนเตียงคิงไซซ์ถูกฉันจับจองไว้เศษหนึ่งส่วนสาม เป็นครั้งที่สองที่ต้องนอนร่วมเตียงกับเฮียวี เขาบอกว่าห้องที่เหลือไม่ได้จัดเตรียมเอาไว้ และแน่นอนว่าฉันแย้งหรือมีปากเสียงอะไรไม่ได้

                ย่นจมูกอย่างมันเขี้ยวกับรูปนอนหงายพุงของคุณแชงก์ที่แอนน์ส่งมาให้เมื่อตอนเย็น พิมพ์แชทตอบกลับคำถามที่ถูกทิ้งเอาไว้ก่อนย้อนกลับมาดูรูปเจ้าเหมียวตัวส้มอีกหน

                “ยังไม่นอนเหรอ”

                “ดูรูปคุณแชงก์ต่ออีกหน่อยเราก็จะนอนแล้วค่ะ” ฉันตอบหลังจากที่เอี้ยวตัวมองร่างสูง พอเห็นคิ้วเข้มขมวดนิดๆเลยขยายความต่อ “แมวของเราเอง”

                เฮียวีไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา เขาพยักหน้ารับเงียบๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนขอบเตียงอีกฝั่ง สอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มอย่างเงียบเชียบพลางพลิกตัวนอนตะแคงหันมาหา ฉันที่ไม่รู้ว่าต้องแสดงท่าทีอะไรไปเลยฉีกยิ้มให้นิดๆก่อนพลิกตัวกลับไปอีกฝั่ง กดล็อกโทรศัพท์แล้วสอดมันไว้ใต้หมอน

                ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นทั้งห้องก็ถูกครอบคลุมด้วยความมืด แสงสีขาวลอดผ่านบานกระจกและผ้าม่านสีแบล็คเมทัลเป็นครั้งคราวเมื่อสายฟ้าพาดผ่านบนท้องฟ้าสีครึ้ม ลมหายใจผ่อนเข้าออกในจังหวะที่ใกล้สม่ำเสมอเต็มที จริงๆแล้วอยากจะรอให้เฮียวีหลับก่อนเหมือนกัน แต่วันนี้ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะระแวงคนตัวโตแล้ว

                สุดท้ายฉันก็ผล็อยหลับไปง่ายๆ แต่ก็เพียงไม่นานเพราะเมื่อจมลึกในห้วงนิทรา ฉันก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยภาพฝันร้ายเดิมๆ ลมหายใจหอบระรัวในวินาทีเดียวกับที่เสียงสายฟ้าฟาดดังคำราม มือปาดเช็ดน้ำสีใสที่เปรอะแก้มลวกๆก่อนจะระบายลมหายใจเฮือกยาว

                ภาพเหตุการณ์ฝังใจวนกลับมาอีกครั้ง ค่อยๆพลิกตัวนอนหงาย เลื่อนสายตามองเพดานแล้วผ่อนลมหายใจอีกหนหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนเย็น ฉันถึงได้หวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวเมื่อเกือบสองปีก่อน เหตุการณ์เลวร้ายที่ยังฝังอยู่ในหัวทำให้ฉันเลือกที่จะถอยหลังออกมาและใกล้จะหยุดมันลงเต็มที

                นึกอิจฉาคนที่ผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นสุขอย่างเฮียวีเหลือเกินที่ไม่ต้องสะดุ้งตื่นซ้ำๆเพราะฝันร้ายแบบฉัน พลิกตัวอย่างระมัดระวังอีกครั้ง พิจารณาใบหน้าคมคายที่ดูเลือนรางเงียบๆ ฉันยังคงยืนยันว่าเฮียวีเป็นคนที่เดาทางได้ยากเหลือเกิน

                “หลับปุ๋ยเลยนะ” ส่งเสียงแซวอีกคนเบาๆแม้จะรับรู้ว่าเฮียวีคงไม่ได้ยินเสียงของฉัน “อิจฉาเฮียจัง”

                ชะงักไปวูบหนึ่งเมื่อนึกออกว่าเพิ่งเห็นอะไรไปเมื่อก่อนเข้านอน ฉันแวะไปที่ครัวก่อนเข้าห้องนอนเพราะรู้สึกกระหายน้ำ แต่ระหว่างนั้นกลับเจอตะกร้าที่บรรจุถุงยาหลายถุงที่ถูกสั่งจ่ายโดยแพทย์ หนแรกฉันไม่ได้สนใจ เพียงแต่ขยับให้มันไปเลื่อนไปอยู่ตรงกลางเคาน์เตอร์บาร์แทนที่จะวางอยู่หมิ่นเหม่ตรงขอบโต๊ะ

                สายตาที่กวาดมองข้ามๆสะดุดลงเมื่อเห็นถุงยาสีขุ่นที่อยู่บนสุด Lorazepam เป็นยาที่ออกฤทธิ์กดประสาท ใช้ในการรักษาหลายโรค แต่ฉันค่อนข้างเอนเอียงไปยังฝั่งโรคนอนไม่หลับ เพราะหลายครั้งที่สะดุ้งตื่นกลางดึก ฉันมักจะเห็นแสงไฟที่ลอดมาจากห้องเฮียวีเสมอ หรือจะเป็นอย่างที่คุณอาเจียเคยเปรยๆเอาไว้ตอนนั้นว่ากลัวนิสัยการนอนของเฮียวีจะรบกวนฉัน

                “Insomnia” ให้เสียงพึมพำเป็นข้อสรุปของฉันก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปใกล้เฮียวีอีกนิด

                ค่อยๆแตะหลังมือของคนตัวโตด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบา เมื่อมั่นใจว่าเฮียวีจะไม่ตื่นขึ้นมากลางคัน ฉันก็สอดมือเข้าไปใต้อุ้งมือหนา ซึมซับความอุ่นร้อนของอีกฝ่ายพร้อมกับกำนิ้วหัวแม่มือของเฮียวีเอาไว้หลวมๆ

                ถ้าเป็นตอนเด็กๆ เวลาที่ฝันร้าย แอนน์ก็จะเข้ามาปลอบพลางกอดฉันเอาไว้ กล่อมให้นอนหลับด้วยเสียงเพลงพร้อมกับให้ฉันกำนิ้วโป้งของเธอเอาไว้เป็นสัญญาว่าเธอจะไม่หายไปไหนจนกว่าฉันจะนอนหลับฝันดี แต่เมื่อในคืนนี้ฉันไม่ได้อยู่กับแอนน์ก็เลยจะถือวิสาสะกำมือเฮียวีไว้แทน คงจะไม่เป็นอะไรหรอกนะ

                แต่จะว่าไปแล้วตอนที่เขาหลับก็น่ารักดีเหมือนกัน เป็นหนที่สองแล้วที่ฉันคิดอะไรแบบนี้ เขาดูไร้พิษภัยไม่เหมือนกับตอนที่ยกปืนยิงคนง่ายๆแบบเมื่อตอนเย็น หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆตอนที่สายตาเลื่อนลงมองเรียวปากหยักลึกที่เฮียวีใช้ตอกกลับรุ่นพี่ซังอาไปเมื่อตอนเช้า ชะงักไปครู่หนึ่งพร้อมกับเม้มปากลงนิดๆตอนที่นึกบางอย่างออก

                โน้มตัวเข้าไปจนอยู่ใกล้ชิดระยะที่สัมผัสลมหายใจอุ่นๆของคนที่นอนหลับสนิทได้ชัดเจน ปลายจมูกคลอเคลียกับเส้นผมสีดำอยู่ครู่เดียว ก่อนที่ฉันจะกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของเฮียวีอย่างแผ่วเบาและผละออกในวินาทีถัดมา

                “จำเอาไว้ ห้ามจุ๊บใครมั่วซั่วอีก” สำทับอีกครั้งเมื่อหัวถึงหมอน ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้หลุดยิ้มออกมาดื้อๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆแล้วทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่ฟังแทบไม่ได้ยิน “Schlaf gut, Süsser.

     





                ความอบอุ่นที่ได้จากผ้าห่มหนานุ่มทำให้ฉันแทบไม่อยากขยับตัว สูดหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่งก่อนจะค่อยๆลืมตา เลื่อนมองเพดานปริบๆเป็นการปรับโฟกัส เอียงคอมองข้างๆก็ไม่พบเฮียวีแล้ว แต่ว่านั่นยังไม่ใช่ประเด็นที่ฉันต้องสนใจ

                สอดมือเข้าไปใต้หมอนเป็นอย่างแรกเพื่อจะปิดนาฬิกาปลุกที่ยังไม่ทันได้ส่งเสียงเตือน จากที่สะลืมสะลือก็รีบหยัดกายลุกขึ้น ตัวเลขบนล็อกสกรีนบอกเวลาเกือบสิบโมง กระวีกระวาดลุกออกจากเตียงพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งลูบผมที่ยุ่งเหยิง ทั้งที่รู้ว่าควรต้องทำอะไรก่อน แต่ร่างกายกลับไม่ขยับไปตามใจ

                “ตื่นแล้ว

                “ทำไมเฮียไม่ปลุกเรา!” ฉันแทรกไปทั้งที่เฮียวียังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำ ร่างสูงที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องสวมชุดไปรเวทตัวใหม่แล้ว แสดงว่าเขาคงตื่นได้สักพัก แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ยอมปลุกฉัน

                “ปลุกแล้ว แต่น้องไม่ตื่น” น้ำเสียงนุ่มทุ้มตอบกลับมาเนิบนาบ เหมือนจะเห็นรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าที่สวนทางกับอารมณ์หงุดหงิดของฉันที่ประทุขึ้นมาเมื่อนาทีก่อน

                “แล้วทำไมเฮียไม่

                “ชู่ว์” เสียงเบาดังลอดริมฝีปากหยักลึก ทุกอย่างชะงักลงทันทีเมื่อมือหนาของคนตัวสูงแตะลงที่หัวของฉันก่อนที่วินาทีต่อมาจะกลายเป็นยีเบาๆ “ไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าว ส่วนเรื่องงานที่โรงเรียนเฮียจัดการให้แล้ว”

                ถึงจะสงสัย แต่ฉันเลือกที่จะปิดปากเงียบเอาไว้ก่อน ความรู้สึกแปลกๆที่ผุดขึ้นมาทำให้ฉันทำแค่พยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนที่จะเร่งฝีเท้าเบี่ยงไปยังทางวอล์คอินโคลเซ็ทที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องทันที

                เป็นแค่เฮียวี มีสิทธิ์อะไรมาทำให้ฉันใจเต้นฮะ?!

     



                เอี้ยวตัวมองคนที่เดินตามมาข้างหลังเงียบๆ ไหนๆก็ได้หยุดงานแบบไม่ได้ตั้งใจวันหนึ่งแล้ว ฉันเลยถือโอกาสแวะกลับมาเยี่ยมบ้านที่ไม่ได้กลับมาตั้งแต่วันแต่งงานสักหน่อย

                “เชิญตามสบายนะคะ” ฉันบอกหลังจากที่ผลักประตูเข้าไป บรรยากาศที่คุ้นเคยชวนทำให้อุ่นใจและผ่อนคลายได้ไม่ยาก ฉันวางกระเป๋าสะพายลงบนโซฟาที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น เพราะรู้ว่าทั้งพ่อและแม่ไม่อยู่บ้านจึงส่งเสียงเรียกเจ้าตัวน่ารักที่น่าจะซุกตัวนอนอยู่มุมไหนสักแห่งแทน  “คุณแชงก์อยู่ไหนเอ่ย เรากลับมาแล้วนะ”

                ฉีกรอยยิ้มออกมาตอนที่ได้ยินเสียงร้องเหมียวดังมาจากมุมห้องครัว รอเดี๋ยวเดียวเจ้าแมวสีส้มขนฟูก็วิ่งเหยาะๆเข้ามาหา ฉันย่อตัวลงนั่งรอให้คุณแชงก์กระโดดขึ้นมาบนตักเหมือนอย่างเคย หลุดเสียงหัวเราะคิกคักตอนที่หางฟูฟ่องปัดป่ายผ่านจมูก คุณแชงก์หมุนตัวอยู่สองสามรอบก่อนนั่งลงบนตักให้ฉันกอดเจ้าตัวนิ่มแน่นๆ

                ก้มลงจุ๊บหัวกลมๆของคุณแชงก์อยู่หลายทีเพราะความมันเขี้ยว ส่วนเจ้าแมวตัวส้มก็ส่งเสียงร้องท้วงนิดๆก่อนจะกระโดดผลุบออกจากอ้อมแขนฉันไปอย่างรวดเร็ว ย่นจมูกให้กับคุณแชงก์อย่างอดไม่อยู่ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดชนกันตอนที่เห็นว่าเจ้าแมวทรยศกระโดดขึ้นไปขดตัวนอนบนตักของคนแปลกหน้าอย่างเฮียวีซะงั้น

                “คุณแชงก์” ฉันลากเสียงยาวอย่างงอนๆ เลื่อนสายตามองปลายนิ้วเรียวที่เกาหัวกลมของคุณแชงก์เบาๆก่อนจะสบสายตากับเฮียวีที่มองฉันอยู่ก่อนแล้ว เผลอมองค้อนเขาอย่างไม่รู้ตัวจนได้รับเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอกลับมา

                “คุณแชงก์ของน้อง?” เขาทิ้งหางเสียงเล็กน้อยพอให้รู้ว่าเป็นคำถาม ฉันเลยย้อนกลับไปด้วยโทนเสียงฉุนติดปลายจมูก ยังไงก็แอบไม่พอใจที่คุณแชงก์เลือกเฮียวี แทนที่จะเป็นฉันที่เลี้ยงเจ้าตัวส้มมาตั้งแต่เด็กๆ

                “แล้วคุณแชงก์ทำไมคะ”

                “ก็ขี้อ้อน” เฮียวีว่าด้วยเสียงเนิบนาบตามสไตล์ ปลายนิ้วยังคงค่อยๆเกลี่ยเกาหัวกลมอย่างเชื่องช้า แต่วินาทีที่สบตากับเขา ฉันกลับพบว่าทุกอย่างกลับตาลปัตร ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยความหยอกล้อจนพาลให้หายใจไม่ออกดื้อๆ “ไม่รู้เหมือนน้องมั้ย”

                “เราดูขี้อ้อนเหรอ” วูบหนึ่งที่ฉันชะงักไป แต่ก็พยายามตีสีหน้าให้เป็นปกติ สบตากับเฮียวีครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับพร้อมไหวไหล่เบาๆ เว้นวรรคไปชั่วครู่แล้วค่อยๆบอกแต่ไม่วายจิกกัดเบาๆทิ้งท้าย “เราขอขึ้นไปเปลี่ยนกางเกงชั้นบนแป๊บนึงนะคะ  เชิญเฮียเล่นกับคุณแชงก์ตามสบายเลย”

                หันหลังให้ร่างสูงกับเจ้าเหมียวทันทีที่พูดจบ สูดหายใจเข้าลึกๆระหว่างขยับเท้าไปยังบันได เริ่มรู้สึกแปลกๆกับการกระทำของเฮียวี ดูเหมือนเขาจะนิ่งเฉยกับฉัน แต่ทุกอย่างกลับแฝงไปด้วยท่าทีทีเล่นทีจริง มันยากที่จะตีความว่าลึกๆแล้วเขาคิดหรือรู้สึกอะไรอยู่กันแน่

                ได้แต่ถอนหายใจเมื่อรู้ว่าคงจะไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้นให้ตัวเอง ผลักประตูห้องนอนเข้าไปอย่างเคยชิน บรรยากาศที่คุ้นชินทำให้ฉันรู้สึกสบายใจแบบที่ไม่ได้รู้สึกมาหลายวันแล้ว วางกระเป๋าลงบนเตียงนอนก่อนจะเบี่ยงฝีเท้าไปยังตู้เสื้อผ้า

                “แอนน์นะแอนน์” ส่งเสียงพึมพำเมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วพบว่าเหลือเพียงไม่กี่ชุด เสื้อผ้าส่วนใหญ่ถูกย้ายไปอยู่ที่บ้านเฮียวีด้วยฝีมือของแม่แล้ว สุดท้ายฉันก็เลือกหยิบกางเกงขาสั้นสีครีมที่ดูจะยาวที่สุดในตู้ออกมา ใช้เวลาไม่กี่นาที่เปลี่ยนจากกระโปรงที่น้องหมิงซื้อมาให้เป็นกางเกงที่คล่องตัวกว่า

                โยนกระโปรงที่ใช้แล้วลงในตะกร้าก่อนฉวยหยิบกระเป๋าสะพายที่วางทิ้งไว้ แต่ก่อนจะได้ก้าวเท้าออกจากห้องนอน เสียงเตือนที่ดังมาจากในกระเป๋าทำให้ต้องหยิบโทรศัพท์เครื่องสีดำออกมาดู

                FM TN! CN. JARED

                แตะปลายนิ้วลงบนหนึ่งในสามแอปพลิเคชั่นก่อนขยับมือพิมพ์ตอบกลับบทสนทนาที่ทิ้งค้างไว้เกือบครึ่งปี รอไม่กี่วินาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาพร้อมกับทิ้งรายละเอียดที่จำเป็นต้องรู้ก่อนลงมือ ใช้เวลาโต้ตอบบทสนทนาเกือบสิบนาทีก่อนวางโทรศัพท์ลงบนลิ้นชักที่ใช้เก็บข้าวของจุกจิก

                ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็เดินลงไปข้างล่าง เบี่ยงฝีเท้าไปทางห้องครัวก่อนเป็นอันดับแรกเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี พอเหยียบเท้าถึงห้องนั่งเล่นอีกหนก็วางน้ำดื่มให้ร่างสูงที่เพลิดเพลินกับการเกาพุงคุณแชงก์ที่นอนหงายพลางส่งเสียงร้องเหมียวเป็นครั้งคราว

                “ขอบใจ”

                ฉันพยักหน้ารับเบาๆก่อนทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตัวที่อยู่เยื้องออกมาเล็กน้อยพลางทอดสายตามองคุณแชงก์ที่พยายามตะครุบมือเฮียวีที่คอยเย้าแหย่อยู่เรื่อยๆ เงียบเสียงพักหนึ่งก่อนจะตั้งคำถามเมื่อเห็นว่าเลยเวลามื้อเที่ยงไปเกือบชั่วโมงแล้ว

                “เฮียกินมื้อเที่ยงมั้ยคะ”

                “น้องหิว?”

                “ไม่ค่อยค่ะ แต่ว่าเราอยากไปซื้ออาหารกับขนมให้คุณแชงก์มากกว่า” ฉันบอกออกไปตามความจริง มีซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ้าน ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาบ้านอีกเมื่อไหร่ เพราะงั้นขอหาของเพื่อซื้อใจคุณแชงก์ไว้หน่อยก็แล้วกัน

                เฮียวีไม่ได้ตอบอะไรแต่กลับลุกยืนขึ้นเต็มความสูง หยิบกุญแจรถที่อยู่ในกระเป๋าออกมาก่อนใช้มืออีกข้างจูงมือฉันที่ไม่ทันได้จับต้นชนปลายอะไรให้เดินตามไปติดๆ

                แบบนี้เขาว่าเรียกอะไร เอาใจ?

                ไม่ใช่หรอกมั้ง





     

                หลังจากได้อาหารกับขนมของคุณแชงก์แล้ว ฉันก็ใช้เวลาอีกพักใหญ่ในการเดินวนเพื่อหาวัตถุดิบประกอบอาหารง่ายๆโดยที่มีเฮียวีคอยเดินตามหลังอยู่ติดๆแม้ว่าเขาแทบจะไม่มีปากเสียงอะไรเลย มีบ้างที่ฉันหันไปถามความเห็นของคนตัวสูง แต่สุดท้ายคำตอบของเขาก็อนุญาตให้ฉันตัดสินใจเองทั้งหมด

                “ทานขนมหวานมั้ยคะ” ฉันถามอีกรอบหนึ่งเมื่อเราหยุดเท้าลงตรงหน้าโซนขนมหวาน พอเห็นเฮียวีส่ายหน้าก็เปิดตู้เพื่อหยิบพานาคอตต้าออกมาสองชิ้น กวาดสายตามองในเรถข็น เมื่อพบว่าไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องก็ออกปากบอก “งั้นไปคิดเงินกันค่ะ ถ้าช้ากว่านี้เรากลัวเฮียจะไปทำธุระไม่ทัน”

                ก่อนหน้านี้เฮียวีเปรยๆไว้ว่าเขามีธุระตอนสี่โมงเย็น ตอนนี้เกือบบ่ายสองโมงแล้ว และความจริงก็ไม่ได้มีเพียงแค่เขาที่มีธุระ ฉันเองก็มีธุระให้ต้องเตรียมตัวหมือนกัน

                หน้าที่เข็นรถกลายเป็นของคนตัวสูงเมื่อเขายื้อแย่งทำแทนฉัน ไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างที่รอคิวให้ร่นระยะลงเรื่อยๆแม้กระทั่งถึงคิวของเราก็เช่นกัน ฉันมองตัวเลขที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามจำนวนของที่พนักงานหยิบขึ้นยิงบาร์โค้ด

                เผลอเบิกตาโตเมื่อเห็นเฮียวีทำท่าจะยื่นบัตรสีดำไปให้พนักงานที่เพิ่งจะแจ้งราคาทั้งหมด คว้าข้อมือหนาไว้ได้อย่างทันท่วงทีพร้อมกับฉันที่รีบบอก ของทั้งหมดไม่ได้มูลค่าสูงจนต้องควักแบล็คการ์ดออกมาจ่ายแบบนั้นนะ!

                “เฮียไม่ต้อง เดี๋ยวเราจัดการเอง”

                จัดการยื่นบัตรเครดิตของตัวเองไปให้พนักงานแทนพร้อมกับฉีกยิ้มน้อยๆระหว่างรอให้อีกฝ่ายรูดบัตร ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มแย้งขึ้นเบาๆฉันถึงเพิ่งรู้ตัวว่ายังกอบกุมข้อมือของเฮียวีเอาไว้

                “เฮียจ่ายให้น้องได้”

                “เรารู้

                “ทุกอย่าง”



     

                ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งระหว่างรอคนที่ชอบทำให้ฉันรู้สึกสับสน เฮียวีอาสาเป็นคนไปเอารถและบอกให้ฉันรอหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตแทนที่จะหอบหิ้วของหนักๆไปด้วยกัน ระหว่างที่พยายามสงบสติอารมณ์แสนฟุ้งซ่านของตัวเองอยู่ๆเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นด้วยระดับความดังที่ทำให้ตกใจง่ายๆ

                “ลูกพี่!!!

                “คคุณเป็นใครคะ” ละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ ลำพังแค่เสียงก็ทำให้ตกใจมากพอแล้ว แต่ว่าร่างสูงของผู้ชายตรงหน้ายังค้อมศีรษะลงเก้าสิบองศาราวกับให้ความเคารพกันอีกต่างหาก

                “ลูกพี่ นี่ผมเอง” คนเพิ่งเงยหน้าตอกย้ำให้คำตอบกับฉันเป็นหนที่สอง ดวงตากลมโตของเจ้าของความสูงเฉียดร้อยแปดสิบเซนต์จ้องมองฉันก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจเท่าไหร่ “คนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกพี่มาไงล่ะ ทำไมถึงลืมฮะ?!

                “คุณ

                พอถูกตอกย้ำความทรงจำหลายๆรอบอะไรที่ลืมเลือนไปก็ค่อยๆกลับเข้ามาในหัว สรรพนามเรียกแทนและดวงตากลมแป๋วของเขาพอทำให้ฉันนึกออก ภาพลักษณ์ทรงผมที่เคยตัดตามเทรนด์เมื่อหลายปีก่อนและย้อมด้วยสีน้ำตาลปนแดงถูกแทนที่ด้วยผมหยักศกสีดำเข้มที่ยาวจนพอมัดได้ ไม่แปลกที่ฉันจะจำไม่ได้ตั้งแต่แรก ก็ในเมื่อเขาดูต่างจากเมื่อห้าปีก่อนลิบลับ

                “คิดถึงลูกพี่มากเลยตั้งแต่ถูกส่งไปดัดสันอุ๊ปส์” เขาแทรกขึ้นมาอย่างยาวเหยียดก่อนจะกลืนคำพูดท้ายสุดลงคอ แสร้งยกมือขึ้นปิดริมฝีปากทั้งที่ดวงตาเต็มไปด้วยความยียวน

                “ให้มันน้อยๆหน่อยนะ” น้ำเสียงเย็นเยียบบอกออกไป เหยียดยิ้มมุมปากพลางเอียงคอมองคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม น้ำเสียงโทนเดิมบอกต่ออย่างเนิบนาบ “เราเป็นยังไงคุณก็รู้นี่”

                เสียงบีบแตรที่ดังอยู่ด้านหลังทำเอาตกใจจนต้องหันกลับไปมองต้นเสียง ต่างจากร่างสูงที่อยู่ตรงข้ามที่ตกใจแค่ครู่เดียวก่อนทำท่าจะปรี่ตรงไปหาเจ้าของเมอร์เซเดสเบนซ์คันนั้น

                “ใครวะ กวนตีนลูกพี่เหรอ เดี๋ยวผมไปจัดการเอง”

                “เดี๋ยวก่อน นั่นสามีเราเอง” ฉันรีบห้ามพร้อมกับรั้งข้อมือหนาเอาไว้ วินาทีกระชั้นชิดก็เผลอเรียกแทนเฮียวีว่าอย่างนั้น หันมองคนที่อยู่ในรถอีกหนแล้วรีบบอกต่อ “เราต้องรีบกลับแล้ว มีนามบัตรหรืออะไรมั้ย เดี๋ยวเราติดต่อกลับไป”

                “ไว้เจอกันใหม่ครับลูกพี่” นามบัตรสีขาวครีมถูกยื่นมาให้ก่อนที่ฉันจะรับมาและเก็บลงกระเป๋า โบกมือลาให้เขานิดหน่อยก่อนจะเร่งฝีเท้าไปหาเฮียวี ฉันยิ้มให้เขาตอนที่เข้ามานั่งในรถแล้วเรียบร้อยแต่กลับได้รับสีหน้าเรียบเฉยตอบกลับมา เฮียวีออกรถอย่างรวดเร็วก่อนเสียงทุ้มจะดังขึ้นเพียงแค่คำเดียว

                “ใคร?”

                “เพื่อนเก่าสมัยมัธยมน่ะค่ะ”

                “ผิดสัญญาแล้วนะ” คล้ายกับเขาจะร้องเฮอะในลำคอตามด้วยคำพูดลอยๆ แต่ก็ผิดคาดเมื่อประโยคถัดมาจากปากเฮียวีทำเอาฉันต้องรีบเบี่ยงหน้าหนีเพราะความประหม่า “ทำเฮียหวง”








    *Insomnia โรคนอนไม่หลับ


    Let's talk with me

                น้องเพ่ยมีความลับ!!! ส่วนเฮียวีก็เอาใจน้องเก่ง!!! ย้ำอีกทีค่ะว่านี่ย์คือยังไม่คิดอะไรกับน้องเพ่ยนะคะ ตู้วหู้ววว ถ้ารักๆชอบๆน้องมานี่ย์จะมาแรงเบอร์ไหนกันคะเนี่ย? เอ็นดูน้องเพ่ยเพราะถูกคุณแชงก์เมินจนต้องเปย์หนม อิอิ ส่วนตาคนนั้นที่เรียกน้องเพ่ยว่าลูกพี่จะเป็นใครกันแน่เอ่ย อดีตของน้องเพ่ยจะทำให้ต้องร้องว้าวอ่ะป่าวคะ? (โปรดติดแท็ก #ดื้อกับเฮียวี มาร่วมส่งเสริมหลัวมาเฟียด้วยกันนะคะ แอบรอกดหัวใจอยู่นะ อิสอิส) ปล.เอาเป็นว่าจะพยายามมาอัพทุกวันศุกร์นะคะ เวลาอาจจะยืดหยุ่นบ้าง แต่จะมาวันศุกร์นี่แหละค่ะ เพราะว่าเฬาว์กำลังทยอยเคลียร์งานค่ะ หนักหน่วงนิดหน่อยเพราะเป็นตัวจบและสอบออนไลน์อีกสองวิชา มาร่วมกันภาวนาให้เฬาว์ผ่านทุกอย่างไปด้วยดีย์ด้วยนะคะ เลิ้ปๆ รักษาสุขภาพและขอให้แข็งแรงกันถ้วนหน้านะคับ


    17/04/2020

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×