ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Difference: ความรัก...ปริศนา...ชะตากรรม

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 : ทางเลือกแห่งการเริ่มต้น

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 52


    The Difference: ความรัก...ปริศนา...ชะตากรรม

    บทที่  1 : ทางเลือกแห่งการเริ่มต้น

    ยามราตรีกาลมาเยือน ความมืดมิดเข้าครอบงำ...ทุกสรรพสิ่งต่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัด มีเพียงแสงสีนวลจากดวงจันทร์สาดส่องกระทบ เฉกเช่นทุกครั้งครา...แสงจันทร์ที่สาดส่องชวนให้รู้สึกอบอุ่น  นุ่มนวลเหมือนดั่งเช่นทุกครั้งที่เคยเป็น...
              
    ...หากแต่ค่ำคืนนี้ เวลานี้  มันกลับกลายเป็นค่ำคืนอันโหดร้ายสำหรับใครบางคน...
                ควันไฟฟุ้งพวยพุ่งเต็มไปหมดตัดกับราตรีกาลสีหมึกดั่งหมอกในยามอรุณรุ่ง   หากแต่โชยกลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งจากคาคบเพลิงสีแดงสดที่ถูกจุดขึ้นนับสิบอันในมือของผู้คนที่แห่กันมายังแม่น้ำสายหลักของตัวเมืองอย่างหนาแน่นราวกับนัดไว้นั้น  ช่างทำให้สถานที่แห่งนี้ไม่น่าภิรมย์เอาเสียเลย...
              
    "เฮ้!! ฆ่ามันนางปีศาจร้าย"  เสียงกราดเกรี้ยวของผู้คนมากมายดังขึ้นตอบรับการกระทำของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ยักษ์ผิวสีสองคนที่เป็นผู้นำขบวน  ชายคนหนึ่งอุ้มร่างของเด็กหญิงวัยไม่เกินห้าขวบ ที่อยู่ในชุดกระโปรงมอมแมม ใบหน้าน่ารักเต็มไปด้วยคราบน้ำตา  ดวงตาของเด็กน้อยนั้นไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด  มันกลับดูนิ่ง... และว่างเปล่าจนน่าใจหาย  ข้อเท้าน้อยๆชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานที่มีโซ่สีดำใหญ่ล่ามโยงไปกับก้อนหินก้อนยักษ์ขนาดใหญ่กว่าตัวเธอ ในมือของชายอีกคน
                 
    ไม่นานขบวนของผู้คนที่คาดว่าคงแห่กันมาทั้งหมู่บ้านก็มาหยุดอยู่ที่แม่น้ำสายหลักที่คอยหล่อหลอมสรรพชีวิต  ซึ่งค่ำคืนนี้นั้นไหลเชี่ยวและรุนแรงกว่าคราใด  เหล่าผู้คนต่างกู่ร้องตะโกนสาปแช่งและชูคบเพลิงในมืออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
                  “
    วันนี้ ค่ำคืนนี้ และวินาทีนี้เราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง...ชายผิวสีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยกระแสเสียงก้องกังวาน สะกดทุกสรรพสิ่งต้องตกอยู่ภายใต้ราตรีกาลอันเงียบสงัด
                
    พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตา ประทานพรให้เราจับตัวนางปีศาจร้ายนี้ได้...ฉะนั้นเราจะเอาดวงวิญญาณชั่วร้ายของมันถวายแด่ทวยเทพ!”
                
    จับมันถ่วงน้ำ เพื่อให้วิญญาณร้ายของมัน ไม่ได้ไปผุดไปเกิด!”  ถ้อยคำที่เอ่ยออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยพลังที่เป็นเสมือนแรงผลัดดันให้ทุกชีวิตที่ยืนฟังมีกำลังใจ  ราวกับกำลังหลุดจากฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนมานานแสนนาน เสียจนอดที่จะตะโกนร้องสาปแช่งด้วยความอัดอั้นไม่ได้  กระแสเสียงดังนั้นกึกก้องราวกับจะส่งไปถึงเหล่าทวยเทพเบื้องบน  หากแต่เสียงนั้นช่างกรีดลึกลงไปฝังแน่นในอกของใครบางคนอย่างยากจะลืมเลือน...

      ตู้ม!!!

     ร่างของเด็กน้อยถูกโยนลงแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวอย่างไม่ปราณีพร้อมก้อนหินก้อนยักษ์ติดกับข้อเท้าน้อยๆของเธอไปด้วย ...
                …………………….
                ……………..
              
    ฮึก ชะช่วยด้วย!”
                เด็กน้อยพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายตะเกียกตะกายขึ้นมาบนผิวน้ำอย่างยากลำบาก  ปากก็ร้องให้ผู้คนช่วยทั้งๆที่ใจก็รู้ดีว่าไม่สามารถมีใครมาช่วยเธอได้  แต่ก็ยังดิ้นรนเพื่ออยู่รอด  แม้ทางข้างหน้าจะแทบมองไม่เป็นแล้วก็ตาม  เธอรีบสูดอากาศเข้าปอดเล็กๆ
     
             ชั่วอึกใจ...ร่างเล็กถูกดึงดิ่งลงไปยังใต้น้ำอีกครั้ง  ซึ่งครั้งนี้เธออาจจะไม่ได้มีโอกาสเห็นแผ่นดินที่แสนยิ่งใหญ่ไปอีกตลอดกาล...ร่างเล็กเริ่มดิ้นอย่างทุรนทุรายเมื่อรู้สึกว่าอากาศที่หอบลงมานั้นกำลังจะหมดไป ความแสบเริ่มพุ่งพล่านเข้ามา  เมื่อน้ำเริ่มไหลทะลักเข้าในร่างกาย  ร่างเล็กๆส่ายไปมาอย่างทรมาน
                 แน่น...เหมือนจะขาดใจ
    !
                
    ความทรมานที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิง  มือเล็กๆทั้งสองข้างกดที่ทรวงอกราวกับขอเวลาบนโลกนี้อีกนิดก็ยังดี  ขาที่เริ่มไร้เรี่ยวแรงพยายามดิ้นให้หลุดจากหินก้อนใหญ่สุดแรง
               
    ชาร์ลีน  ช่วยด้วย!”
               
    ช่วยด้วย!”
               
    คุณๆ ไปทางไหนต่อ
                
    เฮือก...หญิงสาวสะดุ้งพรวด
                 
    ฝัน? ...เฮ้อ  เสียงถอนหายใจยาวดังออกจากเรียวปากบางอมชมพูระเรื่อ  มือของหญิงสาวยกขึ้นลูบดวงหน้าที่ถูกซ่อนอยู่ในเงามืด  ทรวงอกยังคงขยับอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์แสนร้ายกาจ  หล่อนมองผ่านหน้าต่างข้างซ้ายของรถม้าคันสีดำสนิทที่กำลังเคลื่อนตัวด้วยความเร็วสม่ำเสมอไปยังถนนสีเทาเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่โปรยปรายลงมากระทบจนเกิดเสียงเปาะแปะ...
            
        คุณครับคุณ...ไปทางไหนต่อชายผู้เป็นคนคุมม้าอยู่ด้านหน้า  หรือคนขับรถม้าคันนี้เอ่ยถามซ้ำ หลังจากที่ไม่มีคำตอบจากสตรีผู้เป็นลูกค้า  เจ้าหล่อนจึงตวัดสายตาเย็นเฉียบที่จับจ้องถนนมาเป็นเขาแทนเสียจนเจ้าตัวต้องรีบกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ทัน
               
    ไปไหนก็ไปไป!”  หล่อนสบถกระแสเสียงหวานอย่างไม่สบอารมณ์ 
                
    ไม่ว่าเปล่า  มือเรียวล้วงหยิบเหรียญโกลสองเหรียญวางไว้บนเบาะนิ่มที่บุด้วยหนังสีดำเป็นมันเลื่อมของรถม้า  ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดลงจากรถโดยไม่ฟังเสียงร้องห้ามของคนขับเลย...

    ซ่า ซ่า! ฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำดังอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังเริงร่าอย่างร้ายกาจ  จึงทำให้เสียงฝีเท้าหนักๆของเรือนร่างเพรียวบางที่เร้นกายอยู่ในชุดสีดำอำพรางตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้า  ร่างที่เห็นครั้งเดียวก็สามารถบอกได้ทันทีเลยว่าผู้ที่อยู่ด้านในเป็นอิสตรี  นั้นถูกกลืนหาย  หล่อนค่อยๆเคลื่อนกายมาหยุดอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่แสนโอ่อ่า  แม้สายฝนจะโหมกระหน่ำแรงเพียงใดก็มิอาจบดบังความน่าเกรงขามเจือพรั่นพรึงของคฤหาสน์หลังนี้ไปได้  ที่รวมทั้งความวิจิตรหลายยุคสมัย 
               โออ่า  เก่าแก่เลอค่า  แต่ไม่ล้าหลัง...
               
    นัยน์ตาสีเงินคู่สวยชวนมองของสตรีชุดดำมองเข้าไปยังด้านใน  สถานที่ที่เธอคุ้นเคย  และมาเป็นประจำ  สถานที่ที่มอบทั้งโอกาสและชีวิตใหม่ให้กับคนอย่างเธอ... 
               
    แต่กระนั้นเธอก็ยังไม่อาจจะเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าบ้านได้เต็มปาก...
               
    นี่น่ะหรือคฤหาสน์มิลเล่อร์!”
                
    ควับ!  เจ้าของนัยน์ตาสีเงินหันไปตามต้นเสียงเบื้องหลัง  ก่อนที่เจ้าหล่อนจะส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อรู้ว่าต้นเสียงเป็นหญิงสาววัยสิบแปดปีนาม แกมมิเลียส  เอริธีรอส แมจเซนเซ่ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงถักเป็นเปียสองข้าง  และนัยน์ตาสีฟ้าสดฉายแววสอดรู้อยู่ตลอดเวลา  ซึ่งเธอไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่เพื่อนร่วมทางจำเป็นที่พบกันโดยบังเอิญจะ ยังคงตามมาด้วย...
               
    แกมมิเลียส!”
               
    อ๊ะ! ฉันเอง...  เจ้าหล่อนส่งยิ้มหวาน  ...ก็เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรอว่าจะไปอิลเลียนอลด้วยกันน่ะ...ว่าแต่นั่นเธอมาที่นี่ทำไมหรอ?
              
    * อิลแลน  ดินแดนส่วนหนึ่งของชาวผู้วิเศษ  ซึ่งประกอบไปด้วยสามเมืองหลัก  อิเลเดส อิเดียร่า และอิเลียนอล ซึ่งเมืองอิเลียนอล เป็นเมืองท่า  ลักษณะเป็นเกาะกลางน้ำ  และเป็นเมืองที่สำคัญอย่างยิ่ง  เพราะนอกจากจะมีท่าเรือที่ใหญ่แล้ว ยังมี สถาบันผู้วิเศษอิเลียนอล สถาบันสำหรับผู้วิเศษที่เก่าแก่มีชื่อเสียงมากที่สุด  ซึ่งแน่นอนว่าถ้าจุดหมายของทั้งสองอยู่ที่อิเลียนอล  คงก็จะต้องไปสมัครเข้าเรียนที่นั่นแน่ๆ  เพราะทางอิลเลียนอลกำลังประกาศรับสมัครนักศึกษาอยู่...
                
    เธอรู้ดีว่าการจบหลักสูตรพื้นฐานทั่วสำหรับชาวผู้วิเศษนั้นก็เพียงพอแล้ว  แต่ถ้าหากเธอจะตำรงอยู่ในสายอาชีพที่ไม่ใช่แค่นักล่าชั้นธรรมดามันคงยังไม่พอ...
                
    ทางเลือกที่ดีสำหรับบุคคลที่มุ่งเน้นที่จะทำงานในสายอาชีพหลักเช่นนักฆ่า  นักประดิษฐ์  ผู้รักษา  นักวางแผน  หรือแม้แต่นักเวทย์ชั้นสูง  มิใช่พ่อค้าแม่ค้า  นักบุญ  หรือผู้เสวงหาโชค สถาบันผู้วิเศษอิลเลียนอลย่อมเป็นหนึ่งในทางเลือกนั้นแน่...เนื่องจากหลักสูตรของสถาบันที่รวบรัดภายในสองปี  ซึ่งต่างจากที่อื่นๆ อย่าง  โรงเรียนอัศวินบาเวอร์เรีย  แห่งดินแดนอัศวินบาเวอร์เรีย  หรืออย่างวิทยาลัยปิศาจดาลีเน็สที่ตั้งอยู่ในดินแดนดาลีเน็สจะต้องจบขั้นพื้นฐานและต่ออีกจบจบหลักสูตรโดยรวมเจ็ดชั้นปี... 
                  
    เธอมาที่นี่ทำไมหรอ?
                   
    ธุระ...  สตรีชุดดำตอบสั้นๆแต่ได้ใจความ  ก่อนจะเดินไปกรดกริ่งหน้าประตูเหล็กสีดำ  ที่มีป้ายเขียนด้วยตัวอักษรสีเงินอย่างวิจิตรว่า  คฤหาสน์มิลเล่อร์(โรเบิร์ต)  องค์กรนักล่าหัวอัศวินแห่งตระกูลมิลเล่อร์สาขาหนึ่งโดยที่แม่เพื่อนสาวผมน้ำตาลรีบเดินตามไปติดๆอย่างกระหายใคร่รู้...


                    ไม่นานประตูเหล็กขนาดยักษ์ก็ค่อยๆเลื่อนออกช้าๆพร้อมกับอักษรตัวเอ็มที่ค่อยๆถ่างออก  เผยให้เห็นร่างของสตรีผู้มีเรือนผมสีบรอนซ์เกือบซีดรวบตึง  หล่อนสวมชุดหนังรัดรูปสีคำสนิทยืนถือร่มสีดำคันใหญ่รออยู่...


                   
    ขอโทษนะคะ  คุณออฟเฟเรน  กรุณาถอดเสื้อคลุมกับผ้าคุมศีรษะก่อนเข้าพบคุณมิลเล่อร์ด้วยนะคะ  สตรีผมบรอนซ์คนเดิมกล่าวด้วยเสียงค่อนข้างเรียบเฉยกับสตรีชุดดำ
                  
    ...รำคาญ นี่คือความคิดแรกที่เข้าสู่สมอง
               
         เจ้าหล่อนมักจะจู้จี้กับเธออย่างนี้เสมอ
                     นัยน์ตาสีเงินกรอกไปมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์  ก่อนที่เจ้าตัวจะดึงเอาผ้าคลุมศีรษะ  กับเสื้อโค้ชหนังสีดำตัวยาวออก  เผยให้เห็นใบหน้าสวยละมุนครบครันทั้งดวงตากลมโตสีเงินชวนหลงใหล  จมูกโด่งรั้นนิดๆรับกับริมฝีปากบางอมชมพู  เรือนผมสีม่วงสะดุดตาทอประกายยามเมื่อต้องแสงปล่อยสยายยาวอยู่กลางหลัง เรือนผมที่บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ไวโอร่าของเธอ หากแต่เจ้าตัวไม่พึงปรารถนามันเลยสักนิด  ร่างอรชรเพรียวบางยิ่งส่งให้เธอดูโดดเด่นด้วยความสูงราวร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร  หญิงสาววัยสิบแปดปีผู้นี้มีนามว่า
    ไดอารีน่า  บาราโมบิว  ออฟเฟเรน ใบหน้างดงามของเธอนั้นมักติดจะดูราบเรียบ และเฉยชาไม่สมกับวัยสดใสเสมอ...
               
    ขอโทษนะคะคุณ...
               
    แกมมิเลียส  แมจเซนเซ่นค่ะ  เจ้าหล่อนเอ่ยอย่างรวดเร็วพลางส่งมือให้สตรีผมบรอนซ์เสียจนเจ้าหล่อนแทบตั้งหลักไม่ทัน...
              
    ถ้าคุณไม่ได้นัดล่วงหน้า  ไม่ว่าจะเป็นแขกหรือไม่  ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าพบคุณโรเบิร์ตนะคะ...
              
    ฉันเป็นยิ่งกว่าแขกของคุณโรเบิร์ตเสียอีกค่ะ...
              

     

    สวัสดี สาวน้อย
              
    ไดอารีน่า  หรือไดอา  กวาดสายตาไปรอบๆห้องที่เธอมาคนเดียวเป็นประจำเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา   และครั้งนี้ก็เช่นกันถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทางตัวดีตามมาด้วย   บรรยากาศในห้องนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัส ห้องขนาดใหญ่เกินกว่าจะเป็นห้องทำงานของคนธรรมดา ที่แห่งนี้คงจะจุคนกว่าร้อยคนได้สบายๆด้วยความโอ่โถง  เตาผิงขนาดใหญ่ที่มีไฟติดลุกโชติช่วงให้ความอบอุ่น  โคมไฟระย้าที่ทำจากคริสตัลสีขาวบริสุทธิ์ให้ความสว่างแก่ห้องแห่งนี้  และของตกแต่งทุกอย่างที่แม้แต่เด็กสามขวบยังมองออกว่าล้วนแต่เป็นของล้ำค่าทั้งนั้น  แม้สถานที่แห่งนี้จะพร้อมพรรณด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกแสนหรูหรามากค่า  แต่มันไม่เคยมอบความอบอุ่นแก่ผู้มาเยือนเลยสักครา  ไดอาเองยังคงสงสัยว่าเจ้านายของเธอจะมีความสุขได้อย่างไรกัน  กับคฤหาสน์หลังใหญ่นี้  และแม้ว่าเธอจะรู้ว่าเจ้านายของเธอนั้นมีลูกชายอีกคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ด้วย  แต่ตลอดหลายปี  เธอเคยได้ยินเพียงแต่ชื่อ และกิติศักดิ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนักเท่านั้น...
                พลันนัยน์ตาสีเงินก็สะดุดกับร่างๆหนึ่ง  ชายวัยสามสิบสี่ปี  ผู้ซึ่งมีผมสีบรอนซ์ทองหวีเสยไปด้านหลัง  ปล่อยปอยผมลงมาปรก ใบหน้า ซึ่งแม้จะเลยวัยหนุ่มมาแล้วยังคงแลดูคมคายชวนหลงใหลไม่เปลี่ยนแปลงตามกาล  โดยเฉพาะนัยน์ตาสีมรกตคู่สวย  ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเปิดอกกับกางเกงหนังสีเดียวกันนั่งอยู่บนโซฟาสีเลือดนกสุดหรู  ชายผู้นี้เหมาะเหลือเกินที่ได้รับโหวตจากสาวๆว่าเป็นชายผู้ทรงอิทธิพลที่สุด   เขามีทั้งความลึกลับน่าเกรงขาม  และในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย  โดยเฉพาะดวงหน้าคมคายนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มพราย  ข้างกายเขามีสาวผมแดงทรงเสน่ห์ในชุดหนังสั้นรัดรูปสีดำสุดเซ็กซี่สองคนขนาบข้าง  เจ้าหล่อนเอาแต่มองเขาด้ายสายตาหยาดเยิ้มพร้อมกับยิ้มหวานจัด  จนไดอาเห็นแล้วยังอดเมื่อยแทนไม่ได้...
           
    นั่งลงก่อนซิ ไดอา... ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มชวนมอง  ขนาดที่เธอเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วน  มันก็ยังอดที่จะทำให้ใจเต้นอยู่ไม่ได้  แล้วก็....
           
    แกมมิเลียส เอริธีรอส แมจเซนเซ่ค่ะ เจ้าตัวยิ้มกว้าง พลางส่งมือให้ 
          
    หึ โรเบิร์ตสินะ?...
            
    ฉันโรเบิร์ต มิลเล่อร์ นั่งก่อนซิแกมมิลี่ เขายิ้มให้เธอ  โรเบิร์ตจ้องมองไปยังนัยน์ตาสีฟ้าสดราวกับกำลังค้นหาบางอย่าง
           
    อ๊ะ อะ เอ่อ คือว่า...ตัวจริงคุณหล่อกว่าที่คิดอะ...  อยู่ๆแกมมิเลียสก็พูดขึ้น  แล้วแสร้งทำเป็นตะครุบปาก  ส่วนไดอานั้นได้แต่นั่งทำหน้าเซ็งๆ  และรู้สึกผิดที่เจอกับแม่เพื่อนสาวตัวดี...  โรเบิร์ตไม่ตอบโต้อะไร  เข้าเพียงแต่มองไปที่แกมลิเลียสด้วยสายตาแปลกๆ  ก่อนจะมาจับจ้องอยู่ที่ลูกน้องคนสวยอีกครั้ง
               
    ฉันมาตามที่คุณนัด  งานครั้งก่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว...  เสียงหวานของไดอาเอ่ยราบเรียบ  ...และฉันจะมาขอให้คุณเซ็นใบรับรอง...
              
     ดื่มอะไรก่อนดีไหมสาวน้อย  เขาจงใจมองไปที่ไดอาตรงๆ น้ำส้มคั้น หรือว่ามะนาวดี
              
     ขอโทษด้วย...ฉันมีเวลาไม่มากนัก เพราะฉะนั้น…”           
               
    น้ำส้มคั้นสักแก้วก็ไม่เลวนะไดอา แกมมิเลียสสวนขึ้นทันควัน       

    สาบานได้ว่าถ้าตรงนั้นมีหอก หรือมีด หรืออะไรก็ได้ ไดอาคงเอามันกระซวกปากเจ้าคนพูดไม่รู้จักเวล่ำเวลา  
                รอยยิ้มบางๆปรากฏบนริมฝีปากเรียว เมื่อเขาเห็นสีหน้าไม่พอใจของแม่สาวผมม่วง
      
               
    ไม่นานน้ำส้มของแม่เพื่อนตัวดีก็มาเสิร์ฟโดยสาวสุดเซ็กซี่ในชุดแบบเดียวกันหมด ทั้งๆที่เอามาให้พวกเธอแท้ๆ  เจ้าหล่อนก็ยังคงเอาแต่จ้องหน้าผู้เป็นนายตัวเองด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ไม่วายตอนกลับทรงโตๆจนแทบจะทะลักของเจ้าหล่อนยังต้องเอาไปเกยหลังผู้เป็นนายที่เอาแต่นั่งยิ้มบางๆ   กว่าจะออกไปได้ไอ้คนที่นั่งอยู่แทบจะเป็นตากุ้งยิง
               
    ตามที่ตกลงกันไว้... ไดอาพยายามสงบสติอารมณ์อีกครั้ง เพราะเธอไม่อยากจะฆ่าแม่สาวที่ไม่รักนวลสงวนตัวเอาซะเลย  แต่เอาเถอะมันไม่ใช่เรื่องของเธอ   ยังไงก็รีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดก่อนจะเกิดคดีฆาตกรรม
               
    คิ้วเข้มเลิกขึ้นเป็นเชิงสงสัย  เขาก้มหยิบแผ่นกระดาษที่ไดอาหยิบขึ้นมาวาง  ก่อนจะวางมันตามเดิม  เสียจนไดอาเห็นแล้วยังอดรู้สึกหมั่นไส้กับสีหน้า  และท่าทางไม่ได้
             
    จุ๊ๆๆ  จะรีบไปไหนกันแม่สาวไวโอร่า  เสียงทุ้มมีแววขบขันอย่างเห็นได้ชัด
              นั่นสิไดอา ไม่เห็นต้องรีบเลยอยู่นานๆก็ได้  แกมมิเลียสสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า  เธอรู้สึกสนุกไปกับการแหย่เพื่อนสาวที่เริ่มมีท่าทีไม่ค่อยสบอารมณ์  หรืออาจมีบางอย่างแอบแฝงกันแน่...
             
    หึหึหึ โรเบิร์ตยังคงอารมณ์ดี 
             
    ถ้าคุณไม่เซ็นก็ไม่เป็นไร...  ไดอาคว้าแผ่นกระดาษกลับ  หญิงสาวเริ่มฉุนกับการเย้าแย่เธอว่า  ไวโอร่า  แม้มันจะไม่ใช่ถ้อยคำหยาบคาย แต่กระนั้นมันก็เหมือนกับว่าเป็นการตอกย้ำเธอว่าเธอไม่ใช่พวกเดียวกับเขา  ยิ่งนักฆ่าก็แล้วใหญ่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏว่าไวโอร่าจะเป็นหนึ่งในนักฆ่าขององค์กรมิลเล่อร์นอกเสียจากเป็นผู้รักษาตามพลังเยี่ยวยาของสายพันธุ์  แต่ใช่ว่าไวโอร่าอย่างเธอจะเป็นได้แค่ผู้รักษานี่  ไดอาเฝ้าบอกตัวเอง  อย่างน้อยเลือดในกายอีกครึ่งเธอก็เป็นผู้วิเศษ!
                
    และเหมือนกับว่าโรเบิร์ตรู้ว่าหญิงสาวคิดเช่นไร  มือใหญ่กลับเลื่อนมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมืออย่างไม่ทันตั้งตัวเสียจนแม่สาวที่ยืนอยู่ทั้งหลายแทบจะกระโดดมากรีดคอหญิงสาวตรงหน้าที่เจ้านายให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ
              
    ปล่อย!”  ไดอาสั่งเสียงเย็น
              
    ไม่อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันซักมื้อก่อนหรือ?
              
    หนึ่ง!!!”
              
    โรเบิร์ตใช้ลิ้นดุนกระบุ้งแก้ม  พลางเอียงคอลูกน้องคนสวยที่มีท่าทีไม่พอใจ  ก่อนจะยิ้มออกมา
               
    สอง!!!”
               
    จุ๊ๆๆ นิ้วเรียวเอื้อมมาแตะริมฝีปากบางเบาๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเบ้หน้าอย่างไม่สบอารมณ์
               
    ฉันมีทางเลือกให้เธอ...สาวน้อย

    ________________________________________

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×