ตอนที่ 35 : ตอนที่ 32 : ทลายแผนการ
ร่างของศัตรูที่ถูกรายล้อมกำลังจับจ้องใบหน้าของชายหนุ่มทั้งสองกับเจ้าสัตว์เทพด้วยดวงตาสีแดงก่ำวาวโรจน์อย่างอาฆาตมุ่งหวังกำจัดใครก็ตามที่มันกล้าเสนอหน้าเข้ามาขวางแผนการที่ตนรอคอยหลายพันปี มือทั้งสองข้างที่ไร้อาวุธผลันสร้างไอเวทย์สีเทาที่สะบัดเพียงวูบเดียวก็พุ่งตรงเข้าปะทะชาสล์และโนอาร์ แต่ทว่าทั้งคู่ได้เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้ว คฑาสีเหลืองและสีดำที่นำมาปักไว้กับพื้นตั้งแต่แรกจึงเริ่มสำแดงเดชเมื่อเจ้าของเอ่ยปากร่ายเวทย์
เรนเรนเซีย กามาส
กระแสเวทย์สีเหลืองนวลตาและสีดำสนิทโผยพุ่งออกจากปลายคฑา หมุนวนรอบกายผู้เป็นนายคล้ายเป็นเกราะกำบังที่สลายไอเวทย์ของศัตรูทันทีเมื่อปะทะกัน เจ้าสัตว์เทพที่จึงฉวยการปล่อยพลังเวทย์สีเงินเข้าจู่โจมแต่กลับถูกพลังเวทย์ของรอนเทียกำจัดไปก่อนที่จะถึงตัว
พวกเจ้าหลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นแม้แต่ซากศพก็อย่าได้หวังว่าจะเหลือ รอนเทียประกาศกร้าว ส่งเสียงคำรามขู่ ทว่ากลับไม่มีผลเท่าไรนักเมื่อโนอาร์แย้มยิ้มที่มุมปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือกชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองดูว่าใครกันแน่ที่จะไม่เหลือซากศพออกไปจากที่นี่ โฮลเกรน ลอสเกรนาดา โนอาร์ยกมือขวาขึ้นวาดอักขระโบราณมืออีกข้างกำคฑาไว้แน่น จากนั้นจึงเอ่ยร่ายเวทย์ปรากฏไอเวทย์สีดำขึ้นบริเวณที่ร่างของศัตรูยืนอยู่ เปลี่ยนพื้นหินส่วนนั้นให้กลายเป็นทรายดูดกลืนร่างไร้สีเลือดให้จมลงไปเรื่อยๆ ก่อนจะได้ยินเสียงร่ายเวทย์อีกบทดังขึ้นจากเพื่อนชายผมสีฟ้า
สายอัสนีบาตที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้เวทย์ระดับผู้บัญชาการแห่งท้องฟ้า ส่งกระแสไฟหลายหมื่นโวตหมายทำลายร่างของศัตรูที่กำลังถูกดูดกลืนด้วยทรายจากเวทย์ปฐพีให้สิ้นซาก แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นดังคาดเมื่อรอบตัวของรอนเทียปรากฎเกราะห์เวทย์สีเทาที่สามารถดูดซับสายฟ้าของชาลส์หายไปไม่เหลือร่องรอย ก่อนจะสลายเกราะเวทย์พร้อมกับร่ายเวทย์บทใหม่ทำลายเวทย์ของโนอาร์ระเบิดพื้นบริเวณที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นทรายจนเกิดช่องว่างขนาดใหญ่แล้วพาร่างของตนลอยขึ้นมายืนบนพื้นอีกครั้ง
คิดว่าพวกเจ้าเป็นใครจะขัดขวางข้าได้อย่างนั้นหรือ เจ้าพวกสิ้นคิด
รอนเทียส่งเสียงตะโกนลั่น สร้างกระแสพลังเวทย์หลายสิบสายขึ้นรอบกาย ก่อนจะปล่อยพลังเวทย์พุ่งเข้าจู่โจมร่างของชายหนุ่มทั้งสองและเจ้าโบฟ พร้อมระเบิดพลังอัดกระแทกร่างของทั้งสามให้กระเด็นออกไปคนละทิศคนละทาง ซึ่งหากเป็นดังเช่นกาลก่อน ร่างกายซีดไร้สีเลือดนี้คงไม่สามารถกระทำเช่นนี้ได้ ทว่าเมื่อผนึกขั้นแรกได้รับการปลดปล่อยแล้ว เศษเสี้ยวของเจ้าแห่งปีศาจที่ได้ซุกซ่อนอยู่ไว้ในตัวรอนเทียมีพลังแข็งกล้าขึ้นดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่ทั้งสามจะรับมือได้ง่ายนัก
แม้จะถูกพลังเวทย์อัดเข้าใส่จนรู้สึกปวดร้าวไปทั้งร่าง แต่เมื่อเห็นศัตรูกำลังจะมุ่งหน้าไปยังแท่นหิน โนอาร์จึงยันกายลุกขึ้นใช้เวทย์สร้างกำแพงหินเป็นปราการขวางกั้นแม้จะถูกทำลายลงได้ไม่ยากเย็นนัก แต่เมื่อเวทย์ของตนถูกกำจัดกลับปรากฏพายุขนาดใหญ่หมุนปะทะเข้ากับร่างของรอนเทีย หอบร่างไร้สีเลือดกระแทกเข้ากับประตูตามผลของเวทย์วายุจากชายหนุ่มผมฟ้าที่สามารถยืนตั้งหลักได้เช่นเดียวกับเจ้าโบฟที่รีบส่งพลังเวทย์สีเงินจู่โจมซ้ำหวังไม่ให้ศัตรูกลับมาเป็นฝ่ายรุกได้อีกครั้ง ทว่าการกำจัดรอนเทียคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักเมื่อร่างที่มีเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของเจ้าแห่งปีศาจสามารถลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งราวกับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
ทางด้านฮาฟทันทีเมื่อตัวออกจากกลุ่มของโนอาร์จึงรีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังร่างของอาร์ ซึ่งเวลานี้ตามร่างกายปรากฏรอยอักขระที่สลักลงบนเนื้อเนียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดไหลซึมย้ายลามไปเกือบทั้งตัว ใบหน้าหวานขมวดเคร็งเกร็งไปทั้งตัวทุกครั้งที่รอยจารึกทวีเพิ่มจำนวนขึ้นกรีดแทงบาดลึกทำให้ร่างบางขบกัดริมฝีปากแน่นอย่างพยายามข่มความเจ็บ มีเพียงเสียงหายใจเหนื่อยหอบอย่างทุกข์ทรมานเท่านั้นที่หลุดรอดออกมา
อาร์ อาร์ อาร์ ฮาฟเอ่ยตะโกนร้องเรียก ทว่าเปลวไฟที่ขวางกันทำให้ตนไม่สามารถก้าวเข้าไปใกล้ร่างของอาร์ได้มากนัก จึงทำได้แต่เพียงร้องเรียกชื่อของอาร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนเปลือกตาที่ปิดสนิทเพื่อข่มความเจ็บปวดของอาร์จะพยายามลืมขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฮาฟดังแววเข้าสู่โสตประสาทกระตุ้นสติที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ฮาฟ
ฉันจะช่วยเธอออกไปจากที่นี่ ชายหนุ่มมองอาร์ที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างดีใจ หยิบดาบออกมาเตรียมตัดเชือกอาคมที่มัดมือและเท้าของอาร์ไว้ ก่อนจะได้ยินเสียงจากริมฝีปากที่ถูกกัดแน่นจนเกิดเลือดไหลซึมพยายามเค้นเสียงพูดอย่างเต็มกำลัง
ม..ไม่ อย่าเข้ามา
อาร์ ฮาฟเอ่ยเรียกชื่ออาร์อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย ดวงตาสีน้ำผึ้งจับจ้องไปยังใบหน้าของหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจความหมาย ก่อนอาร์จะพยายามเอ่ยปากพูดแม้จะยากลำบากเต็มที
หนีไปซะ พ..พาทุกคนหนีไปซะ ฉันทนพลังรับนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว อั๊ก..อั๊ก
โลหิตแดงข้นคลักทะลักออกจากปาก ดวงตาสีฟ้าที่ดูอ่อนแรงจ้องมองฮาฟอย่างวิงวอนขอร้องให้ทำตามคำกล่าวของตน เพราะเวลานี้ภายในร่างกายของอาร์คล้ายระเบิดเวลาที่กักเก็บทั้งพลังแห่งเทพของตนเองในส่วนที่อัญมณีแห่งอัคคีไม่สามารถกักเก็บได้อีกต่อไปและอีกส่วนคือ พลังของเจ้าแห่งเทพเอสเทียรในอัคคีปักษาที่กำลังไหลล้นทะลักเข้ามาในร่างของเธอ ทำให้อาร์ตระหนักได้ว่าอีกไม่นานร่างของเธอคงจะต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะไม่มีทางที่กายเนื้อของมนุษย์อย่างเธอจะสามารถกักเก็บพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้พร้อมกัน และเมื่อเวลานั่นมาถึงไม่แน่ว่าเพื่อนเธอซึ่งอยู่ในที่นี่จะต้องได้รับอันตรายไปด้วย
ไม่! ฉันจะช่วยเธอเดี๋ยวนี้
ฮาฟปฏิเสธเสียงแข็งเงื้อดาบวาดผ่านเปลวเพลิงฟันฉับตัดเชือกอาคมที่พันธนาการแขนและขาของอาร์เอาไว้ จากนั้นจึงร่ายเวทย์สร้างไอเวทย์สีแดงห่อหุ้มแขนทั้งสองข้างเพื่อใช้ป้องกันไม่ให้เปลวไฟที่ลุกท่วมอยู่รอบกายของอาร์เผาไหม้แขนระหว่างที่ยื่นมือเข้าไปดึงร่างของหญิงสาวออกจากแท่นหิน ทว่าไม่ว่าออกแรงสักเท่าไรร่างบางกลับไม่เขยื่อนออกจากจุดเดิมเลยแม้แต่น้อย ไม่ต่างไปกับอัคคีเพลิงรอบกายที่ยังคงทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องกับอักขระโบราณที่ยังคงสลักจารึกลงบนผิวกายอย่างไม่มีทีท่าว่าหยุดลง
โธ่เว้ย ฮาฟสบถลั่นเมื่อการกระทำของตนไร้ผลไม่สามารถพาร่างของอาร์ออกจากเปลวเพลิงที่ยังคงลุกโชติช่วง โดยไม่ใส่ใจมือและแขนทั้งสองที่เริ่มปรากฏรอยไม้แดงเป็นบริเวณกว้าง เพราะแม้จะมีเวทย์ป้องกันไว้แต่ใช้ว่าจะทนทานเพลิงร้อนได้นานนัก ก่อนอาร์
ฮาฟ หยุดเถอะ ไปซะ..พาทุกคนไปซะ อาร์ที่เริ่มหายใจติดขัดพยายามเอ่ยปากไล่ เมื่อเห็นฮาฟยังไม่ละความพยายาม แต่ทว่าไม่สามารถทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าล้มเลิกความตั้งใจส่งเสียงตวาดลั่น
ไม่! ฉันไม่ยอมเสียเธอไปเป็นอันขาด
เมื่อเห็นว่าแรงของตนไม่สามารถเคลื่อนย้ายร่างของอาร์ได้สำเร็จ ฮาฟจึงวาดมือเรียกคฑาออกมาร่ายเวทย์พุ่งตรงเข้าใส่กระจกทรงรีหมายทำลายสะท้อนอัคคีให้แหลกเป็นผุยผง ทว่าแสงจันทร์นวลตาที่ถูกแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นสีแดงกลับเป็นเกราะป้องกันชั้นดีสะท้อนเวทย์ของฮาฟออกมาได้โดยที่ยังไม่ทันสัมผัสกับบานกระจกเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่คอยมองกระทำของฮาฟอย่างแอบมีความหวังแต่เมื่อเห็นพลังเวทย์นั้นไม่สามารถสร้างแม้แต่รอยขีดขวนให้กับสะท้อนอัคคีได้เลย อาร์จึงทำได้แต่เพียงยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตน
อย่าพยายามเลย ทุกอย่างมันสายไปแล้ว
ไม่! ชีวิตเธอเป็นของฉันจำได้ไหม ไม่เธอจะอยู่บนโลกนี้หรือตายฉันจะเป็นคนตัดสินมันเอง
เมื่ออักขระตัวสุดท้ายสลักจารึกลงกลางหน้าผาก ร่างบากกระตุกเฮือกคล้ายโดนกระชากจากมือที่มองไม่เห็น ก่อนดวงตาสีน้ำผึ้งจะเหลือบไปเห็นวัตถุสีแดงที่กำลังท่อแสงวาววับรับกับกระจกสะท้อนอัคคีที่เปล่งประกายสีแดงเรืองรอง ในวินาทีนั้นเองฮาฟตัดสินใจใช้ดาบที่กำแน่นอยู่ในมือปักทะลุลงไปยังอัญมณีแห่งราชันย์
ฮาฟฟฟฟ
เสียงอาร์ร้องลั่นเมื่อเห็นฮาฟใช้ดาบแท่งลงไปที่อัคคีปักษา เปลวเพลิงที่เคยอยู่รอบกายผลันหายไป อักขระที่เคยจารึกอยู่บนร่างเริ่มเลือนราง ก่อนจะอัคคีเพลิงที่ไร้ตัวจะปรากฎลุกท่วมกับอักขระมนตราจะเริ่มแสดงตัวตนอีกครั้งบนมือทั้งสองข้างฮาฟ
ลานกว้างเบื้องหน้าหอคอยโซซอเรียสบัดนี้เต็มได้ด้วยซากศพของเหล่ากูนีสนอนเกลื่อนกลาดด้วยฝีมือของเหล่าสภานักเรียนแห่งเซียเทนนา แต่ไม่ว่าจะพยายามกำจัดศัตรูสักเท่าใดจำนวนของพวกมันดูกลับดูเหมือนไม่ลดลงเลยแม้เพียงเศษเสี้ยว
วาริเอสตร้า ฟรอสเมนดามา เสียงร่ายเวทย์ดังจากหัวหน้าปราการวารีบูรพาก่อเกิดเกลียวคลื่นวารีที่กลายเป็นน้ำแข็งเฉียบพลันทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับร่างของศัตรู แม้อ่อนลงไปเยอะเนื่องจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ หากทว่าระยะเวลาแค่เพียงเสี้ยววินาทีก็เพียงพอแล้วให้เพื่อนชายแห่งปราการอัคคีจับดาบเข้าห่ำหันกำจัดศัตรูลงไปนอนจมกองเลือได้อีกหนึ่ง ก่อนที่พลังเวทย์สายวารีของโอลิเวียร์จะสลายตัวไป
โอลิเวียร์ ไหวไหม แพทริกเอ่ยสอบถามอย่างเป็นห่วง เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เพื่อนสาวต่างปราการเมื่อรู้สึกถึงกระแสพลังเวทย์ที่แผ่วลง
ไม่ต้องห่วง แค่ใช้เวทย์ติดต่อนานไปหน่อยเท่านั้น
หลบ แพทริกรีบตะโกนเตือน เมื่อเหลือบไปเห็นศัตรูแอบใช้ช่วงจังหวะที่โอลิเวียร์หันมาคุยกับตนส่งพลังเวทย์พุ่งเข้าจู่โจม หญิงสาวรีบย่อตัวหลบอย่างเร่งด่วน แม้จะจวนตัวเต็มทีแต่ใช่ว่าตำแหน่งหัวหน้าปราการวารีบูรพาจะได้มาเปล่าปลี้ๆ เมื่อปราฏสายเวทย์วารีสีน้ำเงินเข้มพันธการร่างของศัตรูผู้ฉวยโอกาสไว้จนมิด ใบหน้าที่เคยแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนกลับปรากฎแววเหี้ยม ดวงตาวาววับขึ้นอย่างฉุนจัด สละคฑาที่มีอยู่ในมือพร้อมกับคว้าดาบที่แนบอยู่ข้างกายฟันฉับตั้งแต่ช่วงหัวไหล่แยกร่างของศัตรูออกเป็นสอง ก่อนดวงหน้าหวานจะกลับสู่สภาพเดิมกับน้ำเสียงที่พูดออกมาราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติเต็มที
คิดจะลอบกัดคนอย่างโอลิเวียร์ แบนดาชอย่างงั้นหรือ การกระทำของเพื่อนสาวที่แลดูบอบบางในสายตาของตน ทว่าตั้งแต่การร่ายเวทย์จนถึงการกำจัดร่างของศัตรูให้ลงไปนอนไร้ลมหายใจช่างรวดเร็วยิ่งนัก ทำให้แพทริกตระหนักได้ว่าเป็นห่วงผิดคนซะแล้ว พวกกูนีสต่างหากเล่าที่น่าหนักใจมากกว่าหากคิดจะต่อกรกับเพื่อนสาวคนนี้
เธอนี่น่า คนเราหรืออุตสาเป็นห่วง เสียเวลาจริงๆ เสียงแพทริกเอ่ยพูดพร้อมกับสั่นศีรษะน้อยๆ อย่างหน่ายใจ ทำให้หญิงสาวร่างบางอย่างโอลิเวียร์ที่ไม่ได้อ่อนแอเช่นที่คิดค้อนควับเข้าให้ ก่อนจะส่งเสียงโวยกลับ
ใครใช้ให้นายมาห่วงฉันกันเล่า หาทางกำจัดพวกนี้ก่อนเถอะ ขืนสู้ยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ พวกเราจะหมดแรงกันซะก่อน
คำกล่าวของเพื่อนสาวทำให้หัวหน้าชั้นปีที่สีแห่งปราการอัคคีต้อหยุดขบคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนใบหน้าที่ราบเรียบนิ่งสนิทจะกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างฉุกใจคิด เพราะการที่จะลำเลียงกองกำลังเข้ามาเสริมทัพได้อย่างไม่ขาดสายเช่นนี้ มีหนทางอยู่เพียงไม่กี่วิธีเท่านั้น จึงเอ่ยเรียกชื่อเพื่อนร่วมปราการที่บินอยู่ในจุดสูงนับแต่เริ่มการต่อสู้โดยใช้เวทย์สื่อสารที่เชื่อมต่อเหล่าสภานักเรียนผ่านทางเหรียญตราประจำตำแหน่ง
บราวน์ ออเดรย์
ว่าไง แพทริก
นายสองคน ช่วยตรวจหาอุโมงค์วงเวทในบริเวณนี้ที
รับทราบ ผู้พิทักษ์ปราการทั้งซ้ายและขวาเอ่ยตอบรับคำบัญชาจากหัวหน้าปราการของตนอย่างพร้อมเพรียง บังคับเจ้ามันติคอร์โผล่บินทะยานสูงขึ้นเพื่อให้เห็นทัศนีภาพเบื้องล่างที่เพื่อนทั้งหกยังคงร่ายเวทย์และใช้ดาบเข้าฟาดฟันกับฝ่ายตรงข้ามได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ไม่นานนักทั้งคู่สะดุดตาเข้ากับวงเวทนับสิบจุดที่วางอยู่รอบบริเวณหอคอย จึงรีบแจ้งข้อมูลที่พบเจอให้ทุกคนรับทราบ
เจอแล้ว มีอุโมงค์วงเวทอย่างที่นายว่าจริงๆ ทางด้านซ้ายและขวาของหอคอยมีอยู่ที่ละสามวงเวท อยู่ด้านหลังพวกนายตรงบริเวณกำแพงประตูทางเข้าทั้งซ้ายและขวาอีกหกจุด
แล้วเห็นตัวคนที่สร้างวงเวทไหม
ไม่เห็นตัวเลย
งั้นที่เห็นคงเป็นแค่ปลายทางของวงเวทเท่านั้นซินะ แบบนี้คงหาตัวการไม่เจอ ช่างเถอะตอนนี้จำเป็นต้องหยุดการเพิ่มจำนวนของเจ้าพวกนี้ก่อน
การใช้เวทย์สร้างอุโมงค์วงเวทเชื่อมต่อสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่งแม้จะสะดวก แต่ทว่าในการใช้เวทย์แต่ละครั้งจำต้องพึ่งผู้ใช้เวทย์ตั้งแต่ระดับนักเวทย์จนถึงจอมเวทย์อย่างน้อยหนึ่งคนต่อหนึ่งวงเวท ดังนั้นวงเวทที่ปรากฎอยู่ถึงสิบสองตำแหน่งรอบหอคอยแสดงว่าฝ่ายศัตรูต้องมีผู้ที่มีพลังเวทย์ระดับจอมเวทย์อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และนี้อาจจะเป็นการดีสำหรับพวกตนเพราะจำนวนคนเท่าที่มีในตอนนี้คงไม่ดีแน่หากต้องรับมือกับศัตรูที่ไม่รู้ว่าซุกซ่อนกำลังไว้มากน้อยเพียงใด
ไพรด์ ชื่อของมังกรอัคนีที่หายร่างไปหลังจากจัดการส่งกลุ่มรุ่นน้องชั้นปีที่หนึ่งเข้าสู่หอคอยโซซอเรียสได้ถูกเรียกขานอีกครั้ง ไม่นานนักก่อนมังกรสีแดงเข้มจะฉาบบินถลาร่อนลงข้างกายผู้เป็นนายที่ก้าวขึ้นไปขี่หลังพร้อมกับรีบออกคำสั่งบัญชาการ
นาธาน นายช่วยเปลี่ยนมาคู่กับโอลิเวียร์ ทริสตันนายอยากมากับฉันไหม
หึหึ...ได้ซิ ราเวน ทริสตันส่งเสียงหัวเราะในลำคอเอ่ยเสียงเย็นรับคำสั่งหัวหน้าคณะช่วยเหลือเฉพาะกิจ คันไม้คันมือรู้สึกอยากยุติการต่อสู้ยืดเยื้อที่ตนชักเริ่มรู้สึกเบื่อแล้วเต็มที ก่อนจะส่งเสียงร้องเรียกหามังกรคู่กายของตนที่บินเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง
ฉันจะจัดการอุโมงค์วงเวทบริเวณหอคอยเอง
ได้ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน
มังกรอัคนีและมังกรปฐพีโผนทะยานขึ้นบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว หลังจากแพทริกและทริสตันจัดการแบ่งพื้นที่ความรับผิดชอบของตัวเองเสร็จสรรพ มังกรสีแดงเข้มมุ่งตรงไปยังบริเวณหน้าหอคอยเลือกที่จะทำลายอุโมงค์วงเวททางด้านฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ใกล้กับตำแหน่งของตนมากที่สุด
ก๊าซซซซ...เปลวเพลิงร้อนพ้นออกจากปากของเจ้าไพรด์เพื่อกำจัดร่างของศัตรูที่กำลังปรากฎร่างขึ้นบนปลายทางของอุโมงค์วงเวท ทำให้ร่างที่ถูกไฟลุกไหม้ท่วมลงเหลือเพียงซากกองเถ้าถ่าน แพทริกถือโอกาสมังกรของตนจัดการเปิดทางกระชับคฑาที่ถือไว้ในมือแน่นเอ่ยร่ายเวทย์สร้างสายลมพยุงกายในช่วงจังหวะที่ตนกระโดดลงจากหลังของมังกรลงไปยืนอยู่บนวงเวท จากนั้นนำปลายคฑาปักลงบนพื้นบริเวณจุดกึ่งกลางของอุโมงค์เดินทางพร้อมกับเอ่ยร่ายเวทย์บทที่สอง
ซานาซาฟา อาราเทรา เพนเพนริริเซนซินทินซาลัน สลาย วงเวท
ไอเวทย์รอบกายที่เกิดขึ้นตามผลของการร่ายเวทย์ ค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปตามอักขระที่ปรากฎอยู่บนพื้นเพียงชั่วครู่เมื่อพลังเวทย์แผ่กระจายตัวรอบวงเวทของศัตรู อุโมงค์วงเวทจึงเริ่มเกิดความปั่นปวน คล้ายถูกกระแสพลังเวทย์อื่นเข้าแทรกแซง อักขระเวทเกิดเคลื่อนย้ายสลับตำแหน่งพร้อมกับแสงสว่างวาบ ก่อนที่อุโมงซึ่งมีไว้เพื่อจัดส่งกองกำลงเสริมจะสลายหายไป
ครั้นเมื่ออุโมงค์วงเวทยจุดแรกถูกทำลายลง พวกกูนีสจึงได้แบ่งกำลังส่วนหนึ่งเข้ามาหมายจัดการกับผู้ที่ต้องการสลายอุโมงค์วงเวทที่เป็นเสมือนจุดส่งลำเลียงทัพเสริมของพวกตน และอีกส่วนหนึ่งเข้าป้องกันอุโมงค์วงเวทที่ยังไม่ถูกทำลายเมื่อเห็นมังกรสีทมิฬบินโฉบลงต่ำพร้อมร่างของทริสตันที่กำลังร่ายเวทย์เข้าจู่โจมจุดประสงค์เพื่อทำลายวงเวทบริเวณกำแพงหน้าประตูทางเข้า
แต่แล้วทันใดนั้นเองทุกคนที่ยืนอยู่ในบริเวณหอคอยแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักเรียนแห่งเซียเทนนาหรือเหล่ากูนีสสมุนของดินแดนปีศาจกลับรู้สึกได้ถึงพลังเวทย์อันมหาศาล ซึ่งไม่เพียงแต่แรงกดดันของพลังเวทย์รุนแรงมากขึ้นกว่าตอนแรกที่พวกตนก้าวมาถึง หากทว่าหอคอยและพื้นที่บริเวณข้างเคียงยังเริ่มเกิดการสั่นไหวคล้ายแผ่นดินเกิดวิปโยค ทำให้พวกรุ่นพี่ปีสี่หยุดชะงักการต่อสู้ไปชั่วครู่ต่างฝ่ายต่างมองไปยังยอดหอคอยที่ปรากฏกระแสพลังเวทย์สีเพลิงที่โผยพุ่งอยู่โดยรอบชั้นบนสุดอย่างประหลาดใจ ต่างฉงนสงสัยว่าเกิดเหตุการณ์อันตรายร้ายแรงขึ้นกับรุ่นน้องของพวกตนที่เข้าไปก่อนหน้านี้หรือไม่ และไม่แน่ว่าพวกศัตรูรู้ความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดีหรืออย่างไรรีบสลายร่างกลายเป็นหมอกควันสีหลบหนีไม่เฉพาะแต่พวกที่ยังคงมีชีวิต หากยังรวมถึงพวกที่กลายเป็นซากศพก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เช่นเดียวกับอุโมงค์วงเวที่หมายจะทำลายในคราแรกเวลานี้กลับเลือนหายสลายไปแล้วสิ้น
พวกมันหนีหายไปกันหมดแล้ว เสียงโธมัสพูดขึ้นอย่างตระหนกระคนสงสัย เมื่ออยู่ศัตรูที่กำลังห่ำหันกันกลับสลายร่างหายไปกลางคัน
พลังเวทย์นี้อะไรกัน มันรุนแรงเทียบไม่ได้กับตอนที่เรามาถึงที่นี่เลยนะ เกิดอะไรขึ้นข้างบนนั่นกันแน่ ทริสตันที่บินวกกลับมารวมกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน พร้อมกับจับจ้องไปยังบนยอดหอคอยอย่างไม่วางตา
รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ ต้องเกิดเรื่องกับเด็กพวกนั้นแน่ๆ เสียงเอ่ยชักชวนอย่างเคร่งเครียดดังจากโอลิเวียร์ ที่เร่งฝีเท้าเดินไปสมทบกับแพทริกที่ยืนอยู่ปากประตูทางเข้าสู่หอคอยด้วยสีหน้ากังวล
ในวินาทีที่ดาบเงินในมือของฮาฟปักลงบนอัญมณีที่ถือกำเนิดจากผลึกหินที่ผนึกพลังอำนาจเจ้าแห่งเทพ ผลันปรากฎกระแสพลังเวทย์สีแดงโผยพุ่งออกจากร่างสถิตของเจ้าแห่งปีศาจพร้อมกับเสียงกรีดร้องลั่นสร้างความแปลกใจให้แก่ทั้งสามที่ยืนรายล้อมเป็นอย่างมาก ต่างจ้องมองหน้ากันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างภายใต้ชุดคลุม แต่ด้วยพลังเวทย์ที่ลดระดับลงอย่างรวดเร็วจนสัมผัสได้ ทำให้ชาลส์ถือโอกาสที่ศัตรูกำลังอ่อนแรงใช้เวทย์เข้าโจมตี
ไซนาราเวลล่า ซันคราไลท์
สายอัสนีบาตฝ่าฟาดลงปะทะร่างของรอนเทียอย่างจัง ทำให้ร่างที่อ่อนแรงเนื่องจากถูกถอดถอนพลังเวทย์ทรุดลงเข่าทั้งสองข้างกระแทกกับพื้น ดวงตาสีแดงก่ำตวัดกลับมามองใบบหน้าของชาลส์อย่างโกรธจัดเตรียมร่ายเวทย์หมายกำจัดผู้กล้าทำร้ายตน แต่ยังไม่ทันทีพลังเวทย์สีเทาจะได้ปล่อยออกจากมือทั้งสองข้างกลับได้ยินเสียงเจ้าสัตว์เทพเอ่ยร่ายเวทย์เข้าเพิ่มการโจมตี
การาซาส อันเรนเซน
กระแสพลังเวทย์สีเงินที่ถูกปล่อยออกจากปากของเจ้าโบฟเปลี่ยนสภาพกลายเป็นโซ่เวทย์ที่พุ่งจู่โจมเข้าพันรอบกายของศัตรูหมายหยุดยั้งการสร้างเวทย์โจมตีฝ่ายตน ก่อนเสียงร่ายเวทย์จะดังจากเพื่อนชายผมสีน้ำเงินเข้มที่เร่งรีบเอ่ยเวทย์กำกับหมายกำจัดศัตรูที่เป็นเสียเปรียบ
สโตนเกนนา อาซาเทนนา
แผ่นหินที่โผล่ขึ้นจากพื้นห้องสูงจนจรดเพดานโอบล้อมร่างของศัตรูไว้ทั้งสี่ด้านคล้ายกับคุกศิลาที่กักขังรอนเทียไว้ภายใน ก่อนกำแพงหินรอบด้านจะเคลื่อนตัวเข้าหากันอย่างรวดเร็วเพื่อทำลายร่างที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของการโจมตี แต่เพียงพริบตาพลันปรากฎกระแสพลังเวทย์สีเทาที่ตรงเข้าทำลายกำแพงทั้งสี่จนเกิดแรงสั่นสะเทือนเมื่อพลังเวทย์ทั้งสองปะทะกันอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่น
ตูม!
เสียงระเบิดดังสนั่นเมื่อกระแสพลังเวทย์ของรอนเทียทำลายกำแพงหินจนไม่เหลือซาก ก่อเกิดฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณบดบังทัศนียภาพไปเสียสิ้น ชายทั้งสองและเจ้าสัตว์เทพรีบกวาดสายตาหาร่างของศัตรูเป็นด่วน แต่เมื่อฝุ่นควันได้จางหายไปร่างของศัตรูกลับไม่ปรากฎให้เห็นอีกต่อไปแล้ว
มันหายไปไหนแล้ว เสียงชาลส์สบถขึ้นอย่างหัวเสีย เมื่อร่างภายใต้ชุดคลุมกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ก่อนจะได้ยินเสียงชาล์สเอ่ยห้าม แม้ไม่อยากจะปล่อยโอกาสกำจัดศัตรูให้หลุดลอยไป แต่ทว่าภาพของเพื่อนทั้งสองที่ไม่ห่างออกไปทั้งทำให้ตนตัดสินใจเร่งรีบตรงเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนทั้งสองแทน
ช่างมันเถอะ ตอนนี้ช่วยอาร์กับฮาฟสำคัญกว่า
..................................................................
จบแล้วเจ้าค่ะ....สำหรับตอนนี้...
ขออภัยที่อัพช้ามากมาย...แอบหนีไปเที่ยวสงกรานต์มา แฮะๆๆๆ
เดี๋ยวคืนนี้จะอัพ...อีกสักครู่จะอัพตอนต่อไปให้เจ้าคะ ^^
อีกเดี๋ยวจะแต่งจบตอนแย้วววว
ฝากเม้นท์ ฝากโหวต ด้วยเนอะ...ขอบคุณก๊าบบบ o(_ _)o
ร่างบาก-ร่างบาง
ใบบหน้า-ใบหน้า
ผมหาเจอแค่สองคำครับ ^^
ท่าจะแก้คำผิดทั้งภาคดูจะใช้เวลานานแฮะ...ภาคสองคงอีกพักกว่าจะอัพเหรอครับ?? ^^
อย่าดองเก็บไว้เป็นมรดกนะครับ...ส่งสำนักพิมพ์ไปเถอะครับ ^^ 555
เป็นกำลังใจนะ ^|^
มาเพราะคิดถึง......
มาเพราะรักจากใจ......
อิอิ
ร้ากกกกอาร์น้า~~
อิอิ
เม้นๆๆ
รับมาอัพน่ะค๊า สู้ๆ
love You!
รีบๆมาอัพนะคะ พี่นัท

เป็นกำลังใจให้ สู้สู้
อัพต่อไวๆน๊า....สู้ๆก๊าฟฟ