ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : part 1 ความทรงจำ
หลายปีที่ผมเติบโตมาในสถานสงเคราะห์เด็กเมืองเหยหลงเจียง ผมจึงมีน้องชายคนสนิทที่ผมรักเหมือนน้องชายแท้ๆ คนนั้นก็คือ ตงไห่(ทงเฮ) ผู้ที่สดใสเหมือน ฤดูใบไม้ผลิ เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ ทำให้ผมยิ้มออกมาจากใจจริง แต่ผู้ที่มาอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็ก ก็ เพราะมีปัญหากันทั้งนั้น ตงไห่ เป็นโรคหัวใจ ฉะนั้น จะเหนื่อยก็ไม่ได้ มีอะไรกระเทือนใจก็ไม่ได้ เขาต้องการ การผ่าตัดอีกไม่นานนี้ แต่ในเมื่อเงินของสถานที่สงเคราะห์ไม่พอเนื่องจากต้องเลี้ยงเด็กอีกมากมาย
ผมก็โตพอที่จะดูแลตัวเองและหางานทำได้แล้ว หลังจากงานของผมเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมก็มารับตงไห่ไปอยู่กับผมทันที ตงไห่ดีใจมาก เรามาอยู่ด้วยกันสองพี่น้องผมพยายามทำงานส่งตงไห่เรียน ด้วยการทำงานร้านหนังสือ ส่งนมตอนเช้า ส่วนตงไห่ก็ช่วยผมอีกแรง เพราะถ้าตงไห่ ว่างจาก เรียนก็รีบกลับมาส่งบะหมี่ ที่ร้านใกล้ๆกับห้องเช่าที่เราพักอยู่ และในวันนี้ผมก็กลับมาบ้านแล้ววันนี้ ผมก็เห็นตงไห่นั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่
“อ่าตงไห่ อ่านอะไรเนี้ย ขยันใหญ่แล้วนะน้องพี่”
“อ่าว นี่ๆ พี่ฮันพอจะรู้คำตอบข้อนี้รึเปล่า” นี่เป็นสาเหตุที่ผมไม่ค่อยอยากเข้าใกล้ตงไห่ตอนอ่านหนังสืออยู่ เพราะน้องชายมักจะถามผมเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเรียนอยู่ ที่สำคัญ ผมตอบเขาไม่ได้..
“พี่ไม่รู้หรอก พี่ไม่เก่งเหมือนนายนี่ หืม”
“แหม!! อย่างว่าล่ะนะคนมันเก่ง”
“อืมตั้งใจเรียนนะ พี่ทำเพื่อเรา ชีวิตนี้ พี่ไม่มีใครแล้ว หลังจาก ม๊า...........”.
“เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ ผมไม่อยากเห็นพี่ฮันร้องไห้ขี้มูกโปร่งตอนนี้ ผมตั้งใจอ่านหนังสือนะ!”
“อืมๆพี่ขอโทษพี่ไปเตรียมอาหารก่อนนะ” พูดจบผมก็หันหลังเตรียมเข้าครัว
“อื้อ!! พี่ฮันวันนี้ผมโดดงานนะพอดีพรุ่งนี้มีสอบ ไม่ว่ากันใช่มั้ย” ผมหันไปมองเจ้าตัวยุ่งอย่างเอ็นดู
“พี่จะไปว่าอะไรได้เล่า ตั้งใจอ่านหนังสือไปนั่นแหละ”
วันนี้ผมตื่นเช้าขึ้นมา ก็ไม่เห็นเจ้าตงไห่แล้ววันนี้คงไปโรงเรียนแต่เช้า ก็เมื่อวานเล่นอ่านหนังสือเตรียมสอบทั้งวันทั้งคืนเลย พี่อย่างผมเรียนก็ไม่สูง ก็ทำได้แค่ คอยหาอะไรให้กินให้ดื่มตอนดึกๆ จะมีคนมาดูงานที่ร้านหนังสือที่ผมทำเพื่อลงทุนอะไรสักอย่าง ฉะนั้นวันนี้ผมก็ต้องไปเตรียมงานแต่เช้าเหมือนกัน เห็นว่าคนคนนี้เขาเป็นจิตกร ที่มีชื่อเสียงทีเดียว และก็จะมีงานเลี้ยงเล็กๆน้อยๆ อีกด้วย ยังไม่พอวันนี้ยังมีการโชว์ผลงานภาพวาดของศิลปินคนนี้ด้วย ผมรู้สึกดีใจมากที่จะได้เห็นภาพวาดของจิตกรชื่อดัง แต่มันก็ทำให้ผมอดคิดถึงใครบางคนที่ผมเรียกว่า “ม๊า”ไม่ได้
น้ำตากำลังจะเอ่อในตาของผม
“นี่ฮันเกิง ไปดูแลเรื่องอาหารในครัวโน่นเร็ว ท่านสื้อหมางจะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว” ผู้จัดการร้าน หันมาสั่งผมด้วยท่าทางเร่งรีบ
“ครับผมจะไปเดี๋ยวนี้” ผมก็ทำตามคำสั่งอย่างตั้งใจ พลางขอบคุณผู้จัดการร้านในใจที่ทำให้น้ำตาของผมมันไม่ไหลออกมาให้เสียงาน เฮ้อ ~~~
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ ท่านสื้อหมาง ก็มาพร้อมกับ ผลงานที่ลูกน้องหอบมา
อย่างหนักอึ้ง ทั้งประวัติผลงาน แม้แต่ทุกอย่างที่ถ่ายทอดลงหนังสือพิมพ์ ลูกน้องของท่านสื้อหมาง นำผลงานมาติดตามผนังร้าน
อย่างหนักอึ้ง ทั้งประวัติผลงาน แม้แต่ทุกอย่างที่ถ่ายทอดลงหนังสือพิมพ์ ลูกน้องของท่านสื้อหมาง นำผลงานมาติดตามผนังร้าน
“สวัสดีครับท่าน..”ผมเอ่ยทักทายอย่างระมัดระวัง เพราะท่านผู้จัดการบอกว่าเขาจะมาเป็นหุ้นส่วนของร้านเราและจะช่วยโปรโมท ร้านของเรา หากผมพูดอะไรหรือทำอะไรที่ไม่ถูกใจเขามันอาจส่งผลต่อหน้าที่การงานของผมได้ ท่านสื้อหมางหันหน้ามาทางผมแล้วกล่าวสวัสดีตอบ
แต่ผมว่าหน้าของท่านมันคุ้นๆแฮะ!!
แต่ผมว่าหน้าของท่านมันคุ้นๆแฮะ!!
ผมอยู่ช่วยเขาเอาภาพและผลงานต่างๆขึ้นติดผนังอย่างถาวร มือของผมเอื้อมไปหยิบกรอปรูปที่ภาในกรอบมีเพียงภาพที่ปริ๊นด้วยหมึกหนังสือพิมพ์ แล้วเป็นรูปผลงานภาพวาดและมีจิตกรที่วาดภาพนี้ออกมา ยืนอยู่ข้างๆผลงานตนอย่างภาคภูมิใจ
ไม่....นี่มันภาพเดียวกันกับวันนั้น! ภาพที่ผมกับม๊าของผมมองดูภาพนี้ด้วยกันอย่างมีความสุข ภาพที่เป็นจุดเริ่มต้นของความฝันผม และเป็นสัญญาณบอกจุดจบชีวิตของม๊า ......
“อ้อ นี่เธอชอบภาพนี้รึเปล่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ลงหนังสือพิมพ์เลยนะ ชั้นวาดภาพนี้ตอนเป็นหนุ่มๆ เกิดจากแรงบันดาลใจอันแรงกล้า จากลูกชายทั้งสองของฉัน ฉันวาดภาพนี้ในช่วงที่ลูกชายคนโตของฉันอายุได้ 4 ปี คิดย้อนไปแล้วช่างเป็นความทรงจำอันแสนงดงาม เพราะอย่างนี้แหละภาพนี้จึงมีความหมายต่อฉันมาก”
ท่าน สื้อหมาง พูดถึงผลงานตัวเองอย่างภาคภูมิใจและความทรงจำต่อลูกชายที่แสนงดงาม
“จริงๆแล้วภาพนี้ก็มีความหมายต่อผมมากเหมือนกัน...” ในขณะที่ท่านพูดว่าภาพนี้มันแสนงดงามแต่ผมกลับมองภาพนี้ว่ามันช่างโหดร้ายต่อผมเหลือเกิน น้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาอย่างไม่สามารถจะยั้งได้
“นี่เธอเป็นอะไรไป”ท่านสื้อหมางพูดเมื่อเห็นน้ำตาของผม
“เปล่า ครับขอโทษครับ ผมต้องขอตัวก่อน”
ผมรีบชิ่งเดินออกมาอย่างเร็วที่สุดเดินมาเรื่อยๆ จนถึงริมแม่น้ำที่มีผู้คนพลุกพล่านบรรยากาศคึกคักแต่เมื่อเรามองออกไปที่ท้องน้ำ กลับมีให้ความรู้สึกตรงกันข้าม ช่างเงียบสงบและช่างเงียบเหงาเหมือนฉันในตอนนี้เหลือเกิน ลมที่พัดมาค่อยๆหอบเอาน้ำตาของผมไปจนมันเหือดแห้ง
“แก๊ก!” เสียงวางกระป๋องเบียร์เบาๆข้างๆผมทำให้ผมหันไม่มองจุดเริ่มต้นของเสียงนั้น
“อกหักเหรอ” ชายหนุ่ม รูปร่างสูงขาว ใบหน้าคมลักษณะเป็นผู้ดีมีชาติตระกูลใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงยีนส์พูดพร้อมนั่งลงข้างๆผม
“เปล่า”
“อืม....”
“แล้วนายล่ะ”
“แค่มาหาอะไรทำแก้เซ็ง”
“อืม..”
“ชื่ออะไร” นายนี่ทำไมพูดสั้นๆแปลกๆแล้วผมจะรู้มั้ยว่าเขาถามใคร
“ฉันถามนายนั่นแหละ”
“เออฉัน ฮันเกิงยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันสือหยวนยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
ผมและสือหยวนนั่งด้วยกัน คุยกันบ้าง นั่งเงียบๆบ้าง มีลมเย็นๆพัดเข้ามา ผมนั่งที่นี่ จนกระทั่งแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นสี แสดแดง ขริบกับลายเมฆที่สวยงาม เหมือนปกติทุกวันครั้งที่ผมมาที่นี่
แต่ต่างกันตรงที่ว่า วันนี้มีคนมานั่งข้างๆผม........
..............................................................................
ไม่รู้ว่ามันนานเกินไปรึเปล่า ช่วงนี้การบ้านเยอะ
ขอโทษที่ทิ้งช่วงนานไปหน่อย
แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น
แล้วยังมีฟิคสั้นที่ ไรท์เตอร์แต่งเอาไว้ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ
พาสนี้ วอนออกมาแป๊ปเดียว แต่ไรท์เตอร์คิดว่าเป็นแป๊ปเดียวที่มีความหมาย 55555
อย่าลืมนะ สือหยวน คือชีวอน
ตงไห่คือ ทงเฮ
บายค่า เจอกันพาสหน้า......
..............................................................................
ไม่รู้ว่ามันนานเกินไปรึเปล่า ช่วงนี้การบ้านเยอะ
ขอโทษที่ทิ้งช่วงนานไปหน่อย
แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้น
แล้วยังมีฟิคสั้นที่ ไรท์เตอร์แต่งเอาไว้ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ
พาสนี้ วอนออกมาแป๊ปเดียว แต่ไรท์เตอร์คิดว่าเป็นแป๊ปเดียวที่มีความหมาย 55555
อย่าลืมนะ สือหยวน คือชีวอน
ตงไห่คือ ทงเฮ
บายค่า เจอกันพาสหน้า......
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น