แผนการร้ายมิใช่น้อย - แผนการร้ายมิใช่น้อย นิยาย แผนการร้ายมิใช่น้อย : Dek-D.com - Writer

    แผนการร้ายมิใช่น้อย

    โดย paneva01

    ถ้าคุณ ได้ลอกงานของใครสักคนแล้วเกิดได้เข้ารอบประกวด คุณอาจจะดีใจแน่ แต่!ถ้าคณะกรรมการเป็น เจ้าของเรื่องที่คุณลอกหละ?

    ผู้เข้าชมรวม

    553

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    553

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ก.พ. 47 / 17:01 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      พอเริ่มเข้าปลายๆเดือนธันวาคม งานต่างๆในแต่ละวิชามาเซซัดเข้ามาหาตัวผมเป็นระลอกคลื่นอย่าไม่ขาดหาย วิชาภาษาไทยก็เป็นอีกหนึ่งวิชาที่มีงานไม่น้อยหน้าวิชาไหนๆเลย และที่แย่มากที่สุดก็คือ ส่วนใหญ่อาจารย์ มักจะหยิบยกงานยากๆมาให้นักเรียนทำอย่างเช่นวันนี้ วันที่ 25 เสียงเพื่อนๆในห้องของผมโอดครวญกันเป็นระยะหลังจากได้ไปดูงานที่บอร์ดหน้าห้องเรียน ผมเองก็อยากรู้เพราะเห็นเพื่อนบอกว่ารอบปิดปีใหม่นี้อาจารย์ให้งานหนัก ผมเริ่มแหวกฝูงชน(น.ร.)เข้าไปเรื่อยราวกับแทรกเข้าไปในฝูงปลาส่วนพวกที่ดูงานเสร็จแล้วก็เหมือนกับปลาตายที่เดินโซซัดโซเซออกมาจากบอร์ด พอผมเข้าไปเบียดเสียดจนสายตาของผมมองเห็นได้ชัดจากอาการที่ระริกระรี้ ก็กลายมาเป็นอาการเซ็งเพราะข้อความที่เขียนโดยอาจารย์นั้มีข้อความย่อๆว่า
         “แด่ น.ร. ที่รักทุกๆท่านครูทราบดีว่าปิดปีใหม่ปีนี้ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเสียเหลือเกิน (ใช่เยี่ยมยอด ผมอุทานเบาๆ)ดังนั้นครูจึงเห็นว่าจะให้จะให้นักเรียนที่รัก เขียนรายงาน / เรื่องสั้น /โครงกลอน/นวนิยาย อะไรก็ได้แต่ต้องเขียนส่ง เพราะจะมีการส่งเข้าประกวดทุกคน (ผมลมแทบใส่) ให้ส่งตอนเปิดปีใหม่เป็นอย่างช้าใครไม่ส่งได้ติด “ร”แน่     ป.ล. ห้ามลอกถ้าจับได้ก็ติด “ร”อีกเช่นเดียวกัน                           จากคุณครูที่รัก  
      ทันทีที่ผมอ่านจบผมก็เริ่มคิดในใจเลยว่าผมรับประกันได้เลยครับว่า ผมทำแน่แต่ยังตอนนี้มันยังไม่มีความคิดเท่าไร เพราะว่าผมนัดกับเพื่อนไว้ก่อนหน้านี้ว่า ผมได้วางโปรแกรมสำหรับวันหยุด 5 วันไว้แล้ว ซึ้งผมคิด และ ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วว่ามันแทบไม่มีเวลาที่จะพอแทรกโปแกรมใหม่ของอาจารย์ได้เลย แต่ก็คงไม่ยากเกินกว่าที่ผมจะเจียดเวลาซักนิด ผมคิดเพลินๆไปได้ซักพักผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อ เมื่อไอ้ “ภพ”มันเข้ามาหาผม
      “ เฮ้! แพนนายคิดยังไงบ้างกับแผนการย่อๆที่เราส่งให้นายดูเมื่อวาน”
      “ อืมห์ ใช้ได้” ผมตอบมันไปโดยที่ไม่คิดอะไรเพราะในหัวของผมตอนนี้มันกำลังทำงานเพื่อหาทำเลและเวลาสำหรับงานภาษาไทย
      “ เราขอเปลี่ยนแปลงอะไรสักเล็กน้อย”มันตอบในขณะที่วางแผ่นกระดาษแผนการที่มีขนาดเท่าเอ 4 สองแผ่นต่อกันวางลงบนโต๊ะ
      “ อืม ว่ามา” ผมตอบพลางคิดเรื่องงานต่อ “คือหยั่งที่นายก็รู้กันดีๆอยู่ว่า มันเริ่มหยุดตั้งแต่ 28-1เราดันมาเจอปัญหานิดหน่อย คือ แต่เดิมที่เราชวนกันว่าจะใช้ 5 วันให้มันสุดขีดแต่เราดันติดธุระตั้งแต่ 29 ก็เลย…” มันลังเลสักพักราวกับว่ามันสำนึกผิดหรือไม่ก็ละอายใจก่อนจะพูดต่อว่า “เราคงไปเที่ยวกับนายไม่ได้หรอก” มันตอบผมพร้อมกับส่งสายตาประกายอ้อนวอน ผมเลยตอบมันไปง่ายๆว่า ไม่เป็นไร ที่ผมตอบง่ายๆอาจเป็นเพราะว่า สายตาของมันดูสะอิดสะเอียนเกินกว่าที่ผมจะมองไปในเชิงอ้อนวอนได้ และด้วยเหตุนี้ผมจึงมีเวลาเต็มที่และเพียงพอสำหรับวิชาภาษาไทย หลังจากที่โรงเรียนปิดผมก็ได้ใช่เวลาทุกอย่างที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าเช่น เที่ยว กิน นอน เล่น อ่านหนังสือ(การ์ตูน) แน่นอนสำหรับผมผมถือว่า มันคุ้มค่าจริง และแล้วเวลาที่มันคุ้มค่าของผมก็ผ่านไปจนถึงวันที่ 30 วันนั้นเพื่อโทรมาถามผมว่าภาษาไทยไปถึงไหนแล้วผมจึงรู้สึกตัวว่า และ พบกับความจริงที่ว่า คนเรามันก็มีหลงมีลืมกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็ยังไม่เริ่มงานอยู่ดีเพราะ ผมมันจัดอยู่ในประเภท ซนเป็นเซียนเรียนเป็นหนึ่ง(หมายถึง เกรดเฉลี่ยหนึ่งกว่าๆ)ดังนั้นจึงยังไม่ทำ พอมาวันอังคารที่ 31 เริ่มคิดได้แล้วครับว่าจะเริ่มงานตอนกลางคืนเพราะมันเงียบดี แต่ก็ถูกทำลายสมาธิโดยรายการตี 10 ด้วยความโมโหจึงดูจนจบรายการ มารู้ตัวเอาอีกทีก็เช้าวันที่หนึ่ง และเป็นสุดท้ายของการทำงานเสียด้วย ดังนั้นผมจึงใช้เวลาวันสุดท้ายหาความสุขก่อน(ยังไม่-สำนึก)ในช่วงเช้า พอตอนบ้ายกะว่าจะไปเที่ยวแต่พอมาส่องกระจกเสริมความหล่อก็ต้องแปลกใจเมื่อเริ่มไม่เห็นเงาหัวตัวเองแล้วจึงเริ่มสำนึกได้ว่ายังมีภารกิจติดค้าง และมันดันภารกิจแบบที่เรียกได้เลยว่า “ Mission Impossible” เรียกพี่ ทั้งนี้เพราะว่าเรื่องงานประเภทที่ได้มาจากการกลั่นความรู้ออกมาจากสมองนั้นผมไม่ค่อยเก่ง ผมจึงพยามใช้สมองส่วนที่ใหญ่ที่สุดซึ้งมันก็มีขนาดไม่ต่างไปจากเม็ดถั่วเขียวเท่าใดนักเริ่มคิด จนสุดท้ายมันก็คิดไม่ออกจึงหันมาเปลี่ยนแนวความคิดโดยใช่สมองอีกด้านที่ค่อนค่างจะมีขนาดใหญ่พอๆกับลูกแตงโมคิดแผนการชั่วร้าย(ที่ต่างกันมากอาจเป็นเพราะผมคิดเรื่องชั่วร้ายได้ดีกว่าสร้างสรรค์) จนในหัวของผมเกิดประกายความคิดเล็กๆขึ้นในหัวว่า ถ้าผมลอกงานเขียนมาซักงานหนึ่งอาจารย์คงไม่รู้เป็นแน่ว่าแล้วผมก็เริ่มรับบทเป็น “อีธาน ฮันท์”ใน“ Mission Impossible”ทันทีโดยที่หมายของการปฏิบัติภาระกิจชิ้นนี้ก็คือ ห้องสมุดประชนซึ้งอยู่ห่างจากฐานทัพลับของผมประมาณ 100 เมตรเท่านั้น พอผมเตรียมดินสอปากกาเสร็จผมก็เริ่มต้นแผนของผมทันที                  

      โดยเริ่มแรก ผม เข้าไปหาบันน่ารัก(บรรญารักษ์นั้นแหล่ะ แต่ที่เรียกเช่นนี่เพราะว่าพี่เขามีพรสวรรค์ที่สามารถทำให้คนที่ต้องการหาหนังสือเล่มโปรดไม่เจอได้เพราะถ้าเราไปถามพี่เขาว่าหนังสือที่เราต้องการอยู่ที่ไหนพี่เขาจะบอกตำแหน่งที่มั่นจนเรางงและเลิกหาไปเอง)  ว่าชั้นบนใช้เขาเปิดให้ใช่บริการได้หรือไม่เพราะเห็นว่าปกติจะไม่ยอมให้ขึ้น พี่บรรน่ารักก็เริ่มตอบวกไปวนมาจนผมเกือบงงและเลิกถามแต่ก็โชคดีที่ผมมันคนประเภทความอดทนสูงจนในที่สุดสามารถจับใจความได้ว่า “ ขึ้นไปบนนั้นได้แต่ว่ามันมีแต่หนังสือเก่าไม่น่าอ่านหรอกพี่ว่าหมวดนี้ หมวดนั้น…”(เอาเป็นว่าผมฝังแล้วงง แต่ผมก็ซึ้งในวิญญาณบรรณารักษ์ของบรรน่ารักผู้นี้เสียเหลือเกิน)เอาเป็นว่ามันเข้าทางแผนของผมอย่างเหมาะเจอะ แต่พอขึ้นไปชั้นบนก็เห็นกองหนังสือที่ตั้งสูงและจัดเรียงอย่างเกะกะ และมีอัตราเสี่ยงสูงที่มันจะหล่นมาใส่กระบาลของผมให้ตายเอาเสียง่ายๆ จึงต้องใช่ความระวังอย่างสูงไม่งั้นมันจะเข้าสุภาษิตความรู้ถ่วมหัวเอาตัวไม่รอด(ไม่รอดเพราะกองหนังสือทับตาย)ผมพยายามกวาดสายตาไปยังกองหนังสือเพื่อหาหนังสือพวกกวี จากนั้นพอพบผมก็เริ่มแยก เพราะผมคงไม่โง่ที่จะยอมใช้หนังสือใหม่เด็ดขาดเพราะมันมีโอกาสสูงที่ครูของผมอาจจะเคยอ่านเจอ หลังจากที่แยกเสร็จ ผมก็เริ่มแบ่งตาม พ.ศ.ที่พิมพ์ครั้งแรกก็ได้มา5เล่มซึ้งทั้ง 5 เล่มนี้พิมพ์มาตั้งแต่พ.ศ.2499-2501 ซึ่งมาคิดดูป่านนี้คงเขียนคงตายกันไปหมดแล้วหรือไม่ถ้ามีคนเคยอ่านเขาก็น่าจะลืมกันหมดก็มันตั้ง40-50ปีมาแล้ว ดังนั้นผมจึงเลือกเรื่องที่เก่าที่สุดและโชคดีที่ปกหลังด้านในมีตราประทับยืมแค่ครั้งเดียว และคนที่มายืมก็ไม่ใช่ชื่ออาจารย์ของผมอย่างแน่นอนเรื่องนั้นมีชื่อว่า นิราศรักแรก โดย อาจารย์ สมาน แก้วไวยทธ                                    ผมฝังชื่อแล้วก็พอเดาได้ว่าคงเป็นอาจารย์ที่แก่ๆและป่านท่านก็คงจะจากไปแล้วผมจึงยกมือไว้หนังสือเป็นการขอขมาลาโทษเสียก่อนหลังจากนั้น ผมก็เริ่มต้นปฏิบัติการทันทีนั้นคือลอก ลอกแล้วก็ลอกเนื้อความของนิราศชิ้นนี้ส่วนมากจะเล่าประสพการณ์เรื่องความรัก ทำเอาผมเองซาบซึ้งเลยลอกไปประมาณ 2-3 บท ก็เห็นว่ามากเพียงพอผมจึงกลับบ้านด้วยความเบิกบานใจ และผมก็แค่รอให้ถึงวันที่2 มาถึงก็เป็นอันเสร็จสิ้นแผนการอันดีเลิศและแล้ววันที่2 ก็มาถึงผมเอางานของผม(งานที่ผมลอก)มาให้ไอ้ภพมันดู พอมันอ่านจบมันก็มองผมราวกับว่ามันไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือของผม พร้อมกับแหย่ผมว่า “เฮ่ย!แพนนายน่าจะรู้น่ะว่าถ้าอาจารจับได้ว่านายลอกนายติด ร แน่ๆ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยแล้วตอบมันกลับไปว่า “แกไม่เชื่อมือเพื่อนแกหรอ ว่าเพื่อนแกคนนี้มันเก่ง”ผมพูดพลางเอานิ้วโป้งชี้มาที่ตัวเองพร้อมกับทำท่าเท่ๆ
      “เออข้าจะพยายามเชื่อ”บทสนทนาของผมและภพถูกตัดทันที่เมื่ออาจารย์ประจำวิชาภาษาไทยเดินเข้ามาพร้อมเทพศาสาตราคู่ใจ(ไม้เรียว)
      “ใครไม่ได้ทำงานมาส่ง” อาจารย์พูดพร้อมกับชี้อาวุธคู่กายไปรอบๆห้อง แต่ก็ยังปราศจากเสียงตอบรับ
      “ อยากให้ครูเดินตรวจหรอ” อาจารย์เริ่มมองไปรอบๆห้องราวกับว่าตัวเองเป็นพิธีกรรายการกำจัดจุดอ่อนแต่ก็ยังปราศจากเสียงตอบรับอยู่ดี
      “ ครูพูดครั้งสุดท้ายแล้วน่ะว่า ใครที่ไม่ยอมทำงานมาส่งจะต้องถูกกำจัด” พอพูดจบ จุดอ่อนของห้องประมาณสิบกว่าคนก็เดินออกไปรับรางวัลหน้าชั้นเรียน ซึ่งผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนหน้าชั้นก็เป็นพวกที่มักจะถูกกำจัดอยู่บ่อยๆ( ไอ้พวกหน้าเดิมๆ) หลังจากนั้นครูเริ่มแจกรางวัลที่ไม่พบในรายการเกมส์โชวใดๆไปคนละทีสองที ผมเองยังเสียวไม่หายได้แต่เอามือควานในกระเป๋าว่างานของผมยังอยู่สบายดีหรือไม่ เพราะผมเองก็ยังไม่อยากถูกกำจัด หลังจากนั้นอาจารย์ก็ไม่ได้สอนอะไรต่อเพียงแต่บอกให้ผู้เข้าแข่งขันเมื่อซักครู่ว่าอย่าทำตัวเป็นจุดอ่อนอีก หลังจากนั้นประมาณ 10 นาทีก่อนกินข้าวกลางวันอาจารย์ก็ให้นักเรียนเอางานมาวางส่งบนโต็ะ พอผมวางงานเสร็จก็ดีใจเหมือนกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอกไปเรียบร้อยแล้วดังนั้นผมก็เริ่มหาความสุขของผมต่อตามปกติจนกระทั่ง  มาถึงวันศุกร์ที่ 3 อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทยเรียกผมเข้าไปในห้องพักครู ในใจของผมก็เผื่อใจไว้แล้วว่าอาจารย์คงจับได้ดังนั้นในหัวของผมจึงพยายามที่จะกลั้นกรองท่อยคำที่ฝังแล้วน่าเอ็นดูและเห็นใจ จนกระทั่งผมเข้าในห้องดูเหมือนว่าอาจารย์รอผมนานแล้ว ผมจึงตัดสินใจรวบรวมความกล้าทั่งหมดเผยการกระทำอันมีผลทำให้ติด ร เอาง่ายแต่ก็ถูกตัดบทโดยคำพูดของอาจารย์
        “ น่าเสียดายน่ะ คีรีรัฐ ที่เธอเกิดมาช้าไปหน่อย ราวๆ20-30 ปี”ผมมองหน้าอาจารย์อย่างงง
      “ ช้าไปเหรอครับ”ผมทวนคำนั้นซ้ำอีกเพื่อให้แน่ใจว่าอาจารย์ไม่ได้พูดผิด
      “ แน่นอน ถ้าเธอเกิดเร็วกว่านี้ครูว่าเธอต้องดังแน่ๆครูมั่นใจ”อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพลางมองมาที่ผม
      “ เพราะว่าครูได้อ่านงานของเธอจนจบแล้ว มัน เยี่ยมมาก ครูแทบจะไม่เชื่อเลยว่าเด็กที่ได้เกรดวิชาของครูแค่ 1 มาตั้งหลายปีอย่างเธอจะ    สามารถสร้างงานอันวิเศษ ได้ขนาดนี้”
      “ ครับ ผมเองก็แทบไม่เชื่อฝีมือตัวเองเหมือนกันครับ เออ อาจารย์ตรวจงานของผมเสร็จแล้วใช่มั้ยครับ งั้นผมของานของผมคืนน่ะครับผมจะเก็บมันไว้ใช่เตือนใจตัวเองว่าคนเราถ้ามีความพยายาม(ในการลอก)เราต้องสมหวังอย่างแน่นอน”
      “โอ้! คีรีรัฐ ครูกำลังจะบอกเธอพอดีเลยว่าครูส่งมันไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วทันทีเลยที่ครูอ่านจบ” ผมอุทานออกมาทันทีเลยที่ฟังข่าวร้าย ราวกับว่าผมได้ยินว่า ผมติด ร แล้ว “ดูเหมือนว่าเธอจะดีใจมากน่ะคีรีรัฐ” ครูถามทันทีที่เห็นว่าผมยืน อึ้งกิมกี่ ราวกับโดนสาปกลายเป็นหิน
      “  เออ…ใช่ ครับ”ผมพยายามฝืนหัวเราะแต่เสียงที่ออกมาเหมือนเสียงหัวเราะของคนวิกลจริตเสียมากกว่า
                          เย็นของวันนั้นทันทีที่ผมกลับบ้านผมพยายามที่จะหาทางแก้ไขปัญหาที่อยู่นอกวงโคจรแผนของผม  แต่ไม่ว่าผมจะใช่สมองของผมคิดเท่าไร หรือ คิดท่าอะไรต่างไม่ว่าจะ นั่ง ยืน เดิน หรือ แม้กระทั้งถ้าหากิน เอกลักษณ์สุดฮิต(ท่าน้ำลายมาปัญญาเกิด)ของเณรน้อยเจ้าปัญหา “อิคคิวซัง” (ทุกตอนที่ฉายมีปัญหาตลอด)ก็ไม่ได้ผล น่าจะเรียกว่าไม่กล้าใช้มากกว่าเพราะน้ำลายของผมคงไม่สามารถทำให้ปัญญาเกิดได้ ดีไม่ดี อาจจะได้ขี้กลากติดมาแทนเมื่อคิดได้ดังนั้นผมเองก็หันหน้าเข้าทางศาสนาหวังพระพุธเป็นที่พึ่งคือ บนบาลไว้ว่าขอให้ตกรอบ และ ผมก็ต้องปลงว่า สงสัยบาปที่ผมสะสมไว้เพื่อกินดอกเบี้ยมันจะส่งผลให้ทำบุญไม่ขึ้นแน่ๆ เพราะ พอมาวันจันทร์ในคาบภาษาไทยอยู่ดีๆอาจารภาษาไทยเรียกให้ผมมายืนหน้าห้องแล้วพูดเพื่อนของผมในห้องว่า
      “ อ้าว น.ร.ทุกคนวันนี้อาจารย์มีข่าวดีจะมาบอก วันนี้ทางจังหวัดได้ส่งรายชื่อผู้ที่เขียนงานต่างๆเข้าประกวดว่ามีใครได้เข้ารอบบ้าง” เสียงเพื่อนๆของผมซุบซิบกันว่าใครจะได้ “ อาจารย์ ไอ้ คีรีรัฐ มันได้หรออาจารย์” เสียงเพื่อนคนหนึ่งดังมาจากหลังห้องทำให้กระเสการซุบซิบเปลี่ยนไป “ -เฮ่ย กูว่าไม่หรอกไอ้แพนน่ะ มันควายเรียกพี่เลยน่ะ”
      “กู ก็ว่างั้นเหมือนกัน กูจำได้ว่าเมื่อสอบปลายภาคที่ผ่านมาห้องเราได้จัดอันดับผู้ที่มีสติปัญญาเป็นยอด(แย่)ไอ้แพนมันก็ติดหนึ่งใน10”
      “นั้นสิ ถ้ามันไม่ลอกเขามามันจะได้หรอ” มาถึงตอนนี้เหงื่อเม็ดเป้งๆก็เริ่มผุดมาตามหน้าผากของผมแล้ว “ เออ เห็นด้วยว่ะมันต้องลอกมา  แน่” หน้าของผมตอนนี้ไม่ได้ซีดต่างจากกระดาษเลย “จริงด้วยก็ฉายาของมัน ซนเป็นควายเรียนเป็นหน่าย นี้”
      “ เออหล่ะ เลิกดูถูกเพื่อนของพวกเธอได้แล้ว” “มันดูไม่ผิดหรอกครับอาจารย์”ผมงึมงัมอย่างเงียบๆ  “เอา เป็นว่าครูขอบอกว่าเพื่อนของพวกเธอได้ติดอันดับ 1ใน 10” “ใครเพื่อนมันว่ะ”เสียงหนึ่งแทรกมาจากด้านหลัง ตอนนี้ในใจผมโล่งเพราะด้วยความอ่อนต่อโลกของผม จึงทำให้ผมคิดว่าพอติด 1 ใน 10 ก็คงจบเรื่อง ดังนั้นเย็นวันนั้นผมจึงเดินกลับบ้านอย่างเบิกบานใจ จนกระทั้งเรื่องเลวร้ายสุดๆ สำหรับเด็กหนุ่มน้อยผู้อ่อนต่อโลก ก็ได้ปรากฏในวันพุธ ของอาทิตย์นั้นเมื่อประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนประกาศเรียกตัวผมไปยังหมวดภาษาไทยผมคิดว่าอาจารย์คงจับได้แต่ก็ดีการแสดงจะได้จบ(การแสดงละครตบตาอาจารย์)ทันทีที่ผมเข้าไปในห้องก็ผบกับอาจารญ์ต่างๆที่สอนภาษาไทยนั่งรอกันอยู่พร้อมหน้า ไอ้ผมเห็นก็นึกถึงด้าน 18 มนุษย์ทองคำของวัดเส้าหลินทันทีโดยเฉพาะขั้นตอนการผ่านด้านที่จะต้องนำสังขารไปให้ไอ้มนุษย์ทองคำหรือไม่ก็ตะกั่วอะไรประมาณนี้ไปให้พวกมันตื้บ ต่างกันก็เพียงแค่อาจารย์ทุกคนยิ้มราวกับว่าทุกคนในที่นั้นเป็นพนักงานต้อนรับทีบนสายการบินที่ยิ้มให้ผู้โดยสารที่จะเสี่ยงตายกับสายการบินของตน(สายการบินโหม่ง dead sure air line)
      “นั่งก่อนสิคีรีรัฐ”หนึ่งในบรรดาอาจารย์ผายมือออกเป็นแนวชวนให้นั่ง“เธอรู้ข่าวดีหรือยัง” อาจารย์สอนภาษาไทยผมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข่าวดี…ข่าวดีอะไรครับ”ผมถามพลางปาดเหงื่อที่ออกมาสูดอากาศบริเวณหน้าผากของผม “ ก็งานของเธอน่ะสิ มันเข้ารอบสุดท้าย” ผมอุทานทันทีที่ได้ยิน “ชิหายแน่ เรา” “อะไรเหรอหายหรอคีรีรัฐ” อาจารย์เสนอการช่วยเหลือทันทีที่ได้ยินผมอุทานแต่คงไม่ชัดเจน
      “ เออ…ใจหายครับอาจารย์” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ แน่นอนหล่ะคีรีรัฐ ขนาดครูยังไม่อยากเชื่อเลยว่าเด็กอย่างเธอ …แบบว่าจะทำได้ขนาดนี้”
      “ครับ คงเป็นเพราะความพยายามครับ”
      “เออ…เอาหล่ะคีรีรัฐครูเข้าเรื่องเลยดีกว่า เดี๋ยววันเสาร์นี้เธอจะต้องไปที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติกับพวกครูเพื่อไปแข่ง และนี้ใบขออณุญาติผู้ปกครองของเธอ”อาจารย์พูพร้อมกับส่งใบขออณุญาติมาให้ผม “เออ…อาจารย์ครับแล้วคนที่เข้ารอบมีกี่คนครับ” “ไม่ต้องห่วงคีรีรัฐ เพราะมีแค่คนเดียว ถ้าครูจำไม่ผิดน่าจะมาจากสวนกุหลาบนะ” ทีนี้จะไม่ให้ผมห่วงได้ไงในเมื่อผมอยากให้ไอ้เด็กจากสวนประหลาดนั้นได้ วันนี้ผมเดินกลับบ้านคอตกชนิดที่เรียกว่าตกแบบแทบจะติดดิน ทันทีที่ถึงบ้านผมจึงคิดได้ว่า ถ้าในใบอณุ-ญาติผู้ปกครองไม่อณุญาติให้ไปปัญหาทุกอย่างก็จะจบ ดังนั้นผมจึงได้ดำเนินแผนตามที่คิดแต่ทันทีที่แม่ผมอ่านใบขออณุญาติจบแม่ก็โผเข้ากอดผมแล้วก็ร้องไห้พร้อมกับบอกผมว่า “ “แพน…แม่ขอโทษ แม่มองแพนผิดไปเยอาะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”ผมได้ฟังดังนั้นก็แถบร้องไห้ไปพร้อมกับแม่ ด้วย 2 สาเหตุ หนึ่งแผนผมไม่สำเร็จ สองผมได้แต่คิดปลอบใจตัวเองว่า “แต่ก่อนแม่กูมองกูยังไงว่ะเนี่ยะ” ตอนเช้าของวันเสาร์แม่นำรถมาส่งผมที่โรงเรียนผมทำถ้าไม่อยากลงรถพยามส่งสายตาและส่งเสียงหายใจแบบฝืดๆ คล้ายเป็นหวัดเพราะอย่างน้อยผมคิดว่าแม่ของผมน่าจะห่วงสุขภาพของลูกชายผู้น่ารัก แต่แม่ไม่สนใจแถมตัดปัญหาด้วยการเชิญผมลงจากรถด้วยวิธีของบุคคลที่เรียกได้ว่าผู้เจริญแล้ว นั้นก็คือการใช้ฝ่าเท้าอันเนียนนุ่มยันผมลงจากรถ
                          จนในที่สุดผมก็เดินมาถึงที่ที่อาจารย์นัดไว้ ซึ้งตอนนี้อาจารย์มารอผมนานแล้ว หลังจากนั้นไม่นานรถก็เริ่มเคลื่อนตัวออก อาจารย์คงเห็นว่าผมซึมๆจึงคิดว่าผมเมารถจึงชวนคุยเรื่องของผลงานเกี่ยวกับนิราศที่โด่งดัง แต่ดูเหมือนว่ามันกลับทำให้ผมดูแย่ลงไปกว่าเก่า ทันทีที่รถไปถึงที่หมายอาจารย์ก็พาผมไปที่ห้องแข่ง ก่อนเข้าผมได้พบเด็กที่มาจากสวนกุหลาบซึ่งท่าทางเหมือนเด็กเรียนมาก ดังนั้นผมจึงรีบไปหาหมอนั้นทันที “ นายคงมาจาก ร.ร.สวนกุหลาบซิน่ะ” “ใช่ครับคุณคงเป็น…คุณคีรีรัฐ ใช่ไหมครับ ผมอ่านงานเขียนของคุณแล้ว ผมว่าคุณต้องชนะผมแน่ๆ” “ไม่หรอกครับ” ผมบ่ายเบี่ยง “ ผมว่าคุณต้องได้ครับ” “ไม่แน่ๆครับ” ผมบ่ายเบี่ยงอีก “อย่าถ่อมตัวเลยครับคุณได้แน่อยู่แล้ว” “ เอ๊ะ!…บอกว่าไม่ได้ก็ต้องไม่ได้ซิจะยอกย้อนอะไรนักหนา เดี๋ยวปั๊ด…” ผมตระคอกจนหมอนั้นหน้าซีด “ เออ…ครับไม่ได้ก็ไม่ได้” เด็กจากสวนประหลาดตอบด้วยถ้าทีหวั่นไม่หาย หลังจากนั้นผมก็เขย่ามือหมอนั้นอย่าแรงพร้อมกับบอกมันเบาๆว่า “นายต้องได้ที่หนึ่งแน่…เข้าใจ๋” หลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็เข้าไปฟังผลการแข่งขันแต่กรรมกราท่านหนึ่งบอกว่าคงต้องเชิญ อ.สมาน แก้วไวยุทธ                                    มาช่วยตัดสิน ทันทีที่ผมได้ยินชื่อหน้าผมก็ซีดเป็นกระดาษแต่ไม่ทันไรก็มีชายแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับบ่น
      “ นี่แกรู้มั้ยว่าชั้นนั่งรถมานานแค่ไหน…แล้วนี้อะไรน้ำซักแก้วก็ไม่มีมาให้กิน”อาจารย์คนนั้นบ่นพรางกับชี้ไม้เท้าไปมา นั่งก่อนครับอาจารย์หนึ่งในนั้นเชิญให้อาจารย์  สมาน   นั่ง “ไหนงานที่จะให้ชั้นตรวจ”หนึ่งในคณะกรรมการยื่นงานของเด็กจากสวนกุหลาบให้ตรวจก่อน ไม่เกิน 5 นาทีก็ตรวจเสร็จพร้อมกับบ่น ไม่นานก็ถึงคิวตาผมอาจารย์แกอ่านไปคิ้วก็ชนกันไปด้วย จนในที่สุดผลการประกวดก็ออกมา
      “ ชั้นขอตัดสินให้ เด็จจากสวนอะไรนั้นได้ที่หนึ่ง ส่วนเธอ”อาจารย์ชี้มาทางผม “น่าเสียดายน่ะที่งานของเธอคล้ายกับของ…ของ…” “เออ…คล้ายกับของอาจารย์   สมาน แก้วไวยุทธ    ใช่ไหมครับ” ผมช่วยคลี่คลายปมทันที “ นั้นแหละๆ คล้ายกับงานของไอ้หมอนั้นเลย แต่ชื่อมันคุ้นๆน่ะ” ตอนนี้ผมได้แต่ขอบคุณความชราภาพที่ทำให้ลืมชื่อของตัวเองได้ “ ไม่เป็นไรครับ” หลังจากการตัดสินจบลงผมก็ไปแสดงความยินดีกับเด็กสวนประหลาด ก่อนกลับผมก็ไปเข้าห้องนั้นบังเอิญไปพบกับอาจารย์             พอดี ผมก็ได้แต่ยิ้มก่อนออกจากห้องน้ำ อาจารย์แกเอามือมาวางบนไหล่พร้อมกับพูดว่า “แหม…มันก็น่าดีใจน่ะ ที่ยังมีคนรุ่นเธออ่าน นิราศรักแรก” จากนั้นอาจารย์ สมาน     ก็เดินจากไปพร้อมกับหัวเราะ และ ทิ้งผมที่ตอนนี้หน้าซีดเป็นกระดาษให้ยืนอึ้งเพียงลำพัง หลังจากจบการประกวดผมก็เริ่มกลับตัวกลับใจ และ ปรับปรุงตัวเองเล็กน้อย นอกจากนี้ผมยังได้แง่คิดสามข้อ
          อันดับแรก เราควรทำงานด้วยตัวของเราเอง
          อันดับสอง ถ้าจะลอกต้องแนบเนียนที่สุด
          อันดับสาม หากจะลอกนิราศ ไม่ควรลอกของอาจารย์ที่มีชื่อว่า อาจารย์ - สมาน แก้วไวยุทธ


                                                        จบสนิท… คีรีรัฐ  paneva01

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×