ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงอธิฏฐาน

    ลำดับตอนที่ #9 : มาต่อให้อีกค่า

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 54



    9.

    โยสิตารับถ้วยช็อกโกแล็ตมูสหน้าตาน่ารับประทานมาถือไว้ในมือ อดไม่ได้จะตักชิมรสชาติความหวานอร่อยหอมนุ่มนวลของมัน สมกับเป็นของหวานจากฝีมือเชฟโรงแรมหรูหราชื่อดัง และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่รู้ว่าถูกหลอกมาในงาน ที่หญิงสาวเริ่มมีความสุขกับขนมหวานแสนอร่อยลิ้น

    เผลอครู่เดียวขนมที่กฤตธรเอามาให้ก็หมดเกลี้ยง หญิงสาวเผลอเลียลิ้นตามความเคยชิน แล้วก็ต้องชะงักกึก เมื่อเหลือบไปเห็นตาคมพริบพราวของคนที่นั่งมองมาอยู่ข้างๆ

    ดูลูกตาเขาสิ อย่างกับพวกหื่นโรคจิต ดีนะว่ารูปหล่อเลิศ ไม่อย่างนั้นเธอคงวิ่งหนีไปแล้ว

    “รับเพิ่มอีกถ้วยไหมครับ เดี๋ยวผมไปเอาให้” กฤตธรรีบเอาอกเอาใจ หากคนตัวเล็กส่ายหน้าหวือในทันที

    “ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่นี้ก็พอ กินมากเดี๋ยวอ้วน”

    “ไม่อ้วนหรอก ที่นี่เราใช้น้ำตาลแคลอรีต่ำทั้งหมด ไม่ต้องกลัวอ้วนเลยครับ”

    “ถึงงั้นก็เถอะ แค่นี้ก็พอแล้วค่ะ” โยสิตาหลบตาอีกฝ่าย อดเขินไม่ได้ เขาจะต้องเอาใจอะไรเธอนักหนาก็ไม่รู้ ให้ความสำคัญกับเธอจนโอเวอร์ไปหรือเปล่า

    “อีกสักครู่ ในห้องจัดงานจะปิดไฟทั้งหมด เหลือแสงสว่างก็แค่จากไฟกะพริบที่ประดับอยู่บนต้นไม้ในสวนเท่านั้น คุณอย่าเพิ่งตกใจเสียก่อนล่ะ” กฤตธรก้มหน้าเข้ามากระซิบกระซาบข้างใบหูเล็กๆ ของหญิงสาว

    “มีดับไฟด้วยหรือคะ อย่างนั้นจะไม่มืดไปเหรอ” หญิงสาวตาโต เริ่มตื่นเต้น เธอไม่เคยมางานเลี้ยงหรูหรา บรรยากาศสุดแสนโรแมนติกขนาดนี้มาก่อนเลย

    “เราจะจุดโคมดอกบัวแทน...มานี่สิ” กฤตธรกุมกระชับมือบางของโยสิตา พาหญิงสาวก้าวออกจากห้องโถงมาที่โซนสวนสวย ตอนนี้ ทั้งทางด้านซ้ายมือและขวามือของคนทั้งคู่ มีโคมพลาสติกใสแกะสลักเป็นรูปดอกบัวผูกเรียงรายอยู่ โคมเหล่านี้มีช่องร้อยสายไฟ และแสงสว่างภายในนั้นก็มาจากหลอดไฟนีออนซึ่งอยู่ด้านใน ไม่ใช่จากเทียนไขของจริง จึงไม่ต้องกังวลเลยเรื่องความปลอดภัย

    ไม่ช้า แสงสว่างในห้องจัดงานก็ดับพรึบลง เช่นเดียวกับไฟกระพริบทุกดวงในสวน ลมเย็นพัดโชยชายมาให้ความรู้สึกอึดอัดยิ่งบีบรัด เสียงแขกเหรื่อตื่นตระหนกเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

    แสงสว่างโดดเด่นจากเทียนไขลายก้นหอยในโคมพลาสติกรูปดอกบัวขนาดเขื่องถูกจุดขึ้นมาตามจุดต่างๆรอบบริเวณสวน ราวกับดอกบัวงามที่ผลิบานอยู่ในสวนสวยสะพรั่ง งดงามยิ่งราวกับมีงานเทศกาลเฉลิมฉลอง ไม่ช้าบริกรในโรงแรมก็เข็นรถซึ่งใส่เค้กวันเกิดเข้ามาที่กลางสวน เทียนไขเล่มเล็กๆ ถูกจุดขึ้นบนเค้กวันเกิดก้อนโต พิธีกรในงานเริ่มต้นนำร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้คุณกสินทร์

    ทุกคนสนใจอยู่แต่กับเจ้าของงานและเค้กวันเกิด จนแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีคนหนึ่งค่อยๆก้าวถอยหลังออกห่างจากกลุ่มคน

    ทันทีที่คุณกสินทร์ก้มลงไปเป่าเทียนบนเค้กวันเกิด หลอดไฟทุกดวงในงานก็ดับวูบ สายลมกรรโชกแรงพัดเข้ามาราวกับจะโยกคลอนทุกสรรพสิ่งให้ปลิดปลิว

    ในท่ามกลางความมืดมิดแทบมองไม่เห็นสิ่งใด มีเสียงแก้ว และเครื่องกระเบื้องตกแตกพื้นระเนระนาดดังมาเป็นระยะๆแข่งกับเสียงลมกรรโชกแรงอื้ออึงอยู่เต็มสองหู ผู้คนในงานเริ่มเสียขวัญ ส่งเสียงกรีดร้องหวาดกลัว

    “ต้องดับไฟมืดหมดอย่างนี้ด้วยหรือคะ” โยสิตาหันไปถามกฤตธร ใจชื้นที่มีมืออุ่นของเขาเกาะกุมเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเธอก็คงตื่นตระหนกไม่ต่างจากคนอื่นๆ

    “ไม่นะ...ที่ตกลงกับฝ่ายเทคนิคเอาไว้ ไม่ใช่อย่างนี้ สงสัยว่าอาจจะมีอะไรผิดพลาด” กฤตธรตอบกลับสุ้มเสียงกระวนกระวาย

    ถึงจะมืด แต่พอสายตาชินกับความมืดและอีกฝ่ายก็อยู่ใกล้มากๆ ทำให้โยสิตาแลเห็นความกังวลของกฤตธร เธอบิดมือตัวเองออกจากอุ้งมือของเขา พร้อมบอกเสียงเบา

    “คุณจะไปทำธุระก็ได้นะคะ ฉันอยู่ตรงนี้คนเดียวได้”

    “เอ่อ...ช่างเถอะ เดี๋ยวช่างไฟก็จัดการกันเอง ผมไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก อยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า” กฤตธรตัดใจ เขาเป็นห่วงความรู้สึกของหญิงสาวข้างๆมากกว่า

    “ทำไมต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันด้วย ฉันไม่ได้กลัวความมืดขนาดนั้นสักหน่อย”

    “ไม่รู้สิ ผมกลัวนี่”

    กฤตธรย้อนกลับมา ทำเอาหญิงสาวฉงน

    “คุณกลัวความมืดเหรอ”

    “ผมไม่ได้กลัวความมืด” เขาปฏิเสธพร้อมหันมามองเธออย่างอ่อนโยน เน้นย้ำทุกถ้อยคำ หนักแน่นจริงจัง “ผมกลัวว่าคุณจะหายไปกับความมืดต่างหาก”

    “หะ” หญิงสาวอุทาน งุนงง ไม่เข้าใจ มุขจีบสาวใหม่ของกฤตธรอย่างนั้นหรือ “ยังไงคะ ไม่เห็นเข้าใจ...”

    “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ไม่รู้เป็นไร มันอดกลัวไม่ได้” ชายหนุ่มกระชับมือที่กุมกระชับมือบางของเธอให้แน่นเขา ปกติกฤตธรไม่ใช่คนกลัวความมืด เขาไม่ค่อยกลัวอะไรง่ายๆ แต่ค่ำคืนนี้ช่างประหลาดนัก

    เขาหนาวเยือกในใจชอบกล...มันเป็นความกังวลที่กดทับในช่องอกจนแน่นอึดอัดอย่างไม่สามารถอธิบายได้ถูก

    “คุณอย่ามามุขหน่อยเลย ไม่ตลกเจ้าค่ะ...” โยสิตาย่นจมูกมองอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้ หากยังไม่ทันได้เล่นงานเขาต่อ เสียง “เพล้ง!!” ดังลั่นก็เรียกความสนใจของทุกคนให้หันขวับมองไปยังทิศทางที่มาของต้นเสียงในห้องนิทรรศกาลด้านใน

    หากความมืดเกือบสนิทในห้องส่วนจัดงานนิทรรศกาลไม่ช่วยให้แลเห็นความเป็นไปในนั้น ทีมงานรักษาความปลอดภัยวิ่งกรูกันเข้าไปในห้องโถงกว้าง ฉายไฟฉายในมือกวาดจับไปตามแต่ละตู้กระจก กระทั่งมาหยุดลงที่ตู้แสดงศิลาจารึกของจันทปุระ

    ทั้งหมดถึงกับเบิกตาโพลงตื่นตะลึง เพราะบัดนี้ ร่างผอมสูงในชุดสูทสากลของคุณกสินทร์ยืนเด่นอยู่ตรงนั้น!

    “นายครับ เกิดอะไรขึ้นหรือครับ” หนึ่งในบอดีการ์ดที่กรูกันเข้าไปเอ่ยนายใหญ่ ซึ่งมีท่าทีแปลกไปจากเคย ดูคุณกสินทร์เหมือนยังงุนงง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกนัก

    “เอ่อ...ฉัน...” เจ้าของงานแซยิดขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกเจ็บแปลบที่สันมือข้างขวาของตนเอง มีของเหนียวบางอย่างปริซึมออกมาด้วย

    หากเขาไม่อยากให้ใครๆแตกตื่น จึงรีบซุกมือข้างที่ได้รับบาดเจ็บของตนเองไว้ในกระเป๋ากางเกงมิดชิด แล้วหันไปคว้าไฟฉายในมือลูกน้องมาถือไว้เสียเอง

    “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเถอะ เอาไฟฉายมานี่”

    คุณกสินทร์สาดไฟฉายในมือไปที่ตู้กระจกเบื้องหลังเขา เศษกระจกกระจัดกระจายตกเกลื่อน ในสภาพที่ตู้นั้นถูกทุบอย่างแรง หยดเลือดยังมีให้เห็นอยู่เป็นหย่อมๆ

    หนุ่มใหญ่ใจหายวาบ ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ ว่านี่เป็นเลือดของใคร!!

     “จารึกหายไปครับนาย!!” เสียงลูกน้องของเขาตะโกนก้องขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก เรียกสติให้คุณกสินทร์ซึ่งกำลังงุนงง ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง หันกลับมาสนใจกับของเก่าแก่ที่เขารักมากที่สุดนั่นก็คือ แผ่นศิลาจารึกของจันทปุระ!!

    แท่นหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ที่รองจารึกศิลาเก่าแก่โบราณบัดนี้ว่างเปล่าไร้วี่แววของสิ่งที่เคยอยู่มาก่อน คุณกสินทร์ถึงกับชะงักงัน เหงื่อซึมชื้นไปทั้งใบหน้า

    “มะ...มันหายไปได้ยังไง...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ บัดซบ!!”

    “ระวังครับคุณพ่อ!” กวินทร์ต้องรีบเข้าไปช่วยประคองบิดา เพราะความเสียใจทำให้ท่านเซวูบเกือบล้ม

    หากคุณกสินทร์เมื่อพยุงตัวได้แล้วก็ปัดมือลูกชายคนโตทิ้ง รีบหันไปสั่งการเสียงเข้มขึงขัง

     “ปิดโรงแรม หาจารึกกลับมาให้เร็วที่สุด ฉันต้องได้จารึกคืนมาเดี๋ยวนี้!”

    ผู้ทรงอำนาจสูงสุดในโรงแรมโยธกาธานีสั่งการเสียงเกรี้ยวกราด ขุ่นมัวสุดขีด เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องบ้าๆอย่างนี้เกิดขึ้นในวันงานแซยิดของตนเอง จารึกจันทปุระมีความสำคัญต่อความรู้สึกของเขาอย่างที่คุณกสินทร์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

    การหายไปของจารึกเก่าแก่ของเมืองโบราณที่สาบสูญ ทำให้ชายสูงวัยใจหายราวกับสูญเสียของสำคัญที่คุ้นเคยไป ในเวลาที่ฉุกละหุก กะทันหันอย่างนี้ คนแรกที่คุณกสินทร์นึกถึงก็คือ...

    “เกรียง...อาจารย์เกรียงอยู่ไหน”

    “ผมอยู่นี่ครับคุณกสินทร์” ผู้ถูกเรียก ก้าวออกมาจากมุมมืดริมผนังห้อง ยังคงสวมใส่ชุดขาวทั้งตัวตามแบบฉบับของเจ้าตัวเช่นเดิม

    “จารึกหายไปได้ยังไง อาจารย์รู้หรือเปล่า ว่ามันหายไปไหน” คุณกสินทร์เอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงระรัวเร็ว คาดหวังอย่างยิ่งว่าคุณเกรียงจะทราบเรื่องทั้งหมด หากทว่าอีกฝ่ายกลับส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้า

    “ผมไม่ทันเห็นจริงๆครับ”

    “จารึกหนักตั้งเป็นสิบกิโลฯ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขนเอาไป ใครมันกล้ามาล้วงคองูเห่า...” เจ้าของโรงแรมหรูขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรุ่นโกรธ รู้สึกไม่ต่างกับโดนมือที่มองไม่เห็นตบหน้า!

    แขกเหรื่อเริ่มกรูตามเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ความแตกตื่นตกใจยิ่งกระจายไปในวงกว้าง เมื่อทราบว่ามีโจรร้ายเข้ามาอาละวาดในงาน

    “ทุกท่านกรุณาอยู่ในความสงบนะครับ ไม่มีอะไร ทางเราจัดการได้ อีกสักครู่ไฟจะมาแล้ว กรุณาอยู่นิ่งๆ อย่าขยับจากจุดที่ท่านอยู่ เพื่อความสงบเรียบร้อย กรุณาทำตามด้วยนะครับ”

    พิธีกรรีบร้องบอกเพื่อกันไม่ให้ฝูงชนแตกตื่นแล้วยิ่งแย่ไปกันใหญ่

    “...จารึกจันทปุระหายไปได้ยังไงกัน...” โยสิตาครางเสียงแผ่ว ตื่นตระหนก ร่างบางทำท่าจะก้าวตามไปดูที่หน้าตู้กระจกเช่นเดียวกับอีกหลายคนเหมือนกัน แต่กฤตธรกุมมือเธอไว้มั่น ไม่ยอมให้หญิงสาวไปไหน

    “อย่าไป คุณโย มืดๆอย่างนี้มันอันตราย อยู่ใกล้ๆผมไว้ดีกว่า”

    ไม่เพียงพูดเปล่า หากชายหนุ่มยังดึงร่างเธอเข้ามาใกล้ชิดจนใบหน้าหวานแทบจะเกยอิงอยู่กับอกอุ่นของเขา โยสิตาตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ ความวุ่นวายมากมายที่รายล้อมอยู่รอบตัวราวกับไร้สิ้นซึ่งความหมาย

    ทำไมเธอรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย และเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะปกป้องคุ้มครองเธอได้จริงๆนะ

    หญิงสาวแหงนเงยใบหน้าขึ้นมองคนตัวโตที่สูงกว่าเธอมาก แสงสว่างจากดวงจันทร์เสี้ยวและแสงดาวบนฟากฟ้ามีพอจะให้แลเห็นใบหน้าคมเข้มของอีกฝ่ายที่ก้มมองมาที่เธออย่างห่วงใย

    โยสิตาอึ้งไปราวกับต้องมนต์สะกด ไม่รู้สึกตัวเลยแม้ว่าอ้อมแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายจะโอบรอบเอวบาง รัดร่างเธอเอาไว้แน่น

    “เป็นอะไรคุณโย...กลัวความมืดหรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทำเอาคนกำลังตกอยู่ในภวังค์กะพริบตาปริบๆ

    ตายแล้ว เธอมายืนอิงให้เขากอดเข้าไปได้อย่างไรกัน ยายโยสิตา!!

    ร่างบางผละออกมาจากฝ่ายตรงข้ามแทบไม่ทัน และเป็นโชคดีของหญิงสาวอย่างยิ่ง เพราะทันทีที่เธอถอยออกห่างจากกฤตธร แสงไฟในงานก็กลับมาสว่างพรึ่บ

    ความโกลาหลวุ่นวายค่อยสร่างซาลง และโยสิตาก็เห็นบิดาก้าวตรงมาก่อนที่ท่านจะส่งเสียงเรียกเสียอีก

    “โย ไม่เป็นไรนะลูก”

    “ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวก้าวเข้าไปหาบิดา อยากถามท่านเรื่องจารึกจันทปุระ แต่ติดที่ร่างสูงของกฤตธรตามมาไม่ห่าง

    “คุณโยไม่เป็นไรครับคุณอาสบายใจได้ ผมต้องขอโทษคุณอาด้วยนะครับ ที่มาเกิดเรื่องอย่างนี้...”

    “ไม่เป็นไรหรอกคุณ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ผมเข้าใจ” คุณอธินโบกมือไม่ถือสา ก่อนจะเอ่ยต่อมาเสียงเรียบขรึมจริงจัง “คุณกฤตธรคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ถ้าผมจะขอคุยกับลูกสาวเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”

    “อ๋อ ไม่ว่าหรอกครับ เชิญตามสบายเลย”

    กฤตธรยิ้มหน้าเจื่อน พอจะมองออกว่าคุณอธินไม่ค่อยชอบหน้าเขาเท่าไหร่ ลองท่านขอมาอย่างนี้ ใครที่ไหนจะกล้าปฏิเสธ

    เขาละสายตาจากคนเป็นพ่อ เพื่อหันไปมองลูกสาวคนสวยของท่านแทน โยสิตาส่งยิ้มปลอบใจมาให้ แม้จะน้อยนิด แต่ก็ช่วยให้เขามีกำลังใจขึ้นมาก

    “ผมขอตัวเข้าไปดูด้านในก่อนนะครับคุณโย”

    “ค่ะ” เธอพยักหน้า ยิ้มให้เขากว้างมากขึ้น ก่อนจะหน้าเจื่อนไปโดยอัตโนมัติเมื่อเหลือบมาเห็นบิดา

     “เมื่อกี้นี้…พ่อเห็นจารึกจันทปุระแผ่นนั้นก่อนที่มันจะหายไปแล้วนะโย”

    คุณอธินเข้าเรื่อง สีหน้าเคร่งเครียด เมื่อกฤตธรเดินจากไปแล้ว พลอยให้ลูกสาวตาโต ตื่นเต้นตามไปด้วย

    “จริงเหรอคะ แล้ว...คุณพ่อมองออกไหมคะว่ามันเป็นของจริงหรือว่าของเลียนแบบ...”

    “เป็นของจริงแน่ๆ...ของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์”

    คำยืนยันของบิดา มีผลให้บรรยากาศโดยรอบอึมครึมกดดันขึ้นมาในทันที โยสิตาใจหายอย่างบอกไม่ถูกเลย

    เธออยากให้คุณพ่อดูผิด แต่เธอทราบดีว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโบราณวัตถุมาก ไม่มีทางที่จะดูผิดพลาด ยิ่งเป็นของที่ท่านขุดค้นพบกับมือตัวเองอย่างจารึกจันทปุระด้วยแล้วละก็...

    “แต่แผ่นศิลาถูกขโมยไปแล้ว...เราคงเอาผิดอะไรกับคุณกสินทร์ไม่ได้แล้วละค่ะคุณพ่อ”

    “มันอาจเล่นละครตบตาคนก็ได้” คุณกสินทร์เอ่ยพลางมองหน้ามองหลัง เกรงว่าจะมีใครเข้ามาในรัศมีการได้ยิน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครแล้วจึงเอ่ยต่อ “งานนี้มีแต่คนของนายกสินทร์ทั้งนั้น การ์ดเต็มไปหมด พ่อไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครกล้ามาล้วงคองูเห่า เอาแผ่นศิลาหนักขนาดนั้นลอยนวลไปได้ง่ายๆ นายกสินทร์เจ้าเล่ห์จะตาย มันคงกลัวความจะแตกเลยสร้างสถานการณ์ขึ้นมามากกว่า”

    โยสิตาฟังบิดาออกความคิด ท่าทางท่านมั่นอกมั่นใจมาก แม้เธออยากค้านอยู่บ้าง เพราะท่าทางคุณกสินทร์ที่โกรธจัดเมื่อครู่ ไม่เหมือนการเล่นละครตบตาคนอื่นเลย หรือหากเล่นจริง เขาก็คงเป็นดาราชั้นยอด ตีบทแตกกระจุย

    “แล้วอย่างนี้...คุณพ่อจะเอายังไงต่อไปละคะ...ลองแบบนี้แล้ว เราก็ยิ่งหาจารึกคืนมาได้ลำบากมากยิ่งขึ้นไปอีก...หนูว่า...เราล้มเลิกเรื่องนี้ไม่ดีกว่าหรือคะคุณพ่อ”

    “ไม่ได้ พ่อไม่เลิกทั้งอย่างนี้แน่ พ่อตามเรื่องนี้มาตลอดสิบปี พ่อไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่ จนกว่าจะได้จารึกกลับคืนมาเป็นสมบัติของชาติ พ่อจะตามหามันต่อไป”

    ความมุ่งมั่นของบิดาแรงกล้าจนหญิงสาวต้องเก็บปากเก็บคำที่คิดคัดค้านเอาไว้ สิ่งไหนที่เป็นความต้องการของพ่อเธอไม่อยากขัดขวาง เธอรู้ว่าท่านรู้สึกผิดเสมอทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องจารึกจันทปุระ

    ถึงจารึกจะหายไปในออฟฟิศที่ทำงาน แต่บิดาก็โทษว่าเป็นเพราะท่านเองที่เก็บรักษาเอาไว้ไม่รัดกุมพอ ท่านโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเสมอ ไม่เคยเลิกคิดเรื่องนี้เลย

    “งั้น...เรากลับบ้านไปค่อยๆคิดหาทางกันต่อดีไหมคะคุณพ่อ” โยสิตาเปลี่ยนเรื่องทันควัน ซึ่งคราวนี้คุณอธินเห็นด้วยกับลูกสาว

    “ก็ดีนะ ตอนนี้ถึงอยู่ในงานไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว กลับบ้านเราก่อนดีกว่า”

    คุณอธินเอื้อมมือไปโอบไหล่ลูกสาว พาโยสิตาตรงไปที่ทางออกซึ่งต้องผ่านกลับเข้าไปในห้องโถงส่วนจัดนิทรรศกาล หญิงสาวเดินเคียงไปกับบิดา กระทั่งกำลังจะก้าวพ้นจากประตูห้องอยู่แล้ว พลันนั้นเองจู่ๆเจ้าของร่างบอบบางก็ชะงักกึก

    คลื่นความร้อนประหลาด ราวกับมีกองไฟมารุมสุมอยู่ใกล้ๆกับจุดที่เธอยืนอยู่ ทำให้โยสิตาเหมือนจะหน้ามืด มองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ

    “เป็นอะไรลูกโย” คุณอธินเขม้นมองท่าทางสลัดศีรษะไปมาของลูกสาวอย่างงุนงง

    “เปล่าค่ะ...ไม่มีอะไร...”

    ถึงแข็งใจบอกบิดาไปเช่นนั้น หากสองขาของหญิงสาวกลับสั่นเทา เหงื่อแตกชุ่มโชกไปทั้งตัว ราวกับมีเข็มเล่มเล็กๆมากมายทิ่มแทงอยู่ทั่วเนื้อตัว

    ความร้อนทวีพุ่งขึ้นสูง โยสิตาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเนื้อตัวเธอ เมื่อครู่ยังปกติดีแท้ๆ แต่ตอนนี้...

    เจ็บปวด อัดแน่น ร้อนเร่า ประสาททั้งมวลราวถูกดึงขมึงเกลียวแน่นตึงใกล้จะขาดผึง เธอพยายามแข็งใจสูดลมหายใจเข้าปอดเข้าไว้ หากความร้อนราวกับไฟนรกกลับทวีเพิ่มขึ้นท่วมท้น หนำซ้ำยังแว่วเสียงกรีดร้องโหยหวนปานจะขาดใจของใครคนหนึ่ง

    ‘เกศอาภา เพราะเจ้า ทุกสิ่งเป็นเพราะเจ้า จันทปุระล่มสลายก็เพราะเจ้า เจ้าเป็นหนี้ชีวิตทุกผู้ในจันทปุระ...เจ้าจักต้องชดใช้ ด้วยสัตย์สาบานแห่งข้า อธิษฐานจิตแห่งข้า นานเพียงใดข้าจักติดตามเจ้าจนพบ แลนำพาเจ้ากลับไปรับกรรมที่เจ้าทำไว้ให้จงได้!!’

    โยสิตาหันขวับไปมองยังที่มาของเสียงเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้นเหี้ยมเกรียมนั่นโดยอัตโนมัติ พริบตาเดียวกันนั้นเองที่หญิงสาวแลเห็นเงาดำทะมึนซ้อนอยู่ที่ผ้าม่านสีชมพูหวานข้างผนังห้องติดกับประตูทางออก เงานั้นแผ่กว้างพุ่งเข้ามาใส่เธอจนหญิงสาวล้มลงไปกองกับพื้นพรมอ่อนนุ่มต่อหน้าต่อตาคุณอธินและทุกคน

    “คุณโย!!”

    กฤตธรหันมาเห็นเข้า และวิ่งเข้ามาคุกเข่าดูอาการหญิงสาวอย่างห่วงใย ร่างบางอ่อนปวกเปียก ลมหายใจรวยริน และสิ้นสติรับรู้ไปแล้ว

    “โย เป็นยังไงบ้าง เป็นอะไรไปลูก!” คุณอธินเพิ่งหายจากตกตะลึง ชายสูงวัยทรุดนั่งตามมาดูอาการลูกสาว และแย่งเอาร่างบางมาจากอ้อมแขนของกฤตธรอย่างหวงแหน

    “โย...ลืมตาขึ้นสิลูก หนูเป็นอะไร บอกพ่อสิโย!!”

    “ผมว่า เรารีบพาคุณโยไปโรงพยาบาลก่อนดีกว่านะครับคุณอา ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ครับ” กฤตธรรีบบอกผู้อาวุโสกว่า นั่นเองคุณอธินจึงได้สติ

    “ไปสิ รีบไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

    “ไปรถผมดีกว่านะครับ รถผมจอดไว้ข้างหน้าโรงแรม เร็วกว่าครับ” ชายหนุ่มเสนอตัวและยื่นมือมาจะคว้าร่างน้อยของโยสิตา แต่คุณอธินไม่ยอมคลายมือออกจากไหล่ของลูกสาว เขาทำท่าจะไม่ยอมให้กฤตธรอุ้มโยสิตาไป แต่คราวนี้คนหนุ่มกว่าไม่ยอมแพ้ เขาแย่งร่างหญิงสาวมาได้ด้วยความแข็งแรงที่มีมากกว่า

    คุณอธินไม่พอใจ แต่ไม่มีเวลาแสดงความเกรี้ยวกราด ในเวลาเช่นนี้ เขาห่วงอาการของลูกสาวจนมือไม้สั่น ทำอะไรไม่ถูกไปแล้ว

    อย่าเป็นอะไรนะลูกโย...พ่อไม่เหลือใครแล้วนอกจากลูกคนเดียว ถ้าหนูเป็นอะไรไป พ่อก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน!!

    ----------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×