ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงอธิฏฐาน

    ลำดับตอนที่ #7 : มาต่อ มีปริศนาอีกแล้วค่ะ อิอิ ช่วงนี้เริ่มเรื่อง ปมเยอะหน่อยน้าคะ จุ๊บๆ^^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.83K
      7
      19 ธ.ค. 54

    7.


    “นั่นอะไรน่ะลูก”

    เสียงทักของบิดา ทำเอาหญิงสาวซึ่งกำลังนั่งเหม่อพินิจกำไลหยกสีมรกตที่ข้อมือตัวเองอยู่ถึงกับสะดุ้งน้อยๆ รีบเงยหน้าขึ้นมามองบิดาตาปริบๆ

    ความจริงโยสิตากำลังจะไขว้มือไพล่หลังหลบไม่ให้บิดาแลเห็นกำไลหยกในมือ แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

    “เอ่อ...คุณพ่อหมายถึง...อะไรเหรอคะ...”

    “ก็กำไลหยกที่ลูกสวมอยู่นั่นไง ไปเอามาจากไหน ขอพ่อดูหน่อยสิ สวยดีนะ”

    คุณอธินก้าวเข้ามานั่งบนโซฟาข้างๆลูกสาว จัดแจงหยิบแว่นสายตาที่แขวนเอาไว้กับกระเป๋าเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม โยสิตามองออกว่าท่านสนใจกำไลที่เธอสวมอยู่ไม่น้อย

    “เอ่อ...หนูไปเจอที่ร้านขายของเก่าค่ะ พอลองสวมแล้วมันถอดไม่ออก...ก็เลยต้องซื้อมาค่ะ” หญิงสาวจำต้องปดบิดา หากท่านรู้ว่าของชิ้นนี้เป็นของคุณกสินทร์ ท่านคงไม่สบายใจ ดังนั้น เลี่ยงไปทางอื่นดีกว่า

    “ถอดไม่ออกเหรอ แต่มันก็ไม่ได้คับอะไรนี่ลูก” คุณอธินคว้ามือซ้ายของลูกสาวมาพิจารณาดู กำไลหยกเขียวสวยใสแวววาวล้อแสงไฟบนเพดานห้อง ดูงดงามจับตาด้วยลวดลายหงส์สยายปีกประณีตแปลกตา ไม่เหมือนกับที่คนทั่วไปสมัยนี้นิยมสวมใส่ ดูก็รู้ว่าเป็นของเก่าจริงๆ เพียงแต่เจ้ากำไลนี้ เหนือกว่าทั่วไป...

    “นี่มันกำไลเนื้อหยกเนื้อเขียวใสสีมรกตอย่างดี ไม่มีตำหนิ ของหายาก เรียกว่าหยกจักรพรรดิ มีราคาแพงมากเลยนะลูก...เจ้าของร้านเขาขายให้หนูมาราคาเท่าไหร่กัน”

    คุณอธินละสายตาจากกำไลหยกขึ้นมองหน้าลูกสาวอย่างสนใจใคร่รู้

    โยสิตายิ้มหน้าเจื่อน ไม่รู้จะตอบบิดาว่าอย่างไร...หากกำไลนี่เป็นหยกเนื้อดีชั้นเยี่ยมมีราคาแพงลิบลิ่ว เธอก็คงไม่มีหน้าเอาของคุณกสินทร์มาครอบครองไว้หรอก

    “ก็...ไม่กี่พันเองค่ะคุณพ่อ...เอ่อ...เจ้าหยกจักรพรรดิเนี่ย...มันแพงมากเลยหรือคะ...”

    “เป็นหยกเนื้อมรกตที่ในหินหยกธรรมชาติสักพัน หรือหมื่นก้อนจะมีเนื้ออย่างนี้เพียงแค่ก้อนเดียว ซึ่งในก้อนเดียวที่ว่านั่น อาจจะมีเนื้ออย่างนี้อยู่แค่เพียงนิ้วหัวแม่มือเท่านั้นก็ได้...เรียกว่า...หายากยิ่งกว่ายาก แค่นิ้วหัวแม่มือ ราคาก็เหยียบล้านแล้วลูก”

    “เหยียบล้านเลยหรือคะ!” หญิงสาวอุทานตาเบิกโพลง ตะลึงงัน ใบหน้าหวานเผือดซีด ไม่คาดฝันว่าของชิ้นนี้จะมีราคาค่างวดมากมายถึงเพียงนั้น

    หรือกฤตธรก็ไม่รู้ราคา เลยไม่สะทกสะท้าน ปล่อยให้เธอสวมกำไลล้ำค่าของบิดาเขาอยู่อย่างนี้

    ตายแล้ว ต้องหาทางถอดออกให้ได้ ใครจะกล้ารับของราคาแพงอย่างนี้จากเขา ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย!

    “เป็นอย่างนั้นจริงๆลูก คนจีนโบราณเชื่อว่า หยกเป็นรัตนชาติที่มีเทพคุ้มครองรักษา สามารถช่วยคุ้มภัยให้กับผู้สวมใส่ เป็นอัญมณีที่เชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรม อย่างในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเมื่อสองพันปีก่อน ก็ยังมีการขุดค้นพบฉลองพระองค์ทำจากหยกในสุสานของพระองค์ เพราะมีความเชื่อกันว่า หยกจะสามารถรักษาสภาพศพไม่ให้เน่าเปื่อยได้ด้วย...”

    “โห...สารพัดสรรพคุณเลยนะคะ มหัศจรรย์จังเลย...” หญิงสาวครางอย่างทึ่งจัด

    “พ่อถึงสงสัย ทำไมเจ้าของร้านขายของเก่าเขาถึงขายให้ลูกราคาถูกมาก...แล้วนี่ ถอดไม่ออกจริงๆเหรอ”

    “จริงค่ะ คุณพ่อลองถอดดูก็ได้นะคะ” โยสิตาหวังว่า บิดาจะช่วยถอดกำไลหยกออกให้เธอได้ แต่คุณอธินเองก็ต้องล้มเหลวไม่ต่างกับเธอ และกฤตธร

    “แปลกจัง มันก็ไม่คับอะไร แต่ทำไมถอดเท่าไหร่ก็ไม่ออก” หนุ่มใหญ่พึมพำ หลังจากที่พยายามถอดกำไลจากข้อมือลูกสาวอยู่หลายยกแล้วก็ยังไม่สำเร็จ

    เหมือนอย่างกับมีมือที่มองไม่เห็นมาดึงกำไลกลับลงไปอยู่ในข้อมือของลูกสาวตามเดิม คุณอธินไม่เคยพบเรื่องประหลาดอย่างนี้มาก่อนเลย

    “ถ้ามันเป็นของมีราคาแพงอย่างที่คุณพ่อว่าจริงๆ หนูก็ต้องหาทางคืนเขาให้ได้ หนูไม่กล้ารับของราคาแพงอย่างนี้หรอกค่ะ”

    “พ่อเห็นด้วย สมควรจะหาทางเอากลับไปคืนเขาซะ” คุณอธินพยักหน้าหงึกๆ เคร่งขรึม จริงจัง

    โยสิตาถอนหายใจยาวหนักใจ ยังมองไม่เห็นทางจะถอดกำไลออกมาได้ โดยไม่ให้มันบุบสลาย เธอลองพยายามมาทุกอย่างแล้ว ทั้งถูสบู่ให้ลื่น ดึงจนมือแดงไปหมดแล้วก็ยังไม่หลุด ทำไมเจ้ากำไลแสนสวยวงนี้ถึงดื้อนักก็ไม่รู้

    แวบหนึ่ง หญิงสาวหวนนึกถึงถ้อยคำของคุณเกรียง ชายสูงวัยท่าทางแปลกๆ ที่พบเมื่อตอนสาย

    ‘กำไลนี้สมควรเป็นของคุณหนูอยู่แล้ว อย่าพยายามถอดเลยครับ ไม่มีประโยชน์หรอก คุณหนูสวมมันเอาไว้ จะช่วยป้องกันโพยภัยทุกอย่าง...มันจะไม่ยอมแยกจากเจ้าของ...นอกจากเจ้าของจะมีเคราะห์หนักจริงๆ’

    ทำไมคุณเกรียงพูดอย่างนั้นนะ...เขาพูดราวกับว่า กำไลนี้ คือของ “ของเธอ”...

    บ้าแล้วยายโย ใครจะพูดอย่างไรก็ช่างสิ เธอรู้แก่ใจว่ามันไม่ใช่ของของตัวเองสักหน่อย จะไปคล้อยตามคำพูดของคนแปลกหน้าอย่างคุณเกรียงทำไมกัน

    เธอต้องรีบหาทางเอากำไลวงนี้ไปคืนเจ้าของเขาให้ได้ แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ...คิดไม่ออกจริงๆ


    ค่ำคืนนั้นโยสิตาอาบน้ำแล้วก็เข้านอนไปทั้งที่ข้อมือซ้ายเป็นรอยบวมช้ำไปหมด อันเป็นผลมาจากความพยายามที่เจ้าตัวต้องการถอดกำไลหยกให้หลุดออกให้ได้ แต่ก็ไร้ผล แม้ว่าจะรูดขึ้นไปได้สูงเกือบจะหลุดออก แต่กำไลก็ลื่นกลับเข้ามาอยู่ที่ข้อมือบางของเธอเหมือนเดิม อย่างกับมีแรงต้านที่มองไม่เห็นคอยขัดขวางอยู่

    พยายามจนเหนื่อยแล้ว หญิงสาวก็เผลอหลับไป ในท่ามกลางนิทราอันนิ่งสนิท โยสิตากลับฝันเห็นบรรยากาศบ้านเมืองสมัยโบราณ ซึ่งที่อยู่อาศัยทำจากไม้ง่ายๆ ดูสมถะ ยามค่ำคืนทุกแห่งหนมืดมิด บ้านเรือนผู้คนก็จะจุดแสงไต้ บ้างก็เป็นเทียนไข ให้แสงสว่างเรื่อๆอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวพราวแสงสดใส

    หญิงสาวพบว่าตัวเองกำลังนั่งเล่นกับลูกกระต่ายป่าสีขาวขนปุกปุย มันเติบโตขึ้นกว่าครั้งก่อนที่เธอเคยฝันเห็นไปเล็กน้อย เธอตั้งใจว่า เมื่อให้อาหารมันเสร็จแล้วก็จะกลับขึ้นเรือน หากเสียงฝีเท้าสวบสาบก็ดังขึ้นข้างหลัง

    “เจ้าเกศ มาหาพ่อหน่อยสิลูก”

    เธอย่อมจดจำเสียงของบิดาได้ดี หญิงสาวเงยหน้าจากกรงกระต่าย หันขวับไปส่งยิ้มให้ผู้บังเกิดเกล้า หากแล้วรอยยิ้มสดใสก็กลับเจื่อนไป เมื่อดวงตากลมโตแสนหวานแลเลยมองผ่านบิดา ไปพบกับบุคคลผู้หนึ่ง

    เขาเป็นชายหนุ่มคนเดียวกับที่เธอเคยพบเมื่อครั้งก่อน...แล้วเขามาทำอะไรที่บ้านของเธอกัน

    “เจ้า...เจ้าเป็นผู้ใด เหตุใดจึงมากับบิดาข้า...”

    ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากของเธอ ช่างโบราณจนน่าขัน หากโยสิตาขำไม่ออก ในเวลานี้ราวกับว่าเธอไม่สามารถบังคับตนเองได้

    “ห้ามเสียมารยาทลูกเกศ” ผู้บุพการีดุเสียงขรึม ใบหน้าเคร่งเครียด “ท่านผู้นี้มิใช่ผู้ที่เจ้าจักล้อเล่นด้วยได้”

    “มิเป็นไรหรอกท่านปุณณะ นางถนัดเช่นไรก็ปล่อยนางเถิด ข้าหาได้ถือสาไม่”

    “มิได้พระเจ้าค่ะ...” เสียงของปุณณะหายลงไปในลำคอ เมื่อสบตากับฝ่ายตรงข้าม

    ชายสูงวัยรีบก้มศีรษะลงอย่างนบนอบ กริ่งเกรง ริมฝีปากที่เตรียมถ้อยคัดค้าน พลันหุบฉับ กลายเป็นรอรับฟังคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี

    “ท่านขึ้นเรือนไปก่อนเถิด ข้าขอสนทนากับเกศอาภาประเดี๋ยวเท่านั้น”

    “ขอรับ” ปุณณะรับคำสั่ง แล้วหันมามองบุตรสาวคนเดียว แววตาครุ่นคิดเป็นกังวล ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับคนเป็นลูกเบาๆ “ต่อหน้าท่านอริยะ ห้ามทำตัวเหลวไหล ท่านอริยะเป็นผู้ใหญ่มิถือสา แต่เจ้าเป็นถึงธิดาของแม่ทัพใหญ่ จักทำตัวให้เป็นที่ขายหน้ามิได้ เข้าใจหรือไม่”

    “เข้าใจค่ะท่านพ่อ”

    หญิงสาวรับคำบิดา หน้าหวานเจื่อนจ๋อย พลอยเกร็งเมื่อทราบว่า อีกฝ่ายไม่ใช่บุคคลธรรมดา จากท่าทางที่ท่านพ่อให้ความเคารพยำเกรงเขามากเหลือเกิน

    “ท่าน...มีธุระอันใดกับข้าหรือเจ้าคะ”

    ลับหลังร่างกำยำของบิดา เกศอาภาก็เงยหน้ามองฝ่ายตรงข้าม นึกกังวลว่าเขาอาจตามมาเอาผิดครั้งที่แล้วที่เธอทะเลาะกับผู้หญิงของเขาหรือไม่

    “คืนเพ็ญที่แล้ว เจ้ารีบร้อนจากมา เรายังมิได้มีโอกาสสนทนากันเลยสักนิด ข้ารู้มาว่าเจ้าเป็นบุตรสาวของท่านปุณณะ จึงมาเยี่ยมเยียน”

    “เยี่ยมเยียนอันใด ข้ามิได้รู้จักมักจี่กับท่าน” เกศอาภาขัดขึ้น เธอเป็นคนปากตรงกับใจเสมอ...ครั้งก่อนที่เจอกับเขาก็เป็นความบังเอิญที่ไม่น่าจดจำ และไม่เห็นความจำเป็นอันใดที่อีกฝ่ายจะต้องตามมาหาเธอถึงเรือน นอกเสียจากว่า...

    “อ้อ นางผู้นั้นคงวานให้ท่านมาเอาเรื่องข้า”

    “มิใช่เช่นนั้น เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด”

    “ท่านมิได้มาเอาเรื่องข้า...ถ้าเช่นนั้น ท่านมีธุระอันใดกับข้า” เธอถามอย่างฉงน มองไม่เห็นธุระที่อีกฝ่ายเอ่ยอ้างมาสักนิด

    เธอไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แค่ได้มาพบกันอีก ก็ดูจะเป็นเรื่องเกินความคาดหมายเหลือเกินแล้ว

    “พี่จักมาส่งของคืนให้เจ้า เมื่อคราก่อน เจ้าทำของตกเอาไว้ พี่เก็บได้ จึงได้เอามาคืนให้เจ้าเพลานี้”

    ชายหนุ่มไม่เพียงพูดเปล่า หากยังแบมือมาต่อหน้า แสงจากดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า สะท้อนกับรันตชาติสีมรกตสดใสเป็นประกายแวววาวในอุ้งมือหนา

    เกศอาภาเขม้นมองของในมือใหญ่ของชายหนุ่มตาโต

    “รับของของเจ้าไปเถิด”

    “สิ่งนี้มิใช่ของข้า” เธอเงยหน้ามองเขาเต็มตา “ชะรอยว่าคงจะเป็นของแม่หญิงผู้นั้นของท่านมากกว่า”

    “บุษกรสวมกำไลหยกจักรพรรดิวงนี้หาได้ไม่...เมื่อมิใช่นาง ข้าจึงคิดว่ากำไลวงนี้อาจเป็นของเจ้า”

    “หาใช่ไม่ ข้ามิเคยมีของที่ดูล้ำค่าเยี่ยงนี้”

    หญิงสาวตอบตามประสาสัตย์ซื่อ พร้อมชักฝีเท้าถอยออกห่าง เมื่อปฏิเสธไปแล้วก็หมดธุระที่จะคุยกับแขกยามวิกาล หากอีกฝ่ายกลับก้าวตามมาและคว้ามือเธอไปกุมไว้อย่างรวดเร็ว

    “อย่าเพิ่งตัดใจเกศอาภา เจ้าจงลองสวมมันดูก่อนเถิด”

    ไม่เพียงเอ่ยเปล่า แต่เขายังยัดกำไลสีสวยล้ำค่าใส่ลงมาในฝ่ามือของเธอด้วย เกศอาภาส่ายหน้า ทำท่าจะไม่ยอม หากจู่ๆ เจ้าของมือหนาก็จัดการสวมกำไลลงมาบนข้อมือข้างซ้ายของเธอเสียเอง

    หญิงสาวตกตะลึง ทำอะไรไม่ถูก ทุกอย่างช่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกำไลหยกจักรพรรดิ์ที่เคลื่อนเข้าสู่ข้อมือเธออย่างง่ายดาย

    เกศอาภาคิดว่าเพราะกำไลหลวม หญิงสาวรีบดึงมือออกจากอุ้งมือใหญ่ ก้มหน้าก้มตาดึงกำไลออกจากข้อมือตัวเองเป็นพัลวัน

    “ทำอันใดของท่าน ข้าบอกแล้วว่าข้ามิใช่เจ้าของกำไลนี่...เอาของท่านคืนไปเถิด...เอ๊ะ!”

    เกศอาภาหน้าเสีย เพราะไม่ว่าจะเพียรดึงกำไลขึ้นจากข้อมือตัวเองเพียงใดก็ล้มเหลว กำไลหยกล้ำค่าเย็นจัดรัดรึงอยู่กับข้อมือของเธอ ไม่ยอมหลุดขึ้นมาอย่างที่ต้องการ

    หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น งุนงงยิ่งนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้น

    “เหตุใดจึงดึงไม่ออก...ทำอย่างไรดี กำไลของท่าน...”

    “เจ้าอย่าได้ร้อนใจไป…เมื่อเจ้าสวมมันได้ เจ้าก็คือเจ้าของกำไลจักรพรรดิวงนี้แล้ว”

    สีหน้ายุ่งยากใจของหญิงสาวยังคงไม่จางหาย เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด หากแล้วก็ยิ่งตระหนก เพราะอีกฝ่ายกลับดึงมือเธอไปกุมไว้แนบแน่น

    เกศอาภาจะยื้อมือตัวเองกลับมา แต่อีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ไออุ่นจากอุ้งมือหนาแข็งแกร่งของเขา เหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆแล่นเรื่อยเข้าสู่หัวใจ

    เป็นความรู้สึกประหลาดล้ำ จนหญิงสาวอดฉงนมิได้

    ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแสนหวานจับจ้องมองบุรุษร่างสูงสง่าต่อหน้านิ่งงัน จะเนิ่นนานเพียงใดก็มิรู้ที่หญิงสาวยืนนิ่งมองเขาอยู่เช่นนั้น

    “กำไลจักรพรรดิชิ้นนี้ เป็นของมาจากเมืองจีน มีคนนำมามอบให้ท่านพ่อข้า ท่านพ่อมอบให้ข้า…ส่งต่อให้แก่สตรีผู้จักมาเป็นคู่ครองในเบื้องหน้า”

    “คู่ครอง” เกศอาภาอุทานเสียงสูง ตกใจจนต้องรีบดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย “ท่าน…ท่านล้อข้าเล่นเกินไปแล้ว…ข้าหาใช่คู่ครองของท่านไม่ โปรดปล่อยข้า…ข้าจักรีบถอดกำไลล้ำค่านี้มอบคืนให้ท่าน”

    “เจ้าถอดมันไม่ออก เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจ”

    หญิงสาวชะงักงัน หัวคิ้วขมวดมุ่น แววตาตระหนก

    “ท่านคงล้อข้าเล่น…ข้ายังไม่เคยคิดเรื่องคู่ครอง แล้วข้าก็มิรู้จักท่าน…”

    “ข้าชื่ออริยะ แล้วเจ้าก็เกศอาภา บัดนี้ เรารู้จักกันแล้ว”

    รอยยิ้มอบอุ่นของชายหนุ่ม ไม่ทำให้หญิงสาวโอนอ่อนด้วย

    “พบกันเพียงสองคราว จักเป็นคู่ครองได้เยี่ยงไร ปล่อยข้า!” คนตัวเล็กสะบัดมืออย่างแรงให้พ้นจากพันธนาการของฝ่ายตรงข้าม นึกกลัวเขาขึ้นมาทันใด เพราะแทนที่จะปล่อยเธอ อริยะกลับรั้งร่างบอบบางเข้าไปแนบชิดติดอยู่กับอ้อมอกแกร่งของเขา

    เกศอาภาตื่นตระหนก เงื้อง่าอีกมือที่ยังเป็นอิสระหมายประทุษร้ายตอบโต้คนตัวโต หากชายหนุ่มกำรวบมือบาง ตรึงเอาไว้ทั้งหมด

    “ดุจริงนะเจ้าเกศ ใจคอจักทำร้ายพี่ลงคอเชียวหรือ”

    “เหตุใดแทนตนเป็นพี่เชื้อ ท่านกับข้าหาได้เกี่ยวดองกันไม่”

    “ตอนนี้ยังมิเกี่ยว หากอีกไม่กี่เพลาก็ต้องเกี่ยว เจ้ารับของหมั้นพี่แล้ว คงมิคิดขัดราชประเพณีหรอกนะ”

    “ของหมั้นอันใด ข้ามิรู้ด้วย” เกศอาภายิ่งตระหนกนัก เธอไม่รู้ความนัยน์ของอริยะ แถมทั้งกำไลหยกวงนี้ เขาเองก็เป็นผู้สวมใส่ลงมาให้แต่แรก มิได้เกิดแต่ความต้องการของเธอสักนิด แล้วจะมามัดมือชกได้อย่างไรกัน

    จะเป็นเจ้านายมากวาสนาบารมีมาแต่ที่ใดก็ช่างเถิด เกศอาภาหาได้แยแสไม่!

    “เจ้าต้องรู้แล้วเจ้าเกศ พี่จักให้พระบิดามาสู่ขอเจ้า จงเตรียมตัวเป็นแม่เมือง ช่วยพี่ดูแลทุกข์สุขชาวจันทปุระสืบต่อไปเถิด”

    เกศอาภาถึงกับเบิกตาโพลง ตัวแข็งทื่อ ตื่นตระหนกกับสิ่งที่ได้ยินเต็มสองหู

    อริยะ…จริงด้วย ชื่อของเขาคือชื่อเดียวกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งจันทปุระ เจ้าชายอริยะ!!

    “วันพรุ่ง ท่านปุณณะบิดาของเจ้าจักพาเจ้าเข้าวัง ไปแนะนำให้พระบิดาของพี่รู้จัก เจ้าจงอย่าได้ทำดื้อดึงต่อหน้าเสด็จพ่อของพี่เยี่ยงนี้เชียว”

    สุรเสียงทุ้มต่ำเอื้อนเอ่ยอย่างเอื้อเอ็นดู หากเกศอาภายามนี้ช่างอยากมีเวทมนต์ให้หายตัวได้

    เธอกำลังตระหนกสุดขีด ดวงตาคู่งามจับจ้องวงพักตร์คมสันของเจ้าชายอริยะเขม็ง เป็นนานสองนานกว่าที่หญิงสาวจะก้มลงมองกำไลหยกสะท้อนแสงดาวพริบพรายซึ่งสงบนิ่งอยู่กับข้อมือตนเอง

    กำไลจักรพรรดิ์นี้ คือ “ของหมั้น” ที่เจ้าชายอริยะแห่งนครจันทปุระ ประทานให้แก่เกศอาภาอย่างนั้นหรือ

    …เจ้าชายอริยะ…

    โยสิตาลืมตาขึ้นท่ามกลางความมืด โล่งใจอย่างยิ่งที่พบว่า ตอนนี้เธออยู่ในห้องนอนของตัวเอง มิใช่ในอาณาเขตบ้านเรือนไม้แบบโบราณหลังใหญ่อย่างที่ฝันเห็นเมื่อครู่

    ความเย็นเยียบของกำไลหยกที่ข้อมือซ้าย ทำให้หญิงสาวต้องหันมาสนใจมัน แสงวิบวาวราวกับอัญมณีทรงคุณค่าของกำไลหยกสะท้อนให้เธอยิ่งนึกถึงความฝันเหมือนจริงเมื่อครู่

    เก็บเอากำไลวงนี้ไปฝันเป็นตุเป็นตะได้ถึงเพียงนี้เชียว…ชักเลื่อนเปื้อนไปกันใหญ่แล้วโยสิตา

    หญิงสาวถอนหายใจยาว ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน ความฝันเมื่อครู่ทำให้เธอเหนื่อยอย่างกับคนเพิ่งผ่านการวิ่งร้อยเมตรมาหมาดๆ ในหัวใจดวงน้อยยังคงหนักอึ้ง หม่นเศร้า

    ทุกครั้งที่ฝันเห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับเมืองจันทปุระ โยสิตาก็มักหนักอึ้งในอกเสมอ เหมือนมีบางอย่างที่ติดค้างกับชื่อนี้ มีความหม่นเศร้าบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้

    แต่ก่อนก็เป็นแค่ความรู้สึกติดอยู่ลึกๆในใจ หากตั้งแต่ที่เธอไปหมดสติในห้องจัดเตรียมงานในโรงแรมโยธกาธานี ความฝันเกี่ยวกับนครจันทปุระก็เริ่มต้นเข้ามารบกวนยามนิทราที่สุขสงบของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ…

    หรือเธอจะเคยเป็นชาวเมืองจันทปุระมาก่อนจริงๆนะ

    “ไม่จริง มันก็ความฝันฟุ้งซ่านเท่านั้นยายโย…อย่าคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก ทำใจให้สบาย มันก็แค่ความฝันเท่านั้น..."

    โยสิตาบอกตัวเอง แต่ลึกๆในใจก็ไม่อาจคลายความกังวลลงได้เลย




    -------------------------------------------------------

    --------------------------------------------------------------


    ***********ขอบคุณคุณนู๋บิว กับคุณนกตัวเล็ก นะคะ มาต่อให้อีกแล้วค่ะ ช่วงนี้ปมเยอะหน่อยนะคะ เดี๋ยวจะค่อยๆสางไปเรื่อยๆพร้อมความรักของพระนางค่ะ^^


    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ จุ๊บๆ^^



    ษาค่ะ


    -------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×