ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ----- ดั่งผืนทราย ใต้ดวงดาว ------

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่7 (น่าจะแปะติดแล้วล่ะค่ะ)^^"

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 50


    7.

    กลิ่นกุหลาบหอมจากเตาเผากำยานซึ่งฟาร่าจุดไว้กรุ่นกำจายอบอวลอยู่ทั่วห้อง เมื่อเจ้าชายหนุ่มก้าวผ่านประตูบานใหญ่เข้ามา

    ดวงตาคมกวาดไปทั่วห้องโถงกว้าง จนเจอกับใบหน้าหวาน สดใสและรอยยิ้มของอมริสาที่กำลังนั่งดูของกำนัลชิ้นใหม่ที่ได้มาสดๆร้อนๆอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักบุขนสัตว์หนานุ่ม ข้างๆห้อง

    ฟาร่าถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ แม้จะรับรู้ว่าเฟรซาไม่มีวันทำอันตรายเธอ ทว่าอมริสาก็ยังอดหวาดระแวง ในเวลาที่อยู่กับเขาตามลำพังไม่ได้อยู่ดี…

    หญิงสาวขยับตัวอย่างอึดอัดนิดๆหนักใจหน่อยๆซึ่งอีกฝ่ายก็พอจะมองออก แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจไปเสีย

    “นั่นอะไรน่ะ?”

    เขาชี้ปลายนิ้วมายังเตาเผากำยานใบใหม่ที่เธอยังถือค้างอยู่เมื่อครู่ แล้วออกปากถามเสียงนุ่ม

    “เตาเผากำยานจากเปอร์เซียค่ะ เจ้าหญิงเซรียาเพิ่งนำมามอบให้ฉันเมื่อครู่นี้เอง” หญิงสาวอธิบาย ปรายตามองมือหนาที่เอื้อมไปหยิบเตาใบสวยขึ้นมาพินิจพิจารณาอย่างสนใจ

    “รียามีของอย่างนี้ด้วย…เราไม่เคยสังเกตแฮะ” เสียงห้าวพึมพำ เหมือนบ่นกับตัวเองก่อนจะวางเตาเผากำยานใบนั้นลงบนโต๊ะไม้ตรงหน้าตามเดิม แล้วหันมาเอ่ยกับเธอต่อ “วันนี้เราพาเธอตะลอนทั้งวัน…เหนื่อยไหม?”

    “ไม่ค่ะ สนุกมากกว่า” หญิงสาวส่ายหน้า ยิ้มจางๆ“อีกอย่าง…วันๆก็อยู่แต่หลังม้า จะเหนื่อยยังไงก็คงไม่เท่าม้าของท่านหรอกค่ะ”

    “ม้าของเราน่ะมันชินแล้ว ไม่เหมือนเธอนี่” เขาหัวเราะขันๆก่อนจะเอื้อมมือใหญ่แข็งแรงของตัวเองมาดึงมือเธอเข้าไปต่อหน้า

    เฟรซาวางขวดแก้วใบเล็กๆมีลวดลายงดงามคล้ายกลีบดอกบัวลงบนฝ่ามือเธอพร้อมรอยยิ้มพราวระยับที่เกลื่อนกระจายเต็มดวงหน้า

    “เอ้า เราให้ “

    “อะไรคะ?” อมริสาดึงมือกลับ และก้มลงมองดูขวดแก้วใบเล็กๆนั้นอย่างสนใจ

    “มันเป็นน้ำมันหอมระเหย ที่มีสรรพคุณแก้ปวดเมื่อย และทำให้ชื่นใจ หายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้งทีเดียว…เราเอามาให้เธอ เผื่อว่าเธออาจจะเหนื่อยกับการที่ต้องตะลอนตามเราทั้งวัน”

    “ท่านไม่น่าต้องลำบาก ท่านเหนื่อยกว่าฉันตั้งเยอะ” เธอติงเสียงอ่อน มองเขาอย่างซาบซึ้ง หลายวันที่ได้ใกล้ชิดกัน ทำให้อมริสารับรู้ถึงความห่วงใยที่เฟรซามีให้เธอได้เป็นอย่างดี…

    เขาใสใจเธอเสมอ แม้ในรายละเอียดเล็กน้อย

    “เราตะลอนไปทั่วจนชินแล้วล่ะ แต่เธอคงยังไม่ชิน” เขาพูดเหมือนจะรู้จักเธอดีกว่าที่เธอคิดอย่างนั่นล่ะ…

    อมริสาจ้องหน้าคมสันอย่างแปลกใจ

    “ท่านรู้หรือคะ ว่าฉันไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน?”

    “ใครๆที่เมืองเธอก็รู้กันทั่วไม่ใช่หรือ ว่าเธอไม่ค่อยได้ไปไหน นอกจากอยู่แต่ในวัง” เขาตอบอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายนึกหดหู่นัก

    ตลอดเวลาที่อยู่ในวังจาฮาล แม้ท่านพ่อจะรักเมตตาสงสารเธอ แต่อมริสาไม่มีบทบาททางการเมืองอื่นใดเลย ด้วยการขัดขวางของพี่สาวต่างมารดาอย่างเมเดเซีย…

    ที่จริง เธออยากท่องเที่ยว อยากเรียนรู้ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน เพื่อจะได้คิด วางแผนช่วยเหลือพวกเขาได้บ้าง ทว่าหญิงสาวไม่มีโอกาสนั้น เพียงเพราะเมเดเซียหวาดระแวง กลัวว่าเธอจะเป็นที่รักของประชาชนเกินหน้า และตำแหน่งเจ้าหญิงรัชทายาทของเจ้าหล่อนอาจจะสั่นคลอน

    “จริงของท่าน…ฉันไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย กระทั่งเมืองเกิด ฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าที่นั่นมีอะไรบ้าง” เจ้าหญิงจากด่างแดนก้มหน้าซ่อนความสะเทือนใจเอาไว้

    “อย่าไปนึกถึงมันอีกเลยนะริซซา” เสียงอ่อนโยนอบอุ่น พร้อมกับฝ่ามือหนาขาวกว่าชาวทะเลทรายทั่วไปที่เคลื่อนเข้ามากุมกระชับมือบางของเธอไว้แน่น ดุจจะปลุกปลอบ ให้กำลังใจ “นับแต่นี้ไป เธอมีสิทธิ์จะเที่ยว จะไปที่ไหนในซาฮาลก็ได้ทั้งนั้น…เพียงมีข้อแม้แค่อย่างเดียว…”

    คำทิ้งท้ายของเขา ทำให้คิ้วเรียวของอมริสาเลิกขึ้นสูง ดวงตากลมโตดำขลับจ้องมองมาที่เขาเขม็ง

    “ข้อแม้อย่างเดียว…อะไรคะ?”

    “เธอต้องไปกับเราทุกที่น่ะสิ” เขาตอบกลับเสียงกลั้วหัวเราะ นัยน์ตาพราวระยับเต็มไปด้วยความสุข

    หญิงสาวหน้าแดงก่ำ ขัดเขินกับคำพูดของเขา จนทำอะไรไม่ถูก เธอพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมของเขา ยิ่งตกประหม่าพานทำอะไรไม่ถูกตราบใดที่ยังใกล้ชิดกับเขาอยู่อย่างนี้

    เฟรซาปล่อยมือจากเธอก็จริง หากที่อมริสาไม่สามารถปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากเขาได้เลย ก็คือสายใยบางๆที่เชื่อมโยงหัวใจเธอไว้กับรอยยิ้มอ่อนโยนของเจ้าชายเบื้องหน้า เพราะเมื่อเขาจากไปแล้ว ภาพนั้นก็ยังไม่หลุดไปจากความทรงจำของเธอแต่อย่างใด



    “เจ้าพี่เข้าไปหามัน เจ้าเห็นไหมทาร่า เจ้าเห็นเหมือนอย่างที่ข้าเห็นใช่ไหม?”

    พอเข้ามาในอาณาเขตของตำหนักตนเอง เจ้าหญิงเซรียาก็กรีดเสียงเล็กแหลมอาละวาดเอากับสาวใช้ส่วนตัว โดยไม่สนใจทั้งนั้น ว่าใครจะเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนา

    ในตำหนักของเธอ คนทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่ง ใครก็ตามที่คิดร้ายทำลายเธอ เซรียาไม่เคยปล่อยให้คนๆนั้น ต้องลอยนวล ทุกคนในตำหนักต่างก็รู้ความจริงข้อนี้ดี และไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเจ้าหญิงองค์นี้มาก่อนเลย

    ภายนอกตำหนัก เธออาจจะต้องทนกับความไม่ชอบใจต่างๆนาๆทว่าเมื่อกลับเข้าตำหนักแล้วนั้น เซรียาก็คือเจ้าของสถานที่แห่งนี้อย่างแท้จริง

    “มันจะมีหน้าชูคอยั่วยวนเจ้าชายอยู่อีกไม่นานแล้วเพคะท่านหญิง”

    ทาร่า ข้ารับใช้วัยกลางคน ยิ้มเยาะเสียงเหี้ยมเกรียม เอาเรื่อง นัยน์ตาเหมือนอสรพิษทอประกายกร้าว อย่างเชื่อมั่นนัก

    แผนของนางจะต้องสำเร็จ เพื่อเจ้าหญิงเซรียาที่นางจงรักภักดีเป็นที่ยิ่ง…

    “ข้าแทบจะทนรอให้ถึงเวลาไม่ไหวแล้วทาร่า ยิ่งนับวัน เจ้าพี่ยิ่งให้ความสำคัญกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ…ข้าเกรงว่า ถ้าเราขืนยังชักช้า อาจจะไม่เป็นอย่างที่ข้าคาดหวังง่ายๆ” เสียงของเจ้าหญิงฟังดูไม่มั่นใจ ประหวั่นวิตกชอบกล

    “มันต้องเป็นอย่างที่เราวางแผนไว้แน่นอนเจ้าค่ะ หม่อมฉันมั่นใจ” นางผู้ใกล้ชิดเสมือนเป็นมือขวาของเจ้าหญิงให้คำมั่นกับเจ้านายแสนสวยของตนเอง กระนั้นแล้ว เจ้าหญิงผู้เลอโฉมก็ยังอดจะหวั่นใจไม่ได้

    “ข้ากลัวทาร่า…” เซรียาพึมพำ สุ้มเสียงสั่นเทา “ข้าสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย…ข้าเกรงว่าแผนที่เราวางเอาไว้ อาจยังไม่ดีพอ…”

    “ท่านหญิงทรงกังวลมากเกินไปเพคะ” ทาร่ายิ้มเยื้อน เห็นขันกับความวิตกของเจ้านาย “แผนนี้ของหม่อมฉัน ไม่มีวันสาวมาถึงตัวท่านหญิงได้แน่ๆทรงวางพระทัยเถิดเพคะ”

    ทาร่าว่านล้อม ช่วยให้เจ้านายของตนเอง มีความมั่นใจมากขึ้น

    นางวางทุกอย่างไว้อย่างดีแล้ว…ขอเพียงท่านหญิงยอมทำตามที่นางบอกทุกอย่าง…นังมารหัวใจของท่านหญิงจะต้องกระเด็นหลุดไปจากชีวิตของเจ้าชายเฟรซาในไม่ช้านี้เป็นแน่

    ไม่ใช่เพียงแค่กระเด็นหายไปชั่วคราวเท่านั้น …แต่จะเป็นการกระเด็นหายไปอย่างถาวร ตลอดกาลเลยเสียด้วย…




    “เพล้ง!!!”

    เสียงแก้วแตกเกลื่อนกระจายอยู่เบื้องหน้า ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสีดำทะมึน ดูน่าเกรงขาม ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคมกริบสีเข้มกวาดไปทั่วเศษแก้วที่เกลื่อนกระจายอยู่บนพื้นถ้ำเบื้องหน้าของเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะเลื่อนสายตา มองสูงขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับความดุดันเกรี้ยวกราดของหญิงสาวผู้เปรียบเหมือนเจ้าชีวิตของทุกคนในนครจาดีล

    เมเดเซียยิ่งนับวันก็ยิ่งเกรี้ยวกราด อาละวาดโวยวาย ตราบใดที่ความใฝ่ฝันอันแสนเห่อเหิม ทะเยอทะยานของเธอยังไม่สัมฤทธิ์ผล ตราบนั้น เธอก็จะยังคงทวีความร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆจนแทบไม่มีใครกล้าเข้าหน้า…

    ร่างสูงสง่าแบบทหารหาญ ก้าวเข้ามาหยุดต่อหน้าราชินีผู้เลอโฉมของจาดีล ดวงหน้าเรียวได้รูปของเขาสงบนิ่ง ดวงตาเย็นเฉียบราวกับไร้แล้วซึ่งหัวใจนั้น แม้จะเพ่งตรงไปยังร่างของหญิงสาว หากเงาของเธอ ไม่เคยสะท้อนเข้าถึงหัวใจของเขาเลย

    เมเดเซียลุกพรวดจากเก้าอี้บุนวมกำมะหยี่สีแดงดังเลือดนก ก้าวฉับๆเข้ามาหยุดเบื้องหน้าชายเดียวที่เธอมีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาเป็นมั่นคง หากฝ่ายนั้นจะรู้ซึ้งถึงความโชคดีของตนก็หาไม่

    เขาไม่เคยเหลียวแลเธอเลย…สิ่งเดียวที่ฉุดรั้งให้เขาเป็นของเธอ ก็มีเพียงแค่ คำสั่งของเจ้าเหนือชีวิตเท่านั้น!!

    “ใจคอเจ้า จะไม่ถามข้าซักคำเลยหรือ ว่าข้าโกรธเรื่องใด?”

    หญิงสาวเจ้าของความเกรี้ยวกราดที่ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบข้างพากันกลัวจนหัวหด เอ่ยปากถามเขาพร้อมรอยยิ้มเยาะหยัน เหมือนจงใจจะยั่วโมโหของอีกฝ่าย

    เขาวางตัวเป็นน้ำแข็งขั้วโลกเสมอเมื่ออยู่กับเธอ ช่างตรงข้ามกับเวลาที่อยู่กับน้องสาวเธอเป็นคนละคนทีเดียว

    เมเดเซียไม่เข้าใจเลย…เธอไม่เข้าใจว่าเธอมีตรงไหนที่ด้อยกว่าน้องสาวต่างมารดา ทั้งๆที่เธอเหนือกว่าเด็กคนนั้นทุกทางเลยด้วยซ้ำ

    สิ่งเดียวที่หญิงสาวรู้สึกต่ำต้อยถ้อยค่ากว่าอมริสา นั่นก็คือ ความรักที่อมริสาช่วงชิงจากเธอไป นับตั้งแต่ที่เมเดเซียจำความได้…

    มันเริ่มมาจากพระบิดา ซึ่งมักจะหยอกเย้าเอาใจใส่แต่กับอมริสา…ตามมาด้วยราเอล ผู้ชายคนเดียวที่เธอผูกใจเสน่หา ทว่าเขาไม่เพียงไม่แยแสหัวใจเธอ เขายังหักหลังรักแท้ของเธอ ด้วยการไปเข้าพวกกับนังน้องสาวตัวแสบ เห็นนังนั่นดีกว่าเธอ

    มันน่าแค้นใจ…ใช่เธอแค้นจนแทบจะกระอักเลือดตายอยู่แล้ว เพียงแต่ยังตายตอนนี้ไม่ได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้ขุมทรัพย์มาไว้ในกำมือ ตราบนั้น เมเดเซียสาบานเอาไว้แล้ว ว่าเธอจะไม่ยอมตายเด็ดขาด!!!

    “ข้าเป็นเพียงทหารต่ำต้อย ไหนเลยจะล่วงรู้ความคิดอันชาญฉลาดของท่านหญิงล่ะครับ?” ราชองครักษ์หนุ่มย้อนตอบอย่างที่ทำให้เมเดเซียทั้งโกรธระคนน้อยอกน้อยใจเป็นล้นพ้น

    “ท่านเป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดกับข้าที่สุด จะให้ข้าเชื่อหรือว่าท่านไม่รู้จริงๆ…ข้าว่า…ท่านแกล้งไม่รู้มากกว่ามั้ง?”

    ร่างระหงกรีดกรายผ่านหน้าเขาไปอย่างเชื่องช้า กลิ่นเครื่องหอม ซึ่งทำจากดอกไม้ทะเลทรายกรุ่นกำจายราวกับได้กลิ่นเนื้อนวลของเธอมาอยู่ชิดติดกับปลายจมูกนี่เอง

    หากชายหนุ่มพยายามสลัด ความอ่อนหวานใดๆที่จ้องทิ่มแทงทำร้ายหัวใจทระนงของตนเองทิ้งไปเสีย คงเหลือไว้แต่ความดื้อดึง ไม่ยอมจำนน แม้ว่าตนเองจะตกอยู่ในสภาพต้องเป็นเบี้ยล่างของเธอทุกทางก็ตาม

    “ข้าไม่เข้าใจที่ท่านหญิงว่ามาเลย…ต้องขออภัย ที่ข้าปัญญาอ่อนด้อยเกินไป”

    “เจ้าแกล้งโง่มานานเกินไปแล้วราเอล!!”

    เจ้าเหนือชีวิตของทุกคนในจาดีลหันขวับมาจ้องหน้าเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราด มาดร้าย เอาเรื่อง กระไออำมหิตแผ่กระจายออกมาจากร่างระหงของเธอเป็นรังสีที่มองไม่เห็น หากสามารถสัมผัสถึงได้ โดยอาศัยความรู้สึก

    ชายหนุ่มราชองครักษ์สบตาคมวาวของราชินีผู้ทรงโฉม หัวใจของเขากระตุกวูบ หวาดระแวง เมื่อเห็นประกายกร้าวกระด้างกระหายเลือดฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่คมกริบของเธอนั้น

    “จะบอกความจริงกับข้า หรือต้องให้ข้าแสดงให้เจ้าเห็นกันราเอล เจ้าอยากท้าทายอำนาจของข้างั้นใช่ไหม?”

    เสียงเหี้ยม ไม่มีความปรานีของหญิงสาวเหมือนแส้ที่ฟาดเข้ามาให้เขาต้องบาดเจ็บ ราเอลตกตะลึง หัวใจไหวระทึก ใครๆก็รู้กันทั้งนั้น ว่าเจ้าหญิงเมเดเซียผู้งดงามราวกับภาพฝัน แท้จริงนั้น แสนจะโหดร้ายเพียงใด

    เธอต้องได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ ใครหรืออะไรก็ตามที่ขวางทางของเธอจะต้องมีจุดจบที่น่าสังเวช!!

    ราเอลเองยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำ ว่ากับเขาเอง…คนที่เธอแสนสนิทเสน่หาด้วยมากมายนัก จะเป็นข้อยกเว้นจากจิตใจอันป่าเถื่อนหยาบกระด้างของเมเดเซียด้วยหรือไม่?

    “ทำไมเอาแต่เงียบล่ะ บอกข้ามาสิราเอล บอกข้ามาตามตรง บอกสิว่าไอ้ถ้ำบ้าอะไรนี่ มันไม่ใช่ถ้ำเทพเจ้าที่ข้ากำลังตามหา และแผนที่ขุมทรัพย์ที่เจ้าเอามาให้ข้านั้น แท้จริงแล้ว มันคือของปลอม ไม่ใช่ของจริง!!”

    เมเดเซียโกรธจนหน้าแดงก่ำเป็นสีคล้ำหมอง มือเรียวยกขึ้นกำคอเสื้อของเขาแล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างเกรี้ยวกราด เต็มไปด้วยโทสะจริตอย่างยากจะควบคุม

    มันช่วยไม่ได้เลยที่เธอจะรู้สึกเหมือนถูกคนรักทรยศ ในเมื่อสำหรับเธอแล้ว ราเอลเป็นของของเธอ และเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดถึงหญิงใดทั้งสิ้น!!

    ชีวิตของเขาทั้งหมดจะต้องอุทิศให้กับเธอ แต่นี่…

    “ข้ารู้นะ ว่าเจ้าหลอกข้า ราเอล เจ้าหลอกข้าเพื่อต้องการช่วยนังริซซาใช่ไหม?” เธอกรีดเสียงบาดลึก ทำร้ายเขาพร้อมๆกับเขย่าร่างที่สูงและหนากว่าอย่างรุนแรง เท่าที่กำลังของตัวเองจะมีได้ “ในใจเจ้า ไม่ว่ายังไงก็มีแต่นังเด็กนั่น เคยรู้บ้างไหม ว่าเจ้าเป็นของข้า ไม่ใช่มัน จะมัวโง่งมอะไรอยู่ได้ราเอล ช่วยข้าสิ ช่วยข้าตามหาขุมทรัพย์ของท่านปู่ทวด เมื่อเราเจอมันแล้ว จาดีลของเราจะกลายเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่มั่งคั่ง และมั่นคงที่สุดในดินแดนทะเลทรายแถบนี้ไงล่ะราเอล”

    เธอพยายามหว่านล้อม อยากให้เขาเห็นดีเห็นงาม ลุ่มหลงความยิ่งใหญ่เหมือนที่ตัวเองกำลังลุ่มหลงจนไม่สามารถถอนใจไปได้

    เนื่องจากเป็นลูกสาวคนโตของเจ้าผู้ครองแคว้น เมเดเซียถูกเลี้ยงดูมาให้เย่อหยิ่งในศักดิ์ศรี ทระนงในชาติกำเนิด และมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะอยู่เหนือทุกๆชีวิตบนผืนแผ่นดินทรายแห่งนี้ให้ได้

    แม้จะเป็นหญิง หากปณิธาน ความตั้งใจของเธอแรงกล้ายิ่งกว่าชายอกสามศอก หญิงสาวร่ำเรียนศิลปะความรู้ทุกแขนงเท่าที่จะสามารถเรียนได้ ทั้งการปกครองและวิชาการต่อสู้ ก็ไม่ละเว้น เธอเพอร์เฟ็คต์ทุกอย่าง…แต่กลับไม่เคยชนะใจของผู้ชายใจแข็งเหมือนหินผาตรงหน้านี้ได้เลย…

    หากเธอก็ยังคงรัก…ยังคงต้องการเขาไม่เสื่อมคลาย

    “ข้าจะตั้งให้เจ้าเป็นราชันย์…ส่วนข้าก็คือราชินีของเจ้า…” เธอไล้ปลายนิ้วสัมผัสผ่านจมูกโด่งเป็นสันของเขา ระเรื่อยมาจนจรดริมฝีปากหยักลึก และหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเชื้อชวน “เราสองคน จะครองรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย…ไม่มีใครจะมาพรากเราไปจากกันได้…เจ้าเข้าใจใช่ไหม ราเอล?”

    ชายหนุ่มยังไม่ทันได้ตอบ มือเรียวที่ไล้ริมฝีปากของเขาก็ผละไปโอบรอบคอ แล้วดึงให้ใบหน้าของเขาก้มต่ำลงไป ชายหนุ่มรู้ดีว่าเมเดเซียจะทำอะไร หากเขาไม่สามารถต่อต้านความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอได้อย่างที่ใจต้องการนัก

    ใครๆก็รู้ว่าเธอไม่เคยพลาดในสิ่งที่ต้องการ หากเขาขัดขืน ผลเสียของมันจะไม่เกิดกับเขา แต่คนอื่นที่อยู่รอบๆตัวเขานั่นล่ะ ที่จะต้องไม่พ้นความย่อยยับ

    ราชองครักษ์หนุ่มถอนใจยาว เมื่อริมฝีปากอิ่มหนาอ่อนนุ่มของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ทาบลงมาเคล้าคลึงกับเรียวปากของเขาแทนที่นิ้วเรียวของเธอ ความร้อนรุ่มบาดลึกแผ่ซ่านเข้าครอบครองเขาราวกับโดนพิษเหล็กในของนางพญาผึ้ง

    เมเดเซียเปรียบเหมือนดอกกุหลาบงามที่แฝงหนามแหลมคม…เธอจะเชื้อเชิญเขา แต่ขณะเดียวกัน หนามนั้นก็ทิ่มแทงให้เขาต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่เข้าใกล้…

    ช่างแตกต่างกับหญิงสาวอีกคน เธอผู้นั้น บริสุทธิ์อ่อนโยน งดงามเหมือนดอกลิลลี่สีขาวที่น่าทะนุถนอม

    “บอกข้าสิราเอล…สัญญากับข้า ว่าเจ้าจะจงรักษ์ภักดีต่อข้าเพียงผู้เดียว…” เธอผละออกจากเขา ริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาคมหวานวาดหวังและรอคอยใจจดจ่อ

    “กระหม่อมสาบานไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เข้ารับตำแหน่งราชองครักษ์ ว่าจะภักดีต่อราชบัลลังก์จาดีลจนกว่าชีวิตจะหาไม่” เสียงห้าวราบเรียบ ราวกับไม่เคยหวั่นไหวต่อสิ่งใดๆมันน่าแค้นใจก็ตรงนี้เอง

    ราเอลไม่เคยแสดงความลุ่มหลงในตัวเธออย่างที่เธอแสดงต่อเขาเลยแม้แต่น้อยนิด เมเดเซียไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่อใคร เท่ากับที่พ่ายต่อหัวใจจงรักภักดีที่เขามีต่อน้องสาวนอกคอกของเธอเลย

    เธอกระหายชัยชนะ…เธอต้องการครอบครองสิ่งของที่เป็นของเธอทุกอณู แต่ราเอลกลับเป็นข้อยกเว้น…

    เธอได้ครอบครองเขาแต่ร่างกาย หากหัวใจนั้น ราเอลไม่เคยทรยศต่อน้องสาวของเธอเลย

    “นั่นมันในสมัยของท่านพ่อ…ไม่ใช่ในสมัยของข้า” เธอกระซิบต่อว่าเขาอย่างขุ่นเคือง ทั้งรักทั้งแค้น “สาบานอีกสิราเอล สาบานว่าเจ้าจะจงรักภักดีต่อข้า ทั้งกายและใจ?”

    “คำสาบานเช่นนั้นย่อมทำได้เพียงครั้งเดียว” คำตอบของเขายังคงเย็นชา “และเมื่อกระหม่อมสาบานไปครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่สามารถสาบานซ้ำได้อีก”

    “เจ้า!!” มือบางผละออกจากร่างแกร่งของเขาเกือบจะทันที เมเดเซียเบิกตากว้าง จ้องหน้าราเอลอย่างเคียดแค้นชิงชัง “เจ้าจงใจไม่ภักดีต่อข้า?”

    เธอกรีดเสียงกล่าวหา หากอีกฝ่ายยังคงยื่นเงียบเฉย ไม่ทุกข์ร้อน

    นิ้วเรียวของราชินีแห่งจาดีลสั่นระริก…ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากันแน่น ตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของผู้เป็นเจ้าของ

    “อย่าคิดว่าข้ารักเจ้า แล้วเจ้าจะเหนือข้าไปได้นะราเอล ยังไงข้าก็คือเจ้าเหนือชีวิตของทุกคนที่นี่ เจ้าทำให้ข้าโกรธ คงรู้ใช่ไหม ว่าจะมีโทษสถานใด?”

    เสียงเกรี้ยวกราดเข้มจัดของเธอ ทำให้คนที่ยืนนิ่งเฉยอยู่หน้าซีดไปนิดหนึ่ง หากแวบเดียวเท่านั้น ราเอลก็กลับมานิ่งเฉย เต็มไปด้วยความอหังการดุจเดิม

    “กระหม่อมไม่ขอสิ่งใดมากไปกว่า หากท่านหญิงกริ้ว ก็ขอทรงลงอาญากระหม่อมตามความผิด อย่าได้พลอยชักพาให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนเพราะกระหม่อมด้วยเลย”

    “เจ้าก็ดีแต่ห่วงคนอื่น!!” หญิงสาวเจ้าชีวิตของทุกคนถลันกลับเข้ามากระชากคอเสื้อของเขา ออกแรงดึงจนชายหนุ่มต้องก้มหน้าลงมาสบตาวาวโรจน์ของเธอในระยะเพียงลมหายใจกั้น

    ราเอลเห็นความโกรธขึ้ง แค้นเคือง และความรักอันเจ็บปวด อยู่ในแววตาคมสวยคู่นั้น…

    “เคยห่วงข้าบ้างไหมราเอล…ข้าเป็นเมียเจ้านะ?”

    ชายหนุ่มกะพริบตาปริบๆกับเสียงถามที่อ่อนโยนเป็นครั้งแรกของเมเดเซีย…

    ตลอดมา เธอเอาแต่วางอำนาจบังคับฝืนใจเขา ไม่เคยเลยซักครั้งที่เธอจะยอมอ่อนข้อให้

    หรือเธอจะมีแผนร้ายอะไร?

    “ท่านหญิงโปรดระวังด้วย ถ้าใครมาได้ยินเข้า…”

    “ข้าไม่สนใจใครทั้งนั้น!!!” เมเดเซียกรีดเสียงก้อง กังวานไปทั่วถ้ำราวกับคนเสียสติ “ข้าสนใจอย่างเดียว ตอบมาสิ ว่าสำหรับเจ้าแล้วข้าเป็นอะไร ข้ามีความสำคัญกับเจ้าบ้างไหมราเอล?”

    “ท่านเป็นเจ้าเหนือชีวิตของข้า..และทุกคนในจาดีล”

    คำตอบของเขาไม่ช่วยดับไฟในใจของเมเดเซียลงได้เลยแม้แต่น้อยนิด

    หญิงสาวกระชากคอของเขา โน้มใบหน้าคมสันเฉยชาลงมา กดริมฝีปากตัวเองเข้าไปแนบชิดกับริมฝีปากของเขาอย่างรวดเร็ว สัมผัสของเธอร้อนรุ่มเหมือนเปลวเพลิง หากราเอลก็พยายามจะทำตัวเป็นน้ำแข็งด้วยการไม่ตอบสนองอย่างที่หญิงสาวต้องการง่ายๆ

    มือเรียวลากไล่ไปทั่วร่างหนาของเขา พยายามปลุกเร้าเลือดเนื้อของเขาให้เดือดพล่านเฉกเช่นเดียวกับที่เธอกำลังเป็น ทว่าราเอลใจแข็งนัก เขาไม่แม้แต่จะจูบตอบเธอด้วยซ้ำ

    “ถ้าเจ้าไม่ยอมตามใจข้า…ข้าจะฆ่าทหารที่ทำงานอยู่ที่นี่วันละคนไปเรื่อยๆ…จนกว่าเจ้าจะยอมเชื่อฟังข้า อย่างนั้นดีไหมราเอล?”

    เมเดเซียจำเป็นต้องบังคับเขาอีกครั้ง และก็เป็นดังเช่นทุกครา อย่างที่เธอคาดคิด

    ราเอลไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ หากอ้อมแขนของเขาต่างหาก ที่รัดรึงร่างเธอไว้แน่นขึ้น…

    แค่นี้เมเดเซียก็รู้แล้ว ว่าเธอต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ…

    +++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×