ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงอธิฏฐาน

    ลำดับตอนที่ #6 : มาต่อความลึกลับค่ะ แต่คุณกฤตก็ยังตื๊อนะ^^

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 54



    6.

    เช้าวันนี้หลังจากส่งบิดาขึ้นรถไปทำงานในตอนเช้าแล้ว โยสิตาก็ตั้งใจว่าจะเก็บกวาดทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งขนเสื้อผ้าของบิดาและตัวเองไปซักทำความสะอาด ช่วยคุณป้ามาลัยซึ่งก็อายุไม่ใช่น้อยๆแล้วอีกแรงหนึ่ง

    หญิงสาวแต่งชุดอยู่กับบ้านง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นเนื้อบาง กับกางเกงวอร์มยาวเลยเข่าลงไปเล็กน้อย ใบหน้านวลลออปราศจากเครื่องสำอาง และผมยาวสลวยก็รัดเอาไว้เป็นหางม้าเต้นไหวๆ อยู่ที่ด้านหลัง

    “หญิงสาวโบกมือให้บิดาเมื่อท่านขับรถออกไปแล้วจึงก้าวเข้าบ้าน กำลังจะปิดประตูรั้วอยู่แล้ว เสียงหนึ่งดังขึ้น

    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณโย”

    โยสิตาชะงักกึก หันขวับไปมองเจ้าของเสียงคุ้นหูตาโตอย่างคาดไม่ถึง

    “คุณ...คุณกฤตธร”

    “ครับ ผมเอง ไม่ต้องเรียกเต็มยศขนาดนั้นก็ได้มั้งครับคุณโย” กฤตธรยิ้มละไม ขบขันตาโตตื่นตะลึงของอีกฝ่าย

    “มีธุระอะไรคะ” โยสิตาไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับอีกฝ่าย สัญญาณเตือนภัยเริ่มกรีดก้องดังลั่นในหัวสมอง ก็อีกฝ่ายทำท่าจะไม่เลิกตอแยเธอง่ายๆ หากเผลอรับสะพานที่เขาทอดให้สักนิด เป็นได้สางไม่หลุดแน่

    “อย่าถามเหมือนแล้งน้ำใจอย่างนั้นสิ วันนี้ผมมีของมาฝากคุณด้วยนะ”

    พอเขาพูดอย่างนั้น โยสิตาก็อดมองหา “ของฝาก” ที่อีกฝ่ายว่ามาไม่ได้

    ไม่เห็นเขาจะถืออะไรมาสักอย่าง คนบ้า คงคิดว่าเธออยากได้ของฝากจากเขาตายล่ะ!

    “กองของฝากคุณเอาไว้ตรงนั้นเถอะ ฉันไม่อยากได้”

    “โห...ตัดไมตรีกันไม่มีเหลือเลยนะคุณโย”

    “ฉันยังต้องทำงานบ้านอีกหลายอย่าง ไม่ว่างจะคุยเรื่องไร้สาระกับใคร ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวตัดบท แล้วเลี่ยงหนี หากอีกฝ่ายกลับตามเข้ามา รั้งประตูเอาไว้ ไม่ยอมให้เธอหนีไปได้ง่ายๆ

    “อย่าหนีกันอย่างนี้สิคุณโย คุณทำเหมือนกลัวผมเลยนะ” กฤตธรยั่วได้ตรงจุด  คนอย่างโยสิตา กลัวใครเสียที่ไหน

    “ใครว่าฉันกลัวคุณ ไม่มีสักหน่อย ฉันแค่ไม่มีเวลา...”

    “อย่ามาอ้างหน่อยเลย ผมรู้ คุณกลัวผมแน่ๆ” กฤตธรเน้นย้ำใส่หน้าคนที่กำลังพยายามแก้ตัวอยู่เหย็งๆ

    โยสิตาเม้มริมฝีปากแน่น ขึงตาดุใส่อีกฝ่ายอย่างขัดใจ

    “คุณมีอะไรน่ากลัวกัน...กรุณาปล่อยมือด้วยค่ะ ฉันจะปิดประตู”

    “ไม่ได้ จนกว่าคุณจะรับของฝากจากผมก่อน” กฤตธรยื่นข้อเสนอ ไม่สะทกสะท้านกับเสียงไล่เหย็งๆของอีกฝ่าย

    ให้รู้ไปสิ ว่าเขาจะแพ้เธอ ความมุ่งมั่นของเขาก็ไม่แพ้ใครอยู่แล้ว

    “ก็ฉันบอกแล้วไง คุณมีของฝากอะไรก็กองเอาไว้ตรงนั้นล่ะ ฉันไม่อยากได้”

    “ใจร้ายจังคุณ...” คนตัวโตอมยิ้ม มองอีกฝ่ายตาพริบพราวระยับ ยิ่งจับจ้องมองก็ยิ่งเอ็นดู คนตัวเล็ก แก้มเนียนใสแดงระเรื่อราวกับสีกุหลาบขาวอมชมพูยามแรกแย้ม

    โยสิตาเป็นคนที่ยิ่งมองก็ยิ่งสวย เครื่องหน้าของเธอเหมาะเจาะลงตัว ดูอ่อนหวานจับตา แม้กระทั่งเวลาเจ้าตัวทำหน้างอหงิกอยู่ตอนนี้ กฤตธรก็ยังมองว่าเธอน่าเอ็นดูจับใจ

    “เรื่องอะไรมาว่าฉันใจร้าย ฉันไปทำอะไรให้คุณเมื่อไหร่กัน อย่าหาความกันสิคะ คุณกฤตธร” โยสิตาแก้ตัวโดยพยายามไม่มองหน้าสบตาคมเข้มพริบพรายของอีกฝ่าย

    คนเจ้าชู้ ทำตาหวานส่งมาให้อยู่ได้ ใครอยากยุ่งกับเขากัน หวานใส่ผิดคนแล้วย่ะ!

    “ผมไม่ได้หาความนะ อุตส่าห์เอาของมาฝากคุณ คุณก็ไม่สนใจกระทั่งจะดูของฝากผมเลย มันน่าน้อยใจไหมล่ะ” คนตัวโตตัดพ้อ

    “ไม่เห็นจะน่าน้อยใจอะไรเลย ฉันไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไรของคุณสักหน่อย”

    “แน่ะ ถ้าไม่สำคัญแล้ว ผมจะต้องมาจีบอยู่อย่างนี้เหรอ”

    “คุณ...” โยสิตาถึงกับพูดไม่ออก “ไม่พูดด้วยแล้ว ฉันจะกลับเข้าบ้าน”

    “งั้นให้ผมเข้าไปด้วย ผมจะช่วยคุณทำงานบ้านเอง” กฤตธรถือวิสาสะผลักประตูตามเข้ามา โดยที่คนตัวเล็กซึ่งตั้งท่าจะกีดกันเต็มที่ กลับต้องกลายเป็นฝ่ายถอยร่น เมื่อชายหนุ่มจะเอาจริงขึ้นมา

    เธอไม่อยากเข้าใกล้เขา ที่ต้องทนยืนต่อปากต่อคำ สานสายตากับกฤตธรอยู่อย่างนี้ก็สร้างความลำบากใจให้มากเกินพออยู่แล้ว หากขืนเข้าใกล้เขาละก็...

    ตากลมโตเหลือบมองเจ้าของร่างสูงตระหง่าน สง่างามดูดีไปทุกกระเบียดนิ้ว พยายามแล้วที่จะห้ามความคิดเตลิดเปิดเปิงไปไกลของตัวเอง แต่ทุกครั้งที่เผลอมองอีกฝ่าย โยสิตาก็อดรู้สึกคุ้นเคยไม่ได้

    เหมือนว่าเคยรู้จักกับเขามาก่อน เมื่อแสนนานมาแล้ว

    บ้าจริง มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน เพ้อเจ้อน่ะสิไม่ว่ายายโยสิตา!

    “แน่ะ แอบมองผมตาหวานเชียวนะ” กฤตธรจับได้ว่าคนตัวเล็กตาซุกซน เลยเอียงคอส่งยิ้มบานแฉ่งมาให้ โยสิตาหน้าแดงก่ำ ถึงกับอ้ำอึ้ง

    “คนหลงตัวเอง...ใครแอบมองคุณกัน ไม่เห็นจะอยากมอง...หล่อตายล่ะ” หญิงสาวเดินหนีเข้าบ้าน ไม่รู้จะจัดการอย่างไรกับคนเอาแต่ใจ ไม่เคยพบเจอใครรุกหนักอย่างนี้ จะให้ไล่เขาแข็งขันก็ยังติดใจที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ให้บัตรเชิญเข้าร่วมงานที่โรงแรมโยธกาธานี เลยกลายเป็นต้องละล้าละลังตัดสินใจไม่ถูกอยู่อย่างนี้

    “โอเค ผมมันไม่หล่อ ถึงไม่หล่อแต่รับรองว่าไม่เหลาะแหละนะคุณ มีอะไรให้ช่วยก็ว่ามาได้เลย เสร็จธุระของคุณแล้ว ผมจะได้ให้ของฝากของผมเสียที”

    กฤตธรวางท่าแข็งขันเอาจริงเอาจัง ในขณะที่หญิงสาวได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นงุนงง ไม่เข้าใจว่าของฝากของเขาคืออะไรกันแน่

    คงแค่อ้างไปอย่างนั้นเองมากกว่ากระมัง

    “ฉันไม่กล้าใช้งานคุณหรอกค่ะ แล้วอีกอย่าง...คุณก็มีงานการต้องไปทำไม่ใช่หรือคะ” โยสิตาใช้น้ำเย็นเข้าลูบ หวังว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ แล้วรีบกลับไป แต่ที่ไหนได้

    “อย่าคิดมากสิคุณ เห็นอย่างนี้ ผมทำได้ทุกอย่างนั้นนะ ก่อนที่จะได้เข้ามาเป็นผู้บริหาร คุณพ่อท่านให้ลูกๆทุกคนลองงานในโรงแรมเองมาหมดแล้ว ขนาดล้างห้องน้ำยังเคยเลย”

    “คุณกสินทร์น่ะเหรอ” โยสิตาเบิกตาโต ไม่อยากเชื่อ แง่มุมของคุณกสินทร์ที่เธอรู้มา มีแต่ในมุมดำมืด นักสะสมของเก่ารายใหญ่ในตลาดมืด ตัวบ่อนทำลายชาติชัดๆ

    “ใช่ คุณพ่อท่านเริ่มต้นมาจากศูนย์ ท่านรู้ว่า จุดอ่อนจุดแข็งของงานที่ทำมันอยู่ตรงไหน ท่านเลยให้ผมกับพี่ชายทำอย่างที่ท่านเคยทำมาก่อน พวกเราก็เลยเข้าอกเข้าใจลูกน้องทุกคน...อย่ามองอย่างนั้นสิคุณ เห็นงี้ ผมก็เป็นคนดีใช้ได้เหมือนกันนะ” ชายหนุ่มท้วงยิ้มๆ เมื่อหันไปเห็นหน้าตาไม่อยากเชื่อของหญิงสาว

    โยสิตาอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งค้อนให้อีกฝ่ายอย่างลืมตัว

    “ดีไม่ดีก็เรื่องของคุณสิ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันสักหน่อย”

    “ไม่เกี่ยวได้ยังไงครับ ก็ผมกำลังเสนอตัวให้คุณพิจารณา”

    “หา!” คนตัวเล็กอุทาน ตากลมโตเบิกโพลง เหมือนถูกหมัดน็อก

    ไม่เชื่อหรอก ไม่เชื่อแน่ๆ เขาเหรอจะมาจริงจังอะไรกับเธอ ยังไม่รู้จักกันดีเลยด้วยซ้ำ!

    “ไม่หงหาล่ะคุณ ผมจริงจัง ไม่เคยจริงจังกับใครอย่างนี้มาก่อนเลยด้วย”

    โยสิตาขมวดคิ้วมุ่น จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะโกรธก็ไม่เชิง เธอกำลังงุนงง ตั้งตัวไม่ติดมากกว่า แต่ไม่อยากซักไซ้เขา กลัวจะยิ่งเข้าตัว จึงจำต้องหาทางเลี่ยง เปลี่ยนเรื่องเป็นการด่วน

    “ฉันต้องซักผ้า กวาดบ้านถูบ้าน มันเป็นงานของผู้หญิงทั้งนั้น คุณทำไม่ได้หรอก”

    “ผมทำได้” กฤตธรพยักหน้ายืนยันมุ่งมั่น ไม่ถอยหลัง ทำเอาคนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่น

    “คุณเนี่ยนะ ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้านได้”

    “งั้นสิ...ไม่เชื่อใช่ไหม ไม่เชื่องั้นก็พิสูจน์ดูได้เลย แต่มีข้อแม้อย่างนะคุณโย”

    “ข้อแม้อะไรคะ”

    “ถ้าผมช่วยงานคุณแล้ว คุณต้องยอมรับของฝากของผม”

    “ของฝากอะไรกัน ไม่เอา ฉันต้องดูก่อนว่าของฝากของคุณมันคืออะไร ถ้ามันไม่น่าเกลียดจนเกินไป ก็ค่อยว่ากัน”

    หญิงสาวหรี่ตาทำหน้ายับยู่ ไม่ไว้วางใจ ตราบใดยังไม่รู้ว่าของฝากเขาคืออะไร แล้วจะวางใจคนเจ้าเล่ห์ได้อย่างไรกัน

    เกิดเขาคิดแผลงๆอะไรขึ้นมา เธอก็เสียเปรียบแย่สิ

     “ผมไม่เอาของฝากน่าเกลียดมาให้คุณหรอกน่า”

    “ว่าได้เหรอ คุณอาจจะแกล้งฉันก็ได้ ฉันต้องป้องกันเอาไว้ก่อน”

    โยสิตาปรายตามองอีกฝ่าย เห็นเขาอึ้งไป เธอหวังว่ากฤตธรจะเลิกล้มความตั้งใจแล้วรีบขอตัวกลับไปเสียที ที่ไหนได้

    “โอเค ผมขอเอาชีวิตเป็นเดิมพันเลยก็ได้ ว่าของฝากที่ผมจะเอามาให้คุณ มันเป็นสิ่งดีจริงๆ...ถ้าผมทำไม่ดีอะไรกับคุณแม่แต่นิดเดียว ผมยอมให้คุณทำอะไรก็ได้ จะไม่บ่นเลยสักคำ แค่นี้ พอจะเชื่อกันได้บ้างหรือยังครับ”

    กฤตธรชูนิ้วสัญญาอย่างกับลูกเสือสามัญ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาละลายความหวาดระแวงของโยสิตาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

    หญิงสาวเมินหน้าหนีไปทางอื่น ใจไหวสะเทิ้นเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกว่ามือไม้มันเก้งก้างเกะกะจนจัดวางแทบไม่ถูก

    คนบ้า เขาจะต้องมาวุ่นวายกับเธอทำไมกัน ไล่จนไม่รู้จะไล่อย่างไรก็ยังหน้าด้านหน้าทนอยู่ได้

    ไว้ก่อนเถอะ หมดเรื่องจารึกจันทปุระเมื่อไหร่ ต่อให้เธอไม่ไล่ เขาก็ต้องรีบเผ่นแนบไปไม่เหลียวหลังแน่

    อดทนไว้ อีกไม่กี่วันเท่านั้นโยสิตา!


    ป้ามาลัย แม่บ้านสาวใหญ่รูปร่างเจ้าเนื้อ ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง ที่จู่ๆเช้านี้ คุณหนูเจ้าของบ้านก็มีแขกเป็นชายหนุ่มร่างสูงสง่า หน้าตาคมสันหล่อเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แกจำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่เคยมานั่งรับประทานอาหารเย็นเมื่อหลายวันก่อน ครั้งนั้นก็ว่าไม่ธรรมดาแล้ว ครั้งนี้ก็ยังตามมาและเสนอตัวจะช่วยเธอและคุณหนู ทำความสะอาดบ้านอีก ความไม่ธรรมดาของชายหนุ่มที่ชื่อ “กฤตธร” คนนี้จึงยิ่งทวีขึ้นไปอีกเป็นหลายเท่าตัว

    “อุ้ย ไม่ต้องหรอกค่ะ ทั้งคุณโยทั้งคุณผู้ชายนั่นละค่ะ เดี๋ยวป้าจัดการเอง”

    ป้ามาลัยโบกมือว่อน ไม่เห็นด้วยหากเจ้านายจะแย่งงานของเธอไปทำเสียเอง

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า คุณกฤตธรเขาอยากช่วยจริงๆ เราก็...อย่าขัดศรัทธาเขาเลยนะคะ”

    ไม่พูดเปล่า แต่หญิงสาวยังแย่งเอาไม้กวาดจากมือของป้ามาลัยมาจับยัดใส่มือชายหนุ่มเสร็จสรรพ โดยที่คนตัวโตได้แต่ทำตาปริบๆ

    “ไม่ได้หรอกค่ะคุณหนู คุณกฤตธรเป็นแขก จะให้แขกมาช่วยเราทำความสะอาดบ้านได้ยังไงละคะ มันไม่งาม...” ป้ามาลัยพยายามจะขัดขวาง หากนายสาวโบกมือไปมา ไม่รับฟัง

    “คุณกฤตธรเขาเต็มใจจะช่วยน่ะค่ะ เราก็อย่าไปขัดความตั้งใจของเขาเลยค่ะป้ามาลัย”

    “แต่ว่า คุณหนูคะ...” ป้ามาลัยทำท่าจะแย้ง แต่โยสิตากลับคว้าแขน จูงคนตัวโตเดินเลี่ยงหนีป้ามาลัยดื้อๆ

    “นี่ค่ะ กวาดพื้นให้สะอาดก่อนแล้วค่อยถูนะคะ ลงมือได้เลยค่ะ”

    “ให้ผมกวาดถู แล้วคุณทำอะไรล่ะ” กฤตธรย้อนถามคนที่เอาแต่สั่ง

    “ฉันจะไปช่วยป้ามาลัยซักผ้าหลังบ้านค่ะ”

    “งั้นผมก็จะช่วยคุณซักผ้าด้วย” กฤตธรยืนกรานแข็งขัน ทำเอาอีกฝ่ายต้องนิ่วหน้า เริ่มไม่สนุกแล้ว

    เธอต้องการแกล้งให้เขาทนไม่ได้แล้วรีบไปให้พ้นเร็วๆ ไม่ใช่ให้มาทำงานด้วยกันจี๋จ๋าหวานแหววเสียหน่อย

    “ไม่ได้หรอกค่ะ เราต่างคนต่างทำนั่นล่ะดีแล้ว งานจะได้เสร็จเร็วๆ”

    “ผมทำงานเร็ว เรื่องซักผ้าใช้แรงงานเนี่ย ผมถนัด” ชายหนุ่มอวดอ้างตัวเอง จัดแจงวางไม้กวาดลงพิงกับขอบผนังห้อง หันมาถลกแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองอย่างทะมัดทะแมง

    “เอ่อ...คือ ฉันว่า...” พอเห็นว่าเขาจะเอาจริง โยสิตาก็อึกอัก ไม่แน่ใจ “...เราวางเรื่องงานบ้านของฉันเอาไว้ก่อนดีกว่า คุณมีธุระอะไรว่ามาก่อนก็ได้...”

    “ไม่อยากให้ผมช่วยแล้วเหรอ ผมช่วยคุณได้จริงๆนะ” กฤตธรยิ้มละไม ยังยืนยันมั่นเหมาะ หากอีกฝ่ายส่ายหน้าหวือ

    “ไม่ต้องแล้ว คุณจะเอาอะไรมาฝากฉันก็รีบเอามาสิ ฉันรับแล้วคุณจะได้กลับไปเสียที”

    “เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าครับคุณโย ของฝากของผมไม่ใช่ว่าคุณจะรับไปแล้วจบกันเสียหน่อย”

    “อะไรของคุณกันนักกันหนานะคะ คุณกฤตธร” โยสิตาอุทานหน้ามุ่ย หมั่นไส้อีกฝ่าย ช่างลีลาลวดลายเยอะเหลือเกิน

    จากหางตาโยสิตาเห็นป้ามาลัยแอบดูเธอกับกฤตธรอยู่แวบๆ หญิงสาวถอนหายใจเฮือก รู้ว่าป้ามาลัยต้องเข้าใจผิดไปกันใหญ่แน่ๆ

    “ผมจะมาชวนคุณไปทำบุญ ถวายสังฆทานที่วัดน่ะ ไปด้วยกันนะครับ ผมเอาบุญมาฝาก คุณคงไม่ใจร้าย ปฏิเสธใช่ไหม”

    กฤตธรเข้าเรื่องของเขา ทำเอาคนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้าง เบิกตาโพลงอย่างคาดไม่ถึง

    กฤตธรช่างเหนือความคาดหมายของเธอโดยสิ้นเชิง อย่างเขาเนี่ยนะ มาชวนเธอ “ไปทำบุญ”

    ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ!!


    พอได้ทำบุญถวายสังฆทานและกราบขอพรพระประธานในพระอุโบสถเรียบร้อยแล้ว โยสิตาก็เดินตามหลังร่างสูงของอีกฝ่ายกลับมาที่รถสปอร์ตของเขา ยังคงงุนงงอยู่ว่าเธอตอบตกลง รับปากตามเขามาจนถึงตรงนี้ได้อย่างไร

    เมื่อกี้เธอทำบุญกับเขามาหยกๆ ขนาดพวกเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันมา ยังไม่เคยได้ทำบุญด้วยอย่างนี้เลย แต่กับเขา...ลูกชายของนายกสินทร์นักสะสมของเก่าตัวฉกาจ ความสนิทสนมที่มีให้กันกลับเพิ่มพูนทบทวีขึ้นในวันเวลาอันรวดเร็วจนเธอเองยังไม่อยากเชื่อ เหมือนว่าตัวเองจะอยู่ในความฝันมากกว่าความเป็นจริง

    “หิวหรือยังครับ ไปหาอะไรทานกันก่อนกลับไหม”

    ชายหนุ่มเอ่ยถาม เมื่อมาถึงรถ และกำลังเปิดประตูรถให้อีกฝ่ายอย่างสุภาพ

    “ฉันทานข้าวเช้าแล้วค่ะ”

    “แต่ผมยังไม่ได้กินอะไรเลย ไปกินเป็นเพื่อนผมหน่อยนะครับ”

    คนชวนยิ้มละไม ไม่รู้เลยว่าสร้างความลำบากใจให้กับอีกฝ่ายเพียงใด

    โยสิตาอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ขืนเธอไม่ยอมไปกับเขา เดี๋ยวอีกฝ่ายก็หาว่าเธอใจร้ายใจดำอีกน่ะสิ

    “คุณกลับไปทานที่โรงแรมของคุณก็ได้นี่คะ”

    “ถ้าผมไป แล้วคุณจะไปกับผมหรือเปล่าล่ะ”

    “เรื่องอะไรฉันต้องไปกับคุณด้วย ฉันแค่มาเป็นเพื่อนคุณทำบุญเท่านั้น นี่ก็เสร็จแล้ว ฉันต้องกลับไปทำงานของฉันต่อแล้วค่ะ”

    โยสิตาเมินไปทางอื่น ไม่สนใจสีหน้าออดอ้อนของเขา กฤตธรโคลงศีรษะยอมเดินอ้อมไปประจำที่นั่งคนขับ หากยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปประจำที่นั่ง เสียงอุทานของหญิงสาวก็ดังขึ้น

    “นี่ของคุณหรือคะคุณกฤตธร”

    ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปมองในรถ เห็นโยสิตาชูกำไลหยกเนื้อดีสีเขียวใสแวววาวมีลวดลายสวยแปลกตาขึ้นมาต่อหน้า เขาชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเสหัวเราะขำ

    “ไม่ใช่ของผมสักหน่อย ของคุณต่างหาก อย่ามาอำกันหน่อยเลยคุณโย”

    “ไม่ใช่ของฉันนะคะ ฉันเจอมันวางอยู่บนเบาะตรงนี้จริงๆ คุณนั่นล่ะ อย่ามาอำ ไม่ตลก” เธอย่นจมูกให้อีกฝ่าย ก่อนจะวางกำไลแสนสวยนั้นลงบนคอนโซลหน้ารถ กฤตธรก้าวเข้ามานั่งข้างๆหญิงสาว เอื้อมมือไปหยิบกำไลหยกขึ้นมาพินิจอย่างแปลกใจ

    มันมาอยู่ที่เบาะข้างคนขับตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมขามาเขากับโยสิตาจึงไม่เห็นเล่า

    “ไม่ใช่ของผมจริงๆนะคุณโย ผมเองก็เพิ่งจะเห็นตอนคุณเอาให้ดูนี่ล่ะ” กฤตธรยิ้มไม่ออก หันไปจ้องมองหญิงสาวเขม็ง ทำเอาฝ่ายนั้นกะพริบตาปริบๆ

    “ถ้าไม่ใช่ของคุณแล้วจะเป็นของใครล่ะ...อ๋อ รู้แล้ว คงเป็นของแฟนคุณทำตกเอาไว้น่ะสิ”

    “ผมยังไม่มีแฟน” กฤตธรปั้นหน้าขรึมเข้ม

    “เอ่อ...งั้นก็ อาจจะเป็นของเพื่อนๆคุณมาลืมเอาไว้...” โยสิตาเริ่มเสียงอ่อย ไม่คิดว่าเขาจะจริงจังอย่างนี้

    ไม่มีแฟนก็ไม่มีสิ ทำไมต้องทำดุด้วย...

    “ไม่ใช่ของใครทั้งนั้นล่ะ ก่อนหน้านี้มันไม่มีแน่ๆ มันเพิ่งมามีก็ตอนที่คุณกลับเข้ามาในรถนี่ล่ะ ผมว่า...มันเป็นของคุณนั่นล่ะ ไม่ใช่ของคนอื่นหรอก”

    “แต่ฉันไม่ได้ซื้อเจ้านี่มาจากไหนสักหน่อย” หญิงสาวปฏิเสธ เหลือบมองกำไลข้อมือสีเขียวใสสวยจับตานั้นแล้วก็หยิบกลับมาพินิจดูอีกครั้ง

    กำไลอันนี้ดูแปลกไปจากเครื่องประดับทั่วไป เนื้อหยกก็สุกใส ราวกับของมีค่ามาก ไม่เหมือนของขายสำหรับให้สวมใส่เล่นๆอย่างที่เคยเห็นทั่วไปจนชินตาเลย

    ยิ่งพิศก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ความเงางามของเนื้อหยกทำให้หญิงสาวอดใจไม่ไหว จนต้องลองสวมใส่ดู

     “นั่นไง ของคุณจริงๆด้วย” กฤตธรยิ้มเมื่อเห็นเธอสวมกำไลได้พอดี

    “ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่ของฉันจริงๆ...แต่บังเอิญจัง ใส่ได้พอดีเลย” โยสิตาลองขยับกำไลดู มันหลวมนิดหน่อย ความงดงามของเนื้อหยก ยิ่งมองก็ยิ่งจับใจ เงาสะท้อนจากลายนูนเป็นรูปหงส์แสนสวยลายสลักละเอียดคมชัดจับตา

    “ใส่พอดีก็แสดงว่ามันเป็นของคุณนั่นละ” กฤตธรมองหญิงสาว อดชื่นชมไม่ได้ หยกสวยช่างเหมาะสมกับคนสวย

    “ไม่ใช่ของฉันจริงๆนะ...เอ๊ะ แปลกจัง ทำไมดึงไม่ออก...” เธออุทานเพราะพอจะดึงกำไลหยก กลับดึงไม่ออก ต่างจากตอนสวมใส่เป็นหน้ามือกับหลังมือ

    “มันไม่หลวมไม่ใช่หรือครับ” กฤตธรเองก็แปลกใจ กำไลหลวมๆ แต่หญิงสาวกลับดึงไม่หลุดจากมือ ท่าทางเธอพยายามอย่างยิ่งที่จะถอดกำไลออก แต่พยายามเพียงไร กำไลหยกเนื้อดีก็ไม่ยอมหลุดออกเสียที

    “ฉันเอาไม่ออกน่ะคุณกฤตธร ทำยังไงดี...” โยสิตาหน้าเสีย เธอดึงกำไลจนเจ็บข้อมือไปหมดแล้ว ก็ยังดึงไม่ออก หญิงสาวเริ่มใจเสีย หากเจ้าของมาขอคืนแล้วจะทำอย่างไร

    บ้าจริงยายโย มือซน เห็นแก่ความสวยจนได้เรื่องเลยเห็นไหม

    “ไหน มา...ให้ผมลองดูหน่อยสิ” คนตัวโตเอ่ยขึ้นบ้าง มือใหญ่คว้ามือเล็กๆของเธอมากุมไว้มั่น ค่อยๆเลื่อนกำไลหยกสีเขียวมรกตขึ้นมาทีละน้อย กระทั่งเกือบจะหลุดได้อยู่แล้ว จู่ๆกำไลก็กลับลื่นลงไปอยู่ที่ข้อมือของหญิงสาวตามเดิม เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งจนกฤตธรเองต้องเงยหน้ามองสบตากับอีกฝ่ายอย่างฉงนฉงาย

    “แปลกมากเลย...กำไลก็ไม่ได้คับ ตอนสวมก็สวมง่ายๆ ทำไมถึงถอดไม่ออก...”

    “คุณ...อย่าทำหน้าเคร่งอย่างนั้นสิ...” หญิงสาวบ่นออด นึกหวาดหวั่น กำไลนี้เหมือนของเก่าแก่เสียด้วย เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะมี “วิญญาณ” สิงสู่อยู่

    ไม่ๆ ห้ามคิดเหลวไหลยายโยสิตา โลกนี้ไม่มีผีสักหน่อย ห้ามฟุ้งซ่าน

    “ไม่ให้ผมทำหน้าเคร่ง คุณก็อย่าทำหน้าจะร้องไห้สิครับ ไม่มีอะไรหรอกนะ ก็แค่ มันคับนิดหน่อยเอง คุณลดความอ้วนหน่อยก็คงถอดได้แล้วล่ะ” กฤตธรยิ้มปลอบอีกฝ่าย ลูบมือเล็กๆนุ่มนิ่มของเธออ่อนโยนอย่างให้กำลังใจ

    หากแทนที่สาวเจ้าจะเข้าอกเข้าใจความหวังดีของเขา เจ้าหล่อนกลับแหวเสียงแหลม

    “นี่คุณหาว่าฉันอ้วนเหรอ”

    “เปล่าสักหน่อย ผมแค่ว่า ถ้าคุณลดความอ้วนก็จะถอดกำไลออกได้...”

    “คนบ้า” เธอตวัดเสียงใส่พร้อมส่งค้อนขวับก่อนจะเมินไปทางอื่นอย่างแสนงอน ไม่ทันเห็นว่าอีกฝ่ายยิ้มกริ่มเริงรื่น ยังคงกุมมือบางของเธอไว้ไม่ปล่อย หญิงสาวนิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ ว่าตัวเองไม่สมควรว่าเขาอย่างนั้น เธอกับเขาไม่สนิทกันถึงขั้นจะต่อว่าต่อขานอย่างนั้นเสียหน่อย

    โยสิตาค่อยๆหันกลับมามองหน้าคมของชายหนุ่ม แก้มนวลร้อนวูบวาบเพราะเขาส่งยิ้มสวยมองเธอมาอยู่ก่อนแล้ว

    “ฉัน..เอ่อ...ฉันขอโทษ...ฉันกำลังหงุดหงิดก็เลยเสียมารยาท...”

    “ไม่เป็นไรหรอก...กับคุณ ผมไม่เคยถือสาเลย...วางใจเถอะนะ ผมเชื่อว่า กำไลหยกอันนี้ไม่มีอะไรหรอก” สุ้มเสียงกฤตธรฟังดูจริงจังจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้วมุ่น งุนงง ไม่รู้ว่าเขาจะมามุขไหน

    “คุณกฤต อย่าพูดอะไรให้หลอนได้ไหม ฉันยิ่งกลัวๆอยู่”

    “กลัวอะไร ผมอยู่นี่ทั้งคน ผีที่ไหนจะกล้ามาหลอกคุณ”

    ยิ้มสดใสของเขาราวกับแสงตะวันอบอุ่นในยามรุ่งอรุณ โยสิตากะพริบตาปริบๆ จ้องมองชายหนุ่มอย่างลืมตัว

    เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั่งมองเขาอยู่เช่นนั้นนานเพียงไร ความเงียบสงัดที่โอบล้อมอยู่ราวกับจะรู้เห็นเป็นใจ สายตาของเขาสื่อความหมายลึกซึ้งแสนอ่อนหวานมุ่งตรงมาที่เธอ โยสิตาไม่อาจหลบเลี่ยงได้ เธอตกอยู่ในวงล้อมของความรู้สึกที่รุนแรงจากเขา

    กฤตธร...เขาเป็นใครกันแน่...ทำไม...

    ดวงตากลมโตค่อยๆหลุบลงจ้องมองมือใหญ่ที่กุมกระชับมือน้อยของเธอเอาไว้มาเนิ่นนาน เพิ่งรู้สึกตัว และพอพยายามจะดึงมือออกจากอุ้งมือหนา เสียงเคาะประตูที่หน้ากระจกก็ดังขึ้น

    ทั้งโยสิตาและกฤตธรหันขวับไปมองผู้เข้ามาทักทาย สำหรับหญิงสาวเธอไม่รู้จักชายชราผมขาวโพลนผู้นั้น แต่กฤตธรกลับเอ่ยชื่อของฝ่ายนั้นออกมาเสียงเบา

    “คุณเกรียง...”

    “คุณรู้จักคุณลุงคนนี้หรือคะ” โยสิตาหันขวับมาถามกฤตธรตาโต เริ่มคุ้นชื่อ “เกรียง” ตงิดๆ

    “รู้จักสิครับ คุณเกรียงเป็นคนสนิทของคุณพ่อผมเอง”

    พอได้ยินเขาอธิบายอย่างนั้นแล้ว โยสิตาก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แวบแรกที่เธอมองเห็นคุณเกรียง เธอรู้สึกเคารพนับถือฝ่ายนั้นอย่างบอกไม่ถูก แต่พอทราบว่าเป็นคนของคุณกสินทร์ ความรู้สึกดีๆที่มีให้อีกฝ่ายก็ถูกลดทอนไป

    เหมือนเช่นที่เธอรู้สึกกับกฤตธร...ถ้าไม่เพราะเขาเป็นทายาทของคุณกสินทร์ละก็...

    “ดีแล้วล่ะครับ ที่คุณกฤตมาทำบุญอย่างที่บอก” คุณเกรียงเอ่ย พลางยิ้มน้อยๆในหน้า

    เมื่อกฤตธรและโยสิตาก้าวลงจากรถมาประจันหน้ากันแล้ว ตาเรียวรีของชายสูงวัยตวัดมองลูกชายเจ้านายชั่วแวบ ก่อนจะก้มลงเขม้นมองโยสิตาไม่วางตา โดยเฉพาะกำไลหยกมันเงาที่ข้อมือข้างซ้ายของหญิงสาว

    เขาจับจ้องมองอยู่จนกฤตธรเอ่ยแนะนำเขากับโยสิตา

    “คุณโย นี่คุณเกรียง...หรือจะเรียกอาจารย์เกรียงก็ได้ ท่านเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณพ่อผมเองครับ”

    “สวัสดีค่ะคุณเกรียง หนูชื่อโยสิตา เป็น...”

    “ผมทราบดีว่าคุณหนูเป็นใคร” ผู้สูงวัยชิงเอ่ยขึ้นก่อนที่หญิงสาวจะแนะนำตัวเองจบ หากถึงอย่างนั้นคุณเกรียงก็ยังยกมือรับไหว้โยสิตาอย่างนุ่มนวล

    “คุณเกรียงรู้จักหนูหรือคะ” โยสิตามองเขาแล้วก็ยิ่งแปลกใจ เธอไม่รู้จักเขาแน่ๆ

    “รู้จักสิครับ คนสำคัญของคุณกฤตทั้งคน ทำไมจะไม่รู้จัก”

    โยสิตานิ่วหน้า มองชายสูงวัยในชุดนุ่งขาวห่มขาวแปลกตา ท่าทางของคุณเกรียงดูสุขุมลุ่มลึก ราวกับผู้ทรงศีล คนลักษณะพิเศษอย่างนี้ หากเคยพบกันมาก่อนเธอต้องจดจำเขาได้แน่ แต่นี่...

    “คุณเกรียงเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูเป็นแค่ลูกจ้างของคุณกฤตธรเท่านั้น ไม่ใช่คนสำคัญของเขา...”

    “ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ คุณหนูคงสวมกำไลหยกอันนั้นไม่ได้หรอกครับ” ชายสูงวัยหัวเราะเบาๆ พลางชี้มือไปที่กำไลหยกที่ข้อมือข้างซ้ายของหญิงสาว

    โยสิตาก้มมองตามสายตาของคุณเกรียง แล้วก็ยกมือซ้ายขึ้นมาชูกำไลให้อีกฝ่ายดู

    “คุณเกรียงหมายถึง กำไลอันนี้เหรอคะ”

    “ครับ หยกเป็นเครื่องรางที่คนจีนถือกันว่า จะช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไม่ให้กล้ำกรายผู้สวมใส่...นี่เป็นของเก่าแก่ตกทอดมานานมาก...ไม่ใช่ทุกคนจะได้เป็นเจ้าของ...ต้องเป็นคนบุญคู่ควรเท่านั้นถึงจะมีวาสนา”

    “คุณเกรียงรู้จักกำไลนี่หรือครับ” กฤตธรเองก็งุนงง คาดไม่ถึง

    “มันเป็นของเก่าโบราณ ตกทอดมาหลายยุคสมัย...เป็นของมงคล เหมาะสมกับคุณหนูโยสิตาที่สุดแล้วครับ”

    “แต่มันไม่ใช่ของหนู”

    “ตอนนี้มันอยู่ที่คุณหนูแล้ว ก็ต้องเป็นของคุณหนูสิ สวมไว้เถอะครับ...คุณกฤตอยู่ทั้งคน ไม่มีใครกล้าว่าคุณหนูหรอก”

    สายตาของคุณเกรียงดูมั่นอกมั่นใจมาก โยสิตาเหลือบมองกฤตธรอย่างขอความเห็น ชายหนุ่มเองก็หน้าเคร่งเช่นกัน

    “เกี่ยวกับผมด้วยหรือ...นี่คุณเกรียงกำลังจะบอกผมว่า...คุณพ่อเป็นเจ้าของกำไลหยกวงนี้หรือครับ” กฤตธรเอ่ยถามช้าๆ ชัดเจน

    “จะว่าอย่างนั้นก็...คงได้...” คุณเกรียงพยักหน้า ยิ้มบางๆ

    “ถ้ากำไลนี้เป็นของคุณกสินทร์ งั้นเราก็ควรจะรีบเอาไปคืนเขา” โยสิตาเสียงแข้งขัดขึ้นมา เธอจะเก็บของของคุณกสินทร์เอาไว้ได้อย่างไร

    กำไลนี่ดูลวดลายแบบโบราณ ท่าทางมีราคา ฝ่ายนั้นก็คงไม่แคล้วไปขโมยสมบัติของชาติมาอีกแน่!

    แค่คิดก็ไม่สบายใจจนต้องพยายามถอดกำไลดูอีกครั้ง หากผลก็เหมือนเดิม ความพยายามของเธอมันไร้ประโยชน์โดยแท้

    “กำไลนี้สมควรเป็นของคุณหนูอยู่แล้ว อย่าพยายามถอดเลยครับ ไม่มีประโยชน์หรอก คุณหนูสวมมันเอาไว้ จะช่วยป้องกันโพยภัยทุกอย่าง...มันจะไม่ยอมแยกจากเจ้าของ...นอกจากเจ้าของจะมีเคราะห์หนักจริงๆ”

    “หมายความว่ายังไงคะคุณเกรียง...หนูไม่เข้าใจ...”

    “ในเมื่อคุณหนูสวมมันได้ ก็แสดงว่ามีวาสนากับมัน หยกจะช่วยคุ้มครองคุณหนูเสมอ...จะมีกรณีเดียวเท่านั้นที่มันจะไม่คุ้มครอง นั่นก็คือ เจ้าของถึงคราวสิ้นบุญ”

    ในแววตาคมเข้มสงบนิ่งของคุณเกรียง ดุจดั่งคลื่นใต้ทะเลลึกที่เย็นเฉียบบาดหัวจิตหัวใจคนฟังให้สั่นคลอน

    สองหนุ่มสาวนิ่งอึ้ง ตะลึงมองคุณเกรียงตาโต หนาวเยือกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ

    ทำไมเธอต้องกลัววูบ ขนลุกชันขึ้นมากับถ้อยคำของคุณเกรียงด้วยนะโยสิตา เธอไม่เคยเชื่อเรื่องลึกลับอะไรพวกนี้ไม่ใช่หรือ...

    “ไม่มีอะไรหรอกคุณโย...ถ้ากำไลหยกอันนี้เป็นของคุณจริงๆ มันก็ต้องคุ้มครองคุณตลอดไป...คุณสวมไว้น่ะดีแล้วล่ะ แล้วผมจะพูดกับคุณพ่อให้เอง”

    กฤตธรบีบกระชับมือบาง รับรู้ว่าเธอไม่สบายใจ เขาเองก็ใจหายกับถ้อยคำของคุณเกรียง

    “ผมเห็นด้วย ที่คุณหนูจะสวมกำไลหยกจักรพรรดิเอาไว้...ไม่ใช่ว่าใครที่ไหนจะมีบุญได้ครอบครองของชิ้นนี้...ในเมื่อคุณหนูมีวาสนาแล้ว ก็ขอให้รักษาวาสนานี้เอาไว้ อย่าเสือกไสของชิ้นนี้ไปไหน...มันเป็นของคุณหนูโดยชอบธรรมจริงๆ ขอให้เชื่อผม”

    คุณเกรียงทิ้งสายตาที่โยสิตาอ่านไม่ออกมาให้ชั่วขณะ ก่อนจะหมุนกาย หันหลังเดินจากไปเงียบๆ ไม่มีกระทั่งถ้อยคำอำลาตามมารยาท

    สองหนุ่มสาวได้แต่มองตามหลังร่างผอมสูงของชายสูงวัยไป งุนงงกับท่าทางและถ้อยคำที่ล้วนเป็นปริศนาของอีกฝ่าย ราวกับเขารู้จักเจ้ากำไลหยกวงนี้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมเขาไม่ยอมเอาคืนกลับไปให้นายกสินทร์ล่ะ เขายอมให้เธอสวมเอาไว้ทำไมกัน

    โยสิตาสะดุดใจกับคำว่า “กำไลหยกจักรพรรดิ” ที่ผู้สูงวัยเอ่ยออกมาเป็นอย่างยิ่ง มันฟังดูเข้มขลัง ศักดิ์สิทธิ์จนชวนขนลุกชอบกล

    -------------------------------------------------------------------


    ******** มีปริศนาหลายอย่างนะคะ แต่เหมือนเคยคือจะไปเฉลยท้ายๆเรื่องค่ะ โปรดติดตามต่อไปนะคะ ^^


    ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาค่ะ


    ษาค่ะ


    ------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×