ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ----- ดั่งผืนทราย ใต้ดวงดาว ------

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่6 ช่วงนี้เฟรซาพาหนูริซเที่ยวค่ะ^^

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 50


    6.

    เมืองซาฮาลเจริญรุ่งเรืองกว่าที่คาดคิดเอาไว้เยอะทีเดียว…

    ในขณะที่จาดีลนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ดำรงชีวิตด้วยการเพาะปลูกริมสองฝั่งแม่น้ำเท่านั้น แต่ที่นี่ มีการวางระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพ แม่ไม่ใช่ริมแม่น้ำ แต่ยังมีสวนดอกไม้บานสะพรั่งในทะเลทรายอันร้อนระอุได้อย่างน่าอัศจรรย์

    “เราส่งออกดอกไม้หลายอย่างไปต่างประเทศ ที่สำคัญก็คือดอกเบญจมาส” เจ้าชายเฟรซาบอก พลางเด็ดดอกเบญจมาสสีเหลืองดอกโต ขึ้นจากแปลงอันอุดมสมบูรณ์แล้วยื่นส่งให้หญิงสาว “รับไปสิ เราให้ มันเหมาะกับเธอมากเลย”

    หญิงสาวรับมาถือไว้ พลางกล่าวขอบคุณเขาเสียงเบา ไม่กล้าสบตาพราวระยับของเขา

    “ทัดหูไว้สิ “ เขาแนะเชิงบังคับ อมริสาไม่อยากขัดใจเจ้าของบ้าน จึงทำตามที่เขาว่าอย่างเสียไม่ได้

    เฟรซาดูจะพึงพอใจมาก ที่เธอยอมทำตามความต้องการของเขาอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มเดินนำหน้าเธอมาที่ม้าสีดำตัวใหญ่สองตัว ซึ่งเขาใช้เป็นพาหนะนำเธอออกมาเที่ยว แล้วเล่าโปรแกรมต่อไปอย่างร่าเริง

    “ต่อไปจะพาไปเที่ยวทะเลทรายสีขาว… เธอเคยเห็นไหมริซซา?”

    หญิงสาวชะงัก ขมวดคิ้วมุ่น มองเขางงๆ

    “ทะเลทรายสีขาวงั้นหรือคะ…มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน?”

    “แสดงว่าเธอยังไม่เคยเห็น” ชายหนุ่มอมยิ้ม ส่งเธอขึ้นม้าไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็โหนตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าอีกตัวหนึ่งตีคู่กัน

    อมริสาต้องยอมรับอย่างจำนน ว่าเจ้าชายที่อยู่ต่อหน้าเธอคนนี้ช่างสง่างามไปทุกอิริยาบถอย่างน่ายกย่อง โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนหลังม้าอย่างเวลานี้ เขาดูองอาจราวกับนักรบเลยทีเดียว

    เฟรซาพาเธอลัดเลาะออกไปนอกเมือง ผ่านบ้านเรือนผู้คนและพื้นที่การเกษตรอันอุดม จนมาถึงบริเวณที่ไม่ได้ทำการเกษตร มองออกไปเห็นแต่ผืนทรายสุดลูกหูลูกตา ทว่าทรายที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ มันมีสีขาว ไม่ใช่สีเหลืองอย่างเคยๆ

    “เป็นไปได้ยังไงกัน?” อมริสาตะลึง ไม่เคยเห็นอะไรประหลาดเช่นนี้ เธอมองเจ้าชายหนุ่มเหมือนจะถาม ทว่าอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามในทันที เขาโหนตัวลงจากหลังม้าแล้วเข้ามารับเธอให้ลงไปยืนด้วยกันบนผืนทราย

    เฟรซาก้มลง กอบทรายขึ้นมาส่งให้เธอ อมริสายื่นมือรับไว้ บางส่วนปลิวตกลอดผ่านมือเธอไป หากที่เหลืออยู่เล็กน้อยในอุ้งมือนั้น อ่อนนุ่ม เย็น กว่าทรายธรรมดาที่เธอเคยรู้จักจนรู้สึกได้

    “มันเย็นนี่คะ?” เธออุทาน หน้าตาตื่นเต้น

    “มันเย็นเพราะเป็นอณูของยิปซั่มไงล่ะ” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ผืนทรายบริเวณนี้ ไม่ได้ประกอบขึ้นด้วยแก้วควอตซ์เหมือนทะเลทรายทั่วไป แต่กลับเป็นอณูละเอียดของยิปซั่ม เป็นทรายเนื้อละเอียดและเย็นกว่าทรายธรรมดา มันเย็นเพราะความชื้นที่ผิวหน้าของมันนั่น จะมีอัตราการละเหยและสะท้อนแสงอาทิตย์ได้มากกว่าทรายในที่อื่นทั่วไป แต่เราก็ไม่ได้มีมากพอขนาดจะไปส่งออกได้เหมือนอย่างเม็กซิโกหรอกนะ ที่นั่นเขามีเยอะ จนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งยิปซั่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนของเรา…น้อยคนนักที่จะรู้ ว่าที่นี่ก็มีทะเลทรายสีขาวอยู่ด้วย”

    เขาอธิบายอย่างภาคภูมิใจ อมริสาเองยังทึ่งกับความรอบรู้ของเจ้าชายเฟรซา

    “ถ้ามีการจัดการที่ดี ต่อไป ทะเลทรายเล็กๆแห่งนี้ ก็อาจกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อได้นะคะ”

    เธอออกความคิดเห็นที่ทำให้อีกฝ่ายหันขวับมามอง ตาพราวระยับอีกครั้ง

    “เธอคิดอย่างนั้นหรือ?”

    อริสาแก้มแดง พยายามกลบเกลื่อนอาการขัดเขินของตนเอง ด้วยการพยักหน้ายืนยัน

    “เพคะ ซาฮาลงดงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ถ้าเพียงแต่ท่านจะยอมเปิดประเทศ รับนักท่องเที่ยวจริงๆจังๆซาฮาลจะต้องเป็นเมืองท่องเที่ยว และศึกษาระบบนิเวศน์ทางทะเลทรายที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของโลกเราได้แน่”

    “ถ้าอย่างนั้น..เธอช่วยเราทำให้ซาฮาลเจริญรุ่งเรืองกว่านี้ได้ไหมล่ะ?”

    คำขอร้องของเขาฟังดูพิลึก…หญิงสาวทำหน้างงๆและอีกฝ่ายก็รีบกล่าวต่อมาแก้เก้อ

    “เราหมายถึงว่า เราอยากให้เธอช่วยเราคิดวิธีที่จะพัฒนาซาฮาล ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันงดงามน่ะ…เธอจะช่วยเราได้ไหม?”

    “ฉัน…ฉันไม่เก่งขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอส่ายหน้าไม่กล้ารับปาก ถ้าเทียบเธอกับเขาแล้ว เขามีประสบการณ์ต่างประเทศมามากกว่าเธอ ซึ่งแทบไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลยด้วยซ้ำ

    อมริสาอาศัยรับความรู้ส่วนมาก จากการอ่านหนังสือ เธอพบว่าโลกนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์และซับซ้อนนัก ความรู้ต่างๆมีมากมายอย่างที่อ่านเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจบสิ้น

    “เรารู้ว่าเธอมีความคิดที่ดี…เธอทำได้ ถ้าเธอจะทำริซซา”

    เฟรซาดูจะมั่นใจในตัวเธอยิ่งยวด หญิงสาวก้มหน้ามองมือตัวเอง หากยังไม่ทันไร มือหนาของเขาก็ดึงมือเธอเข้าไปกุมไว้อย่างอ่อนโยน

    เธออดไม่ได้จะมองใบหน้าคมสันดูจริงจังของเขาอย่างเผลอไผล วงหน้าคร้ามคมส่งยิ้มให้กำลังใจเธอ เชื่อมั่นในตัวเธอ และ…

    หญิงสาวกะพริบตาปริบๆเธอไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น แววหวานล้ำในดวงตาคมกริบคู่นั้น ช่างคล้ายกับที่ราเอลใช้มองเธอไม่ผิดเพี้ยน

    หากบุคคลที่อยู่ต่อหน้าเธอขณะนี้ไม่ใช่ราเอล…เขาคือเจ้าชายรัชทายาทแห่งซาฮาล และเธอจำได้ดีทีเดียว ว่าเธอเพิ่งรู้จักกับเขาเท่านั้น

    “เจ้าชายเพคะ ฉัน…” เธอพยายามจะดึงมือออกจากการเกาะกุมของเขา ร้อนผ่าวไปทั้งหน้า หากอีกฝ่ายกลับกุมกระชับไว้แน่น จ้องหน้าเธอจริงๆจังๆ

    “อย่าปฏิเสธเลยนะริซซา อยู่ช่วยเราทำให้ซาฮาลเจริญรุ่งเรืองเถอะ”

    “ท่านให้เกียรติฉันเกินไปแล้ว ฉันรู้นะคะ ว่าแค่มีท่าน ซาฮาลก็เจริญรุ่งเรืองได้” เธอเถียงเสียงเบา อ้อมแอ้ม เขินกับลูกตาพราวหวานระยับของชายหนุ่ม

    ยิ่งเขายิ้ม…มันราวกับโลกนี้จะไร้ราตรีกาลอันมืดมิดไปเลยทีเดียว

    “เรารู้ว่าเราสามารถทำได้” เจ้าชายยอมรับ น้ำเสียงจริงจัง “แต่ถ้ามีเธอเป็นผู้ช่วย เราเชื่อว่าเราจะสามารถทำได้ดียิ่งกว่าที่เราจะทำเองเป็นสองเท่า เราเชื่อมั่นอย่างนั้น ริซซา”

    หญิงสาวก้มหน้า หลบดวงตาอันเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธาและความเชื่อมั่นของเขาเสมองพื้นทรายใต้เท้า ซึ่งบัดนี้ เริ่มระอุอ้าวขึ้นมาอย่างไรชอบกล

    “ฉัน…ฉันต้องไปเมืองไทย…คงไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้หรอกค่ะ…” หญิงสาวพยายามหาข้ออ้าง ทว่าชายหนุ่มหัวเราะเบาๆในลำคอออกมาอย่างอารมณ์ดีนัก

    “เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอนี่ เพียงแต่อยากขอร้องนิดเดียวเท่านั้น ว่าก่อนที่เธอจะไปเมืองไทย ขอให้เธออยู่ช่วยงานเราที่นี่ซักระยะหนึ่งก่อนจะได้ไหม?”

    “ถ้านี่คือคำขอตามสัญญาของท่าน ฉันก็จะทำตามค่ะ” อมริสาต่อรองอย่างชาญฉลาด…

    เฟรซามองเธออย่างรู้เท่าทัน หากเขาพูดไปคนละทางกับความคิดเท่านั้น

    “เอาอย่างนั้นก็ได้ เป็นอันว่าเราขอสัญญาข้อแรกจากเธอ…ขอให้เธออยู่ที่ซาฮาล ช่วยเราทำงานก่อนแล้วค่อยไปเมืองไทยแล้วกันนะ”

    อมริสายิ้มบางๆแทนคำตอบ ซึ่งเธอไม่มีโอกาสปฏิเสธ…

    ในเมื่อโยงความต้องการเข้ากับสัญญาสามข้อที่เธอติดค้างเขาเอาไว้แล้ว อมริสาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธความต้องการของเฟรซาได้อีกต่อไป

    จริงอยู่ ว่าเธอไม่เคยมีความคิดที่จะอยู่ที่นี่มาก่อนเลย หากทว่าเมื่อตกลงรับคำกับเจ้าชายไปแล้ว หญิงสาวก็ไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

    +++++++++++++++++++++++++++++++++

    แสงสว่างจากคบไฟจำนวนมากของเหล่าทหาร ทำให้ร่างระหงที่เดินตามมาข้างหลังสุด สามารถมองเห็นรายละเอียดในถ้ำหินขนาดใหญ่แห่งนี้ได้มากขึ้น

    เมเดเซียคว้าแผนที่หนังแกะออกมาดู พลางนิ่วหน้า เริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติ

    “เจ้าแน่ใจหรือราเอล ว่าเป็นถ้ำนี้จริงๆข้าว่า มันแปลกๆอยู่นะ” เจ้าหญิงหันไปถามราชองครักษ์คนสนิท ซึ่งฝ่ายนั้นก็หยุดเดิน แล้วมองหน้าเธอเขม็ง

    “ถ้ำในหุบเขาเทพเจ้า มีหลายถ้ำ แต่ที่ใหญ่โตและลึกที่สุด ก็คือที่นี่…ถ้าไม่ใช่ที่นี่ แล้วจะเป็นที่ไหนได้อีกล่ะครับ?”

    “ข้าไม่รู้…” เมเดเซียเงยหน้าจากหนังแกะในมือ จ้องไปรอบๆถ้ำหินทรายแห่งนั้นอย่างพินิจพิจารณา “ข้าจำได้ ว่าท่านพ่อเคยเล่าเรื่องขุมทรัพย์ของจาดีล ว่ามันซ่อนอยู่ในหุบเขาเทพเจ้าแห่งนี้…แต่ท่านพ่อบอกไว้ว่า ถ้ำที่ซ่อนขุมทรัพย์นั้น เป็นถ้ำเทพเจ้า ถ้าเป็นถ้ำเทพเจ้าจริงๆ…อย่างน้อยๆรอบผนังถ้ำ ก็น่าจะมีเครื่องหมายอะไรที่เป็นสัญลักษณ์บ้างสิ แต่นี่…”

    ดวงตาคมของราเอลไหววูบ หากเจ้าตัวพยายามปั้นเสียงให้เคร่งขรึม ไม่บ่งบอกอารมณ์ภายใน

    “บางที ที่เป็นอย่างนี้ อาจเป็นเพราะอาถรรพ์ของเทพเจ้าที่เฝ้าถ้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้อยู่ก็ได้ครับ เพราะถ้าให้เราหาพบง่ายๆก็คงไม่เรียกถ้ำศักดิ์สิทธิ์”

    “แต่ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่…”

    “แต่นี่เป็นถ้ำที่ตรงตามแผนที่แล้วนะครับท่านหญิง”

    “เจ้าแน่ใจหรือ?” เธอเอ่ยเสียงเบา ก่อนจะเงยหน้าจ้องตากับราเอลอย่างคาดคั้น “แน่ใจหรือ ว่าแผนที่อันนี้เป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอมขึ้นมาน่ะ?”

    ราเอลนิ่งอึ้งไปกับคำถามของเจ้าหญิงเมเดเซีย…ดวงตาคมหลุบลงต่ำ ขณะเอ่ยตอบไปอย่างช้าๆ

    “นี่เป็นแผนที่ ที่เราได้มาจากห้องลับในท้องพระคลังสมบัติ จะเป็นของปลอมได้อย่างไรกัน…คงไม่ใช่หรอกครับ”

    “งั้นหรือ?” เมเดเซียจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าคมสันของบุรุษตรงหน้า ดวงตาคมกริบสีดำเหมือนรัตติกาลวาววะวับ ถือดี และคาดคั้น

    เธอดึงมือหนาของเขามากุมไว้ด้วยท่วงท่าที่อ่อนโยน ทว่าองครักษ์หนุ่มกลับร้อนรุ่มราวกับมือเรียวของเธอนั้นคือถ่านไฟร้อนๆ

    “ถ้าไม่มีใครซักคน พยายามจะปกป้องเจ้าของแผนที่ที่แท้จริง…ด้วยการทำปลอมขึ้นมา…ข้าก็วางใจ…”

    “ไม่มีใครกล้าทรยศต่อท่านหญิงหรอกครับ” ราเอลฝืนยิ้ม ใบหน้าซีดไปแต่ไม่สิ้นซึ่งอหังการ์ “และข้าเชื่อนัก ว่าผู้ที่เหมาะสมจะได้ครอบครองขุมทรัพย์ในตำนาน มีเพียงท่านหญิงผู้เดียวเท่านั้น”

    “ขอบใจมาก” เธอยิ้มหวาน ยกมือของเขาขึ้นมาจุมพิตโดยไม่แคร์สายตาของเหล่าทหาร “เจ้าสมเป็นคนที่ข้าไว้ใจจริงๆ”

    ราเอลดึงมือออกช้าๆก้มหน้ารับ สีหน้าเรียบเฉย

    “ท่านหญิงชมมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่ทหารธรรมดา”

    “ไม่จริงซักหน่อย” คราวนี้เมเดเซียผวาเข้าไปซบอกแล้วกอดชายหนุ่มไว้แน่น ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบกับข้างหูเขาอย่างยั่วยวน “เจ้าก็รู้ดีนี่ ว่าสำหรับข้าแล้ว เจ้าสำคัญเพียงใด”

    “ท่านหญิง” ชายหนุ่มพยายามปราม เพราะมือไม้ของเธอเริ่มจะซุกซนโดยไม่สนสถานที่ “ข้าว่า เราควรจะรีบตามเข้าไปดูข้างในกันต่อได้แล้วนะครับ”

    เขาปลดมือและดันร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาวออกห่าง เดินนำหน้าเธอเข้าไปในถ้ำ โดยที่เมเดเซียได้แต่เดินตามมาอย่างขัดเคือง

    นึกหรือว่าจะหนีเธอพ้น…สิ่งไหนที่เธอต้องการ ไม่เคยมีคำว่า ‘พลาด’

    แน่นอน… แม้แต่หัวใจของราเอลด้วยเช่นกัน

    +++++++++++++++++++++++++++++

    ราชนิกูลสาวสวย ซึ่งกำลังยืนยิ้มหวานอยู่ต่อหน้าอมริสาขณะนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากเจ้าหญิงเซรียา ญาติผู้น้องของเจ้าชายเฟรซาผู้สูงศักดิ์

    ทันทีที่อมริสากลับเข้าตำหนัก หลังจากที่ออกไปตะลอนกับเจ้าชายเฟรซาทั้งวัน เธอก็พบว่า เจ้าหญิงเซรียารอคอยเธออยู่ที่ตำหนักก่อนแล้ว

    “ไม่ทราบว่าเจ้าหญิงจะเสด็จมา ขออภัยที่ทำให้ต้องรอนานนะคะ”

    อมริสาเป็นฝ่ายย่อกาย ถวายความเคารพอีกฝ่ายก่อน ด้วยถือว่าเธอนั้นอายุน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งยังเป็นคนที่พลัดบ้านพลัดเมืองมา ถ้าไม่อ่อนน้อม ก็คงไม่แคล้วต้องเกลียดหน้ากันโดยใช่เหตุ

    “ไม่หรอก เราเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” เจ้าหญิงเซรียาโบกมือเป็นทำนองไม่สนใจ น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นห้วนอยู่บ้าง แต่ไม่มากมายอะไรนัก “นั่งก่อนสิ แล้วเล่าให้เราฟังหน่อยสิ ว่าวันนี้ เจ้าพี่พาเจ้าไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง?”

    อมริสานั่งลงบนเก้าอี้บุนวมอ่อนนุ่ม ก่อนจะยิ้มให้กับเจ้าหญิงของซาฮาลอย่างเป็นมิตร

    “ก็หลายที่ค่ะ อย่างที่ตลาด สวนดอกไม้ หรือแม้กระทั่งทะเลทรายสีขาว”

    “เจ้าชอบซาฮาลไหม?” จู่ๆเจ้าหญิงเซรียาก็เปลี่ยนคำถาม หากอีกฝ่ายดูจะจริงใจยิ่งนักเมื่อพยักหน้ายอมรับในทันที

    “ชอบค่ะ ที่นี่สวยมาก ผู้คนก็ใจดี มีน้ำใจต่อฉัน”

    “โดยเฉพาะเจ้าพี่เฟรซาสินะ?” เสียงเย็นยะเยียบต่อให้ราวกับประชด อมริสาจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างตะขิดตะขวงใจนิดๆ

    ไม่แน่ใจแล้วว่าเจ้าหญิงของซาฮาลจะมาไม้ไหนกันแน่ มิตรหรือศัตรู?

    “เจ้าชายดีกับฉันมาก แต่ก็ทรงดีด้วยในฐานะเจ้าบ้านค่ะ”

    “พูดอย่างนี้ ถ้าเราไม่ดีกับเจ้าเช่นเจ้าพี่ มันก็คงใช่ที่สินะ” เซรียาเยาะหยัน ก่อนจะปรบมือเรียกสาวใช้เข้ามาข้างใน พร้อมด้วยห่อผ้ามะหยี่ ซึ่งมีกลิ่นหอมประหลาดโชยชายมาจากข้างใน

    นางกำนัลวางห่อผ้าสีแดงสด ลงบนโต๊ะเบื้องหน้าเจ้าหญิงทั้งสองอย่างระมัดระวัง แล้วค้อมกายเดินจากไป ลับหลังร่างของเจ้าหล่อนเท่านั้น เจ้าหญิงเซรียาก็คว้าห่อผ้านั้นมาแกะออกดูของข้างใน

    อมริสามองตาม แล้วก็ได้เห็น ว่ามันเป็นเตาเผาเครื่องหอมจำพวกกำยาน ลดลายประณีตวิจิตรบรรจงคล้ายเถาวัลย์ ที่โอบพันดอกกุหลาบช่องามเอาไว้ไม่ยอมปล่อย…

    “นี่คือเตาเผากำยาน ของเก่าแก่ของที่นี่ เป็นของที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษของข้า…ข้าขอยกมันให้เจ้า เพื่อเป็นการต้อนรับ การมาเยือนซาฮาลของเจ้าก็แล้วกัน”

    เจ้าหญิงยิ้มหวาน เป็นมิตร ชวนให้ไว้วางใจ หากให้อย่างไร อมริสาก็ยังรู้สึกหวาดๆกับลูกตาเป็นประกายกร้าวของฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี

    ใครบางคนเคยกล่าวไว้ ว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ…คนเรา ซ่อนอะไรก็ซ่อนได้ …แต่ดวงตานั้น ไม่สามารถหลอกลวงได้…

    เพียงแค่เราจ้องมองดวงตา ก็จะสามารถรับรู้ได้แล้ว ว่าผู้ใดจริงใจต่อเราอย่างแท้จริง…

    อมริสาอาศัยสัญชาตญาณเป็นตัวตัดสินมากกว่าจะใช้ความชำนาญ เพราะชีวิตที่อยู่แต่ในขนบประเพณีที่บีบรัด ไม่ทำให้หญิงสาวได้มีโอกาสผจญภัยกับความผันแปรของอารมณ์มนุษย์มากมายนัก…โลกของอมริสาเล็ก แต่ก็ยังสวยงาม และเต็มไปด้วยความอบอุ่นแห่งมิตรภาพ…

    หากเจ้าหญิงผู้เลอโฉมเบื้องหน้าเธอขณะนี้ ไม่สามารถให้ความรู้สึกที่เข้าใกล้แล้วชวนปลอดภัยได้อย่างที่ควรจะเป็นเลย…

    ประหลาดนัก…ทั้งๆที่เจ้าหญิงเซรียาก็แสนจะต้อนรับเธอด้วยไมตรีจิตเปี่ยมล้นแท้ๆ

    “ขอบพระทัยเจ้าหญิงมากเพคะ ฉันไม่มีสิ่งใดตอบแทน ก็ได้แต่ขอบคุณท่านอย่างยิ่งเท่านั้น”

     “มิได้ ข้าเพียงต้องการให้เราเป็นมิตรที่ดีต่อกันเท่านั้น” เจ้าหญิงเซรียาแย้มยิ้ม และเลยทำให้อีกฝ่ายต้องยิ้มตามออกมาด้วยโดยอัตโนมัติ

    “ค่ะ ฉันก็ต้องการเช่นนั้น”

    “งั้นก็ดีแล้ว ต่อไป ถ้าข้าชวนเจ้าไปเที่ยวบ้าง ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ปฏิเสธข้าใช่ไหมอามาริซา?” เจ้าหญิงเซรียาลุกขึ้นยืน ทำท่าว่ากำลังจะออกจากห้องของอมริสาเสียที หญิงสาวเจ้าของห้องลุกขึ้นยืนตาม เตรียมส่งอีกฝ่ายอย่างสุภาพ

    “ฉันเต็มใจค่ะ แล้วก็ดีใจอย่างยิ่งทีเดียว ที่จะได้เจ้าหญิงเป็นเพื่อนอีกคน”

    เจ้าหญิงเซรียาก้มหน้าแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ หากแววตาคมเฉี่ยวนั้นเป็นประกายแข็งกร้าว แสดงความเย็นชาผิดกับริมฝีปากอิ่มหนาคู่สวย

    อย่างที่นึกเอาไว้ไม่ผิดทีเดียว เจ้าหญิงอามาริซาก็โง่เง่าเต้าตุ่น เชื่อคนง่ายดายอย่างนี้เอง ดี…แผนของเธอจะได้สำเร็จได้ง่ายๆไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอะไรมากมาย

    “ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับตำหนักเสียที ขอบใจสำหรับมิตรภาพที่ดีของเจ้ามากนะ อามาริซา”

    เจ้าหญิงเซรียากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป และเพียงเท้าเรียวก้าวพ้นออกไปจากหน้าประตูห้องของอามาริซาเท่านั้น ก็มีอันต้องหยุดกึก เพราะร่างสูงใหญ่ของคนที่ก้าวตรงมานั้น คือเจ้าชายเฟรซา ญาติผู้พี่ที่เธอหลงรักปักใจ

    “อ้าว เซรียา เจ้าก็มาเยี่ยมริซซาด้วยเหมือนกันหรือ?” เขาทักเธอ หากถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยชื่อเล่นของอมริสานั้น แสลงใจคนฟังพิลึก

    เจ้าหญิงเซรียายิ้มจืดเจื่อน รู้สึกฝืนคอเพราะแรงริษยาที่ร้อนรุ่มเผาผลาญหัวใจ

    “ค่ะ เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่จะต้องมาต้อนรับแขกของเจ้าพี่”

    “ดี พี่อยากให้เจ้าเป็นเพื่อนที่ดีของริซซาด้วย นางไม่มีเพื่อนที่ไหน ยังไง ก็ต้องขอฝากเจ้าด้วยนะ”

    เขามีหน้ามาฝากฝังให้เธอดูแลนังนั่นหน้าตาเฉย!!

    เซรียาแสนจะแค้นเคือง ดวงตาคมกร้าวของเธอวาวโรจน์เกรี้ยวกราด หากหญิงสาวจำเป็นต้องก้มหน้า ซุกซ่อนความร้อนแรงแห่งเพลิงริษยานั้นเอาไว้มิดเม้น

    “เจ้าพี่ดูจะห่วงใยนางมากนะเพคะ…?” เซรียาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเสียงสั่นเทาน้อยๆเกรงกลัวเหมือนกันกับคำตอบ เพราะเธอรู้จักเจ้าชายเฟรซาดี…

    เธอรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมากับความต้องการของตัวเอง และความที่เป็นถึงเจ้าชาย มักจะได้ ในทุกสิ่งที่ปรารถนา ทำให้เฟรซา ไม่จำเป็นต้องปิดบังความต้องการของตนเอง

    เช่นคราวนี้…เมื่อเจ้าชายหนุ่มตอบกลับมาตามตรง ก็ทำเอาเจ้าหญิงเซรียาแทบดาวดิ้นลงไปกองกับพื้นพรหมตรงหน้า

    “เจ้ากล่าวมาไม่ผิดเลย…พี่เป็นห่วงริซซามาก และพี่ก็หวังว่าเจ้าจะดีกับนางให้มากๆนะน้องรัก”

    “เพคะ”

    เจ้าหญิงเซรียาน้อมรับคำสั่งของร่างสูงเบื้องหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก หากก็จำเป็นต้องแสร้งทำหน้าชื่นตาบานให้เจ้าชายตายใจ

    รอก่อนเถิด อีกไม่นานหรอก…อีกไม่นาน เจ้าพี่เฟรซาก็จะเลิกสนใจนังนั่น แล้วหันกลับมามองเธอแต่เพียงผู้เดียวตลอดกาล…

    เจ้าพี่จะต้องทรงทราบ…ว่าเซรียาคนนี้ต่างหาก ที่คู่ควรจะเป็นพระชายาของท่าน หาใช่นังเจ้าหญิงไร้บัลลังก์คนนั้นไม่!!!

    ++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×