คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ต่อบทที่5 ค่า^^
5.
คุณอธินกลับมาถึงบ้านในตอนเย็นก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะแทนที่ลูกสาวจะอยู่ด้วยกันสองคนกับป้ามาลัย แม่บ้านสาวใหญ่คนคุ้นเคยกัน กลับมีแขกแปลกหน้าท่าทางดี คอยกุลีกุจอช่วยงานครัวโยสิตาอย่างสนิทสนม ราวกับรู้จักมักคุ้นกับลูกสาวและบ้านของเขามาเป็นแรมปี ทั้งที่คุณอธินเพิ่งเคยเห็นหน้าของเจ้าหนุ่มนี่เป็นครั้งแรก
“สวัสดีครับคุณอา ผมชื่อกฤต เป็นเพื่อนของคุณโยครับ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้สูงวัยอย่างนอบน้อม ยิ้มให้อย่างเปิดเผยซื่อตรง แม้ว่าสีหน้าของนักโบราณคดีรุ่นใหญ่จะออกไปในทาง “บึ้งตึง” ก็ตาม
“กฤตหรือ...นี่คุณคงไม่ใช่ คุณกฤตธร...” คุณอธินยกมือรับไหว้ พลางมองลูกสาวเหมือนจะถาม พอโยสิตาพยักหน้าพร้อมเอ่ยรับคำเสียงเบา หนุ่มใหญ่ก็ถึงกับนิ่งอึ้ง
กฤตธร ลูกชายคนเล็กของนายกสินทร์มาทำอะไรในบ้านของเขากัน!
“คือ...คุณกฤตธรเขาไปช่วยหนูซื้อของ แถมยังขนกลับมาช่วยทำอีก...หนูก็เลยเลี้ยงอาหารเย็นเป็นการตอบแทนเขาน่ะค่ะคุณพ่อ” โยสิตารีบรายงานเสียงอ่อย เห็นสีหน้ากังวลของบิดาแล้ว ก็ไม่สบายใจเอาเลย
บิดาเพ่งเล็งคุณกสินทร์เอาไว้ จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่ท่านจะต้องมีอคติกับกฤตธร ดูสิ เจ้าตัวไม่รู้อะไรเลย ยังคงยิ้มหน้าบานไม่ยอมหุบอยู่นั่น
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับที่ได้มารับประทานอาหารที่นี่กับคุณอาและคุณโย ถึงผมจะเป็นเพื่อนใหม่ของคุณโย แต่ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
กฤตธรยิ้มละไมหน้าระรื่น ขณะที่โยสิตาหน้าเสีย ใจหายวูบกับหน้าดุถมึงทึงของบิดา เธอเกรงว่าจะมีเรื่อง จึงจำต้องรีบไกล่เกลี่ย
“เอ่อ...หนูเห็นว่าคุณกฤตธรอุตส่าห์มีน้ำใจ ส่งบัตรเชิญมาให้คุณพ่อ เลยอยากตอบแทนเขาบ้าง คุณพ่อคงไม่ว่าอะไรนะคะ...”
“หนูตัดสินใจแล้ว พ่อจะว่าอะไรได้ล่ะ”
แม้บิดาจะยอมรับการตัดสินใจของเธอ แต่สีหน้าท่านก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
โยสิตามองตามหลังบิดาซึ่งเดินขึ้นชั้นสองไปเก็บเอกสาร และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอันเป็นกิจวัตรหลังกลับจากทำงานของท่านอย่างไม่สบายใจ หากไม่เพราะนายกฤตธรละก็...
เธอหันมามองตัวต้นเรื่อง ก็พบกับสีหน้ายิ้มแย้มไม่รู้ไม่ชี้ของอีกฝ่าย
“ท่าทางคุณพ่อคุณท่านจะเหนื่อยมากเลยนะ ไว้วันหลัง ผมเอาของบำรุงกำลังมาฝากท่านดีกว่า”
กฤตธรวาดแผนล่วงหน้าไปไกลลิบ ทำเอาหญิงสาวรีบอ้าปากร้องลั่น
“ไม่ต้องนะคะ คุณพ่อฉันท่านไม่อยากได้ของฝากของคุณหรอก เก็บของคุณไว้เถอะ”
“ทำไมล่ะ อย่างพวกโสมเกาหลีอะไรพวกนี้ ที่บ้านผมมีเยอะเลย แบ่งมาให้คุณพ่อคุณไม่ดีตรงไหน”
“ไม่ดีตรงที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วฉันจะรับของคุณมาได้ยังไง น่าเกลียดตายเลย”
“คิดมากจังเลยคุณ ผมบอกแล้วไง ผมคุ้นเคยกับคุณมาก...อย่างกับรู้จักกันมาเป็นพันปีเลยด้วยซ้ำ”
เป็นอีกครั้งที่กฤตธรพูดจาประมาณนี้ แรกๆโยสิตาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก คิดว่าเขาเล่นมุขจีบสาวเชยๆ แต่ตอนนี้เธอกลับนึกไปถึงความฝันเหมือนจริงที่เคยฝันเห็น
ถ้านับยุคสมัยในความฝันมาจนถึงทุกวันนี้ ก็คงเป็นพันปีจริงอย่างที่เขาว่าได้อยู่หรอก
แต่มันไม่ใช่ความจริงนี่ อย่าไปหลงคารมเขาเข้าเป็นอันขาดเชียวนะยายโยสิตา!
“ฉันไม่ชอบมุขจีบสาวเชยๆของคุณ แล้วครั้งนี้แค่ครั้งเดียวที่ฉันจะยอมให้คุณเข้ามากินข้าวในบ้าน ขอบอกไว้เลย ว่าจะไม่มีครั้งต่อไปแน่ คุณกฤตธร”
เธอย้ำหนักแน่นใส่หน้าอีกฝ่าย ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้องครัว จัดแจงตักอาหารใส่ถ้วยชาม เพื่อลำเลียงไปตั้งบนโต๊ะอาหาร รอให้บิดากลับลงมาเพื่อจะได้เริ่มต้นมื้ออาหารเย็นของวันนี้เสียที
หลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เดินออกมาส่งแขกไม่ได้รับเชิญที่รถของเขาซึ่งจอดอยู่นอกประตูรั้วบ้าน
“ขอบคุณที่เลี้ยงอาหารนะครับ คุณโย...”
กฤตธรแอบขันหน้าตึงของอีกฝ่าย จึงแหย่ด้วยการแกล้งเรียกชื่อเล่นเธอเสียงยาวยานคาง
หญิงสาวหันขวับมาส่งตาลุกวาบมองเขาในทันที
“ฉันบอกแล้วไง ไม่อนุญาตให้คุณเรียกชื่อเล่นของฉันนะคะคุณกฤตธร”
“ผมก็บอกแล้วไง ว่าอนุญาตให้คุณเรียกชื่อเล่นผมได้ คุณจำไม่ได้หรือครับ” คนตัวโตยิ้มละไม แกล้งยื่นหน้าเข้าไปต่อตากับหญิงสาวในระยะกระชั้นชิด
โยสิตาถอยหลังไปตั้งหลักหลายก้าว ตากลมโตตวัดมองฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่พอใจเปิดเผย
คนบ้า เขาว่าตัวอยู่ ยังมีหน้ามายอกย้อนอีก!
“ฉันไม่กล้าอาจเอื้อมหรอกค่ะ ฉันเป็นแค่ลูกจ้าง จะไปตีตนสนิทสนมกับนายจ้างได้ยังไงกันล่ะ” หญิงสาวหาข้ออ้างจนได้
“คุณไม่ต้องเอื้อม อยู่เฉยๆ เดี๋ยวผมเข้าไปหาคุณเอง”
ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มยังสาวเท้าก้าวตามเข้ามาหยุดอยู่ต่อหน้าหญิงสาวอีกจนได้
โยสิตาถอยจนแผ่นหลังปะทะเข้ากับรั้วประตูบ้าน ร่างสูงใหญ่ของกฤตธรจึงเหมือนเป็นกำแพงใหญ่ที่ขวางหน้าและคุกคามเธออยู่ในที
“คบกับผม รับรองเลยว่าคุณจะไม่เหนื่อย...สนใจไหมล่ะ” กฤตธรเอ่ยถาม พลางจ้องตาหญิงสาวเขม็ง โยสิตาใจเต้นแรง สับสนจนบอกไม่ถูก
กฤตธรต้องการอะไรกันแน่ แค่แกล้งเธอเล่นๆ หรือว่า...”จริงจัง”
“คุณกลับไปได้แล้ว ฉันจะเข้าบ้าน” เธอเสเปลี่ยนเรื่อง ไม่อยากต่อความกับเขาให้ยิ่งอึดอัด อีกไม่กี่อึดใจอีกฝ่ายก็ไปแล้ว
“คุณอยากให้ผมไปจริงๆหรือ” กฤตธรทอดเสียงถามอ่อนโยน อาวรณ์ เช่นเดียวกับตาคมของเขาที่ทอดมองมา โยสิตาขมวดคิ้วมุ่น มองเขาอย่างฉงน
“หมดธุระของคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“ใครว่าหมด มันยังเพิ่งเริ่มต่างหาก” กฤตธรมองตรงมาที่คนตัวเล็กกว่าแววตาอ่อนโยนเป็นประกายพริบพราว มีความหวัง “เอาไว้ วันหยุดนี้ผมจะมาใหม่นะครับ”
“หา คุณจะมาอีกทำไมกัน” หญิงสาวอุทานงุนงง ไม่เข้าใจเขาอย่างยิ่ง
“ยังจะถามอีก ผมก็มาจีบคุณน่ะสิ อย่าบอกนะว่าไม่รู้” กฤตธรบอกตรงแหน่ว ทำเอาอีกฝ่ายร้องลั่น
“ต้องมาจีบทำไม ฉันเป็นแค่คนธรรมดา”
“แล้วผมไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนคุณตรงไหน แล้ว...มีกฎหมายข้อไหน ห้ามจีบคุณด้วยหรือครับ คุณโย”
ชายหนุ่มตอบกวนๆ ดวงตาคมกล้าพราวระยับ จับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าหวานใสของหญิงสาว ท่าทางเธอไม่เชื่อถือ หากกฤตธรยังคงย้ำชัด แน่วแน่
“ผมชอบคุณตั้งแต่แรกที่เห็นแล้ว...ถ้าคุณไม่ใจร้ายเกินไป ผมขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองได้ไหม”
“ฉันไม่ได้ว่างมาทำเรื่องไร้สาระ งานเสร็จเมื่อไหร่ เราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเจอกันอีก” โยสิตาบอกไปเช่นนั้นแล้วก็อดใจหายเสียเองไม่ได้
คงเพราะความฝันแสนประหลาดนั้นที่ตามก่อกวนใจเธอให้ไม่สงบเหมือนเดิม
“ผมเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเราต้องได้พบกันอีก แล้วเรามาลองดูกัน ว่าระหว่างคุณกับผม ใครจะทายแม่นกว่ากัน”
หญิงสาวนิ่วหน้า เผลอทำปากยื่นอย่างขัดอกขัดใจ ก่อนจะสะดุ้งโหยงรีบกลับมาเม้มริมฝีปากแน่น เพราะอีกฝ่ายมองมาตาพราวระยับ
โยสิตาขึงตาดุใส่อีกฝ่าย หากชายหนุ่มกลับหลิ่วตา หยอกเย้า
“ผมไปก่อนนะคุณโย แล้วค่อยเจอกัน” เขายิ้มระรื่นส่งมาให้ ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถ แล้วขับจากไป ทิ้งให้หญิงสาวมองตามรถสปอร์ตหรูของชายหนุ่มไปอย่างหนักใจแกมหมั่นไส้
“เหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนอะไร...มุขจีบสาวอย่างนี้ คงหว่านไปทั่วน่ะสิ คนบ้า!”
เธอพึมพำ ย่นจมูกตามหลังฝ่ายตรงข้ามไป ก่อนจะสะบัดหน้า ซอยเท้ากลับเข้าไปในบ้าน
โยสิตาคิดว่าหมดเรื่องยุ่งแล้ว แต่พอกลับเข้าไปในบ้าน หญิงสาวก็ต้องชะงักเพราะบิดารอเธออยู่ก่อนแล้ว
สีหน้าไม่สบายใจของอีกฝ่าย ทำให้ลูกสาวชะงักงัน หน้าเจื่อนไป
“คุณพ่อ...”
“นายกฤตธรเขาจีบลูก...” ไม่ใช่แค่โยสิตาจะดูออก แต่คุณอธินเองก็เช่นกัน
แก้มนวลใสของหญิงสาวแดงระเรื่อขึ้นกว่าปกติ เธออดเก้อเขินไม่ได้เมื่อบิดาเอ่ยเช่นนี้
“เขา...เขาก็แค่คนหน้าตาดีที่ชอบบริหารเสน่ห์ หนูไม่สนใจหรอกค่ะ”
“ไม่รู้สิ...พ่อสังหรณ์ใจไม่ดีเลย...” คุณอธินถอนหายใจยาว
“สังหรณ์ใจไม่ดี...ยังไงคะคุณพ่อ” โยสิตาย้อนถามเสียงอ่อย
“พ่อกลัวว่า เราจะหนีครอบครัวนายกสินทร์ไม่พ้นน่ะสิ”
“คุณพ่อมั่นใจว่านายกสินทร์ขโมยเอาสมบัติชาติไปจริงๆใช่ไหมคะ”
หญิงสาวพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่รู้สิ หมู่นี้พ่อไม่สบายใจยังไงก็ไม่รู้”
คุณอธินถอนหายใจยาว ยกมือลูบศีรษะลูกสาวอย่างปลอบโยน ให้คลายกังวล
บางทีเขาอาจจะคิดมากเกินไป ลูกเขาไม่ใช่คนโง่ที่จะถูกผู้ชายอย่างนายกฤตธรหลอกง่ายๆหรอก
อีกไม่กี่วันทุกอย่างก็จะกระจ่างชัด เมื่อเวลานั้นมาถึง ลูกสาวของเขากับกฤตธรก็ต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามกันชัดแจ้ง และเจ้าหนุ่มคนนั้นก็คงเลิกมายุ่งวุ่นวายกับโยสิตาเอง
คุณอธินคาดหวังเช่นนั้น หากก็ยังไม่วายกลัดกลุ้ม หนักใจอยู่ลึกๆ
วันต่อมา ขณะที่โยสิตานั่งทำงานอยู่ในร้านกำลังเพลินอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองอยู่นั้น ประตูกระจกหน้าร้านก็ถูกผลักเข้ามา หญิงสาวเงยหน้าขวับ คิดว่าเป็นลูกค้า หากก็ต้องแปลกใจ เพราะกลายเป็นเด็กส่งดอกไม้ ที่หอบเอากุหลาบสีชมพูช่อใหญ่เข้ามาพร้อมเสียงเอ่ยถาม
“คุณโยสิตาอยู่ไหมครับ”
“อยู่ค่ะ”
“มีดอกไม้ส่งมาถึงคุณครับ ช่วยเซ็นรับด้วย”
โยสิตาเซ็นรับดอกไม้อย่างงุนงง นึกไม่ออกว่าใครมาเล่นตลกกับเธอ หรือจะมีคนส่งผิด เธอรอกระทั่งเด็กส่งดอกไม้ออกจากร้านไปแล้ว จึงจัดแจงค้นหาการ์ดบ่งบอกที่มาของช่อดอกไม้เป็นการด่วน
การ์ดกระดาษแข็ง ลายดอกไม้เล็กๆน่ารักซ่อนอยู่ใต้ช่อดอกไม้ เป็นลายมือหวัดแต่อ่านออกชัดเจน
‘ดอกไม้สำหรับวันทำงานที่สดใสของคุณ...
กฤตธร ‘
โยสิตาขมวดคิ้วน้อยๆ พลิกดอกกุหลาบช่อใหญ่แสนสวยกรุ่นกลิ่นหอมแสนหวานมองอย่างประเมิน นี่มันน่าจะหลายเงินอยู่ อีตากฤตธรอวดร่ำอวดรวยหรืออย่างไร
คิดเหรอว่าดอกไม้แค่นี้เธอจะสน
โยสิตาตั้งท่าจะโยนช่อดอกไม้ลงถังขยะ แต่แล้วก็กลับชะงัก เปลี่ยนใจกะทันหัน โยนทิ้งก็เสียของแย่น่ะสิ เรื่องอะไร...เอามาแต่งร้านดีกว่า...ดีเหมือนกัน ดอกไม้ในแจกันของเดิม เหี่ยวแห้งเหลืองกรอบไปแล้วด้วย
เธอจัดแจงเอาช่อดอกไม้ช่อใหญ่สวยสะดุดตาไปใส่แจกันที่ตู้กระจกโชว์สินค้าข้างๆ ร้านเล็กๆของเธอดูสดใสขึ้นมาทันตาเห็นทีเดียว
หญิงสาวก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่ออย่างมีสมาธิ กระทั่งอีกครู่ใหญ่ๆต่อมา เสียงโทรศัพท์มือถือของเจ้าตัวก็ร้องดังขึ้น โยสิตาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์โทร.เข้า เป็นเบอร์ใหม่ไม่คุ้นเคย แต่ก็กดรับ ทักทายไปด้วยเสียงสุภาพ
“สวัสดีค่ะ”
“ได้รับดอกไม้ที่ผมฝากไปให้แล้วหรือยังครับ”
แค่เขาถามมา เธอก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“ได้รับแล้วค่ะ แต่ไม่ขอบคุณนะคะ เพราะฉันไม่ได้ขอ แล้วก็ไม่ได้อยากได้ดอกไม้ด้วย ไม่มีที่ว่างสำหรับดอกไม้ของคุณ เพราะดอกไม้มีเต็มร้านฉันอยู่แล้ว” เธอเกทับกลับไร้เยื่อใย หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะเบาๆ ทำอย่างกับขบขันเต็มประดา
“จริงน่ะ ร้านคุณเนี่ยนะ ดอกไม้เต็ม คราวก่อนผมแวะไปไม่เห็นมีสักดอก มีแต่ดอกไม้ปลอมฝุ่นเกาะหนาเตอะ”
หูย...นายกฤตธร ไม่ถึงขั้นนั้นเสียหน่อย โอเวอร์เกินไปไหมยะ!
“จะยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“ก็ผมอยากเกี่ยว” อีกฝ่ายตอบกลับมาทันควัน ไม่มีสะทกสะท้าน
“นี่ ฉันเบื่อจะพูดกับคุณแล้วนะคะคุณกฤตธร...ฉันไม่สนใจคุณ อย่ามาจีบฉันเข้าใจบ้างสิคะ เหนื่อยจะพูดแล้วนะ”
“ก็ผมจะจีบ คุณจะมาห้ามผมได้ยังไง”
โยสิตาเม้มริมฝีปากแน่น นิ่วหน้าใส่โทรศัพท์มือถือของตัวเองอย่างฉุนเฉียว
คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง ดื้อแพ่งดื้อพาณิชย์สุดๆ!
“ฉันจะเตือนคุณไว้ด้วยความหวังดีนะคะคุณกฤตธร ฉันเนี่ยเป็นคนนิสัยไม่ดีเอามากๆ เอาแต่ใจตัวเอง เห็นแก่ตัว ชอบนินทาชาวบ้าน ขี้เกียจ แล้วก็...งกด้วย ไม่มีดีเลย คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม ฉันหวังดีกับคุณจริงๆนะ เลิกมายุ่งกับฉันเถอะ แล้วชีวิตคุณจะดีขึ้น เชื่อสิ”
หญิงสาวสาธยายหว่านล้อมอีกฝ่ายให้เลิกล้มความตั้งใจ เพื่อชีวิตสงบสุขของเธอจะได้กลับมาเหมือนเดิม หากชายหนุ่มกลับหัวเราะลั่น ทำลายความหวังดีของเธอกลับมาเสียนี่
“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะครับ แต่ผมเองก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดี ผมก็ทั้งดื้อรั้น เอาแต่ใจ เห็นแก่ตัว แล้วก็...งกเหมือนกัน”
“งกแล้วซื้อดอกไม้แพงๆส่งมาทำไม” โยสิตารอเล่นงานเขาอยู่แล้ว คราวนี้นายกฤตธรต้องหน้า “หงาย” แน่
“นั่นเป็นการลงทุนต่างหาก ผมลงทุนกับคุณไปแล้ว ก็ต้องได้ผลตอบแทนคืนมา ไม่งั้นก็ไม่เลิกราครับ”
“หา!” โยสิตาอุทานหน้าเหลอ “ได้ไงล่ะคุณ คุณซื้อส่งมาเอง ไม่ใช่ความผิดฉันเสียหน่อย ขาดทุนไปเองสิ มาเรียกคืนกับฉันได้ยังไง บ้าเหรอ”
“ผมก็ว่า คู่เราแปลกดีนะ แทนที่จะเอาข้อดีอวดกัน กลับเอาแต่ข้อแย่ๆของอีกฝ่ายมาอวด...คู่ของเราต้องเป็นคู่แท้แน่ๆเลยคุณโย”
แหวะ เลี่ยนสุดๆ!!
โยสิตาทำท่าขย้อนไร้เสียง หมั่นไส้อีกฝ่าย
“คู่เวรคู่กรรมเหรอคะ นั่นสิ มิน่า ฉันถึงไม่ถูกชะตากับคุณตั้งแต่แรก”
“ไม่จริงหรอก คุณมองผมตาหวานออกขนาดนั้น ผมจำได้นะ”
พอชายหนุ่มทักมา แก้มขาวผ่องของหญิงสาวก็ร้อนผ่าว อับอาย
กฤตธรยังอุตส่าห์จำได้ นายคนนี้นี่ เรื่องอื่นเยอะแยะไม่รู้จักจำ ดันมาจำเรื่องที่เธอเสียหน้าที่สุด
ไม่รู้หน้าตาเธอตอนตื่นขึ้นมาเห็นเขา “หื่น” แค่ไหน ก็อีกฝ่ายดันหล่อลากดินเสียขนาดนั้น ใครจะไม่ตะลึง เขาน่าจะชินกับอาการประมาณนั้นของผู้หญิงแล้วไม่ใช่หรือ เรื่องอะไรมาตอกย้ำเธออยู่ได้
“นั่นมันแอ็คซิเดนท์...เพราะฉันกำลังไม่สบายหรอก ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้สนใจคุณเลยสักนิด”
“เอ้า คุณไม่สนผมก็ได้ แค่ผมสนคุณคนเดียวก็พอ” กฤตธรรู้ว่าไล่อีกฝ่ายก็ไม่จนมุม เจ้าหล่อนไถลไปเรื่อยนี่นะ
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ฉันไม่สนคุณ ไม่ต้องการของคุณด้วย ต่อไปไม่ต้องส่งดอกไม้มาให้อีกด้วยนะ ถังขยะร้านฉันมันเต็มก็เพราะดอกไม้ของคุณนี่ล่ะ” โยสิตาโกหกเกทับอีกฝ่ายไปเลย เขาจะได้เลิกมาวุ่นวายกับเธอเสียที ที่ไหนได้
“คนขี้งกอย่างคุณน่ะเหรอจะทิ้งดอกไม้ราคาแพงอย่างนั้นได้ลงคอ ผมไม่เชื่อหรอก แต่ถ้าคุณอยากทิ้งก็ไม่เป็นไร ผมจะส่งให้ทิ้งอีกเยอะๆ ถ้าคุณได้ทิ้งดอกไม้แล้วคิดถึงผมบ้าง มันก็คุ้มค่าแล้ว”
อีตาบ้า คนโรคจิต!!
โยสิตายอมเสียมารยาทตัดสายสนทนากับอีกฝ่ายทิ้ง โกรธจนหน้าแดงก่ำ ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาเจอคนหน้าด้านช่างตื๊ออย่างนี้
ดูสิ คนฉลาดอย่างเธอทำอะไรไม่ถูกเลย แค่เสียงยียวนกวนประสาทของเขา สมองเธอก็มึนงง หน้าร้อนผะผ่าวไปหมด
ตอนนี้นอกจากเธอจะต้องขบคิดว่าจะแต่งหน้าให้ลูกค้าที่มาถ่ายรูปอย่างไรดีแล้ว เธอยังต้องคิดหาทางรับมือนายกฤตธรอีก เสียสมองชะมัด!!
ชายหนุ่มวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะทำงานกระจกใสตัวใหญ่ต่อหน้า ริมฝีปากบางหยักลึกแย้มเป็นรอยยิ้มครึ้มอกครึ้มใจ ยิ่งนึกถึงใบหน้าหวานแสนงอนของอีกฝ่ายที่เพิ่งตัดสายหนีเขาไป กฤตธรก็หัวใจพองโตไปด้วยความสุข
ถึงโยสิตาจะตั้งป้อมต่อต้านเขา แต่ลึกลงไปชายหนุ่มกลับมั่นใจอย่างประหลาดว่าเขากับเธอจะไม่ล้มเหลวอย่างคู่อื่นแน่
อยู่ที่เวลาเท่านั้นล่ะ โยสิตา...
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่บานประตูจะถูกผลักเข้ามา กฤตธรหันขวับไปมองผู้เข้ามาใหม่ ซึ่งไม่ใช่เลขาฯ หน้าห้องของเขา แต่เป็นชายหนุ่มในชุดสูทประณีตและหญิงสาวร่างระหงในชุดเดรสยาวแสนหวาน ใบหน้าสวยเด่นจัดจ้าน
“พวกเรามากวนเวลาคุณเล็กหรือเปล่าคะนี่” หญิงสาวเอ่ยพลางส่งยิ้มหวานให้น้องชายของคนรัก
“นั่นสิ กำลังเหม่อคิดถึงสาวที่ไหนอยู่หรือเปล่าเจ้าเล็ก” กวินทร์เอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะขบขัน เจ้าน้องชายนั่งมองมาตาปริบๆ
“ใครจะโชคดีอย่างพี่ใหญ่ล่ะ มีคุณเมอยู่แล้วทั้งคน ความรักหวานชื่น น่าอิจฉา”
“แหม...ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อยค่ะคุณเล็ก” เมธาวียิ้มกว้าง สบตาคมของกฤตธร แก้มร้อนผ่าว
แม้จะคบหากับกวินทร์มาหลายปีแล้ว แต่จนบัดนี้เมธาวีก็ยังอดเสียดายกฤตธรไม่ได้ หากได้รู้จักกับเขาก่อน บางทีคนที่เธอจะแต่งงานด้วย อาจไม่ใช่กวินทร์
ถึงสองหนุ่มจะเป็นพี่น้องบิดามารดาเดียวกัน แต่หน้าตากลับออกไปคนละโซน กวินทร์หล่อใส ขาวจัด คมคายแบบหนุ่มเกาหลี ในขณะที่กฤตธรผิวขาวเช่นกัน แต่กลับคมเครื่องเข้มเด่นดึงดูดสายตาชวนมองมากกว่า
สรุปโดยรวมก็คือกฤตธรดูมีสง่าราศีโดดเด่นมากกว่าพี่ชาย หากสองหนุ่มเดินอยู่คู่กัน เธอเชื่อเหลือเกินว่าทุกคนจะต้องจับจ้องสนใจกับกฤตธรมากกว่าจะเป็นกวินทร์ ทั้งที่กวินทร์มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าน้องชายเสียด้วยซ้ำ
“เราจะไปกินข้าวกลางวันน่ะ ไปด้วยกันนะนายเล็ก” กวินทร์เอ่ยปากชวนน้องชาย หากอีกฝ่ายนั้นส่ายหน้าไปมายิ้มๆ
“กลั้นใจชวนหรือเปล่าพี่ใหญ่ ผมไม่อยากไปเป็นก้างขวางคอใครหรอกครับ กินข้าวไม่อร่อย”
“แน้ ดูพูดเข้า พวกเราไม่คิดว่าคุณเล็กเป็นก้างขวางคอสักหน่อย” เมธาวีรีบบอกให้เขาคลายกังวล หวังว่าอีกฝ่ายจะยอมไปด้วยกัน หากกฤตธรยังคงส่ายหน้า
“เดี๋ยวผมสั่งของในโรงแรมมาทานดีกว่า ว่าจะไปเดินดูความเรียบร้อยที่ห้องจัดงานนิทรรศการด้วยครับ”
“ที่ห้องจัดงานน่ะเหรอ พี่กับคุณเมเพิ่งไปดูมา ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก ทุกอย่างเรียบร้อยดี” กวินทร์รีบบอกน้องชาย
“ถึงอย่างนั้นผมก็อยากไปดูอีกทีครับ เผื่อจะมีอะไรหลงหูหลงตา ผมไม่อยากให้วันสำคัญของคุณพ่อมีอะไรผิดพลาด”
กฤตธรส่งยิ้มให้หนุ่มสาวทั้งคู่ พอใจที่ได้เห็นพี่ชายดูมีความสุขสมหวัง เขารู้ว่าพี่ใหญ่ของตนเองให้ความสำคัญกับเมธาวีมากเพียงไร
พี่ใหญ่มีความสุข เขาก็มีความสุขไปด้วย จบงานวันแซยิดของบิดา ก็คงถึงทีที่เขาจะต้องเร่งทำคะแนนกับโยสิตาบ้าง
กฤตธรเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเจ้าของตากลมโตคู่หวานสดใส หารู้ไม่ว่ารอยยิ้มของตนเองจะทำให้เมธาวีนิ่งขึงตะลึงมองไม่วางตา
“แน่ะ เจ้าเล็ก ทำตาเคลิ้มอีกแล้ว หมู่นี้แปลกๆไป สงสัยจะตกหลุมรักใครเข้าแล้วละสิ” กวินทร์ล้อน้องชาย มองออกว่าอาการอย่างนี้ของกฤตธร ไม่พ้น “ตกหลุมรัก” แน่นอน
เขาเคยเป็นมาก่อน รู้ดียิ่งกว่าใครๆ
“พี่ใหญ่อย่ามาล้อผมหน่อยเลย ของผมยังไม่รู้อนาคต ไม่เหมือนพี่กับคุณเมหรอก จะแต่งงานกันอยู่แล้ว ไม่เอาดีกว่า ผมไปตรวจงานล่ะ เชิญพี่กับคุณเมตามสบายเลยนะครับ”
กฤตธรขอตัวจากหนุ่มสาวทั้งคู่ ไม่อยากถูกพี่ชายแซวมากไปกว่านี้
ยิ่งพี่ใหญ่พูด เขาก็ยิ่งคิดถึงโยสิตา...
ชายหนุ่มเดินไปตามพื้นปูพรมนุ่มสีน้ำเงิน ผ่านไปยังส่วนในสุดซึ่งเป็นห้องโถงกว้าง มีทางเชื่อมจากห้องจัดนิทรรศการไปสู่สวนกว้างด้านนอก ซึ่งมีลานน้ำพุ และสวนไม้ดอกไม้ประดับงามสะพรั่งเพราะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
ทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีที่ติจริงดั่งที่พี่ชายของเขาว่ามาเมื่อครู่...
ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ และมาหยุดอยู่ที่ตู้กระจกใส ภายในบรรจุศิลาจารึกแผ่นหนึ่งเอาไว้ ถึงจะเป็นแค่แผ่นศิลาทำจากหินทรายเก่าๆ แลดูธรรมดาไม่ได้มีอะไร แต่กลับดึงดูดความสนใจของกฤตธรอย่างประหลาด ร่างสูงก้าวเข้าไปหยุดอยู่หน้าตู้กระจก ตาคมเพ่งพินิจอักขระภาษาโบราณที่สลักอยู่บนแผ่นศิลาเก่าคร่ำคร่านั้น
เขาอยากรู้เหลือเกิน ว่าจารึกนี้มีใจความว่าอย่างไร และใครเป็นเจ้าของมัน แต่ก็จนใจ ขนาดบิดาของเขาซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องของเก่าไม่น้อย ก็ยังหาคนมาแปลถ้อยคำในจารึกแผ่นนี้ไม่ได้
ว่ากันว่า นี่เป็นจารึกที่จำลองแบบมาจากของแท้ ซึ่งเก่าแก่อยู่ในช่วงสมัยระหว่างอาณาจักรฟูนัน ถึงอาณาจักรทวารวดี ก็น่าจะราวๆพุทธศตวรรษที่๖-๑๖ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ต้องนับได้ว่าต้นแบบของศิลาจารึกแผ่นนี้ เก่าแก่มากกว่าหนึ่งพันปีทีเดียว
วินาทีที่ชายหนุ่มสนใจอยู่กับศิลาจารึกเก่าแก่นั้น สายลมในสวนร่มรื่นพลันหยุดนิ่งสนิท สรรพสิ่งตกอยู่ในความสงัดเงียบดุจชั้นสุญญากาศ และแล้วเสียงบางอย่างกลับดังแว่วเข้ามาในโสตรับรู้ของเขาบางเบา
กฤตธรหันขวับไปกวาดตามองรอบๆกาย กระทั่งใบไม้ก็ยังนิ่งสนิท ไม่มีคลื่นลมใดๆพัดผ่านเข้ามา หากเสียงเมื่อครู่นี้เล่าคือสิ่งใด
เขาแน่ใจว่า ได้ยินเสียงเหมือนเสียงสวดมนต์ในพิธีกรรมอะไรบางอย่างดังแว่วท่ามกลางความสงัดเงียบ หากพอหันไปมองหาที่มาของเสียง ทุกสิ่งก็กลับหายไป
“แอ๊ด...”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาเรียกความสนใจจากชายหนุ่มแทนที่ความประหลาดใจเมื่อครู่ กฤตธรมองตรงไปที่หน้าประตู ก็แลเห็นร่างในชุดนุ่งขาวห่มขาวของคุณเกรียงหยุดยืนมองตรงมาที่เขาด้วยดวงตาลุกวาวไม่พอใจ
“ออกห่างมาจากจารึกนั่นเดี๋ยวนี้” เสียงแหบๆของผู้สูงวัยเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ กฤตธรเกือบสะดุ้ง แปลกใจกับท่าทางดุดันเอาเรื่องของฝ่ายนั้น
“ครับ คุณเกรียงว่าไงนะ”
“ผมบอกให้คุณออกมาห่างจารึกแผ่นนั้น เดี๋ยวนี้”
กฤตธรมองชายสูงวัยตรงหน้าอย่างประหลาดใจ ท่าทางดุดันของคุณเกรียงเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
และคงเพราะเห็นว่าชายหนุ่มมองอย่างฉงนนี่เอง ผู้สูงวัยจึงรู้สึกตัว รีบปรับเปลี่ยนเสียงให้นุ่มนวลขึ้น
“เอ่อ...ผมกลัวว่าคุณกฤตจะไปทำให้ของโชว์เสียหายน่ะครับ”
“ดูคุณเกรียงกังวลเรื่องของโชว์พวกนี้มากเลยนะครับ” กฤตธรเดินออกห่างจากแผ่นศิลาจารึก หากดวงตายังคงจับจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง
“ก็...ห่วงครับ...กลัวว่าเขาจะยิ่งยึดติด”
“คุณเกรียงว่าไงนะครับ” กฤตธรได้ยินตอนท้ายที่คุณเกรียงเอ่ยมาไม่ถนัดนัก อีกฝ่ายอุบอิบเหมือนบ่นให้ตัวเองฟังมากกว่า
“เปล่าครับ ไม่มีอะไร ห้องนี้ผมดูแลทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุณกฤตธรไม่ต้องห่วง ผมว่า...เราออกจากห้องนี้กันก่อนดีกว่าครับ”
ผู้สูงวับกลบเกลื่อน เชิญชวนให้อีกฝ่ายรีบออกไปจากห้องจัดแสดง กฤตธรมองท่าทางแปลกๆมีพิรุธของคุณเกรียงอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เขาเองก็ไม่มีธุระอะไรในห้องนี้ ทุกอย่างดูเรียบร้อยพร้อมสำหรับวันงานจริงดั่งที่คุณเกรียงว่ามาไม่ผิด
“โอเคครับ ผมจะไปกินข้าวกลางวัน คุณเกรียงไปด้วยกันไหมครับ”
“ขอบคุณ แต่ผมกินข้าวมื้อเดียว” คุณเกรียงยิ้มตอบอีกฝ่ายที่ไม่ถือเนื้อถือตัว สีหน้าดุขึงกลับมาเยือกเย็นขึ้น
“อ้อ ครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะ” กฤตธรเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบิดาเคยเล่าให้ฟังว่า คุณเกรียงนุ่งขาวห่มขาว และรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียวคือเวลาสิบเอ็ดนาฬิกา และหลังจากบ่ายไปแล้ว คุณเกรียงมักจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับการสวดมนต์ บริกรรมคาถาของเจ้าตัว จนเป็นที่รู้ไปทั่วในหมู่คนรู้จัก ว่าอีกฝ่ายเป็น “จอมขมังเวทย์”
พ่อของเขาเคยไปขอคำปรึกษาจากคุณเกรียงเมื่อหลายสิบปีก่อน ว่าจะลงทุนทำโรงแรมดีไหม คุณเกรียงก็ให้คำแนะนำทุกอย่างในด้านความเชื่อและกิจการก็เจริญรุ่งเรือง รุดหน้า จริงดั่งที่คุณเกรียงว่า ดังนั้นพ่อของเขาจึงยิ่งเคารพนับถือ ให้ความไว้เนื้อเชื่อใจคุณเกรียงเป็นอย่างยิ่ง
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณกฤต”
กฤตธรชะงัก เพราะจู่ๆอีกฝ่ายก็ตามมา แล้วเรียกเขาเอาไว้
“คุณเกรียงมีอะไรจะใช้ผมหรือครับ” ชายหนุ่มหันกลับไปมองอีกฝ่าย ใบหน้าเหี่ยวย่นนั้นราบเรียบ แววตาคมดุลุ่มลึก อ่านยากราวกับน้ำในบ่อที่นิ่งสนิท
“ถ้าไม่จำเป็น อย่าเข้าใกล้ศิลาจารึกของจันทปุระอีก...ศิลาแผ่นนี้จะทำลายดวงคุณให้ตกต่ำ...มีเคราะห์อาจต้องเสียของรัก”
“หา” ชายหนุ่มอุทาน งุนงง ต้องปรับสมองตามที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกให้ทัน แล้วค่อยเอ่ยถาม “หมายความว่า...ถ้าผมไม่เข้าใกล้ศิลาแผ่นนั้นแล้ว จะไม่เสียของรักหรือครับ”
“อาจจะ” คุณเกรียงตอบก้ำกึ่ง สีหน้าจริงจัง “ดวงของคุณมีเกณฑ์จะต้องเสียของรัก...เป็นอย่างนี้มานานแล้ว...แต่คุณมีบุญเก่าเกื้อหนุน กรรมเก่าจึงตามไม่ทัน...แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันตามมาถึง...วันใดก็วันหนึ่ง คุณจะต้องเสียของรัก อาจไม่ใช่ชาตินี้...ก็ชาติหน้า ตราบจนกว่าจะสิ้นสุดการจองเวร”
กฤตธรนิ่งอึ้ง ได้แต่มองผู้อาวุโสตรงหน้าตาปริบๆ งุนงง ไม่เข้าใจ
“ผมมีเจ้ากรรมนายเวรหรือครับ” ชายหนุ่มอุทานถาม ติดขบขันมากกว่าจะเชื่อถือ
“คนเราทุกคนก็มีเจ้ากรรมนายเวรกันทั้งนั้น...อยู่แต่ว่า เจ้ากรรมนายเวรของใครจะอาฆาตแค้นรุนแรงมากกว่ากัน...ในกรณีของคุณ เจ้ากรรมนายเวรของคุณเขาตามมานานแล้ว มันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เขาจะอาฆาตรุนแรง...”
“งั้นพรุ่งนี้ผมจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขา ขอบคุณคุณเกรียงที่เตือนนะครับ” กฤตธรก้มศีรษะให้คุณเกรียงเล็กน้อยก่อนจะเดินยิ้มจากไป ไม่ทุกข์ร้อนกับคำบอกของชายสูงวัย
คุณเกรียงเสียอีกที่มองตามชายหนุ่มไปแล้วส่ายหน้าเป็นกังวล
“มันไม่ง่ายอย่างที่คุณว่ามาน่ะสิ...ถ้าแค่ทำบุญธรรมดาแล้วเขารับ โลกนี้ก็คงไม่มีเจ้ากรรมนายเวรเหลือแล้วล่ะ”
---------------------------------------------------
************ ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ช่วงนี้ยุ่งนิดหน่อย แต่จะพยายามมาต่อให้เรื่อยๆนะคะ อิอิ
ประกาศหน่อยค่า เรื่องชื่อผี จากที่ษาสับสนมานาน งงกับตัวเองว่าจะเอาชื่อไหนกันแน่ ตอนนี้มาลงตัวแล้วนะคะ ขอเปลี่ยนชื่อผีในเรื่องเป็น "บุษกร" ค่ะ ต้องขออภัยในความไม่สะดวกด้วยนะคะ แล้วก็...
ขอบคุณมากที่แวะเข้ามาอ่านค่า^^
ษาค่ะ
--------------------------------------
ความคิดเห็น