คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่5ค่ะ ริซซาจะหนีล่ะ^^...
5.
อมริสากำลังทิ้งตัวลงไปนอกหน้าต่างเพื่อไต่เชือกจำเป็นซึ่งทำจากเศษผ้ามัดต่อๆเข้าด้วยกัน ตั้งใจว่าจะใช้เชือกนี้ นำพาตัวเองลงไปข้างล่าง แล้วค่อยหาทางลัดเลาะหนีออกนอกวังไปทีหลัง
กระโปรงยาวสีสดใสที่เธอสวมอยู่นี่ก็ไม่ค่อยเป็นใจเอาเสียเลย มันยาวเฟื้อยรุ่มร่ามน่ารำคาญ แม้ว่าเธอจะสวมกางเกงขายาวของตัวเองเอาไว้ข้างในแล้วชั้นหนึ่ง ก็ยังอดกระดากไม่ได้อยู่ดี
เพราะถ้ามีใครเดินผ่านมา แล้วเงยขึ้นมาตอนนี้ ชื่อเสียงเจ้าหญิงคงไม่เหลือดีเป็นแน่
เธอภาวนา คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย ขออย่าให้มีใครเดินผ่านมาเลย
หากคำภาวนาของหญิงสาวไม่สัมฤทธิ์ผลซักนิด เพราะเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น ร่างสูงสง่าที่เธอจำได้ติดตาก็เดินผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็ว อมริสาเกือบหลุดเสียงอุทานอย่างตกใจออกไปเสียแล้ว แต่ระงับเอาไว้ได้ทัน
ใจเย็นๆอมริสา กลั้นใจอดทนเอาไว้ อีกไม่กี่อึดใจเขาก็จะผ่านเลยไปแล้ว เธอบอกตัวเองอย่างนั้น มือบางที่กำผ้าไว้แน่นสั่นระริก ไม่แน่ใจ ว่าหากร่วงลงไปแข้งขาจะเป็นอย่างไรบ้างและที่สำคัญ
เฟรซาจะลงโทษเธอที่คิดหนีเขาไหม?
เจ้าชายกำลังจะผ่านบริเวณทางเดินตรงนั้นไปอยู่แล้วทีเดียว พลันเสียงร้องอย่างตกใจของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้น
อมริสาหันขวับไปตามเสียงนั้น แล้วหัวใจก็กระตุกวูบ เพราะปาลนั่นเองที่กำลังส่งเสียงตะโกนชี้โบ้ชี้เบ๊มาทางเธออยู่!!
เจ้าชายเฟรซาเงยหน้าขึ้นมามองตามที่ราชองครักษ์บอกทันที วินาทีนั้นอมริสาพลันอ่อนแรงขึ้นมาดื้อๆ
มือเรียวที่กำเชือกเอาไว้หลุดออก และร่างของเธอก็ลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่างอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณเอาตัวรอดยังช่วยเธออยู่บ้าง ให้สามารถไขว่คว้าเชือกได้อีกครั้ง เมื่อจวนจะถึงสุดปลาย หากมันก็ยังสูงเกินกว่าที่เธอจะสามารถกระโดดลงไปได้อยู่ดี
อมริสาหน้าซีดเผือด ลอยหมุนต่องแต่งไปมาอยู่ตรงนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคนที่เริ่มหันมาสนใจเธอ มากขึ้น และมากขึ้น
ทำยังไงดี เธอจะทำอย่างไรดี อายก็อาย มือก็เจ็บระบมจะหมดแรงอยู่แล้ว!!!
หญิงสาวหลับตาปี๋ นิ่วหน้า กำลังจนแต้ม นึกอะไรไม่ออกอยู่นั้น เสียงทุ้มที่เธอเริ่มคุ้นเคยแล้วก็ดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง
“กระโดดลงมาริซซา ไม่ต้องกลัว เราสัญญา ว่าเธอจะปลอดภัย ”
เฟรซานั่นเองที่ร้องบอกกับเธอเช่นนั้น หญิงสาวก้มหน้า สบตากับเขาอย่างไม่อยากเชื่อ หากบางอย่างในแววตามุ่งมั่นนั้นตอกย้ำให้เธอไว้เนื้อเชื่อใจ
“ฉัน ฉันจะลงไปก็ต่อเมื่อท่านสัญญา ว่าจะพาฉันไปเมืองไทย ”
หญิงสาวผู้ตกอยู่ในสภาพแทบเอาตัวเองยังไม่รอด ไม่วายต่อรองกับเขา ซึ่งเจ้าชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผงกศีรษะรับ
“ได้สิ ก็เราเคยสัญญาไปแล้วไงล่ะ ลงมาเถอะ ถ้าเกิดบาดเจ็บไป กำหนดเดินทางจะยิ่งล่าช้าออกไปอีกนะ”
อมริสาเม้มริมฝีปาก บอกตัวเองว่าเธอไม่ได้กลัวคำขู่ของเขาเลย แต่เธอไม่อยากกลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนขบขันไปมากกว่านี้ต่างหาก
มือเรียวจึงผละจากเชือกผ้าขนาดใหญ่ ปล่อยให้ร่างเล็กๆบอบบางนั้นลอยละลิ่วลงมาในอ้อมแขนของเจ้าชายเฟรซาอย่างไม่มีทางเลือก
เธอตกลงไปในอ้อมแขนแข็งแรงที่รอรับอย่างเหมาะเหม็งจนน่าอัศจรรย์ หญิงสาวมองหน้าโล่งใจของเจ้าชายซึ่งอยู่ใกล้กันแค่เพียงลมหายใจกั้นอย่างตกใจ ปนเปกับไม่แน่ใจ และซาบซึ้ง
หากแวบเดียวก็รีบปัดเจ้าความรู้สึกตัวหลังทิ้งไป เพราะใบหน้าของใครคนหนึ่งผ่านเข้ามาให้เธอรู้สึกผิดยิ่งนัก ที่เผลอไผลไปกับชายอื่นอย่างนี้
ราเอลต่างหาก คือคนที่เธอรัก ท่องเข้าไว้อมริสา จะได้ไม่ไขว้เขว
“เธอ ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม?”
เสียงทุ้มนุ่มนวล ถามไถ่อย่างห่วงใย อมริสากะพริบตาปริบๆภาพของราเอลเหมือนจะเลือนลางลงไปจนเธอตกใจ
“ท่าน ท่านไม่โกรธฉันหรอกหรือคะ?”
“โกรธสิ ทำไมจะไม่โกรธ” เขาว่า แต่เสียงนั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจจนบอกไม่ถูก “แต่เราจะคิดบัญชีกับเธอทีหลัง ตอนนี้ไปเข้าเฝ้าท่านพ่อกับเราก่อน”
เขาโอบอุ้มพาเธอออกเดินโดยไม่สนใจสายตาของใครๆโดยเฉพาะเจ้าหญิงเซรียา ซึ่งผ่านมาเห็นเข้าพอดี
ทว่าอมริสามองเห็น สายตาทิ่มแทงเดือดดาลของฝ่ายโน้น ทำให้เธอต้องตะเกียกตะกายลงจากวงแขนของเขา
“ฉัน..ฉันคิดว่าฉันเดินเองได้นะคะเจ้าชาย กรุณาปล่อยฉันลงเถอะค่ะ”
“ถ้าเธอสัญญาว่าจะไม่หนี ก็ตกลง”
เป็นการต่อรองที่เขาไม่ได้รอคำตอบของเธอด้วยซ้ำ
เจ้าชายเฟรซายอมปล่อยเธอลงอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน สัมผัสทุกการกระทำของเขา สร้างรอยร้าวให้กับกำแพงหนา ที่หญิงสาวเพียรสร้างขึ้นไว้เป็นเปลือกห่อหุ้มจิตใจตัวเองเอาไว้อย่างยิ่งยวด
แค่เพียงเวลาสั้นๆที่ได้เจอเขา เธอยังอ่อนไหวถึงเพียงนี้ แล้วถ้าปล่อยไว้นานเข้า
อมริสาไม่กล้าคิด เธอ หวังอย่างเดียวเท่านั้น ว่าจะสามารถไปให้พ้นๆจากเจ้าชายเฟรซาโดยเร็ว
เธอตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่อ่อนไหวกับใคร เธอสัญญาไว้แล้ว ว่าจะรักมั่นแต่ชายเดียวเท่านั้นไม่มีวันเป็นอื่น
ถึงจะไม่มีวันสมหวัง แต่เธอจะมั่นคงแต่ราเอลเพียงผู้เดียว ตราบจนสิ้นลมหายใจ
+++++++++++++++++++++++
“ข้าต้องฆ่ามันให้ได้!!”
รายาเงยหน้ามองเจ้าหญิงของนางอย่างไม่แปลกใจเลย ภาพที่ได้เห็นเจ้าชายเฟรซาอุ้มเด็กสาวคนนั้นเดินไปทางตำหนักของพระเจ้าราฮาล คงสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับเจ้าหญิงเซรียาเป็นล้นพ้น
นางเองก็เพิ่งมีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าของเด็กสาวคนนั้นถนัดตา งดงามอย่างนี้เองเล่า เจ้าชายจึงหลงไหลนักหนา
“เจ้าหญิงโปรดวางใจ หม่อมฉันจะให้โอกาสมันหายใจอยู่บนโลกใบนี้ไม่นานนักหรอกค่ะ”
รายาให้คำมั่น น้ำเสียงโหดเหี้ยมอย่างที่เซรียาไม่เคยได้ยินมาก่อน หากเธอก็ไม่สนใจอีกแล้ว
ทางใดที่กำจัดมารหัวใจของเธอได้ เซรียาไม่สนใจ ไม่ลังเลทั้งนั้น
ขออย่างเดียว อย่าให้เธอต้องทนเห็นภาพบาดตาบาดใจอย่างเมื่อครู่นี้อีกเลย เธอทนไม่ได้!!
+++++++++++++++++++++++++++++
อมริสาย่อกายถวายความเคารพพระเจ้าราฮาลอย่างอ่อนน้อม น่ารัก วงหน้าเนียนสดใสเป็นสีเข้มขึ้น เมื่อสบตาเอื้อเอ็นดูของผู้อาวุโสที่มองมาทางเธอสลับกับเฟรซาอย่างจงใจจะบอกความนัยบางประการ
อมริสาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย ขณะที่กล่าวกับพระเจ้าราฮาลอย่างนุ่มนวล ป่วยการที่จะปกปิดพระองค์ ในเมื่อเธอกับพระองค์ก็เคยเจอกันมาแล้วหลายครั้ง เมื่อคราวที่ทรงเสด็จไปเยี่ยมเยียนจาดีล ในฐานะมิตรประเทศ
“อามาริซาขอคำนับฝ่าบาทเพคะ”
“อย่ามากพิธี นั่งก่อนสิริซซา” พระเจ้าราฮาลเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงบนเก้าอี้ประดับมุกตัวใหญ่ และบุตรชายชของพระองค์เองก็เข้ามานั่งข้างๆเธอโดยไม่ต้องรอให้ใครเชิญด้วย
“ไหน ลองเล่าให้ลุงฟังหน่อยสิ ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง ทำไมเจ้าถึงเข้าไปหลบอยู่ในรถของเฟรซาได้เล่า?”
“เรื่องมันยาวเพคะเสด็จลุง ” หญิงสาวก้มหน้า นัยน์ตาสดใสเริ่มโศกเศร้า “พอท่านพ่อจากไป ทุกอย่างในวังก็ไม่เหมือนเดิม ท่านพี่ทรงเกรงว่าหม่อมฉันจะแย่งอำนาจ ก็เลยหาเรื่องใส่ร้าย ขังหม่อมฉันไว้ในคุกใต้ดิน แม้แต่งานพระศพของเสด็จพ่อ หม่อมฉันก็ไม่มีโอกาสได้ร่วม ”
เล่าไปแล้ว คนเล่าก็น้ำตาซึมหยดแหมาะๆจนต้องรีบยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆเหมือนเด็กๆ
“มีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ ลุงไม่รู้เรื่องเลย ” กษัตริย์ราฮาลพึมพำ ไม่อยากเชื่อ ว่าเจ้าหญิงเมเดเซียผู้แสนงดงาม ภายนอกดูสุภาพอ่อนหวาน จะมีจิตใจเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้
“ไม่ใช่แค่ท่านลุงหรอกเพคะ เรื่องนี้ แม้แต่ประชาชนของจาดีล ยังไม่มีใครรู้เลยเพคะ ท่านพี่ปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ เพราะมันจะมีผลเสียไปถึงสถานภาพการขึ้นครองราชย์ของนาง ”
“แล้วเจ้า หนีรอดออกมาจากในคุกใต้ดินนั่นได้ยังไงกันล่ะ?”
โดนถามคำถามนี้ อมริสาก็อดนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของคนที่อยู่ในความทรงจำเธอมาเนิ่นนานไม่ได้
ถ้าไม่ได้ราเอล เธอคงไม่มีทางพ้นออกมาจากขุมนรกนั่น และเธออาจตายไปแล้วก็ได้
“ราเอลช่วยหม่อมฉันออกมาเพคะ เขายอมเสี่ยงเอาชีวิตตัวเองเข้าแลกเพื่อช่วยหม่อมฉันให้หนีมาได้ ถ้าไม่ได้เขา หม่อมฉันคงตายไปแล้ว”
น้ำเสียงยามเอ่ยชื่อราเอลนั้นอ่อนหวาน นุ่มละมุนอย่างที่ใครฟังก็ต้องรู้สึก ว่าน่าจะมีอะไรมากกว่าแค่คนรู้จักหรือเจ้านายกับลูกน้องธรรมดา
และเฟรซาก็จำได้ดีที่เดียว ว่าชื่อนี้ เป็นชื่อเดียวกับที่หลุดออกมาจากปากของหญิงสาวเมื่อคืนนี้
“ราเอล เป็นคนรักของเจ้างั้นหรือ?” องค์ราฮาลตรัสถามแทนบุตรชายราวกับจะรู้ใจ แต่แทนที่จะปฏิเสธ องค์หญิงอามาริซากลับนิ่งอึ้งไปเนิ่นนาน
ราวกับนางจะไม่แน่ใจ ลังเล และสุดท้ายก็ส่ายหน้า
“ไม่ใช่เลยค่ะ ราเอลเป็นราชองครักษ์ของท่านพี่ ”
คำตอบของเธอไม่ช่วยให้คนที่รอฟังอยู่อย่างจดจ่อสบายใจเท่าไรนัก
“แล้ว ทำไมเขาถึงกล้าเสี่ยงชีวิตช่วยเจ้าล่ะ เพราะอะไรกัน?” ด้วยประสบการณ์ของผู้ที่ผ่านโลกมามากกว่า กษัตริย์ราฮาลจึงจี้ซ้ำเข้าไปยังจุดที่เป็นใจดำของเจ้าหญิง เธอนิ่งไปอีก คราวนี้ดวงตากลมโตเจือหยดน้ำซึมขึ้นมาด้วย
“หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ” อมริสาหาทางออกไปน้ำขุ่นๆจะให้เธอยอมรับว่าราเอลรักเธอนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่เขาเป็นคนที่พี่สาวเธอรักด้วยเหมือนกันนี่สิ
“เจ้าคงเจอเรื่องร้ายๆมาเยอะแล้ว เอาเถอะ ลุงจะไม่ซักไซ้เจ้าให้มากความอีกแล้ว ไปพักผ่อนให้สบายเถอะ ซาฮาลยินดีต้อนรับเจ้า เทียบเท่ากับองค์หญิงรัชทายาททุกประการ”
กษัตริย์ราฮาลตรัสบอกอย่างผู้ที่มีพระทัยเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรม ได้ฟังแล้ว อมริสาก็อดซาบซึ้งไม่ได้
หญิงสาวลุกขึ้นยืน ถวายความเคารพพระองค์อย่างเต็มใจ
“ขอบพระทัยท่านลุงเป็นล้นพ้นเพคะ หม่อมฉันจะไม่มีวันลืมพระมหากรุณาธิคุณเลยค่ะ” เธอหยุดนิดหนึ่ง เมื่อนึกบางอย่างออก “แต่หม่อมฉันจะไม่รบกวนท่านลุงนานนักหรอกเพคะ หม่อมฉันตั้งใจไว้แล้ว ว่าจะเมืองไทย ไปหาคุณยายที่นั่น แล้วก็ อาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป ไม่กลับจาดีลอีกเลย ”
เฟรซาซึ่งเอาแต่นิ่งเงียบฟังอย่างเดียวมาช้านานตาโตขึ้นมาทันควัน
“ว่าไงนะ จะไม่กลับมาที่นี่อีกงั้นหรือ?”
อมริสาหันมามองหน้าคนถาม ซึ่งบัดนี้ลุกพรวดขึ้นยืนจังก้า มองหน้าเธอเขม็งราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว
ทำไมเขาจะต้องแสดงท่าทางตกใจขนาดนี้ด้วยเล่า..เธอจะไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับเขาซักหน่อย
“เพคะ หม่อมฉันจะไปอยู่เมืองไทย ที่นั่นเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งของหม่อมฉัน ”
เธอยืนยันอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายนิ่งอึ้งไป ดวงตาคมกริบสบตากับพระบิดาอย่างจะปรึกษา ซึ่งองค์ราฮาลก็ทรงเข้าพระทัยโอรสเป็นอย่างดี
“อย่าหาว่าลุงยุ่งเรื่องของเจ้าเลยนะริซซา แต่ลุงอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ ลุงกับพระบิดาของเจ้าคบหากันมานาน นี่ถ้าลุงไม่ป่วยจนลุกไม่ไหว ลุงก็ต้องไปงานศพเขาด้วยตัวเองแล้ว จะไม่ต้องส่งเฟรซาไปอย่างนี้หรอก ดังนั้น ” กษัตริย์ซาฮาลลุกขึ้นยืนแล้วก้าวพระบาทมาหยุดอยู่ต่อหน้าหญิงสาว ทรงเอื้อมกรแตะไหล่บางอย่างอ่อนโยน
“ลุงอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ ที่นี่จะเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของเจ้า ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ อามาริซา”
หญิงสาวคาดไม่ถึงว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น จากราชันย์แห่งซาฮาลถึงเพียงนี้
กับเมืองที่เป็นบ้านเกิด เมืองที่เธอเติบโตมาด้วยความสุข เมื่อสิ้นบุญพระบิดา เธอกลับไม่สามารถอยู่ได้ ในขณะที่อีกเมืองหนึ่ง เป็นเมืองที่เธอไม่เคยเหยียบย่างมาเลย กลับมีน้ำใจเอื้ออาทรต่อความเป็นอยู่ของเธออย่างน่าปลาบปลื้ม
ขอบตาทั้งสองข้างของหญิงสาวร้อนผะผ่าวราวกับจะเป็นไข้ แต่เธอเท่านั้นที่รู้ดี ว่ามันไม่ใช่เลย
เธอกำลังดีใจต่างหาก ดีใจ ที่อย่างน้อยๆในโลกนี้ นอกจากท่านพ่อกับคุณยายแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งที่ยินดีต้อนรับเธอ.
ซึ่งก็คือกษัตริย์ราฮาลพระองค์นี้นั่นเอง!!!
+++++++++++++++++++++++++++++++
“หยุดก่อนริซซา”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทันทีที่ทั้งเธอและเขาหลุดพ้นออกมาจากห้องส่วนพระอง์ของกษัตริย์ราฮาลแล้ว มือใหญ่เอื้อมเข้ามากุมกระชับมือบางนุ่มนิ่มไว้แน่น รั้งให้ร่างเล็กต้องหยุดเดิน แล้วหันกลับมาจ้องมองเขาพร้อมผิวแก้มที่จุดสีระเรื่อน่ามอง
“มีอะไรหรือคะ?”
“มาทางนี้เถอะ ตำหนักของเธออยู่ทางนี้”
ไม่เพียงพูดเปล่า หากร่างสูงนั้น ยังออกเดินนำ พาเธอไปยังทิศทางซึ่งไม่ใช่ทางเดียวกับขามา หากก็มีทางเดินเชื่อมถึงตำหนักของเขาได้เช่นกัน
อมริสาเดินตามชายหนุ่มผ่านทหารอารักขาความปลอดภัยที่หน้าตำหนักเข้ามา แลเห็นภายใน เป็นตำหนักที่ตบแต่งไว้อย่างอ่อนหวาน นุ่มนวลตากว่าตำหนักของเจ้าชายเฟรซาเสียอีก เธอเดาว่า ตำหนักนี้ น่าจะเคยเป็นของเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่งของซาฮาล แล้วก็จริงเสียด้วย
“ท่านแม่ของเราเคยอยู่ตำหนักนี้ ” เขาบอกราวกับรู้ใจเธอทีเดียว อมริสาชะงักเท้า ขืนตัวไม่ยอมไปตามแรงดึงของเขาทันที
“เข้ามาสิ นับจากวันนี้ ที่นี่คือตำหนักของเธอแล้วนะ” เฟรซาหันมามองและบอกเธออย่างนั้น หากทว่าหญิงสาวก็ยังยื้อมือของเขาไว้
“ฉันไม่บังอาจถึงเพียงนั้นหรอกค่ะ” เธอตอบโต้ สีหน้าไม่สบายใจ “ในเมื่อตำหนักนี้เป็นของพระมารดาท่าน ฉันก็คงไม่อาจเอื้อม ที่จะเข้ามาอยู่ได้”
“อย่าคิดมาก ท่านพ่อเราอนุญาตแล้ว และเราก็อนุญาต”
“แต่ว่า ”
“ถ้าเธอไม่ยอมอยู่ที่นี่ งั้นก็ต้องไปอยู่ตำหนักเดียวกับเรา จะเอาอย่างนั้นก็ได้นะ เราไม่เดือดร้อนอะไรเสียด้วย”
ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปที่วงหน้าเรียวได้รูปของเฟรซาอย่างจะค้อน เธอรู้หรอกนะ ว่าเขาจงใจขู่กันน่ะ
แต่เธอคงไม่มีทางเลือกจริงๆเพราะเมื่อวาน ทั้งที่เขารู้อยู่เต็มอกว่าเธอเป็นผู้หญิง เขาก็ยัง
อมริสาตาโต เพิ่งนึกได้ถึงเรื่องที่สงสัย
“จริงสิ ท่านรู้ได้ยังไงกันคะ ว่าฉันเป็นใคร ทำไมท่านถึงรู้จักฉันล่ะ?”
“นึกว่าจะไม่ถามแล้วเสียอีก” เขายิ้ม ท่าทางอมภูมิ “ แต่ถึงถาม เราก็ไม่บอกหรอกนะ”
“เพราะอะไรกันคะ ทำไมถึงบอกไม่ได้ล่ะ?”
ยิ่งเขาพยายามปกปิดเหมือนเป็นเรื่องลึกลับเธอก็ยิ่งสนใจอยากจะรู้ อมริสามีลางสังหรณ์ว่า บางที เจ้าชายเฟรซาอาจจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเจอเธอนอนหลับอยู่บนรถของเขาแล้วก็ได้
แต่ถ้าเขารู้จักเธอจริงๆแล้วทำไมเธอจึงไม่รู้จักเขาเลยเล่า?
“เพราะมันเป็นความลับของเราคนเดียว เธออย่าถามเลยนะ เราตัดสินใจแล้ว ว่าเราจะไม่บอกใครทั้งนั้น” ชายหนุ่มยังคงอมยิ้ม บอกเธอด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย อารมณ์ดี หากกระแสเสียงนั้น อมริสารู้สึกได้ถึงความมั่นใจของผู้พูด
คนๆนี้ ลองบอกว่าไม่ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เธอรู้สึกเช่นนั้น
“ถ้างั้น..บอกหน่อยได้ไหมคะ ท่านรู้ว่าฉันเป็นใคร ตั้งแต่ที่เห็นฉันบนรถครั้งแรกแล้วใช่ไหมคะ?”
“เธอคิดว่าเรารู้หรือเปล่าล่ะ?”
แทนที่จะตอบดีๆก็กลับยอกย้อนเล่นตัวอีกแล้ว อมริสาเริ่มคุ้นเคยกับเขาในเวลาอันรวดเร็วจนเธอเองยังตกใจ
“ฉันไม่ทราบว่าท่านรู้หรือเปล่า แต่ความกรุณาของท่านที่มีต่อฉัน ยังไงก็ต้องขอบพระทัยมากนะคะ” เธอย่อกาย ถวายความเคารพต่อเขาอย่างอ่อนน้อม สำนึกในพระคุณของเขา ไม่ว่าเขาจะรู้หรือไม่ แต่เขาก็เป็นคนเดียวที่ที่ช่วยเหลือเธออย่างแข็งขัน จนเธอสามารถออกจากจาดีลมาได้โดยปลอดภัย
“เธอมีวิธีตอบแทนเราง่ายๆเลยนะ สนใจไหม?” เจ้าชายยิ้มกว้าง เห็นไรฟันขาวสะอาดน่ามอง ดูราวกับว่าเขาจะไม่เคยมีเรื่องทุกข์โศกใดๆเลยอย่างนั้น
“ฉันยังจำได้ไม่มีวันลืมนะคะ ถึงสัญญาสามข้อที่ติดท่านไว้”
“เรายังไม่ทวงสัญญานั้น เพราะเรายังไม่ได้ส่งเธอไปถึงเมืองไทย แต่เราจะขอร้องเธอ โดยไม่เกี่ยวกับสัญญานั้น เธอจะทำให้เราได้ไหมล่ะ?”
“ย่อมได้เพคะ” อริสารับคำด้วยความเต็มใจ หากเมื่ออีกฝ่ายบอกกลับมาเท่านั้น หญิงสาวก็ตาโต ตกตะลึง
“ถ้าเช่นนั้น เราขอให้เจ้าพักอยู่ที่นี่ซักระยะหนึ่งก่อนที่จะไปเมืองไทย ได้ไหม?”
คิ้วเข้มหนาเลิกขึ้นสูง นัยน์ตาดำใหญ่นิ่งมองเธออย่างรอคอยคำตอบ ใจจดจ่อ และอมริสาก็แสนจะขัดเคืองตัวเองนัก ที่ไม่กล้าแม้แต่จะขัดใจคนตรงหน้า
คงเป็นเพราะเขาเป็นผู้มีพระคุณของเธอนั่นเอง ที่ทำให้หญิงสาวยอมรับปากเขาไปอย่างง่ายดายราวกับไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยซักนิด
“ถ้าซาฮาลเต็มใจต้อนรับ ฉันก็เต็มใจจะอยู่ที่นี่ แต่คงไม่นานนักหรอกนะคะ เพราะยังไง ฉันก็ต้องไปเมืองไทย”
“เราสัญญา เราจะพาเจ้าไปเมืองไทยแน่นอน ไม่ต้องห่วง” เจ้าชายเฟรซายิ้มพึงพอใจ ที่อีกฝ่ายทำตามความต้องการของเขาจนได้
ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ เขาก็มั่นใจว่า โอกาสของตนเองจะยังไม่หมดสิ้น
ทุกวินาทีนับแต่นี้ไป เขาจะทำให้เธอเริ่มอยากอยู่ที่นี่ และสุดท้าย เธอจะต้องรักซาฮาล อย่างที่เขารัก
“คราวนี้เราก็สบายใจได้เปลาะหนึ่งแล้ว ว่าจะไม่ต้องคอยวิ่งรับเธอที่ห้อยต่องแต่งอยู่ริมหน้าต่างอีก”
เขาสัพยอกเสียงกลั้วหัวเราะขบขัน พลอยทำให้เธอนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาบ้าง และยิ่งอายจนหน้าแดงจัด กับสิ่งที่เธอทำลงไป
ไม่น่าเลย อมริสา ปล่อยไก่ไปทั้งเล้า
“ฉันขอโทษค่ะ ”
“ไม่เป็นไร ที่ผ่านมา เราคงทำให้เธอเครียดมากไม่น้อยเหมือนกัน เอาเป็นว่า เรายกโทษให้เธอ ต่อไปนี้ เธอไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว พักผ่อนให้สบายเถอะนะ แล้วเย็นนี้ เราจะพาไปเที่ยว”
เจ้าชายเฟรซายิ้มให้อย่างซุกซน เขาเหมือนเด็กเล็กๆที่สดใสร่าเริงอยู่เป็นนิจ หากขณะเดียวกันก็น่าเกรงขาม และเข้าใจยากอยู่ในทีอย่างไรชอบกล
อมริสาอดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบเจ้าชายตรงหน้า กับ ราเอล องครักษ์ของท่านพ่อ ซึ่งบัดนี้ เขาคงกลายเป็นราชองครักษ์ของพี่สาวเธอไปเรียบร้อยแล้ว
คนทั้งคู่ ต่างก็มีพระคุณต่อเธอเหมือนกัน
และเธอยังไม่รู้เลย ว่าจะตอบแทนคุณความดีของพวกเขาได้อย่างไรดี
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น