ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ----- ดั่งผืนทราย ใต้ดวงดาว ------

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2 โดนต้อนเกือบจนมุมแน่ะค่ะนางเอกเรา^^"

    • อัปเดตล่าสุด 7 ต.ค. 50


    2.


    อมริสาอุทาน หน้าซีดเผือดก่อนจะตั้งตัวได้ รีบถอยหลังหนีเจ้าของรถไปในทิศทางตรงกันข้าม แต่หลังรถนี่ก็แคบนิดเดียวเท่านั้น เพียงเขาเอื้อมมือมาหน่อยเดียว เธอคงไม่พ้นต้องโชคร้ายแน่ๆ

    ทำยังไงดี…

    หญิงสาวเหลียวซ้ายแลขวาไปทางไหนก็เห็นแต่ทางตันเท่านั้น หนทางรอดของเธอ คงมีทางเดียวเท่านั้นจริงๆ

    “เจ้าเป็นใคร เข้ามาในรถของเราทำไม หรือว่าคิดจะมาลอบสังหารเรา?” เจ้าชายเฟรซาตั้งคำถามอย่างกล่าวหา ทว่าอีกฝ่ายรีบส่ายหน้าเดียะ

    “ไม่ใช่นะ คือ ฉัน…เอ้ยผม…ผมแค่ต้องการจะไปซาฮาล…แต่ไม่มีเงิน ก็เลย…”

    “นี่เธอเห็นราชรถของเจ้าชายแห่งซาฮาลเป็นรถการกุศลงั้นหรือ?”

    เสียงเข้มเปลี่ยนเป็นขบขัน ปาลรู้ได้ทันที ว่าพระองค์เชื่อเจ้าหนูเสียงหวานคนนั้น เพราะทรงลดความระมัดระวังตัวลงอย่างสังเกตเห็นได้ชัด

    “ฉัน…เอ่อ ผม…ผมไม่รู้ว่านี่เป็นรถของเจ้าชาย…แต่ถ้าท่านเป็นเจ้าชายจริงๆท่านก็น่าจะมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน…กรุณา…กรุณาอย่าไล่ผมไปเลยนะครับ”

    อมริสาก้มหน้า คุกเข่า มองเจ้าชายหนุ่มรูปงามแห่งซาฮาล ตาละห้อย…ฝ่ายตรงข้ามก็มองเธออยู่นิ่งๆเช่นเดียวกัน

    “เธอคิดซ่อนตัวเข้ามากับรถของเราเพื่อเข้าซาฮาล ไม่รู้หรือไง ว่านี่เป็นความผิด เธออาจจะต้องถูกส่งกลับจาดีล ในข้อหาลักลอบเข้าซาฮาลนะ”

    “ผม…ผมไม่มีทางเลือก “ อมริสาหน้าซีดเหงื่อซึม…อับจนไปหมดแล้วกับความจริงที่เกิดขึ้น ทีแรกเธอแค่ต้องการไปไหนก็ได้ให้พ้นจากจาดีลก่อน แล้วค่อยหาทางเข้าประเทศไทยต่อไป

    แต่คงเป็นโชคร้ายของเธอ ที่ดันเข้ามาในรถของเจ้าชายแห่งซาฮาล…เรื่องที่คิดว่าจะง่าย ก็เลย ยากไปเสียอย่างนั้น

    “เราคงไม่มีทางอื่น นอกจากต้องส่งเธอกลับจาดีลไป”

    “อย่านะครับ ท่านจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ” อมริสาเผลอตัวใช้เสียงตวาดออกมาดังลั่น ทำเอาเจ้าชายและคนสนิทตะลึง “กรุณาเถอะครับ …อย่าส่งผมกลับจาดีลเลย…ผมกลับไปที่นั่นไม่ได้เด็ดขาด…ได้โปรด….”

    ดวงตากลมโตสีน้ำตาลคู่สวยมีแววเว้าวอน ขอร้องอย่างน่าเวทนา เจ้าชายนิ่งงันไปอย่างใช้ความคิด ทว่าราชองค์รักษ์นั้น มีข้อเสนอแนะในทันที

    “ยังไงเราก็เอาเด็กนี่ไปด้วยไม่ได้นะครับเจ้าชาย มันผิดกฎระหว่างแคว้น ถ้าทางจาดีลรู้เรื่องนี้เข้า จะเสื่อมเสียพระเกียรติได้นะครับ ถ้ายังไง ผมจะหยุดรถ แล้วเรียกให้พวกข้างหลังมันพาเด็กนี่กลับไปส่งดีไหมครับ?”

    เฟรซายังไม่ทันเอ่ยปากตอบโต้ข้อเสนอของปาล ก็เห็นเด็กตรงหน้า ส่ายศีรษะเดียะ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้

    “อย่านะครับ อย่าส่งผมกลับไป…ผมอยู่ที่นั่นไม่ได้จริงๆ…กรุณาเถอะ…”

    “ทำไม…เธอทำผิดอะไรงั้นหรือ?” เฟรซาเอ่ยถามอย่างสนใจ

    “เจ้าชายครับ ยังไงเราก็ต้องส่งมันกลับจาดีล อย่าไปสนใจเรื่องของมันเลยครับ” ปาลชักเอะใจ ต้องรีบเตือนย้ำอีกครั้ง ก่อนที่เจ้าชายของเขา จะตัดสินใจทำอะไรพิลึกพิลั่นลงไป

    ก็อยู่ด้วยกันมานาน มีหรือที่เขาจะไม่รู้จักนิสัยเจ้าชาย…ท่านเหมือนใครเสียที่ไหน?

    “แต่เราสน เราอยากรู้ว่าเจ้าหนูนี่ มันทำอะไรผิดถึงต้องหนีมาอย่างนี้” เจ้าชายรัชทายาทโต้กลับ ไม่สนใจความกระวนกระวายของคนสนิทเลยซักนิด ดวงตาคมกริบ สีเข้ม จับจ้องวงหน้าขาวนวลเนียนเหมือนตุ๊กตาเจียระนัยของอมริสาอย่างเพ่งพินิจ สนใจ จนอีกฝ่ายรู้สึกหนาวๆร้อนๆชอบกล…

    เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่านะ…ก็เธอแต่งตัวเป็นเด็กผู้ชายอย่างนี้แล้ว…ทำไมสายตาของเขาถึงมองมาแปลกๆ…

    หรือเขาจะดูออกว่าเธอไม่ใช่ผู้ชาย…อมริสาเริ่มร้อนรน เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา ที่เธอต้องตกอยู่ในภาวะที่จนตรอก ไม่มีทางเลือกต่อหน้าชายแปลกหน้าอย่างนี้

    “ว่าไงล่ะเจ้าหนู…ไหนลองเล่าให้เราฟังหน่อยสิ ว่าเธอทำเรื่องอะไรไว้ที่จาดีลกันแน่…เพราะอะไรเธอถึงอยู่ที่นั่นต่อไปไม่ได้?”

    เฟรซาคาดคั้น เสียงนั้น แม้ทุ้มนุ่มละมุน หากก็ยังทรงอำนาจ และเจือนัยแห่งการบีบบังคับเอาไว้ครบถ้วน

    หญิงสาวกลืนน้ำลายไม่ลงคอ ในสมองหมุนติ้ว คิดหาข้ออ้างที่จะใช้โกหกเขาขึ้นมาเป็นการด่วน

    เธอไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ว่าจะถูกจับได้กลางทาง…แถมคนที่คาดคั้นเธออยู่ตอนนี้ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาที่จะสามารถตบตาเขาได้ง่ายๆเสียด้วย

    เขาเป็นถึงเจ้าชาย…ด้วยศักดิ์ศรีของชาติตระกูล อมริสาก็แทบไม่กล้าสบตากับเขาแล้ว

    “คือ…ผม…ผมหนีการไล่ล่าของแม่เลี้ยงใจร้ายมา…” เสียงเล็กๆเริ่มต้นเล่าอย่างกระท่อนกระแท่น “ท่านก็คงเคยทราบมาบ้าง ว่าประเพณีบางอย่างของชาวจาดีลนั้น ยังล้าสมัยอยู่มาก…แม่เลี้ยงของผมก็เหมือนกัน…ทันทีที่สิ้นบุญพ่อแล้ว นางก็วางอำนาจปกครองผม บีบบังคับให้ผมต้องทำงานทุกอย่างสารพัด…แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลของการหนีในครั้งนี้หรอกนะครับ”

    เฟรซายิ้ม…เจ้าหนูหน้าสวยคนนี้มีลูกเล่นในการเล่าเรื่องเหมือนกันแฮะ…

    “งั้นอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เธอต้องหนีมาล่ะ?”

    “เจ้าชายครับ เจ้านั่นมันกำลังหลอกเราแน่ๆ” ปาลขัดขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ ทว่าเจ้าชายของเขาดูจะไม่สนใจ

    “เจ้าอย่าเพิ่งขัดสิปาล เรากำลังตั้งใจฟังเจ้าหนูนี่ กำลังสนุกเชียว เล่าต่อสิ”

    ตอนท้ายนั้น เจ้าชายหันมาเอ่ยกับอมริสาอย่างขบขัน ส่งตาคมพราวระยับ เจ้าเล่ห์ อย่างผู้ใหญ่ที่ฉลาดร้ายกาจ กำลังมองดูเด็กเล็กๆเล่นขายของอยู่ต่อหน้า

    หญิงสาวอึดอัด ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากอยู่ต่อหน้าเจ้าชายองค์นี้เลยจริงๆ

    “…ที่ผมทนไม่ได้…เพราะแม่เลี้ยง บังคับให้ผมต้องแต่งงาน…”

    “เธอน่ะหรือจะแต่งงาน เธออายุเท่าไหร่กันเจ้าหนู?” เฟรซาย้อนถามอย่างสนใจยิ่ง อมริสาหน้าแดงก่ำ ร้อนวูบกับแววตาดูแคลนของอีกฝ่ายที่มองมานัก

    “สิบห้าครับ” เธอกลั้นใจตอบ หวังว่าหน้าตาเธอกับอายุที่กุขึ้นจะเข้ากันได้ดีนะ ไม่เช่นนั้นคงไม่รอดแน่ๆ

    “สิบห้า…เด็กที่จาดีล แต่งงานกันตั้งแต่อายุแค่นี้เองหรือ?” เจ้าชายรำพึง

    “ครับ บางคนแต่งงานอายุน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ อยู่ที่ความยินยอมของผู้ปกครองเด็กเป็นสำคัญครับ” ปาลยอมรับอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่อยากให้เจ้าชายสนใจเจ้าเด็กมอมแมมสกปรกคนนี้เลย ไม่รู้ว่ามันมีดีอะไรสิน่า…

    ”แต่ยังไงเธอก็เป็นผู้ชาย ไม่เห็นจะเสียหายอะไร กับการแต่งงานตามความต้องการของผู้ใหญ่นี่นา” เฟรซาหันมาสนใจทางอมริสาต่อ

    “มันคงไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าผู้หญิงที่แม่เลี้ยงต้องการให้แต่งงานกับผม…จะไม่ใช่น้องสาวของผมเอง”อมริสาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด จริงจัง เดิมพันเรื่องทั้งหมดกับอิสระภาพของเธอทีเดียว “ลิเดียเป็นน้องสาวต่างแม่ของผม…แม่เลี้ยงต้องการให้ผมแต่งงานกับเธอ เพื่อหวังจะฮุบสมบัติในส่วนที่ผมจะได้จากพินัยกรรมของท่านพ่อ เมื่อผมอายุครบยี่สิบปี…”

    “เพราะอย่างนี้เธอถึงต้องหนีงั้นสิ” เฟรซาพยักหน้าเข้าอกเข้าใจ “แต่เธอจะหนีไปไหนได้ล่ะ เธอมีญาติพี่น้องอยู่ที่ซาฮาลงั้นหรือ?”

    “ไม่ครับ ผมไม่รู้จักใครที่ซาฮาลเลย…แต่ผมมีญาติอยู่ที่ประเทศไทย..ผมต้องการจะไปที่นั่น”

    “บ้าแล้ว คนลักลอบเข้าเมืองอย่างแก ใครที่ไหนจะออกวีซ่าให้” ปาลขัดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย แต่อมริสายังไม่สิ้นความหวัง

    “ถ้าไปด้วยเครื่องบินไม่ได้ ผมก็จะไปด้วยทางอื่น ยังไงผมก็ต้องไปเมืองไทยให้ได้”

    ความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าฉายโชนอยู่ในดวงตาคู่สวยของหนุ่มน้อยตรงหน้า…เฟรซาค่อนข้างทึ่งจัด ไม่บ่อยนักเลย ที่เรื่องของคนอื่นจะเข้ามาเรียกร้องความสนใจของเขาได้ดีถึงเพียงนี้

    “เราชอบความมุ่งมั่นของเธอ” เจ้าชายหัวเราะเบาๆขณะชมเชยอีกฝ่ายออกมา ทำเอาปาลต้องร้องลั่นรถลืมเก็ก

    “เจ้าชาย ไม่ได้นะครับ”

    “เจ้าเฉยเถอะน่า เราตัดสินใจแล้ว” เขาเอ็ดคนสนิท ก่อนจะหันมาสบตากับเธออีกครั้ง “คุยกันมาตั้งนานแล้ว เรายังไม่รู้เลย ว่าเธอชื่ออะไร?”

    “ผม…ชื่อ…ริซครับ..” อมริสาก้มหน้าบอกกับเขาอย่างนั้น

    “ดี ริซ เราตัดสินใจแล้ว ว่าเราจะช่วยเธอ” เฟรซาประกาศเสียงจริงจัง จนราชองครักษ์ยังต้องอ้าปากค้างเติ่ง “เราจะพาเธอไปซาฮาล และจะช่วยให้ไปถึงประเทศไทยอย่างที่เธอต้องการ แต่มีข้อแม้อยู่อย่างเดียวเท่านั้น…เธอจะยินยอมสัญญาได้ไหม ว่าจะให้ในสิ่งที่เราขอสามเรื่อง”

    อริสาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่…

    เขาจะช่วยเธอ…แต่เขาจะขออะไรจากคนที่มีแต่ตัวอย่างเธอกันเล่า?

    “ท่าน…ท่านจะให้ผมทำอะไรหรือครับ?” เสียงถามนั้นมีแววหวาดระแวงไม่แน่ใจเต็มเปี่ยม เฟรซากระตุกยิ้มขันที่มุมปาก นัยน์ตาวาวระยับ

    “เรายังไม่บอกตอนนี้…มันยังไม่ถึงเวลา ว่าแต่เธอดีกว่า…ตกลงจะทำสัญญากับเราไหมริซ?”

    “คือ..ผม…”

    เจ้าเด็กริซอึกอัก ทำท่าเล่นตัวอย่างน่าหมั่นไส้

    ปาลแอบมองเด็กหนุ่มแปลกหน้าอย่างไม่พอใจ ไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่าเจ้าเด็กน้อยจะเป็นใคร มาจากไหน และพาตัวเข้ามาใกล้เจ้าชายด้วยจุดประสงค์ใด ดีหรือร้ายก็ไม่รู้…

    เจ้าชายเองก็ดูจะสนใจมันมากเป็นพิเศษเสียด้วย ถึงขึ้นจะทำเรื่องผิดกฎหมายเพื่อช่วยมัน…ถ้าเรื่องนี้แพร่งพรายไป เขานี่ล่ะเป็นคนแรกที่ต้องซวย

    ยิ่งคิดปาลก็ยิ่งปวดขมับ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในเมื่อเจ้าชายเฟรซาก็ไม่ใช่ว่าจะยอมฟังใครง่ายๆเสียเมื่อไหร่เล่า?

    เอาแต่ใจตัวเองออกจะตายไป!!

    “สัญญาสิริซ…แล้วเราจะช่วยเธอ” เฟรซาเร่งเร้า ทำให้คนที่อึกอักต้องรีบตัดสินใจ

    “ครับ ผมสัญญา” อมริสาชูนิ้วสาบาน “ผมยินดีทำตามคำขอของท่านสามอย่าง โดยไม่มีข้อแม้เงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น”

    “ดีมาก จำคำของเจ้าไว้ให้ดีแล้วกัน ” คำชมเชยกับรอยยิ้มพึงพอใจของเจ้าชายหนุ่ม ทำให้หัวใจของคนตัวเล็กเต้นโครมครามผิดจังหวะขึ้นมากะทันหัน

    อมริสาต้องเมินมองไปทางอื่น หลบสายตาคมกริบของเขาที่ยิ่งเห็นก็ยิ่งอึดอัด พานหายใจหายคอไม่ค่อยออกนัก…

    นี่เธอคิดผิดหรือเปล่าที่ไปสัญญากับคนแปลกหน้าอย่างนั้น…?

    แต่มันช่วยไม่ได้…ก็เธอไม่มีทางเลือกอื่นเลยนี่นา…

    ++++++++++++++++++++++++++++

    อมริสานั่งตัวเกร็ง มาตลอดทาง เป็นเวลาหลายชั่วโมง ที่หญิงสาวพยายามนั่งตัวตรง วางท่าเป็นหนุ่มน้อย หากยิ่งเนิ่นนาน ความอ่อนเพลียก็รุมล้อมเข้าเล่นงาน สมองที่เจ้าของพยายามปลุกให้ตื่นตัวอยู่เสมอ เริ่มทนไม่ไหว

    ดวงตากลมโตหรี่ปรือ…อาการสัปหงกของเด็กตัวเล็กๆตรงหน้า สร้างความขบขันแกมเอ็นดูให้แก่เจ้าชายรัชทายาทแห่งซาฮาลเป็นล้นพ้น

    “ง่วงก็นอนเถอะ ไม่ต้องฝืนหรอก เราสัญญาแล้วว่าจะดูแลเจ้า ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น”

    เสียงทุ้มนุ่มนวลดังเข้ามากระทบโสตประสาทที่เคว้งคว้างของหญิงสาว คนที่กำลังสะลึมสะลือเงยหน้า จ้องเขาตาโตขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง

    อมริสามองสบตาคม อ่อนโยนของอีกฝ่ายอย่างงงงัน ไม่เข้าใจ หากก็รู้สึกวางใจอย่างประหลาด เธอเผลอยิ้มออกมาอย่างลืมตัวชั่วขณะ

    “ขอบคุณมาก…ฉัน…เอ่อ ผม…ผมจะจำไว้ ว่าเจ้าชายทรงเมตตามากมายเพียงไร”

    “อย่าชมเราอย่างนั้น บางที วันพรุ่งนี้ เจ้าอาจจะเกลียดเราที่สุดก็ได้…เราไม่ใช่คนดิบดีอะไรนักหรอก”

    เขาแก้ตัว เสียงราบเรียบ ริมฝีปากบางสีสด แตะแต้มรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นความเชื่อมั่นตัวเองเป็นอันมากของผู้เป็นเจ้าของ

    อมริสาเพิ่งเคยเห็นเจ้าชายที่สง่างามและน่าเกรงขามอย่างเขาเป็นคนแรก…เจ้าชายที่สมเป็นเจ้าชาย โดยไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เพียงสายตาของเขาที่มองมา ก็คงทำให้ใครต่อใครยอมสยบอยู่แทบเท้าได้โดยง่ายเสียแล้ว…

    หญิงสาวค่อยๆปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนล้า ครั้งนี้เธอมั่นใจแล้ว ว่าจะเป็นการนอนที่ปลอดภัย และเธอจะไม่ต้องถูกปลุกให้ตื่นด้วยความหวาดกลัวอีกเลย จนกว่าจะถึงซาฮาล

    ++++++++++++++++++++++++++++

    อมริสาไม่ได้ถูกปลุกขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวจริงๆ…

    ครั้งนี้ ไม่มีเสียงตะโกนเรียกเธอ ไม่มีเสียงตะคอกข่มขู่คุกคาม หากกลับเป็นความอ่อนนุ่มของบางอย่างที่เธอไม่คุ้นชินต่างหาก ที่ปลุกประสาทสัมผัสของหญิงสาวให้ตื่นตัว

    ร่างบางขยับอย่างยากลำบาก รถกระเทือนเล็กน้อยระหว่างที่แล่นฝ่าทะเลทรายไปเบื้องหน้าอย่างไม่มีหยุดยั้ง

    ทว่า สิ่งแรกที่หญิงสาวงัวเงียตื่นขึ้นมามองเห็นนั้น กลับสร้างความตระหนกให้เธออย่างที่สุด

    “เจ้าชาย”

    อมริสาอุทานแค่นั้นก็รีบสปริงตัวถอยหลังหนีไปจนสุดมุมรถหน้าตาตื่น ใบหน้าขาวเป็นสีเข้มจัดจนเจ้าชายซึ่งครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ต้องเลิกคิ้วมอง ขำๆ

    “ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงหลับสบายดีไหม?”

    จะสบายเข้าไปได้ยังไงกัน ในเมื่อเธอหลับเข้าไปซบกับไหล่เขาอย่างนั้น!!

    หญิงสาวตอบโต้ในใจ หากภายนอกนั่น ที่ทำได้ก็เพียงแต่พยักหน้าหงึกๆ

    “สะ…สบายครับ”

    “อีกชั่วโมงหนึ่งก็จะถึงซาฮาลแล้ว จะนอนต่อก็ได้นะ” เฟรซาอนุญาตอย่างใจดี ทว่าหญิงสาวในคราบของหนุ่มน้อยส่ายหน้า

    “ผม…ผมไม่นอนแล้วครับ..เชิญเจ้าชายเถอะ”

    “เรานอนไม่หลับ” เขาตอบกลับมาเสียงเบา “ถ้าเธอนอนไม่หลับเหมือนกัน งั้นมาเป็นเพื่อนคุยให้เราก่อนได้ไหม?”

    “ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” อมริสายิ้มหวาน ขยับเข้ามานั่งต่อหน้าร่างสูงของอีกฝ่ายอย่างแข็งขันกระวีกระวาด “เจ้าชายอยากคุยอะไรกับผมหรือฮะ?”

    “เธอเคยเห็นหน้าเจ้าหญิงอามาริซาไหม?” คำถามของเฟรซาทำเอาหญิงสาวนิ่งอึ้ง หน้าถอดสี “ผู้คนร่ำลือกัน ว่านางงดงามมาก…เราก็เลยอยากรู้ ว่านางหน้าตางามอย่างไร แค่ไหน?”

    “ก็…หน้าตาธรรมดาๆนี่ล่ะครับ…ไม่เห็นจะต่างจากคนอื่นตรงไหนเลย…” เจ้าหล่อนอ้อมแอ้มตอบเสียงสั่นนิดๆ

    “หมายความว่าเธอเคยเห็นเจ้าหญิงมาแล้วหรือ?”

    “ก็…ครับ เคยเห็น” อมริสาก้มหน้าก้มตาตอบ ไม่ยอมสบตาคมกริบชาญฉลาดของอีกฝ่าย

    “งั้นให้เราลองเดาหน้าตาของนางหน่อย…เธอลองนึกตามนะ ว่าเราเดาถูกไหม” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างนึกสนุก อมริสาไม่เข้าใจนักว่าเขาจะเล่นอะไร แต่นึกเสียว่าเป็นการฆ่าเวลา ทำความคุ้นเคยกัน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร จึงพยักหน้ารับ

    “ได้ครับ”

    “เราว่าเจ้าหญิงจะต้องมีดวงเนตรที่กลมโต สดใสเหมือนดวงดาวในทะเลทรายยามค่ำคืนไร้จันทร์ฉาย…จมูกโด่งได้รูป และริมฝีปากที่บางสวยเหมือนกลีบกุหลาบ…ผิวของเธอคงขาว…ขาวอย่างที่เวลาโกรธหรือเขินอายแล้วจะเห็นสองแก้มเป็นสีกุหลาบชมพูหวานแสนสวย…”

    อมริสาตะลึงกับคำพรรณนาของเขา…ตลอดเวลาที่กล่าวเช่นนั้นออกมา เจ้าชายเฟรซาไม่ได้เคลื่อนสายตาไปจากวงหน้าของเธอเลย…

    เธอไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ…ขณะที่เขาบรรยายภาพของเจ้าหญิงอามาริซานั้น เขาจ้องหน้าเธอเป็นไปทุกส่วนพร้อมๆกันด้วย

    ยามเอ่ยถึงดวงเนตรของนาง เขาก็จ้องตาเธอ…เมื่อเอ่ยถึงจมูกปากและผิวแก้มขาวเนียนใส เขาก็จ้องริมฝีปากและแก้มเธอนิ่งนาน  อย่างนี้จะให้เข้าใจว่าอย่างไรได้?

    หญิงสาวใจเต้นระทึกอย่างบอกไม่ถูก ความกังวลบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจโอบล้อมอยู่โดยรอบของบรรยากาศ ยิ่งเจ้าชายระบุต่อมา เธอยิ่งร้อนรนแทบนั่งไม่ติด

    “เราเดาว่าดวงเนตรของนางจะต้องเป็นสีน้ำตาลอ่อนงดงามชวนหลงไหล”

    “ผม..ผมไม่ได้สังเกตถึงเพียงนั้นหรอกครับ” หญิงสาวเอ่ยปัดเอาตัวรอด “นานๆเจ้าหญิงถึงจะมีโอกาสได้เสด็จไปเยี่ยมประชาชน พวกเราไม่ค่อยได้เจอหน้าท่านนัก ถึงเจอ ก็คงไม่มีใครกล้าจ้องท่านเช่นนั้น”

    “เหรอ…งั้นเราก็นับว่าโชคดีสินะ”

    เสียงนุ่มทุ้มเอ่ยเบาๆกลั้วหัวเราะอารมณ์ดี อมริสางงันกับคำพูดของเขาจนต้องเงยหน้าขึ้นมองสบตาอย่างตกใจ

    “เราโชคดี ที่ถึงไม่เคยเห็นนางมาก่อนเลย ก็ยังจินตนาการได้ถูก อย่างกับนางมานั่งอยู่ต่อหน้าเรานี่เองด้วยซ้ำ”

    อมริสานิ่งอึ้ง ตาค้าง จ้องหน้าเจ้าชายเฟรซาด้วยหัวใจที่ไหวสะท้าน

    เขาพูดอย่างนี้ หมายความว่าอย่างไร…

    ร่างบางขยับถอยหลังไปจนชนเข้ากับผ้าใบที่ท้ายรถ ความตระหนกในดวงตากลมโตคู่สวยเป็นสัญญาณเตือนให้เจ้าชายรู้สึกองค์ และขยับตามเธอมาอย่างรวดเร็ว

    “เธอเป็นอะไรริซ ทำไมมองเราอย่างนั้น?”

    “เปล่าครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร” อมริสาปฎิเสธ ปัดมือที่เอื้อมเข้ามาแตะแขนเธอออกไปอย่างลืมตัว หญิงสาวทำท่าจะมุดผ้าใบกระโดดออกไปจากหลังรถด้วยซ้ำ

    แต่รถที่แล่นด้วยความเร็วสูงไม่เปิดโอกาสให้เธอได้คิดหวนกลับคืนสู่ทางเก่าอีกแล้ว

    มือใหญ่ของเฟรซาเลื่อนเข้ามารูดผ้าใบหลังรถปิดเข้าหากันด้วยอาการสงบ เยือกเย็น สองมือของเขา อ้อมผ่านตัวเธออย่างเชื่องช้า เอื่อยอ่อย ทว่าน้ำเสียงที่กระซิบคุกคามคนตัวเล็กในอ้อมแขนนั้น มิได้ระเรื่อยอย่างกิริยาของเขาเลยแม้แต่น้อย

    “เราดีใจนะริซ…ดีใจที่เจ้าเลือกหนีมาที่รถของเรา…”

    “ท่าน…?”เสียงที่พยายามดัดให้ห้าวของอมริสาเริ่มแหลมเล็ก เพราะความตระหนกอย่างที่สุดของเจ้าตัว “ทำไมท่าน…?”

    “เราเต็มใจ และอยากจะบอกว่า ยินดีจะช่วยเธอทุกอย่าง” เสียงนุ่มทรงอำนาจกระซิบที่ข้างใบหูของเธอ ทำให้สาวน้อยหนาวเยือก ขนลุกซู่ อยากดิ้นหนีให้พ้นจากอ้อมอกกว้างแข็งแรงของเขา แต่ไม่กล้า…

    เจ้าชายเฟรซาคนนี้เหมือนมีอำนาจประหลาดที่เธอไม่สามารถต่อต้านได้…นี่มันอะไรกัน?

    “ขะ…ขอบคุณมากครับ”

    ถึงจะจนแต้ม หากหญิงสาวก็ยังไม่ยอมพ่ายแพ้ เธอยังคงพยายามแสดงบทเป็นเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาต่อหน้าเขาต่อไป

    มันคงเป็นเรื่องเดือดร้อนอย่างใหญ่หลวง หากเขารู้ฐานะของเธอ และส่งเธอกลับจาดีลไปทั้งอย่างนี้…

    “เราอยากให้เธอมั่นใจ ตราบใดที่เรายังอยู่ เราจะไม่ยอมให้มาใครทำอันตรายเธอได้แน่ๆ…สบายใจได้ริซ”

    เสียงเข้มนุ่มทุ้มกระซิบบอกอยู่ต่อหน้าเธอ ดวงตาคมดำใหญ่ฉายแววหวาน อย่างที่หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกประหลาด…

    หรือว่าเจ้าชายองค์นี้จะไม่ธรรมดา…เขาชอบผู้ชายด้วยกันงั้นหรือ?

    อมริสาหนาวสันหลังเยือก เครียดจนศีรษะปวดตุ้บๆ

    จะทำอย่างไรดี…นี่เธอหนีเสือปะจระเข้เข้าแล้วใช่ไหม!?

    ++++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×