ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ----- ดั่งผืนทราย ใต้ดวงดาว ------

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 จำเป็นต้องหนีเพื่ออิสระภาพ^^

    • อัปเดตล่าสุด 5 ต.ค. 50


    *****สวัสดีค่ะ คุยกันนิดก่อนนะคะ สำหรับเรื่องนี้ ดั่งผืนทราย ใต้ดวงดาว เป็นนิยายแนวทะเลทรายที่ผู้แต่งอยากจะเขียนมากกกกก เป็นเรื่องแรกที่ลองเขียน แต่จะใช้เป็นเมืองสมมุตินะคะ เนื่องจากมีหลายอย่างที่พล็อตเรื่องไม่เอื้อให้จะเกี่ยวโยงกับความเป็นจริงเท่าใดนัก ดังนั้นก็เลยอยากให้คิดเสียว่ามันเป็นจินตนิยายยุคปัจจุบันเรื่องหนึ่งก็แล้วกันนะคะ ผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยไว้แต่เนิ่นๆด้วยค่ะ^^

    แล้วก็...คนเขียนไม่ชอบคำราชาศัพท์เท่าไหร่ ดังนั้นจะใช้เท่าที่จำเป็นนะคะ ขอบคุณค่า....

    ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ


    พิมพ์นราค่ะ






    1.

    ท่ามกลางความรื่นรมย์ของพันธุ์ไม้เขียวขจีสีสดใสของโอเอซิสอันกว้างใหญ่ บริเวณกลางลานกว้าง ในสุสาน ซึ่งใช้เป็นที่ฝังพระศพของราชวงศ์ชั้นสูง มีผู้คนมากมายในชุดสีดำหม่นหมอง สีหน้าสงบเรียบเย็น รายล้อมอยู่รอบๆขบวนศพซึ่งประดับตกแต่งเอาไว้ด้วยดอกไม้ทะเลทรายนานาพันธุ์อย่างวิจิตรบรรจง

    แสงอาทิตย์อุ่นอ่อนในยามเช้าทอดผ่านลงมา ราวกับละอองสีทอง โปรยปรายตกต้องขบวนพระศพนั้น

    เยื้องมาข้างหลังที่ร่มครึ้มไปด้วยเงาไม้ แสงแดดที่ลอดผ่านแมกไม้ลงมา ตกกระทบกับเงาร่างปราดเปรียว ในชุดเสื้อกางเกงสีเทาหม่นจนเกือบดำให้เห็นเด่นชัดขึ้น ถ้าเพียงแต่ใครจะสังเกต…หากตอนนี้ ทุกคนมัวแต่เพ่งความสนใจไปที่งานศพซึ่งจัดขึ้นอย่างอลังการณ์ดูเป็นพิธีรีตองอย่างที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะเหลียวกลับมามองเบื้องหลัง ด้วยเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท

    แน่ล่ะ เพราะงานศพนี้ เป็นงานพระราชพิธีศพของกษัตริย์จาฟา เจ้าผู้ครองแคว้นจาดีล รัฐอิสระเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ในตะวันออกกลางนั่นเอง

    งานนี้เป็นงานใหญ่ระดับประเทศ แขกผู้มีเกียรติซึ่งมาร่วมแสดงความไว้อาลัยกับการจากไปของกษัตริย์จาฟา จึงล้วนแต่เป็นระดับผู้นำ หรือว่าที่ผู้นำประเทศในแถบนี้ รวมถึงทั่วโลกทั้งสิ้น

    มือเรียวซีดขาวสั่นระริก เมื่อเจ้าตัวพยายามจะระงับความสะเทือนใจกับภาพที่ได้เห็นเอาไว้ ชั่ววินาทีที่ความเงียบสงัดเข้าครอบคลุมทั่วบริเวณงานพระศพอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ราวกับจะได้ยินแค่เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านกิ่งก้านและใบของต้นไม้โดยรอบ

    อมริสาเพิ่งรู้ ณ วินาทีนี้เอง ว่าในยามที่คนเรา เมื่อเจ็บช้ำอย่างถึงที่สุดแล้วนั้น …สิ่งที่หลงเหลืออยู่คู่กับจิตใจที่แตกสลายและชอกช้ำ ก็มีเพียงแต่ความเศร้าสร้อยที่เงียบเหงาวังเวงแทบจะขาดใจทีเดียว…

    ร่างโปร่ง แต่งกายมอมแมมเหมือนเด็กชายวัยรุ่นอายุไม่เกินสิบห้าปี รีบปาดน้ำตาออกไปให้พ้นจากดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน เมื่อเหลือบไปเห็นทหารในชุดแต่งกายสีดำ กำลังเดินตรงมาทางที่เธอยืนอยู่

    ร่างเล็กๆหลบเข้าซ่อนในพุ่มไม้ รอจนพวกนั้นเลยผ่านไปแล้ว ก็ค่อยๆเล็ดกายออกไปจากบริเวณนั้นอย่างรีบเร่ง

    ใช่ เธอไม่มีเวลาแล้ว!!

    หญิงสาวบอกตัวเองอย่างนั้น จำข่มเก็บกลั้นความสะเทือนใจเอาไว้ แล้วก้มหน้าก้มตาเดินตรงไปที่ลานจอดรถของเหล่าแขกสำคัญ  หญิงสาวหน้าตาน่ารักดั่งตุ๊กตา ในคราบการแต่งกายเป็นหนุ่มน้อย เหลียวหน้าแลหลัง มองหารถคันที่ต้องการ แล้วเธอก็พบจนได้

    รถจิ๊ปยุโรปคันใหญ่สีเทาจอดสงบนิ่งอยู่ด้านในสุด เป็นมุมที่ปลอดคนดีเสียด้วย

    อมริสาดูลาดเลาจนแน่ใจว่าทางโล่ง แล้วก็จัดแจงหลบปีนเข้าไปซ่อนตัวหลังรถ มุดผ่านผ้าใบท้ายรถเข้าไปแล้ว ก็จัดการรูดซิบปิดให้สนิทเพื่อความปลอดภัย

    โชคดีที่ภายในหลังรถนี้ ดูเหมือนจะเป็นที่เก็บของหลายอย่าง ทั้งเต้นท์สนาม เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายของผู้ชายสูงศักดิ์ ดูจากการตัดเย็บที่ประณีต เดินดิ้นทองงามหรู

    หญิงสาวซุกตัวเข้าหลบอยู่ข้างๆกองเต้นท์สนามรอคอยเวลาที่เจ้าของรถจะกลับเข้ามา แล้วขับรถ พาเธอออกไปให้พ้นจากที่นี่อย่างปลอดภัย

    +++++++++++++++++++++++++++

    พิธีฝังพระศพ ของกษัตริย์จาฟาผ่านพ้นไปท่ามกลางความโศกเศร้าของพระญาติพระวงศ์ ทว่า กับเจ้าหญิงรัชทายาท  เมเดเซียพระธิดาองค์โตของกษัตริย์เฒ่าผู้ล่วงลับนั้น กลับไม่มีใครได้เห็นแม้น้ำตาของเธอสักหยด

    ใบหน้าเรียวคมสวยนั้นยังคงเชิดหยิ่งผยอง งามสง่าดุจนางพญาหงส์สูงศักดิ์ไม่แปรเปลี่ยน เป็นที่ชื่นชมของบางคน แต่บ้างก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจนัก

    ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้าชายเฟรซา อัล เลอมาร์ องค์ชายรัชทายาทของแคว้น ซาฮาล ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งติดกับจาดีลทางทิศใต้

    “เขาว่าท่านจาฟามีธิดารัชทายาทอยู่สองพระองค์ไม่ใช่หรือปาล แล้วทำไมเราถึงเห็นแค่เจ้าหญิงเมเดเซียเพียงคนเดียวล่ะ?”

    เจ้าชายเอ่ยถามองครักษ์คนสนิท ขณะที่ดวงเนตรคมเข้ม ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างระหงของเจ้าหญิงเมเดเซีย เธอกำลังกล่าวอำลากับแขกเหรื่อที่มาร่วมงานแห่งความเศร้าหมองในครั้งนี้อยู่

    “เท่าที่กระหม่อมทราบมา ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์จะไม่ถูกกันนะครับฝ่าบาท” ราชองครักษ์ทูลตามที่ได้ทราบมา เรื่องความระหองระแหงของเจ้าหญิงทั้งสองแห่งจาดีลนั้น เป็นที่รับทราบโดยทั่วกันทั้งนครแห่งนี้ และประเทศเพื่อนบ้านมานานแล้ว หากเจ้าชายของเขาคงยังไม่กระจ่างนัก เพราะพระองค์เสด็จไปทรงหนังสือที่อังกฤษอยู่นานนับสิบปีทีเดียว

    ดังนั้นบุคคลิกของเจ้าชายเฟรซาจึงไม่ผิดเพี้ยนอะไรกับชาวยุโรปในโลกตะวันตกเลยซักนิด

    ร่างสูงสง่าใบหน้าคมเข้ม เด่นที่จมูกโด่งเป็นสันสวย และดวงตาคมกริบราวกับนัยน์ตาเหยี่ยวนักล่า รับกับสันกรามแข็งแรงดูบึกบึน ประกอบกับที่เจ้าชายทรงอยู่ในประเทศเมืองหนาวมานานปี ผิวพรรณจึงยิ่งงามเด่นกว่าชนชาวซาฮาลทั้งหลายทั่วไปจนเห็นได้ชัด

    แน่นอน ว่าเจ้าชายของเขารูปงามอย่างยากจะหาเจ้าชายองค์ใด ในประเทศแถบนี้เทียมเทียบได้โดยง่าย แต่น่าเสียดาย ที่ประองค์ทรงมีที่หมายในดวงใจเสียแล้ว ความหวังของพระบิดา ที่ประสงค์จะให้เจ้าชายเฟรซาอภิเษกกับเจ้าหญิงเมเดเซีย เพื่อความมั่งคั่งและมั่นคงของราชอาณาจักร จึงมีทีท่าว่าจะล้มพับไม่เป็นท่า

    “ว่ากันว่า เจ้าหญิงเมเดเซีย ทรงเกรงว่าน้องสาวจะแย่งชิงราชย์บัลลังก์ จึงพยายามตีกันทุกทาง ไม่ให้น้องสาวได้มีโอกาสเข้าร่วมในราชพิธีสำคัญๆอย่างงานนี้ ที่จะมีผลต่อศรัทธาและความเชื่อมั่นของประชาชนได้นะครับ”

    ปาลอธิบายต่อ หูตาของเขา นับว่ากว้างไกลไม่น้อยในดินแดนแถบนี้ทีเดียว

    “งั้นหรือ…น่าเสียดายนะ เราเลยไม่รู้เลย ว่าเจ้าหญิงอามาริซาหน้าตาเป็นยังไง จะเหมือนนางในฝันของเราไหม” เฟรซาหัวเราะเบาๆเปรยอย่างขบขัน …

    “คงเป็นการยากที่จะได้เห็นโฉมหน้าของเจ้าหญิงอามาริซาครับเจ้าชาย ขนาดชาวเมืองเอง ก็ยังมีน้อยคนนักที่เคยเห็นหน้าเจ้าหญิง”

    “ขนาดนั้นเชียว” คิ้วเรียวเข้มหนา ได้รูปสวยของเจ้าชายหนุ่มยกขึ้นสูง ทรงไม่อยากเชื่อว่าในยุคนี้แล้ว จะยังมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นอยู่อีก

    หากราชองครักษ์ยังคงยืนยันเช่นนั้น

    “เจ้าชายคงยังไม่ทราบ…เจ้าหญิงอามาริซา ทรงมิใช่เชื้อสายของชนชาวจาดีลเต็มองค์”

    “นางเป็นลูกครึ่งงั้นหรือ?”

    “พะยะค่ะ พระมารดาของพระนางเป็นหญิงสาวต่างชาติ…ท่านจาฟาไปพบพระมารดาขององค์หญิงอามาริซาที่ประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งในเอเชีย…ถ้ากระหม่อมจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็น ประเทศไทย นะครับ”

    เจ้าชายพยักหน้ารับรู้…

    “อ้อ ลูกครึ่งสาวไทย”

    แม้พระองค์จะไม่สนพระทัยอะไรกับจาดีลมากมายนัก หากประเพณีเก่าแก่ที่ล้าสมัยหลายอย่างของที่นี่ก็เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว

    ที่จาดีล หญิงสาวซึ่งสามีตายก่อนวัยอันควรบางคน ยังบูชารัก ขนาดที่ยอมฆ่าตัวตายตามสามี และบางครั้ง ก็ยังมีการเผาไฟ บูชาเทพเจ้าหลงเหลือให้โลกได้ขับขานอยู่…

    ที่นี่ ความเชื่อของชาวบ้านยังคงงมงาย ล้าหลัง ดูเอาเถอะ แม้แต่รถยังไม่ยอมใช้ ยังใช้แค่แรงงานอูฐและม้าเป็นส่วนใหญ่อยู่เลย…

    เพราะอย่างนี้ จึงไม่ต้องงสงสัยเลย ว่าเจ้าหญิงที่เกิดมาด้วยเชื้อสายที่ไม่บริสุทธิ์อย่างอามาริซานั้น จะเป็นที่ไม่พอใจแก่ชนชาวเมืองโดยส่วนมากของประเทศ

    เจ้าชายมองไกลออกไป เบื้องหน้าของเขาคือโอเอซิสของบ้านเมืองนี้ แม้จะอุดมสมบูรณ์เพียงใด ก็ยังให้ความรู้สึกที่แห้งแล้ง ป่าเถื่อน ไม่น่าอภิรมย์อยู่ดี…

    ต่อให้มีเจ้าหญิงรัชทายาทสวยงามหยาดฟ้ามาดินอย่างเมเดเซีย ก็หาดึงความใจของเขาเอาไว้ได้ไม่

    “ถ้าเสด็จพ่อถามเรา ว่าสนใจเจ้าหญิงเมเดเซียไหม เราจะตอบทันที ว่า ไม่” ทรงเปรยบอกกับคนสนิทอย่างมั่นพระทัยนัก

    “แต่ฝ่าบาทคงไม่พอพระทัยนะครับ ทรงอยากให้เจ้าชายได้เสกสมรสกับเจ้าหญิงเมเดเซีย เพื่อความมั่นคงของอาณาจักรเรา ตอนนี้มีเจ้าชายจากประเทศต่างๆหมายตานางทั้งนั้น เจ้าชายคงไม่มองข้ามเจ้าหญิงหรอกนะครับ”

    “เขาหมายตาเพราะตัวเจ้าหญิง หรือเพราะความเชื่อที่ว่า ใต้ผืนแผ่นดินทรายของจาดีล มีขุมสมบัติมหาศาลซ่อนอยู่กันแน่ล่ะปาล?”

    เจ้าชายดักคออย่างรู้เท่าทัน ทำให้ราชองค์รักษ์ต้องยิ้มเจื่อนๆออกมา

    “ก็อย่างที่ฝ่าบาททรงทราบนั่นล่ะครับ ทุกวันนี้ ผู้คนก็ยังเชื่อกันอยู่ ว่าใต้แผ่นดินจาดีล มีขุมทรัพย์อันมหาศาลซุกซ่อนอยู่…และคนที่รู้ที่ซ่อนของขุมสมบัตินั้น จะมีแค่คนเดียวเท่านั้น…”

    “นั่นก็คือองค์หญิงรัชทายาท” เฟรซาเอ่ยต่อให้อย่างรู้ทัน “แต่น่าแปลกนะปาล…ถ้าใต้แผ่นดินทรายแห่งนี้มีสมบัติอยู่จริงๆ…แล้วทำไมจนป่านนี้แล้ว ถึงยังไม่มีใครขุดค้นพบเลยล่ะ”

    “ว่ากันว่า ขุมทรัพย์จาดีลแห่งนี้ มีอาถรรพ์พะยะค่ะ…ใครก็ตามที่ไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีบุญบารมีพอ ถ้าเหยียบย่างเข้าไปในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ จะต้องสังเวยชีวิตทิ้งไว้ที่นั่นตลอดกาล…”

    “เพราะอย่างนี้ กษัตริย์รุ่นไหนๆของจาดีล จึงไม่มีใครกล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการตามหาสมบัติในฝัน และเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างราชา ในพระราชวังกลางโอเอซิส ตราบจนทุกวันนี้ อย่างนั้นใช่ไหม?”

    ปาลไม่ตอบคำถามของเจ้าชาย หากชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของพระองค์อยู่ในใจ

    ต่อไป เมื่อเจ้าชายเฟรซาขึ้นครองราชย์ ซาฮาลจะต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่งทีเดียว

    เจ้าชายเฟรซาเองก็ไม่สนใจในคำตอบของราชองครักษ์ เพราะบัดนั้น เมื่อมองเห็นเจ้าหญิงเมเดเซียว่างจากการทักทายกล่าวอำลากับราชวงศ์พระองค์อื่นแล้ว เจ้าชายหนุ่มก็ตรงเข้าไปหาเธอทันที

    “…เสด็จพ่อและราชวงศ์ของเราทุกพระองค์ เห็นใจกับความสูญเสียในครั้งนี้ และหวังว่า ความเศร้าเสียใจของท่านในวันนี้ จะเป็นพลังให้ท่านเข้มแข็ง ยืนหยัดเพื่อประชาชนชาวจาดีลต่อไปในวันรุ่งได้…ชาวซาฮาล ขอยืนเคียงข้างท่านเสมอ”

    เฟรซากล่าวยืนยาว หากเสียงที่เปล่งออกมาจากโอษฐ์บางนั้น ช่างทรงอำนาจ และเมื่อนับรวมกับวรกายสูงสง่า พระพักตร์คร้ามคมสันงดงามด้วยแล้ว เจ้าหญิงเมเดเซียซึ่งแทบไม่อยากมองหน้าใครเลยตลอดงาน ก็จำต้องทอดเนตรมองเจ้าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างลืมตัวไม่ต่างจากคราแรกที่ได้เห็นหน้าของเขานั่นเลย…

    เจ้าหญิงเมเดเซีย หัวใจเต้นแรง จับจ้องมองอีกฝ่ายทุกอิริยาบท น่าเสียดายนัก เพราะเขากำลัง กล่าวอำลาเธอเพื่อกลับบ้านเมืองของเขาแล้ว…

    “จาดีลยินดีและเต็มใจต้อนรับฝ่าบาทเสมอ…ถ้าทรงว่างจากภารกิจเมื่อใด ขอทรงเสด็จกลับมาเยี่ยมหม่อมฉัน และชาวจาดีลอีกนะเพคะ”

    เจ้าหญิงเอ่ยอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะย่อวรองค์ทำความเคารพเจ้าชายเฟรซาอย่างงดงาม

    “ขอบคุณเจ้าหญิง เราเชื่อว่า วันหนึ่ง เราจะต้องกลับมาที่นี่อีกแน่ๆ” เจ้าชายยิ้มสดใส “ไม่รู้เป็นไรสินะ เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”

    ปรางค์อ่อนใสแม้จะคล้ำบาง แต่ก็ยังเผยให้เห็นความเข้มขึ้นขึ้นมากะทันหันของบริเวณนั้น

    เมเดเซียรู้ดีว่าเธอเป็นหญิงสาวที่งดงามมากอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่ง ชายใดก็ตาม ที่เอ่ยเช่นนี้กับเธอ ยอมหมายความถึงว่า เขาได้หลงไหลในตัวนางแล้วเช่นเดียวกัน

    ถ้าจาดีลไม่มีเจ้าหญิงผู้งดงามอย่างเธอเป็นเครื่องดึงดูด มีหรือที่เจ้าชายเฟรซาจะอยากกลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง?

    คิดอย่างนั้นแล้ว นางก็แย้มยิ้มอ่อนหวาน ยินดี

    “หม่อมฉันจะรอวันนั้นเพคะ…หวังว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งสองประเทศจะยังคงแน่นแฟ้นสืบชั่วกาลนาน…”

    ++++++++++++++++++++++++

    “กระหม่อมดูว่าเจ้าหญิงจะทรงพอพระทัยเจ้าชายนะครับ”

    ปาลออกความเห็นเบาๆขณะเดินตามเสด็จเจ้าชายมาที่รถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์

    “งั้นหรือ จะว่าไป เจ้าหญิงเมเดเซียก็งดงามมากนะ เจ้าว่าไหม?” เจ้าชายทรงหันมาเอ่ยกับคนสนิทยิ้มๆ

    “ครับ กระหม่อมก็เห็นเช่นนั้น และยินดียิ่งที่เจ้าชายก็ทรงคิดอย่างที่พระบิดาทรงต้องการ”

    “เจ้าอย่าเพิ่งทึกทักเอาเองอย่างนั้น เรายังไม่เคยบอกว่าชอบเจ้าหญิงเมเดเซียเลยซักคำ” เจ้าชายหนุ่มบ่นเบาๆตัดความหวังของอีกฝ่ายไม่เหลือดี “เราก็แค่ชื่นชมนความงามสง่าของเธอ…แต่มันยังไม่ใช่ความรักง่ายๆหรอกนะปาล”

    ตรัสแล้วก็ทรงสรวลอย่างสำราญพระหฤทัย หากคนเป็นราชองครักษ์นั้น หน้าแหย

    ไม่เข้าใจว่าเจ้าชายจะเรื่องมากไปถึงไหน…นางในฝันของพระองค์จะมีจริงหรือไม่ก็ไม่รู้…ถ้าไม่พบเลยทั้งชาติ ก็หมายความว่าเจ้าชายเฟรซาจะไม่ยอมอภิเษกสมรสกับผู้ใดเลยอย่างนั้นหรือ?

    ถ้ากษัตริย์ ราฮาลล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ!!

    ++++++++++++++++++++++++

    อมริสาเกร็งตัว นั่งแข็งทื่อเมื่อประตูรถทางตอนหน้าเปิดออก ร่างผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนก้าวเข้ามานั่งเคียงกัน คนหนึ่งเป็นคนขับ และคนหนึ่งนั่งเฉยๆโดยไม่สนใจจะหันมามองข้างหลังที่เธอแอบซ่อนตัวอยู่เลย…

    หญิงสาวค่อยๆผ่อนลมหายใจแห่งความหวาดกลัวลง ใจชื้นขึ้น เมื่อเสียงทุ้มมีอำนาจ ของชายซึ่งนั่งคู่กับคนขับเอ่ยสั่งลูกน้องของเขาอย่างรวดเร็วว่า…

    “ออกรถเถอะ เราอยากกลับซาฮาลเต็มแก่แล้ว”

    อเมริสาหูผึ่ง ตาโตแป๋ว เมื่อกี้เธอไม่ได้หูฝาดไปแน่ๆผู้ชายคนนั้นเป็นคนจากซาฮาล ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของจาดีลนั่นเอง

    ถ้าเธอหนีเข้าซาฮาลได้ ก็คงพอหาทางจับเครื่องบิน บินเข้าประเทศไทยได้…อดทนไว้อีกหน่อยเท่านั้นริซ…อดทนไว้ อีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เธอจะพ้นจากขุมนรกที่โหดร้ายแห่งนี้ไปตลอดกาล…

    หญิงสาวนั่งกอดเข่า ทำตัวลีบที่สุด ความเคร่งเครียด กดทับประสาทที่ตื่นตัวอยู่มานานหลายชั่วโมงให้อ่อนล้า ในที่สุดร่างเล็กๆก็เข้าสู่นิทรารมย์อันแสนสุข ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความทุกข์กายทุกข์ใจทั้งมวล ดูจะเลือนหายไป เมื่อผู้เป็นเจ้าของร่าง สิ้นการรับรู้ต่างๆภายนอกไปเสียแล้ว

    อมริสาไม่รู้เลย ว่าในขณะที่รถแล่นไปเรื่อยๆตามถนนซึ่งตัดผ่านสองข้างทางอันมีแต่ทะเลทรายสีทองกว้างไกลสุดสายตาด้วยความเร็วสูงนั้น แรงกระแทกของรถ ทำให้ร่างซึ่งนั่งคู้หลับอยู่ของเธอ ค่อยๆไถลลงไปกองกับพื้นรถโดยไม่ตั้งใจ

    และคนที่เคยชินกับที่นอนกว้างๆมาทั้งชีวิตก็ไม่ยอมตื่น กลับกางแขนกางขา นอนมันเต็มรถเสียอย่างนั้น…

    +++++++++++++++++++++++++

    เจ้าชายนั่งมาในรถหลายชั่วโมงจนรู้สึกเมื่อย จึงก้าวข้ามที่นั่งเข้าไปทางหลังรถ ตั้งใจจะงีบให้สบาย จนกว่าจะถึงซาฮาล ทว่า ยังไม่ทันก้าวขาข้ามพ้นเบาะหน้ารถ ดวงตาคมเข้มก็พลันเบิกกว้าง พร้อมกันนั้นเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก

    “อะไรน่ะ?”

    “ครับเจ้าชาย มีอะไรหรือครับ?” ปาลทวนถาม เห็นอาการตะลึงของเจ้าชายเฟรซาแล้วก็รีบมองตามสายตาของเขาไป

    ภาพที่เห็นต่อหน้า ทำเอาปาลตะลึง พูดไม่ออก เกือบเลี้ยวรถออกนอกทาง

    “ใครกันครับเจ้าชาย?”

    “ถ้ารู้แล้วเราจะตกใจไหมเล่า?” เจ้าชายย้อนใส่ราชองครักษ์ นิ่วหน้า มองร่างเล็กๆในชุดเสื้อผ้าสีมัวซัวอย่างพิจารณา…

    จะว่าเป็นผู้ร้าย ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วจะมีผู้ร้ายประเทศไหน เข้ามานอนแผ่หรารอฆ่าเหยื่ออย่างหมดสภาพขนาดนี้…

    รูปร่างของเจ้าโจรนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะล่ำสันใหญ่โตน่าเกรงขามอะไรเลย…ดูสิ ออกผอมแห้ง ตัวเล็กนิดเดียว อ้อนแอ้น แขนขาเล็กเรียวอย่างกับผู้หญิง…

    ดวงตาคมลุกวาว ขณะที่ร่างสูงข้ามผ่านเข้ามาที่หลังรถอย่างรวดเร็ว โดยไม่ฟังเสียงเตือนลั่นของปาลเลย

    “เจ้าชาย อย่าเข้าไปใกล้มัน อาจมีอันตรายก็ได้นะครับ”

    “เจ้าไม่ต้องกังวล ขับรถต่อไปเถอะ เราจัดการได้”

    “แต่ว่า”

    “ทำตามที่เราสั่งเถอะน่า ไม่ต้องหยุดรถให้มีพิรุธด้วย เดี๋ยวคนอื่นจะตกใจพลอยหยุดรถตามกันหมด”

    เจ้าชายหมายถึงขบวนทหารองครักษ์ที่ตามเสด็จมาด้วยทั้งที่แล่นอยู่ข้างหน้าและข้างหลัง ซึ่งปาลก็ไม่เข้าใจเลย ว่าเพราะเหตุใด ท่านจึงถึงมั่นใจในความปลอดภัยขององค์เองขนาดนั้น

    พระองค์น่าจะทรงทราบนี่นา ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่านแล้ว เขาเองนี่ล่ะ จะเป็นคนแรกที่ต้องเดือดร้อน!!

    “เงียบ แล้วขับรถต่อไปเถอะ เราว่าจัดการได้ก็จัดการได้สิ” เสียงเข้มเอ็ดมาเบาๆทว่าจริงจังจน ราชองครักษ์ไม่กล้าขัดใจ ปาลจำต้องหันพวงมาลัย พารถกลับเข้าทางเส้นทางเดิม

    ได้แต่คอยชะเง้อคอมองข้างหลังรถจิ๊ป ดูพระอากัปกิริยาของเจ้าชายเฟรซาเท่านั้น

    เจ้าชายไม่สนใจสายตาหวาดระแวงภัยของคนสนิทที่ทอดมองมาเป็นระยะๆถี่ยิบนั่น  ร่างสูงสง่าเคลื่อนมาหยุดอยู่ข้างๆร่างบางซึ่งนอนหลับสนิทราวกับเป็นเจ้าของรถเสียเองอย่างรวดเร็ว ใบหน้ายามหลับของเจ้าตัวเล็กตรงหน้า บ่งบอกให้ทรงรู้ว่า มันเป็นเด็กหนุ่มที่ ”สวย” ไม่ใช่น้อย…

    “นี่เจ้าหนู” มือหนาเอื้อมเข้ามาเขย่าแขนเล็กๆของหญิงสาวไม่เบานัก ทำเอาคนซึ่งกำลังนอนสบาย ค่อยๆงัวเงียลืมตาขึ้นมองอย่างงุนงง

    “อะไร….เรียกทำไม คนกำลังนอนสบาย…เอ๊ะ…คุณ!!”

    +++++++++++++++++++++++++++

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×