ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงอธิฏฐาน

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่3 ค่า^^

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.19K
      3
      21 พ.ย. 54


    3.

    มือบางคลิกเม้าส์สั่งลบเลือนรอยสิวฝ้าจุดด่างดำบนใบหน้าในรูปถ่ายของลูกค้าหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างชำนิชำนาญ ไม่ช้าใบหน้าเขรอะสิวของคนในภาพก็เรียบเนียนใสวิ้งอย่างกับดารา

    นี่ๆ เพิ่มริมฝีปาก กับแก้มอมชมพูอย่างคนมีสุขภาพดีเข้าไปอีกหน่อย สวยเช้ง... บริการพิเศษสุดจากโยสิตาโฟโต้!

    โยสิตาทำงานเพลิน หลังจากที่ตบแต่งจนลูกค้าสวยใสอย่างกับดาราแล้วก็สั่งปริ้นต์ จากนั้นก็เอาภาพมาตัดกรอบ เก็บใส่ซองรอไว้ส่งลูกค้าตามที่นัด เท่านี้ก็จบ

    ระหว่างที่แกร่วรอลูกค้าอยู่ในร้านถ่ายรูป โยสิตาก็คว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายถึงปารมีเพื่อนรัก หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาแล้วสามวัน ปารมียังเงียบสงบอยู่อย่างนี้ ย่อมแสดงว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดี เพื่อนของเธอคงไม่ถูกนายกฤตธรนั่นเล่นงานอะไรแล้วกระมัง

    “ว่าไงไอ้บุ้ง หายเงียบเข้ากลีบเมฆไปเลยนะแก”

    ช่างภาพสาวส่งเสียงใสทักเพื่อนทันทีที่ฝ่ายนั้นรับสาย

    “ไม่ได้สิ ช่วงนี้ฉันถูกภาคทัณฑ์อยู่ ก็เพราะแกนั่นละ ยังจะมาพูดดีอีก” ปารมีต่อว่ากลับมาทันควัน

    “นายกฤตธรเขา...เอาเรื่องแกเหรอ...” โยสิตาเสียงอ่อย รู้สึกผิดต่อเพื่อน

    “ไม่ถึงขั้นเอาเรื่องหรอก ก็แค่คาดโทษเอาไว้ ห้ามไม่ให้ฉันพาแกเข้ามาในโรงแรมอีก คุณกฤตเขาบอกว่า...แกไม่น่าไว้ใจ” ปารมีลดเสียงเบาลง กระซิบกระซาบ

    “นายนั่นหาว่าฉันไม่น่าไว้ใจเหรอ โลกนี้มันบ้าไปกันใหญ่แล้ว คนร้ายกลายเป็นคนดี คนดีกลายเป็นคนร้าย ฉันละอยากจะบ้า!” โยสิตาคุยพลางเปิดหน้าอินเตอร์เน็ตไปเรื่อยเปื่อย

    “มันก็อย่างงี้ละแก โลกนี้เป็นโลกของคนมีอิทธิพล แกกับคุณลุงก็เลยต้องลำบากหน่อย...อย่าหาว่าฉันยุ่งเลยนะไอ้โย ฉันว่า แกบอกคุณลุงให้ล้มเลิกความคิดจะเอาจารึกนั่นเถอะ มาตั้งขนาดนี้แล้ว...คุณกสินทร์คงไม่ยอมปล่อยหรอก”

    “ฉันก็อยากจะบอกคุณพ่ออย่างนั้นเหมือนกันละ แต่ไม่รู้เป็นอะไรนะไอ้บุ้ง ทำไมคุณพ่อถึงผูกพันกับจารึกนั่นขนาดนั้นก็ไม่รู้ ท่านติดตามหามันมาตลอดสิบปีเลยนะ...ฉันเห็นแล้วก็สงสารท่านจัง...แต่แกไม่ต้องตกใจไปหรอกนะไอ้บุ้ง เดี๋ยวฉันจัดการเอง รับรองว่าไม่เดือดร้อนมาถึงแกแน่”

    โยสิตาคุยฟุ้ง มั่นใจในตัวเอง ไม่ทันสังเกตว่าประตูกระจกหน้าร้านถูกลูกค้าผลักเข้ามาแล้ว

    “แกจะทำอะไรไอ้โย อย่าลืมนะว่าคุณกฤตเขารู้จักแกแล้ว ขืนแกโผล่มาอีกก็ไม่พ้นต้องถูกเพ่งเล็งน่ะสิ” ปารมีท้วงเสียงเบา หากคนฟังนั้น “จี๊ด” ขึ้นมาทีเดียว

    “แกคอยดูแล้วกัน ฉันจะเข้าไปอีกโดยที่นายนั่นก็มาห้ามฉันไม่ได้ด้วย อุ้ย!”

    เจ้าของร้านสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆโต๊ะพับที่เจ้าตัววางโน้ตบุ๊กเอาไว้ก็มีคนยื่นมือมาเคาะแรงๆเหมือนจะแกล้ง ตาคู่หวานตวัดมองคนไร้มารยาทเตรียมพร้อมจะโวยใส่เต็มที่ หากเมื่อหันไปแล้วเจอะกับคนที่เจ้าตัวกำลังนินทาอยู่เท่านั้น ถ้อยคำที่เตรียมเอาไว้ ก็จ่อรอติดค้างอยู่แค่ริมฝีปาก

    “นะ...นาย...เอ้ย คุณ!!” หญิงสาวอึกอัก ติดอ่าง มองอีกฝ่ายตาค้างราวกับถูกผีหลอก

    เขามาอยู่ที่ร้านเธอได้อย่างไรกัน โอ๊ย จะหนีไปทางไหนได้ละนี่!!

    “ไง ถึงกับพูดไม่ออกเลยหรือ...คุณโยสิตาคนเก่ง”

    ไม่เพียงแค่ประชดประชันแต่กฤตธรยังยื่นหน้าคมเข้มหล่อเหลาของตัวเองเข้ามาใกล้ให้เธอเห็นกันจะๆอีกด้วย

    “คุณ...มาที่นี่ คงไม่ได้จะมาถ่ายรูปหรอกนะ” หญิงสาวจัดแจงรีบกดปิดสายสนทนากับเพื่อนรัก แล้วเลื่อนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ถอยออกห่างจากอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ

    “เปล่าหรอก พอดีผ่านมาแถวนี้ก็เลยแวะมาเยี่ยมร้านของคุณหน่อย ทำงานอยู่คนเดียวเหรอ”

    ชายหนุ่มกวาดตามองรอบๆร้านถ่ายรูปเล็กๆ ขนาดคูหาเดียว ถึงแม้จะตั้งอยู่ในเขตตลาดก็จริง แต่เพราะแถวนี้มีหลายร้าน เจ้าหล่อนก็เลยต้องแย่งลูกค้ากับอีกหลายเจ้า ร้านนี้จึงค่อนข้างเงียบเหงาไปสักหน่อย

    “อยู่คนเดียวค่ะ สลับกับเพื่อนอีกคน...” เธอตอบพลางจ้องชายหนุ่มไม่วางตา ดูว่าเขาจะมาไม้ไหนกันแน่

    “นี่คุณโยสิตา ใจคอจะไม่ขอโทษผมสักคำเลยหรือ คราวที่แล้วคุณทำร้ายร่างกายผมนะครับ” ชายหนุ่มเตือนความจำให้อีกฝ่าย แต่เมินเสียเถอะว่าโยสิตาจะอ่อนข้อให้

    “ฉันไม่ผิด คุณมาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัวของฉัน ก็สมควรโดนแล้ว”

    “แล้วที่คุณล่วงละเมิดเข้าไปในเขตหวงห้ามของโรงแรมผมละ จะว่ายังไง ไม่ผิดใช่ไหม”

    “นั่นมันเป็นเหตุสุดวิสัยต่างหาก คุณก็เห็นแล้วว่าในกล้องของฉันไม่มีรูปสมบัติล้ำค่าอะไรของพวกคุณ” เธอสบตาเขาเขม็ง ไม่มีอะไรให้ต้องหวั่นเกรง

    กฤตธรไม่มีหลักฐาน เขาก็ได้แต่สงสัย จะมาเอาผิดอะไรเธอไม่ได้หรอก!

    “คุณนี่...ดื้อตาใส แถมยังปากแข็งอีกนะ” กฤตธรส่ายหน้า ไม่ได้โกรธมากมายอะไร ออกจะเอ็นดูคนตรงหน้ามากกว่า

    เอ็นดู ทั้งๆที่คิดว่าเธอมีจุดประสงค์ไม่น่าไว้ใจ ทั้งที่เธอชกท้องเขาแล้วหนีมานี่ละ!

    “ฉันต้องทำงาน ไม่ว่างมาคุยเรื่องไร้สาระกับคุณหรอก ถ้าไม่มีอะไรแล้วละก็...เชิญคุณกลับไปดีกว่า” โยสิตาอึดอัดกับรอยยิ้มที่มุมปากได้รูปของอีกฝ่าย ทางที่ดีที่สุดก็คือ รีบไล่เขาไปเร็วๆดีกว่า

    คนอะไร เข้ามาเงียบเชียบไม่ให้สุ้มให้เสียง...แต่เอ๊ะ เขารู้จักร้านของเธอได้อย่างไรกัน

    หญิงสาวหันขวับไปมองร่างสูงในชุดสูทสีเทาขรึมดูสง่างามภูมิฐาน ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายช่างรูปงามดูดีไปเสียทุกอิริยาบถ ยิ่งมองก็อดนึกไปถึงความฝันเมื่อคืนไม่ได้

    ในความฝันนั้นโยสิตารู้สึกว่ากฤตธรเหมือนเจ้าชายผู้สูงศักดิ์มากล้นไปด้วยยศอำนาจและบารมี และความรู้สึกนั้นก็ลุกลามเข้ามาถึงตอนนี้…ทุกครั้งที่พบเขา เธอก็อดกริ่งเกรงไม่ได้เลย

    “เอ่อ…คุณกฤตธร...คุณรู้จักร้านของฉันได้ยังไงคะ”

    “ถามมาจากคุณบุ้ง” เขาตอบโดยไม่เสียเวลาคิด ตาคมละจากใบหน้าหวานใสของคนถาม จับจ้องไปที่กรอบรูปซึ่งแขวนโชว์ไว้รอบๆร้าน

    เป็นภาพของเธอกับชายสูงวัยบ้างละ เธอกับปารมี และกลุ่มเพื่อนบ้าง จนมาหยุดสนใจอยู่ที่รูปถ่ายของโยสิตากับชายหนุ่มหน้าใสคนหนึ่งซึ่งดูแล้วก็คงเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเธออีกเช่นกัน

    แต่ละภาพที่ถ่ายเอาไว้ โยสิตายิ้มกว้างแจ่มใสร่าเริงยิ่งกว่าดอกทานตะวันเสียอีก เห็นแล้วกฤตธรก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

    “คุณยิ้มอะไร...ในร้านฉันมีอะไรตลกเหรอ” คนตัวเล็กนั่งนิ่วหน้ามองกิริยาแปลกๆของเขาแล้วตะครั่นตะครอไม่สบายใจเลย

    ทำไมต้องมองรูปเธอแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วย อย่างกับพวกโรคจิตแน่ะ!

    “เปล่า ไม่ตลกหรอก สวยต่างหาก”

    “อะไรสวย” โยสิตาถลึงตาดุทำเสียงแข็งย้อนถามเอาเรื่อง มือบางกระชับหนังสือนิยายอ่านเล่นใกล้มือเตรียมพร้อมหากอีกฝ่ายพูดไม่เข้าท่า

    “ยังจะถามอีก ก็เพื่อนคุณน่ะสิ นี่ไง คุณบุ้งสวยมากเลย ยิ้มแก้มใสเชียว คุณไม่เห็นหรือไง” กฤตธรรู้แกวเสหันไปชื่นชมปารมีแทน

    “แน่สิ ถ้าไม่สวยโรงแรมคุณคงไม่รับไอ้...เอ่อ ยายบุ้งเป็นพีอาร์หรอก” โยสิตาเห็นด้วยเต็มที่ ปารมีเป็นคนสวยคม รูปร่างดีมาแต่ไหนแต่ไร เพื่อนของเธอฝันอยากทำงานโรงแรมโยธกาธานีมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นนั่นแล้ว ตอนนี้เจ้าหล่อนก็สมหวังดั่งใจหมาย โยสิตาก็ดีใจไปกับเพื่อนด้วย และเธอไม่อยากให้เพื่อนต้องมาเดือดร้อนเพราะเรื่องของเธอกับบิดาด้วยแน่

    “นี่…คุณคงไม่โกรธฉันแล้วพาลไปเล่นงานยายบุ้งหรอกนะ”

    “คุณโย อย่ามองว่าผมพาลพาโลอย่างนั้นสิ” ชายหนุ่มออกตัว หรี่ตามองเธอกวนๆ

    “ฉันจำไม่ได้ว่าอนุญาตให้คุณมาเรียกชื่อเล่นได้ตั้งแต่เมื่อไหร่” โยสิตาหน้างอ ไม่พอใจที่อีกฝ่ายตีขลุมมาทำ”สนิท” เรียกชื่อเล่นกันหน้าตาเฉย

    “ทำไมละ ผมรู้สึกคุ้นเคยกับคุณ เหมือนรู้จักกันมานานแล้วด้วยซ้ำ เรียกชื่อเล่นแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นไรเลย อย่าทำหน้าดุสิคุณ” กฤตธรอมยิ้มละไม ไม่สนใจอาการตั้งตัวเป็นอริกันของอีกฝ่าย

    เขาพอจะมองออก...ไม่สิ เขาเชื่อจากส่วนลึกข้างในเลยว่าโยสิตาต้องเป็นคนดี แม้พฤติกรรมของเธอหลายอย่างจะค้านความรู้สึกนี้ก็ตาม

    “คุณจะจีบฉันเหรอ มุขโบราณมาก” หญิงสาวเบะริมฝีปาก ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะมองว่ามันน่าเกลียด ก็เธอไม่สนใจเขาเสียหน่อย

    ถึงอีกฝ่ายจะหล่อชวนตะลึงลาน ถึงจะใจสั่นแปลกๆเวลาอยู่ใกล้เขา แต่ทั้งหมดนั่น เพราะเธอกลัวเขาจับพิรุธได้ต่างหาก ไม่ใช่เพราะสนใจเขาหรอก!

    “ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่มุขหรอกคุณ” ชายหนุ่มพิงแผ่นหลังกับพนังกระจกใสด้านหลัง ยกมือกอดอกมองตรงมานิ่งแน่วจริงจัง

    โยสิตาเหลือบมองกฤตธรชั่วแวบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจับจ้องมองหน้าจอโน้ตบุ๊ก ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายแลเห็นความหวั่นไหวในแววตาเธอ

    “ถ้าคุณจะมาไร้สาระละก็ ฉันไม่ว่างฟัง ต้องทำงาน งานยุ่งมาก”

    “ยุ่งมากจริงเหรอ”

    “จริงสิ” เธอย้ำหนักแน่น ก่อนจะจุกแอ้กเพราะเสียงทุ้มที่ย้อนกลับมา

    “มิน่า ถึงไม่เห็นมีลูกค้าสักคน”

    “เดี๋ยวลูกค้าก็เข้าเองละ คุณรีบๆกลับไปเสียทีสิ”

    เจ้าหล่อนไม่ว่างเว้นเลยที่จะหาทางขับไล่เขา แต่กฤตธรไม่ใส่ใจ เขานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติกสีส้มสดใสข้างกับผนังกระจกใกล้ๆกัน พร้อมยกขายาวไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์

    ในร้านมีแค่โยสิตากับเขาเพียงลำพังแค่สองคน แม้ฝ่ายหญิงจะทำท่าเหมือนอึดอัดไม่เต็มใจต้อนรับ แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด

    เขาไม่เคยต้องตอแยผู้หญิงคนไหน ให้สวยกว่าโยสิตามากมายหลายเท่าก็ไม่ดึงดูดความสนใจของกฤตธรเท่าคนหน้าบึ้งที่อยู่ตรงหน้าในเวลานี้มาก่อนเลย

    นับตั้งแต่คืนนั้นที่พบกัน กฤตธรก็เฝ้าคิดถึงแต่เจ้าของหน้าเรียวละมุนรูปไข่ คิ้วหนาเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตสดใสและอ่อนหวานน่าเอ็นดูราวกับตากวาง ถึงขนาดเก็บเอาไปฝันประหลาดล้ำ

    เขาฝันเห็นตัวเองเป็นเจ้าชายของอาณาจักรหนึ่ง และได้ทำพิธีเสี่ยงทายเนื้อคู่ด้วยการลอยโคม และหญิงสาวที่เก็บโคมเสี่ยงทายของเขาได้ ก็คือโยสิตา

    เจ้าหล่อนไม่รู้ตัวหรอก ว่าเขาคอยยืนมองอยู่ตั้งแต่แรก…กฤตธรใจเต้นแรงพองโตนับตั้งแต่ที่เห็นหญิงสาวก้าวเข้ามาในอุทยานหลวงตั้งแต่แรก

    เป็นความฝันที่เหมือนจริง ยิ่งชวนให้นึกถึงแต่โยสิตา จนเขาต้องคาดคั้น ถามที่อยู่และภูมิหลังของหญิงสาวมาจากปารมีจนได้

    “คุณบุ้งเขาเล่าให้ฟัง ว่าคุณพ่อของคุณเป็นนักโบราณคดีหรือ”

    เขาเริ่มต้นชวนคุย เพราะบิดาของตัวเองก็หลงใหลชื่นชมของเก่าเป็นชีวิตจิตใจ หากได้รู้จักมักจี่กับบิดาของโยสิตา ก็น่าจะเป็นการกระชับมิตรได้ในระดับหนึ่ง

    “ยายบุ้งก็บอกคุณหมดแล้วนี่ จะต้องถามทำไมอีกละ” ช่างภาพสาวหน้ามุ่ย นึกค่อนเพื่อนรักในใจ รายงานเขาหมดไส้หมดพุงเลยใช่ไหมยายผักบุ้งจีน!

    “คุณพ่อของผมท่านสนใจศิลปวัตถุโบราณ มีที่หามาได้หลายชิ้น ซึ่งท่านยังไม่ได้ส่งมอบให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไหนตรวจสอบ ถ้าคุณพ่อของคุณสนใจอยากรับจ๊อบละก็...”

    “โบราณวัตถุทั้งหลายสมควรเป็นสมบัติของชาติ ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งค่ะ ไม่สิ มันควรเป็นสมบัติของโลกใบนี้เลยต่างหาก ถ้าได้มาก็ต้องรีบส่งคืนให้เป็นของชาติค่ะ ไม่ใช่หน้าที่ของใครจะเอามาตรวจสอบวิจัยกันเอง”

    โยสิตาแย้งเสียงเข้ม ใบหน้าหวานขึงขังจริงจัง ทำเอาคนตัวโตกว่าถึงกับอึ้งไปอย่างคาดไม่ถึง

    “ไม่เห็นต้องซีเรียสอย่างนั้นเลยนี่คุณ ถ้าชิ้นไหนเป็นของจริง มีค่าคู่ควรกับบ้านเมือง พ่อผมท่านก็ยินดีจะส่งเข้ากรมศิลปากรไว้เป็นมรดกของชาติอยู่แล้วละ”

    โยสิตาไม่ต่อคำกับกฤตธร หญิงสาวแสร้งทำไม่ได้ยินที่เขาพูดไปเสีย คนอย่างนายกสินทร์ ลือชื่อกระฉ่อนในวงการตลาดมืด ว่าเป็นนักสะสมของเก่าโบราณหายาก คนอย่างนั้นหรือจะยอมส่งของคืนเข้าแผ่นดิน

    “คุณโย...เป็นอะไร ทำไมทำหน้าอย่างนั้นละ” ชายหนุ่มเอียงคอมองคนตัวเล็กที่ยุกยิกอยู่กับหน้าจอโน้ตบุ๊กไม่ได้สนใจเขาเลย กฤตธรลุกจากเก้าอี้ ตรงเข้าไปหาเจ้าหล่อน ก็พอดีกับลูกค้าที่นัดเอารูปไว้ผลักประตูกระจกหน้าร้านเข้ามา

    โยสิตาส่งของให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้วจึงหันมาทำหน้าบึ้งให้ชายหนุ่ม มองเขาอย่างเสียมิได้ก่อนจะเอ่ยถาม

    “มีธุระอะไรอีกหรือคะ”

    “เอ่อ...คุณรับงานถ่ายวิดีโอนอกสถานที่ด้วย...” เขาถามเสียงสูง พลางชี้มือไปที่ข้อความซึ่งเขียนแปะเอาไว้หน้าร้าน

    “ใช่ค่ะ รับ…แล้วยังไงคะ” โยสิพยักหน้าหงึกๆ

    “กลางเดือนหน้า พ่อผมจะจัดงานแซยิด...ผมอยากจะจ้างคุณไปบันทึกภาพในงานไม่ทราบว่า จะคิดเท่าไหร่หรือครับ”

    คนทำหน้าเซ็งหงิกอยู่เมื่อครู่ ตาโตแป๋วตื่นเต้นเป็นประกายวาววะวับขึ้นมาในทันทีที่กฤตธรถามเช่นนั้น

    “คุณ...คุณจะจ้างฉัน ไปบันทึกภาพในงานวันเกิดของคุณพ่อคุณ ที่โรงแรมโยธกาธานีงั้นเหรอ”

    “ครับ”

    “แล้ว…งานนี้จะมีการเปิดห้องนิทรรศการของโบราณให้แขกเข้าชมด้วยใช่ไหมคะ” เสียงใสถามต่อ ยังตื่นเต้นไม่หาย

    “ใช่ คุณจะคิดค่าจ้างเท่าไหร่ละ” ชายหนุ่มพยักหน้า พอใจที่เห็นหน้าบานแช่มชื่นขึ้นมาทันทีทันใดของอีกฝ่าย

    “ฉันไปทำงานให้ฟรีให้เลยก็ได้ อุ้ย ไม่ใช่...นี่ค่ะ เรทราคาค่าจ้างตายตัว ขึ้นอยู่กับว่าจะให้บันทึกภาพนานแค่ไหน” โยสิตาตื่นเต้นแทบรอวันงานไม่ไหว แต่พอหลุดปากไปแล้วก็ต้องรีบกลับลำ หันไปคว้าอัตราเรทค่าจ้างบันทุกภาพนอกสถานที่ตามงานต่างๆมายื่นส่งให้เขา คิดราคาตามระยะเวลาทำงาน

    “โอเค งานเริ่มประมาณห้าโมงครึ่ง จนถึงสองทุ่ม คุณคิดเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย ผมไม่มีปัญหา””

    “เจ้าค่ะ ฉันทราบว่าโยธกาธานีเงินหนาจริงอะไรจริง” โยสิตาเงยหน้า ตวัดตามองค้อนอีกฝ่ายอย่างหมั่นไส้

    อวดร่ำอวดรวย…นี่ถ้าไม่ติดว่าเธออยากเข้าไปในห้องจัดนิทรรศกาลของโยธกาธานีอีกละก็…ให้เอาเงินมากองเท่าไหร่ก็ไม่สนหรอก

    “เป็นอันว่า…คุณตกลงรับงานของผมแล้วนะครับ”

    “งั้นสิคะ ฉันมันก็แค่คนงานรับจ้าง ได้ค่าแรงดีๆ จะปฏิเสธได้ยังไงกัน” หญิงสาวบ่นหน้ามุ่ย หากอีกฝ่ายกลับหัวเราะหน้าระรื่น

    “งานนี้มีของเก่าที่คุณพ่อผมเพิ่งได้มาหลายชิ้น ถ้าคุณพ่อคุณท่านสนใจมาเยี่ยมชม ทางเราก็ยินดีนะครับ”

    “คุณอนุญาตให้คุณพ่อของฉันเข้าไปในงานได้เหรอคะ” โยสิตาเบิกตาโพลง ดีใจอย่างยิ่ง

    “สนใจแล้วใช่ไหมละ เอาเป็นว่า ถ้าคุณพ่อคุณ ท่านสนใจก็เชิญได้นะครับ”

    โยสิตากะพริบตาปริบๆ นิ่งมองรอยยิ้มอ่อนโยนใจดีของกฤตธรอย่างงุนงง ไม่เข้าใจเลย

    ทำไมเขาดีกับเธอถึงขนาดนี้...ไหนเขาคิดว่าเธอเป็นพวกสายโจรไม่ใช่หรืออย่างไร

    “ไม่กลัว...ฉันจะไปสอดส่องของโบราณของคุณพ่อคุณแล้วหรือคะ...”

    “ไม่กลัวหรอก ตอนนี้ผมรู้จักบ้านคุณ รู้จักร้านของคุณ แถมเพื่อนสนิทของคุณก็ยังทำงานกับผมด้วย จะต้องกลัวทำไมกันละ”

    กฤตธรอมยิ้ม หยิบนามบัตรตัวเองจากกระเป๋าเสื้อสูทด้านในมายื่นส่งให้เธอ

    “ขอนามบัตรของคุณด้วยสิ”

    พอหญิงสาวรับนามบัตรของเขาไป ชายหนุ่มก็ทวงของเธอบ้าง โยสิตาจำต้องก้มไปหยิบนามบัตรของตัวเองส่งให้อีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้

    เห็นเป็นลูกค้าที่เอางานถูกใจแถมยังได้เงินมาให้ด้วยหรอกนะ

    หญิงสาวแทบกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ อยากบอกข่าวดีกับบิดาเร็วๆเหลือเกิน งานนี้คุณพ่อต้องดีใจจนตัวลอยแน่ๆ

    “นายกฤตธรน่ะหรือ เชิญพ่อไปร่วมงานวันเกิดพ่อของเขาด้วย นี่พ่อหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ย”

    คุณอธินไม่อยากเชื่อ กับเรื่องที่ลูกสาวเล่ามาทั้งหมด

    เดิมทีเขาได้ข่าวมาว่า คนที่จะเข้าไปเยี่ยมชมศิลปวัตถุของนายกสินทร์ได้จะมีเฉพาะแต่แขกผู้มีเกียรติที่ได้รับบัตรเชิญจากเจ้าของงานเท่านั้น

    หากเขาเข้าไปในงานได้ คุณอธินก็สามารถเข้าไปพิสูจน์ดูศิลาจารึกแห่งจันทปุระอย่างใกล้ชิดได้กับตาตัวเอง นั่นจะชัดเจนและตอบข้อสงสัยของเขาได้วิเศษยิ่งกว่ากล้องถ่ายรูปขั้นเทพใดๆเสียอีก

    “จริงแท้แน่นอนค่ะคุณพ่อ เดี๋ยวหนูจะไปเอาบัตรเชิญมาให้คุณพ่อด้วยตัวเองเลยค่ะ”

    “ไม่น่าเชื่อเลยนะลูก ทำไมเขาถึงเชิญเราไปด้วย แปลกจริงๆ”

    “เขาทราบว่าคุณพ่อเป็นนักโบราณคดีน่ะสิคะ ก็เลย...คงอยากให้คุณพ่อไปช่วยดูของเก่าของพ่อเขาด้วยน่ะค่ะ เข้าทางเราเป๊ะเลย ทีนี้คุณพ่อก็จะได้พิสูจน์จารึกแผ่นนั้น ว่าเป็นของจริงหรือว่าของเลียนแบบกันแน่ ตกลงว่า คุณพ่อไปงานนี้ด้วยกันกับหนูนะคะ”

    คุณอธินยิ้มรับแทนคำตอบว่า “ตกลง” ซึ่งลูกสาวก็ทราบอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนั้น

    โยสิตายิ้มร่า สบายอกสบายใจ เธอไม่ต้องเสี่ยงไปทำตัวลับๆล่อๆ ให้กฤตธรเข้าใจว่าเป็นพวกนักโจรกรรมอีกแล้ว

    เอ๊...แต่เขาจะมองเธออย่างไรก็เรื่องของเขาสิ ไม่เห็นจะต้องแคร์เลยนี่นา

    หญิงสาวรีบปัดความคิดเกี่ยวกับกฤตธรทิ้งไป หันมาสบายอกสบายใจเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยลงตัวกว่าที่เธอคิดเอาไว้ตั้งเยอะ

    โดยเฉพาะเมื่อแลเห็นใบหน้าแช่มชื่นมีความหวังของบิดา

    หากแผ่นศิลาจารึกแห่งจันทปุระที่อยู่กับคุณกสินทร์เป็นของจริง ความหวังที่จะนำศิลาแผ่นนั้นกลับคืนมาเป็นสมบัติของคนทั้งชาติจะได้เป็นจริงเสียทีและคุณพ่อของเธอจะได้คลายความรู้สึกผิด ที่ปล่อยให้แผ่นศิลาจารึกแผ่นนั้นหายไปจากมือตนเองเมื่อสิบปีก่อนได้เสียที

    พีอาร์สาวหาเวลาที่เลิกจากงานมานั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนรักในฟู้ดเซ็นเตอร์ของห้างสรรพสินค้าใกล้บ้านของอีกฝ่าย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างได้อาหารและเครื่องดื่มของตนเองแล้ว สองสาวก็นั่งคุยกันเรื่องกฤตธร ปารมีนั่งฟังเพื่อนรักเล่าเรื่องน่ายินดีของเจ้าตัวด้วยอาการนิ่งอึ้งคาดไม่ถึง

    เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่สุดเรื่องหนึ่งที่ปารมีคิดว่าจะได้ยิน เจ้านายเธอท่าทางจะเอาเรื่องโยสิตาแล้วก็กลับเปลี่ยนใจ ยอมเปิดทางให้เพื่อนของเธอและคุณอธินเข้าไปร่วมงานสำคัญของคุณกสินทร์หน้าตาเฉย

    “คอยดูนะ ถ้านายกสินทร์ฮุบเอาสมบัติของชาติไปไว้ในครอบครองจริงๆ คราวนี้ได้ติดคุกหัวโตแน่”

    โยสิตาหมายมั่นปั้นมือ ในขณะที่พีอาร์สาวสำลักน้ำหวานที่กำลังดูดไอแค่ก

    “ไอ้โย ต้องรุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ...ยังไงคุณกสินทร์เขาก็เป็นนายจ้างของฉันนะแก...ถ้าลุงธินพาตำรวจไปจับคุณกสินทร์ มีหวัง...ฉันต้องติดร่างแหพลอยตกงานไปด้วยแน่”

    “โธ่แก...แกจะต้องไปอาลัยอาวรณ์กับเจ้านายโจรอย่างนั้นทำไม ของของชาติแต่เขายังเอาไปเก็บไว้เป็นของตัวเอง แถมยังไม่กลัวเกรงกฎหมายอีก คนอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากโจรหรอก”

    “เฮ้อ...นี่ฉันคงต้องเริ่มต้นมองหาที่ทำงานใหม่จริงๆแล้วสินะ”

    ปารมีทอดถอนใจแรงๆ รู้ว่าเพื่อนช่างมีอุดมการณ์แรงกล้าถอดแบบมาจากบิดาของเจ้าหล่อนไม่ผิดเพี้ยน

    เธอเองก็ดันหลวมตัวไปช่วยแล้ว จะกลับลำตอนนี้ก็สายเกินไป คงได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่น่าสงสารเท่านั้น

    “แหม...เอาน่า ถ้าแกตกงาน ไม่มีอะไรทำ มาเฝ้าร้านถ่ายรูปกับฉันก็ได้ ไม่อดตายหรอกน่า รับรอง” โยสิตายื่นมือไปตบบ่าเพื่อน ปลอบอกปลอบใจ ใจหนึ่งก็อยากให้แผ่นจารึกที่อยู่กับคุณกสินทร์เป็นของปลอม ทุกอย่างจะได้ไม่เลวร้ายอย่างที่คาดคิดเอาไว้ แต่อีกใจก็อยากให้เป็นของจริง เพื่อบิดาของเธอจะได้หลุดพ้นจากความรู้สึกผิดที่พันธนาการท่านมานับสิบปีเสียที สองความรู้สึกนี้ตีกันไปมาในหัวสมองเธอจนยุ่งเหยิงไม่น้อย

    “นี่ไอ้บุ้ง…แกเคยบอกว่า เคยได้ยินคุณกสินทร์คุยกับคุณเกรียง พราหมณ์ทำพิธีประจำตัวของเขา พวกเขาเรียกแผ่นศิลาจารึกแผ่นนั้นว่า ‘ศิลาจารึกแห่งจันทปุระ’ ใช่ไหม”

    โยสิตาเปลี่ยนเรื่อง หันมาเอ่ยถามในเรื่องที่ค้างคาใจมาหลายวัน

    “ใช่ ฉันได้ยินมาว่าอย่างนั้นแหละ” ปารมีพยักหน้ายืนยันแข็งขัน

    โยสิตาหน้าเคร่ง ยิ่งเชื่อมั่นว่าศิลาจารึกที่อยู่กับคุณกสินทร์ต้องเป็นของจริง เพราะคุณพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า เรื่องของนครจันทปุระ แทบไม่มีผู้ใดรู้จัก ขนาดอักขระภาษาจันทปุระบิดาของเธอหรือใครๆในกรมศิลปากรยังอ่านไม่ออก แล้วอย่างนั้นคุณกสินทร์ไปเอาชื่อของนครแห่งนี้มาจากไหนกัน

    “ก็พ่อหมอประจำตัวของคุณกสินทร์น่ะสิ แกชื่อเกรียง แกอ้างตัวเองว่าแกสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษชาวจันทปุระ แกยืนยันนักหนาว่าจารึกแผ่นนั้นเป็นของอาณาจักรจันทปุระ แต่ฉันไม่รู้ว่าแกจะรู้จริงๆ หรือแค่มั่วนิ่มหรอกนะ”

    “อ๋อ...” ปารมีอุทานในลำคอ เพิ่งนึกขึ้นได้อีกอย่าง “แล้วงานนี้คุณกสินทร์เขาจะมีเซอร์ไพรส์ด้วยละแก เห็นว่าปิดเป็นความลับ รู้กันแต่เฉพาะวงในว่าคุณกสินทร์ตั้งใจจะใช้งานนี้ กรุยทางให้คุณกวินทร์ลูกชายคนโตของเขาขอคุณเมธาวีแต่งงานด้วยละ”

    “เหรอ...งั้นงานนี้ก็ต้องโรแมนติกมากๆ ให้สมกับความหวานชื่นของคู่รัก” โยสิตาพยักหน้าหงึกๆ ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากเพิ่มไปอีกหลายเท่า

    เธออยากรู้เหลือเกิน ว่าคุณกสินทร์จะเนรมิตงานเลี้ยงฉลองครบรอบอายุครบหกสิบปีของตัวเองออกมาเป็นแบบไหน

    ท่ามกลางความมืดสลัวของห้องจัดนิทรรศการซึ่งพร้อมเต็มที่ที่จะอวดโฉมกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติทั้งหลายของคุณกสินทร์ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ชายชราในชุดนุ่งขาวห่มขาว เส้นผมขาวโพลนตัดกับความมืดเดินอย่างเชื่องช้าเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าแผ่นศิลาขนาดประมาณแปดคูณสิบนิ้ว รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ขอบโดยรอบนั้นมีลวดลายแปลกตาไม่มีใครคุ้นชิน

    ศิลาแผ่นนี้ตั้งอยู่ในตู้โชว์ด้านในสุด ชิดกับฝาผนังห้อง เยื้องกับริมระเบียงทางเดินออกสู่สวนกว้าง คุณเกรียงทอดสายตามองแผ่นศิลาด้วยความอาลัยอาวรณ์และสงสาร ริมฝีปากเหี่ยวย่นขมุบขมิบเปล่งเสียงออกมาเป็นภาษาที่ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง

    “อีกไม่กี่วัน...อดทนอีกนิดนะ...ปุษกร...ทุกสิ่งต้องรอเวลาของมันทั้งสิ้น...เจ้าคงเข้าใจนะ...”

    พริบตานั้นปรากฏแสงสว่างจุดวาบขึ้นที่แผ่นศิลา ตู้โชว์สั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อมๆขึ้นในห้อง หากนั่นเป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบสนิท

    คุณเกรียงยกมือลูบไล้ตรงตำแหน่งที่แผ่นศิลาวางอยู่ผ่านกระจกใสของตู้ครอบ ในแววตาฝ้าฟางเปี่ยมไปด้วยความกังวลระคนหนักอกหนักใจ

    ครั้งนี้หากไม่เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ เขาจะก่อกรรมครั้งใหญ่...ก็ได้แต่หวังว่า ทุกสิ่งจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนั้น

    ขอเพียงสลายความเคียดแค้นแสนนานของปุษกรได้ แม้จะเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

    -----------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×