ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงอธิฏฐาน

    ลำดับตอนที่ #2 : เสี้ยวหนึ่งของอดีต...

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 54



    2.

    โยสิตากดรับโทรศัพท์จากเพื่อนรักหลังจากปล่อยให้มันกรีดเสียงร้องอยู่เป็นนานสองนาน ด้วยเธอวิ่งออกมาจากโรงแรมโยธกาธานีด้วยความเร็วยิ่งกว่านักกีฬาวิ่งแข่งร้อยเมตรเสียอีก

    และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่หญิงสาวต้องเสียมารยาทตัดหน้าแซงคิวลูกค้าอื่นของโรงแรมเพื่อขึ้นรถแท็กซี่มาก่อน

    กว่าจะออกมาพ้นโรงแรมได้ โยสิตาก็เหนื่อยไม่น้อย เธอนิ่งรอจนกระทั่งลมหายใจตัวเองเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แล้วค่อยล้วงกระเป๋ากางเกงยีนหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมากดรับ

    “ไอ้โย แกอยู่ไหนน่ะ เป็นยังไงบ้าง คุณกฤตจับได้หรือเปล่า”

    สุ้มเสียงร้อนรนของเพื่อนรักทำเอาคนฟังยิ้มออกมาได้ทั้งที่เหงื่อเม็ดเล็กๆยังเกาะพราวเต็มใบหน้า

    “มือระดับนี้แล้ว ไม่พลาดหรอก แกสบายใจได้”

    “ไม่พลาดอะไรไอ้โย” ปารมีย้อนถามอย่างไม่วางใจ

    “ก็ชกไม่พลาดน่ะสิ”

    “เฮ้ย นี่อย่าบอกนะว่าแกชกเจ้านายฉันน่ะ!!” ปารมีอุทานเสียงแหลมปรี๊ดก่อนจะลดเสียงตัวเองลง เหลียวซ้ายแลขวาล่อกแล่ก หน้าตาตื่น

    “ก็ชกสิ ทำไมจะไม่ชกละ เขาอยากมาก้ำเกินฉันทำไม สมควรโดนแล้วละ”

    “ตายๆๆ นี่ฉันต้องตกงานแหงๆ ไอ้โย แกไม่น่าทำเรื่องเดือดร้อนให้เพื่อนเลยนะ” ปารมีต่อว่าอย่างเหลืออด เสียดายหน้าที่การงานดีๆในโรงแรมระดับห้าดาวอย่างโยธกาธานีใจจะขาด

    ไม่น่าใจอ่อนเห็นแก่ลูกอ้อนของเพื่อนเลย งานเข้าแล้วไหมละ!

    “บ้าเหรอ นี่มันเรื่องระหว่างเขากับฉัน ไม่เกี่ยวกับแกสักหน่อย ถ้านายกฤตธรนั่นจะเอาเรื่อง ก็ให้เขามาคิดบัญชีที่ฉันนี่สิ จะมั่วได้ยังไง”

    “โอ๊ย เขาจะมาแยกแยะขนาดนั้นเลยเหรอ มันเป็นไปไม่ได้หรอก แกไม่เข้าใจ...เฮ้ย...แล้วนี่ฉันจะทำยังไงดี มิตกงานต้องเตะฝุ่นหรอกเหรอ ไอ้โยนะไอ้โย...”

    “น่าๆ เลิกบ่นเถอะ ถ้าหมอนั่นไล่แกออก ฉันจะแก้แค้นให้แกเอง เขาไม่ได้อยู่ดีมีความสุขแน่”

    “แกจะทำอะไรคุณกฤตธรน่ะ” ปารมีขมวดคิ้วงุนงง เพื่อนรักทำอย่างกับกำลังถือไพ่เหนือกว่าเจ้านายของเธอ มันอย่างไรกันแน่

    “เออน่า ไม่ต้องสงสัยมากนักหรอก ไว้เขาเล่นงานอะไรแกก็มาเล่าให้ฉันฟังด้วยแล้วกัน แค่นี้ก่อนนะ ฉันเหนื่อยมากเลย”

    โยสิตาตัดบท กลับมานั่งขมวดคิ้วมุ่นหนักอกหนักใจ ปากเธอก็พูดไม่เรื่อยอย่างนั้นเอง ไม่อยากให่ปารมีเป็นกังวล แต่เอาเข้าจริงแล้วก็อดเป็นห่วงเพื่อนไม่ได้ กลัวว่าฝ่ายนั้นจะต้องลำบากเพราะเธอ ซึ่งมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น

    งานก็พลาด แถมยังมีเรื่องกับเจ้าของโรงแรมอีก รู้สึกอย่างกับว่าตัวเองกำลังดวงตกอย่างไรชอบกล

    พอรถแท็กซี่จอดเทียบกับหน้าประตูรั้วไม้ระแนงสีขาวสะอาด หน้าบ้านสองชั้นขนาดกะทัดรัดน่าอยู่ในซอยที่การจราจรไม่พลุกพล่านนัก หญิงสาวก็กระโดดลงจากรถตรงดิ่งไปเปิดประตูรั้ว แล้วครึ่งเดินครึ่งวิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

    โชคดีว่าคุณพ่อยังไม่กลับ...ยังพอมีเวลาให้เธอเตรียมคำพูดดีๆ เอาไว้แก้ตัวกับท่านอยู่หน่อย โยสิตากลับเข้าไปในห้องส่วนตัว จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียงนอนนุ่ม รู้สึกปลอดภัยก็เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วนี่เอง

    หลังจากที่สงบนิ่งลง หญิงสาวก็เริ่มทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นมาในโรงแรมโยธกา เธอไม่เคยมีอาการประหลาดอย่างนั้นมาก่อนเลย สุขภาพร่างกายเธอสมบูรณ์แข็งแรงมาโดยตลอด ไม่เคยเป็นลมกะทันหันอย่างนั้นมาก่อน มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

    แล้วภาพหลอนนั่น...ทำไมช่างเหมือนจริงเหลือเกิน ใบหน้าหวาดกลัวสุดชีวิตของผู้คนที่ถูกธรณีพิโรธสูบกลืนลงไปใต้พิภพ เสียงกรีดร้องโหยหวน พ่อแม่ลูก คนรักต้องพลัดพราก ครอบครัวต้องแตกสานซ่านเซ็น...ทั่วทุกแห่งหนราวกับดินแดนมิกสัญญีที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน

    แค่นึกถึงหยดน้ำก็วาวรื้นกรอบตาคู่สวย หญิงสาวพยายามสลัดความคิดคำนึงที่เกี่ยวข้องกับภาพโหดร้ายติดตาที่ได้เห็นให้หลุดพ้นไปจากความทรงจำ แต่สมองกลับหนักอึ้งอ่อนล้า ราวกับสูญเสียพลังงานมามากมายจนร่างกายสั่งให้ปิดสวิตช์ตัวเองโดยที่เธอเองไม่อาจฝืนได้อีกต่อไป

    ท่ามกลางแสงจันทร์ฉายส่องสุกสว่างกลางดวงนภาที่มืดสนิท โยสิตาพบตัวเองนั่งอยู่หน้ากรงกระต่ายด้านหลังบ้านไม้หลังใหญ่ กว้างขวางยกพื้นสูงเปิดด้านล่างโปร่งโล่งให้ลมผ่านเย็นสบาย ดูไปก็คล้ายคลึงกับบ้านเรือนไทยที่เคยเห็นบ่อยๆ แต่ต่างกันที่ลวดลายตบแต่ง บ้านหลังนี้ดูแปลกไม่คุ้นตา แต่กลับรู้สึกคุ้นเคย

    เธอก้มลงมองกรงกระต่ายข้างๆตัว ซึ่งทำจากไม้ซี่เล็กๆ มาต่อเข้าด้วยกัน และเลยไปเบื้องหลังนั้น เป็นป่ารกทึบจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด ต้องอาศัยแสงสว่างสะท้อนจากแสงจันทร์ทรงกลดในค่ำคืนที่อากาศเย็นเฉียบบาดผิว

    เอ๊ะ…ผิวหรือ...ตายจริง!

    หญิงสาวก้มมองดูตัวเองด้วยความประหลาดใจ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ก็แปลกไป เป็นผ้าแถบสีเขียวตองอ่อนกับโจงกระเบนสีเดียวกัน ผมยาวสลวยที่เจ้าตัวชอบไว้เป็นหางม้าทิ้งพวงแกว่งไกว ยามนี้ถูกปล่อยยาวสยายเหยียดเต็มแผ่นหลังบอบบางจนชวนให้นึกรำคาญ

    เธออยากตัดผมสั้นแต่บิดาไม่ชอบ และขอร้องให้เธอไว้ผมยาวเพื่อระลึกถึงแม่ โยสิตารู้ว่าเธอมีใบหน้าละม้ายมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วมาก และแม่ของเธอก็ไว้ผมยาวสลวยทรงเดิมที่บิดาชื่นชอบเสมอไม่เคยเปลี่ยน

    เพื่อเห็นแก่ความสุขของบิดา โยสิตาจึงยอมไว้ผมยาวตามที่ท่านชอบ ชีวิตนี้เธอไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนท่าน สิ่งไหนหากเป็นความสบายใจของพ่อ โยสิตาไม่เคยขัดข้องมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    วันนี้มีลูกกระต่ายน้อยขนขาวปุกปุยเพิ่งเกิดไม่นาน กำลังน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง หญิงสาวเอื้อมมือเข้าไปในกรง ดึงหูเจ้าตัวจิ๋วขึ้นมาอุ้มเล่นอย่างเพลิดเพลิน หากเพียงเผลอนิดเดียวเท่านั้น กระต่ายตัวน้อยก็โดดแผล็วออกจากอ้อมอก วิ่งเตลิดเข้าไปในป่า

    หญิงสาวตกใจ รีบออกวิ่งตามไปโดยไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง

    เธอคุ้นเคยกับความมืดสลัวของป่ารกชัฏ ราวกับเคยวิ่งเล่นมาทั้งชีวิต ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ นอกจากห่วงใยเจ้ากระต่าย ร่างบางวิ่งบุกป่าฝ่าดง เฝ้ามองหากระต่ายตัวน้อย กระทั่งหลุดเข้ามาในสายหมอกหนาที่โอบล้อม

    ทัศนียภาพสองข้างทางถูกหมอกหนาขาวนวลกลืนกิน หญิงสาวหันรีหันขวางงุนงงทำอะไรไม่ถูก หากพริบตาต่อมา หมอกกลุ่มนั้นก็สลายไป

    ทัศนียภาพรอบกายของโยสิตาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากในป่าเต็มไปด้วยแมกไม้มืดครึ้มกลายเป็นสถานที่โล่งกว้างราวกับอยู่ในอุทยานหลวง มวลดอกไม้ยามค่ำคืนเบ่งบานรับหยดน้ำค้างเย็นชื่น ไกลออกไปที่ศาลาทรงจัตุรมุขเบื้องหน้า กลับสะดุดตาและเจิดจ้าไปด้วยเปลวเทียนนับร้อยนับพันเล่มที่ถูกจุดวางเรียงรายราวกับอยู่ในงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง

    โยสิตาวิ่งตรงเข้าไปที่ศาลากลางสวนดอกไม้ ด้านบนของศาลาล้อมไปด้วยฝ้าแพรไหมสีรุ้งเลื่อมเงาระยิบระยับยามต้องแสงเทียน และเบื้องหน้าของหญิงสาว มีโคมลอยสีขาวขุ่นกว้างประมาณหนึ่งศอก ล่องลอยเอื่อยๆอยู่ตรงหน้าบันไดทางขึ้นศาลานั้นด้วย

    ผู้สนใจใคร่อยากรู้จับใจ โคมนั้นคือโคมอะไรหนอ...

    มือน้อยเอื้อมไปคว้าโคมกระดาษมาถือไว้ เป็นเวลาชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่หญิงสาวอีกคนจะยื่นมือเข้ามา และต้องพบกับความผิดหวัง

    โยสิตาไม่ทันเห็นหญิงสาวแปลกหน้าคนนั้น เช่นเดียวกับฝ่ายนั้นที่มองมาที่เธออย่างตกตะลึงพรึงเพริด ตาคมดุลุกวาบ ฉายความเกรี้ยวกราดก่อนจะเอื้อมมือมา หมายคว้าโคมกระดาษลวดลายแปลกตาไปจากมือเธอ

    แต่เรื่องอะไรโยสิตาจะให้ ในเมื่อเธอหยิบได้ก่อน โคมนี้จึงสมควรจะเป็นของเธอสิ!

    “มอบโคมจันทรามาให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้นางไพร่!!”

    ผู้มาทีหลังตวาดข่ม วางตนเหนือกว่า หากแทนที่จะกลัวเกรงโยสิตากลับเชิดหน้าต่อตากับอีกฝ่ายไม่หวั่นเกรง

    “โคมนี้เป็นของข้า ข้าเก็บได้ เจ้ามาทีหลังจะมายื้อแย่ง ไม่วางอำนาจบาตรใหญ่ไปหน่อยหรือ”

    “มิรู้หรือว่าข้าคือผู้ใด” ผู้แย่งเชิดหน้าวางท่าผยอง ลำพองในฐานะ

    “ข้ามิรู้จักเจ้า หากเจ้าปรารถนาอยากให้ข้ารู้จัก จงบอกฐานะของเจ้ามา เพราะหากรอข้าไถ่ถาม เห็นทีเจ้าคงต้องรอเก้อ เพราะข้ามิสนใจว่าเจ้าจักเป็นผู้ใด”

    วาจาอวดดีของหญิงสาวผู้บังอาจมาตัดหน้าชิงของสำคัญของตนเองไป ยิ่งสร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้พลาดพลั้ง เพราะความที่เป็นคนสำคัญเสมอ ทำให้มิอาจยั้งความเกรี้ยวกราดของตนเองเอาไว้ได้ นางฟาดฝ่ามือใส่เสี้ยวหน้าซีกซ้ายของโยสิตา จนโยสิตาเซไปกระแทกลำต้นของต้นสาละใหญ่เบื้องหลัง

    เทียนในโคมไหม้กระดาษห่อลายสวยลุกพรึบจนโยสิตาต้องรีบปล่อยโคมทิ้งอย่างเสียดาย ตากลมโตคู่หวานตวัดมองกลับไปยังสตรีป่าเถื่อนใช้กำลังอย่างไร้เหตุผล

    “เจ้าช่างป่าเถื่อน ไร้มารยาท”

    “ข้าจักยิ่งกว่าตบเจ้า นางไพร่!!”

    แววตากระเหี้ยนกระหือรือ ลุกโพลงน่ากลัวของหญิงสาวคนนั้นกระทบใจโยสิตา แต่เพราะความโกรธที่ถูกรังแกโดยไม่มีความผิด ทำให้เธอไม่ทันใส่ใจใดๆ นอกจากเตรียมตัวตั้งรับ ไม่ยอมให้ฝ่ายนั้นทำร้ายเธอได้อีกแน่

    โยสิตาคว้ามือที่เหวี่ยงมาของสาวสวยตาคมคนนั้นแล้วผลักร่างระหงของเจ้าหล่อนออกไป ร่างนั้นลอยคว้างเสียหลักและคงกลิ้งลงไปนอนแอ้งแม้งไม่เป็นท่า หากไม่ได้อ้อมแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งโอบรับเอาไว้ทัน

     โยสิตาเบิกตาโต จ้องมองชายหนุ่มที่เหมือนหลุดออกมาจากความทรงจำเมื่อก่อนหน้าของเธอ...กฤตธร เขาคือนายกฤตธรคนนั้นแน่ๆ!!

    แต่ทำไม...ทำไมแต่งตัวแปลกตา อย่างกับเครื่องทรงของพวกกษัตริย์สมัยโบราณ

    “เจ้า...”

    “เราเห็นทุกอย่างหมดแล้ว พวกเจ้าอย่าทะเลาะกันอีกเลยนะปุษกร” เสียงขรึมของชายหนุ่มผู้นั้นดังขึ้นท่ามกลางความสงัดของยามค่ำคืน ก้องกังวานและทรงอำนาจ โยสิตาเห็นผู้หญิงป่าเถื่อนขี้โอ่คนนั้นแสดงท่าทางหวาดกลัวเขาจนหน้าจ๋อย รีบผละออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายแทบไม่ทัน

    เธอยังคงจับจ้องมองเขา...แววตาคมกริบเข้มแข็งมีอำนาจนั้นราวกับจะสั่งให้ทุกคนจำต้องยอมศิโรราบ แต่โยสิตาถือว่าหากเขาช่วยคนที่หาเรื่องเธอ ก็เท่ากับเป็นศัตรูของเธอด้วย

    “ข้ามิได้เป็นผู้หาความ คนของเจ้าตบหน้าข้า แค่ถูกผลักยังน้อยกว่าความผิดของนางนัก”

    โยสิตาชี้นิ้วไปที่คู่กรณีอย่างจะเอาเรื่อง ต่อให้นางมีหนุ่มรูปงามมาออกหน้าให้ เธอก็ไม่หวั่นเกรง

    “เจ้าชื่ออะไรหรือสาวน้อย”

    “ชื่ออะไรแล้วมันกงการอันใดที่ข้าต้องบอกเจ้าด้วย” หญิงสาวเท้าสะเอว ทำตาวาวเข้าใส่คนตัวโตอย่างกับยักษ์ตรงหน้า หากผู้ที่แผดเสียงใส่เธอกลับเป็นหญิงสาวที่ชื่อปุษกร

    “สาวหาวนักนางไพร่ ถือดีเยี่ยงไรกล้าต่อคำกับเจ้า...”

    “ปุษกร นี่เป็นธุระของข้ากับนาง เจ้าจงกลับไปก่อนเถิด...”

    ชายหนุ่มผู้นั้นหันไปทางปุษกร ทอดสายตามองนางอย่างอาลัยชั่วแวบก่อนจะเมินผ่าน โยสิตาเห็นท่าทางของคนทั้งคู่ก็พอจะมองออก

    พวกเขาคงเป็นคนรักกัน...

    แต่ก็สวยสมกันดีหรอก เพียงแต่ผู้หญิงที่ชื่อปุษกรคนนั้น...ดูออกจะดุร้าย ไร้มารยาทไปหน่อย

    “สาวน้อย เจ้ายังมิได้บอกเราเลย...เจ้าชื่ออะไร...”

    เสียงทุ้มของชายหนุ่มลอยมาปลุกโยสิตาตื่นจากภวังค์ หากเธอยังไม่ทันตอบโต้อีกฝ่าย ที่ปลายเท้าก็สัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่นุ่มนิ่มเคยคุ้น

    “กระต่ายน้อย อยู่นี่เอง” โยสิตาก้มลงไปคว้าร่างจ้อยของเจ้ากระต่ายมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน พลันนั้นหมอกสีขาวก็พลันบังเกิดขึ้นแน่นหนา

    “ลูกเกศ...เกศอาภา เจ้าอยู่ที่ไหนลูก”

    เสียงท่านพ่อเรียกเธอ!

    หญิงสาวหันขวับไปมองทางเบื้องหลัง จำเสียงของบิดาได้ แต่ที่สุดประหลาดใจก็คือ “เกศอาภา” คือชื่อใครกัน เธอไม่ได้ชื่อนั้นนี่!!

    “เกศอาภา”

    ชายหนุ่มแปลกหน้าเรียกเธอด้วยชื่อเดียวกับที่ได้ยินคนเรียกเธอแว่วๆ โยสิตาหันขวับกลับไปมองเขาอีกครั้งอย่างแปลกใจ หากไม่ทันได้เอ่ยถ้อยคำใด หมอกหนาก็บดบังทุกสรรพสิ่งรอบกาย

    เธอมองไม่เห็นสิ่งใด กระทั่งเจ้ากระต่ายน้อยที่มั่นใจว่ากอดมันเอาไว้แน่น ก็ยังกระเด็นหลุดไปจากอ้อมกอดตอนไหนไม่รู้

    โยสิตาเหมือนถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน ภาพหลายภาพแข่งกันผุดพรายยื้อแย่งกันพุ่งเข้าใส่หัวสมองของเธอจนสับสน

    เธอเห็นกลุ่มหญิงสาวเข้าแถวเรียงราย ทุกคนแต่งชุดกระโปรงผ้าลินินสีขาวยาวกลอมเท้าดูสะอาดตา หากพวกเธอล้วนมีใบหน้าโศกเศร้า เหมือนกำลังจะเข้าไปประกอบพิธีกรรมบางอย่างในเทวาลัยที่สร้างจากศิลาแลง คล้ายศิลปะแบบเขมรผสมผสานกับอินเดียดูแปลกตาจนบอกไม่ถูก

    โยสิตาเห็นตัวเองก็ยืนอยู่หลังสุดของขบวนหญิงสาวพวกนั้น...เธอก้าวขึ้นไปช้าๆ ตามบันไดหินทรายก้อนใหญ่ หนาชัน ด้านข้างซ้ายและขวาของทางเดินเป็นลางน้ำที่กำลังมีของเหลวบางอย่างพรูลงมา

    ของเหลวนั้นมีสีแดงจัดเข้มขนเหนียวหนืด...เหม็นกลิ่นคาวคละคลุ้งชวนคลื่นเหียน

    มันคือโลหิตสดๆของมนุษย์!!

    โยสิตาตัวแข็งทื่อ หยุดอยู่กับที่ มิได้ก้าวเดินต่อไป ใจเธอวิบหวิวเหมือนถูกกระชากออกไปจากร่าง พร้อมกับที่ภาพน่ากลัวทั้งหลายดับวูบลง

    มือใหญ่อบอุ่นวางนาบลงมากับหน้าผากนวลอย่างแผ่วเบา อ่อนโยน หญิงสาวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองบิดาอย่างเชื่องช้า ใบหน้าขาวซีดค่อยกลับมามีสีเลือดขึ้น เมื่อแลเห็นบุพการีเต็มตา

    “คุณพ่อ คุณพ่อจริงๆด้วย!”

    โยสิตาผุดลุกขึ้นมาได้ก็สวมกอดบิดาเข้าไว้แน่น ดีใจที่สุดที่ได้เห็นหน้าท่าน และโล่งใจยิ่งที่หลุดพ้นออกมาจากฝันร้ายที่เหมือนจริงเหลือเกินนั่นได้เสียที

    “เป็นอะไรโย ไม่สบายหรือลูก ตัวรุมๆอยู่นะ กินยาแล้วหรือยัง”

    “ยังเลยค่ะ หนูตัวร้อนเหรอคะ...มิน่า ถึงว่าหนักๆหัวชอบกล” หญิงสาวผละออกจากอ้อมอกของบิดา ยกมือคลำหน้าผากตัวเองเพื่อวัดความร้อน พบว่าไอร้อนในตัวเธอสูงกว่าปกติจริงๆ

    มิน่า...ถึงได้ฝันอะไรเลื่อนเปื้อน ฝันร้ายทั้งนั้นเลยด้วย

    “เดี๋ยวพ่อจะไปเอายามาให้กินก่อนดีกว่า หนูจะได้พักผ่อน” ดอกเตอร์อธินผละออกห่างจากบุตรสาว ไปหยิบยาที่ตู้ยาริมระเบียงทางเดินเอามาให้ลูกสาวรับประทาน

    เขาต้องอยู่เฝ้าคอยบังคับโยสิตาอยู่ในที ลูกสาวคนนี้รับประทานยายากมาแต่ไหนแต่ไร หากไม่อยู่เฝ้าจนกลืนยาลงคอไป เด็กดื้อเป็นไม่ยอมง่ายๆแน่

    “วันนี้ลูกไปที่โรงแรมโยธกาหรือเปล่า”

    นักโบราณคดีใหญ่เอ่ยถามลูกสาวขณะรับเอาแก้วน้ำมาจากมือเธอกลับไปวางไว้ที่โต๊ะไม้เล็กๆที่ข้างหัวเตียงตามเดิม

    “เอ่อ...ก็...ไปมาแล้วค่ะ”

    “แล้วเป็นยังไงลูก เจอแผ่นศิลาจารึกนั่นไหม” แววตาของคุณอธินเป็นประกายวาววับ ในขณะที่ลูกสาวหน้าเจื่อน ส่ายศีรษะไปมาก่อนจะตอบเสียงอ่อย

    “ยังไม่ทันเห็นแผ่นศิลาเลยค่ะ...จู่ๆลูกชายคนเล็กของนายกสินทร์ก็เข้ามาเสียก่อน”

    “นายกฤตธรเหรอ…แล้วนี่เขาจับพิรุธอะไรของลูกได้หรือเปล่า” คุณอธินร้อนอกร้อนใจขึ้นมาโดยพลัน

    หลงคิดว่างานนี้จะง่ายยิ่งกว่าที่ผ่านๆมา แต่ก็ดันมีอุปสรรค คว้าน้ำเหลวอีกแล้ว

    “เขาจับผิดอะไรหนูไม่ได้หรอกค่ะคุณพ่อ คุณพ่อไม่ต้องห่วงนะคะ อีกสองสามวันหนูจะลองเข้าไปใหม่ ยังไงหนูต้องถ่ายรูปจารึกอันนั้นมาให้คุณพ่อให้ได้เลยค่ะ”

    หญิงสาวให้ความหวังกับบิดา หากแทนที่หนุ่มใหญ่จะคลายกังวล เขากลับถอนหายใจเฮือก ส่ายหน้าไปมา

    “พ่อว่าหนูอย่าเข้าไปอีกดีกว่า ไว้พ่อจะกลับไปจ้างนักสืบแทนก็แล้วกัน...ไม่รู้มันมีอาถรรพ์อะไร ทำไมถึงเข้าไปถ่ายรูปจารึกจันทปุระที่นายกสินทร์เก็บเอาไว้ไม่ได้สักที”

    น้ำเสียงของดอกเตอร์หนุ่มใหญ่ไม่ปิดบังความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า คนเป็นลูกรับรู้ได้ถึงความวุ่นวายใจของบิดา เธอเองก็พลอยกังวลเช่นกัน

    “คุณพ่อแน่ใจหรือคะ ว่าถ้าเราได้รูปถ่ายแผ่นศิลาจารึกแผ่นนั้นออกมาได้จริง แล้วจะสามารถเอาผิดกับคุณกสินทร์ได้...ทางตำรวจจะเชื่อเราหรือคะคุณพ่อ”

    “พ่อมีรูปเปรียบเทียบ ศิลาจารึกแผ่นนั้นพ่อเป็นคนค้นพบ ตอนที่พบใหม่ๆ พ่อกับเพื่อนร่วมงานช่วยกันถ่ายรูปจุดตำหนิทุกอย่างไว้ชัดเจน ถ้ามีรูปถ่ายของแผ่นศิลาที่นายกสินทร์ครอบครองเอาไว้มาเทียบกัน พ่อก็สามารถยืนยันได้ทันที ว่ามันจะเป็นจารึกแผ่นเดียวกันหรือเปล่า”

    สีหน้าคุณอธินดูมั่นอกมั่นใจมาก โยสิตาเองก็เชื่อมั่นว่าบิดาจะสามารถทำได้อย่างที่พูด คุณพ่อของเธอเป็นนักโบราณคดีที่มุ่งมั่นแรงกล้า โดยเฉพาะทุกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับแผ่นศิลาจารึกจากนครที่สาบสูญ

    คุณพ่อเชื่อว่า จารึกศิลาแลงสลักลวดลายประหลาดพร้อมอักขระที่ไม่มีใครอ่านได้ เป็นโบราณวัตถุที่หลงเหลือมาจากนครโบราณเมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนที่ชื่อว่า...”จันทปุระ” นครโบราณที่ยึดโยงแสงจันทร์เข้าไว้กับเทวะพิธีการศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย

    อารยธรรมของนครจันทปุระหายสาบสูญไปนานแสนนาน เหลือเพียงเรื่องเล่าขานของชนพื้นที่ ซึ่งมีเพียงตำนานเรื่องเล่า และไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ามีอยู่จริง กระทั่งเมื่อสิบปีก่อนที่คุณอธินไปขุดสำรวจจังหวัดสุพรรณบุรีตอนบน แล้วก็พบกับวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งเข้า

    มันเป็นแผ่นหิน ขนาดประมาณแปดคูณสิบนิ้ว สลักเสลาลวดลายประณีต และด้านหลังก็มีอักขระเป็นภาษาที่ไม่มีใครอ่านออก

    คุณอธินเชื่อว่า นี่เองคือส่วนหนึ่งของนครจันทปุระที่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อประมาณหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อน เขาเก็บรักษาจารึกจันทปุระไว้อย่างดี และยังมิได้ให้ข่าวออกไป หากก็เป็นที่รู้กันกระฉ่อนในหมู่วงในพวกเล่นของเก่าว่าคุณอธินได้ของโบราณล้ำค่ามาครอบครองเอาไว้

    ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นจารึกโบราณก็หายสาบสูญไปจากที่ทำงานของเขา คุณอธินทั้งตกใจและรู้สึกผิดอย่างยิ่งที่ทำสมบัติของชาติหายไป ถึงหัวหน้าจะแทงว่ามันหายเพราะถูกโจรกรรม แต่หนุ่มใหญ่ก็โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเสมอมา

    จนบัดนี้ สิบปีแล้วเขาก็ยังไม่ยุติซึ่งการค้นหาจารึกแห่งจันทปุระชิ้นนั้น

    “หนูจะลองดูอีกครั้งค่ะคุณพ่อ...คราวหน้าหนูจะเป็นลูกค้าเข้าไป คิดว่าทางโรงแรมไม่กล้าว่าอะไรลูกค้าที่หลงเข้าไปดูของเก่าที่เขากำลังจะจัดแสดงพวกนั้นหรอกค่ะ”

    โยสิตาบอกบิดา หวังช่วยให้ท่านคลายใจ

    “เลยต้องเดือดร้อนลูก...ขอโทษนะ เพราะพ่อแท้ๆ เลยทำให้หนูต้องลำบาก” คุณอธินยกมือลูบศีรษะลูกสาว เขาเองก็อับจนหนทาง จ้างนักสืบมืออาชีพมาเป็นสิบๆคนแล้วก็คว้าน้ำเหลวทุกครั้งทุกคราว

    ความหวังของเขามันเลือนรางเต็มที พอลูกสาวซึ่งมีเพื่อนเป็นพีอาร์ของโรงแรมขันอาสาช่วยเหลือ คุณอธินก็เหมือนได้ฟางเส้นสุดท้ายมายึดเอาไว้

    เขาหวังว่าหากแผ่นศิลาจารึกจันทปุระที่อยู่กับคุณกสินทร์ไม่ใช่ของเลียนแบบอย่างที่บอกใครต่อใคร

    ถ้าพิสูจน์ได้เมื่อไหร่ เขานี่ละจะเล่นงานนายกสินทร์ด้วยตัวเอง!

    --------------------------------------------------------------------------

    ********อันนี้เป็นแนวรักหวานซึ้ง มีเครียดนะคะ สำหรับเปลี่ยนบรรยากาศค่ะ จะทยอยเอามาลงเรื่อยๆนะคะ สลับกับเล่ห์เชลยไปก่อนค่ะ

    ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามานะคะ


    ษาค่ะ^^


    ----------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×