ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงอธิฏฐาน

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 มาถึงก็พบกันเลยค่ะ^^

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 54


    บ่วงอธิฏฐาน

    ทักษิณา

    1.

    “เร็วเข้านะไอ้โย ระวังด้วย อย่าให้ใครจับได้ละ ไม่งั้นฉันตายแน่”

    ไม่เพียงพูดเปล่า แต่ผู้พูดยังทำท่าเอานิ้วปาดคอตัวเองแสดงถึงความร้ายแรงของเรื่องที่กำลังทำอยู่อีกด้วย

    “น่า แป๊บเดียวเอง ฉันไม่ให้แกเดือดร้อนหรอกยายผักบุ้ง”

    โยสิตาขยิบตาให้เพื่อนพร้อมยิ้มปลอบใจ ตอนนี้ในห้องด้านในไม่มีใคร และมันก็เป็นโอกาสที่เธอรอคอย

    หญิงสาวผลักบานประตูไม้สลักลวดลาย ทั้งหนาและหนักเข้าไปภายในห้องโถงกว้างที่ดูเผินๆเหมือนห้องจัดนิทรรศการตามสถานที่ของหน่วยงานราชการมากกว่าจะเป็นห้องจัดนิทรรศการส่วนตัวของโรงแรมหรูหราอันดับต้นๆของกรุงเทพฯ อย่างโยธกาธานี

    ห้องนี้ทางโรงแรมกันเอาไว้สำหรับเป็นที่จัดกิจกรรมสัญจรต่างๆ แต่เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนมาแล้วที่ห้องนี้ปิดตายเอาไว้

    จากที่โยสิตาเสาะถามผักบุ้ง หรือปารมี เพื่อนรักตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมปลายที่ทำงานเป็นประชาสัมพันธ์อยู่โรงแรมนี้ ทำให้หญิงสาวทราบว่าคุณกสินทร์ เจ้าของโรงแรมกำลังมีโปรเจคยักษ์ใหญ่ ด้วยการรวบรวมของจำลองเลียนแบบของเก่าโบราณหายากของเจ้าตัวเอง มาจัดแสดงในวันงานแซยิดครบรอบอายุหกสิบปีของตนเองที่นี่

    ภายในห้องโถงยามนี้มืดสลัวมีเพียงแสงสว่างบางๆ จากในสวนด้านนอกสาดเข้ามาพอให้เห็นทุกอย่างได้ลางๆ มีตู้กระจกดีไซน์เก่าโชว์ของด้านใน ซึ่งหลายอย่างล้วนดูเป็นของเก่าแปลกตาดูแล้วเธอก็ไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามันจะเป็นแค่ “ของเลียนแบบ” อย่างที่คุณกสินทร์เที่ยวบอกกับใครต่อใคร

    จากการที่คลุกคลีกับบิดาซึ่งเป็นนักโบราณคดีมาตั้งแต่จำความได้ ทำให้โยสิตาพอจะมีความรู้เรื่องของเก่าอยู่บ้าง โดยเฉพาะคุณกสินทร์นั้น เป็นผู้มีชื่อเสียงในตลาดมืดว่าเป็นนักสะสมของเก่าตัวยงเสียด้วย

    โยสิตาพินิจโบราณวัตถุในตู้โชว์ขนาดสูงประมาณหนึ่งเมตรทีละตู้ มีหลากชนิด หลายยุคสมัย ทั้งเครื่องแต่งกายทองคำถมยาแบบศิลปะกรุงศรีอยุธยางดงามตระการตาล้อแสงไฟเล็กน้อยยังดูงดงาม พระพุทธรูปศิลานั่งห้อยพระบาท จีวรแนบพระวรกายไม่เป็นริ้วซึ่งเป็นศิลปะสมัยทวารวดี หรือกระทั่งรูปปั้นพระโพธิสัตย์อวโลกิเตศวรศิลปะสมัยศรีวิชัย ตลอดจนข้าวของเครื่องใช้หลากหลายในแต่ละยุคสมัยทั้งถ้วยชามรามไห กระเบื้องดินเผา ลูกปัดสี ของที่คุณกสินทร์สะสมเอาไว้ ช่างมากมายและสมบูรณ์เกือบทุกชิ้น

    แต่โยสิตายังไม่เจอของที่เธอต้องการหา...

    ตากลมโตกวาดมองไปโดยรอบ ความมืดเป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง และเธอเองก็ไม่กล้าทำให้เกิดแสงสว่างใดๆขึ้นมาให้เป็นที่ผิดสังเกต

    ขณะกำลังเหมือนงมเข็มในห้องโถงอยู่นั้น จู่ๆหางตาของหญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงแสงสว่างลำหนึ่งจุดวาบขึ้นท่ามกลางความมืด ทว่าเมื่อหันขวับไปเขม้นมองก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะทุกอย่างบริเวณนั้นมืดสลัว ไม่มีวี่แววแสงสว่างใดๆเลย

    หรือจะตาฝาดไปเอง...

    โยสิตาคิดขณะสาวเท้าก้าวเข้าไปยังจุดที่ตัวเองเห็นแสงสว่างวาบเมื่อครู่ ท่ามกลางความเงียบสงัด ยินเพียงแค่เสียงลมพัดผ่านมาหวีดหวิว กลิ่นหอมเย็นของดอกไม้กลางคืนยิ่งทวีขึ้นราวกับเธอมิได้เดินอยู่ในห้องโถงของโรงแรมกลางเมือง แต่เป็นท่ามกลางวิหารที่กรุ่นไปด้วยกลิ่นหอมของกำยาน เครื่องหอมสำหรับบูชาเทพเจ้าต่างหาก!

    โยสิตาชะงักเท้า แวบหนึ่งมโนสำนึกผุดพรายภาพแปลกตา เป็นวิหารรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบง่ายๆ ก่ออิฐฉาบปูนที่ใหญ่โตสมบูรณ์แบบ รอบวิหารนั้นกรุ่นอวลไปด้วยมวลบุบผาชาติกลิ่นหอมจรุงจนแทบกลายเป็นฉุนเอียน

    เสียงหนึ่งโลดแล่นเข้ามาในโสต คล้ายเสียงพร่ำสวดด้วยภาษาที่เธอไม่มีวันรู้จัก หากชัดเจนยิ่งราวกับว่ากลุ่มผู้สวดนั้นอยู่รอบๆตัวเธอนี่เอง

    นี่มันอะไรกัน!!

    โยสิตาหนาวเยือกจับจิต มโนภาพและความจริงกำลังต่อตีกันยุ่งเหยิงอยู่ในหัวสมองของเธอ อากาศเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆ หากเหงื่อของหญิงสาวกลับผุดซึมออกมาราวกับเจ้าตัวยืนอยู่ในห้องอบซาวน่า

    “ใครกัน...หยุดสวดเถอะ...หยุดสิ!!”

    หญิงสาวทรุดลงกับพื้นพรมนุ่มนิ่ม ในหัวสมองเสียดร้าวแทบปริแตกเพราะเสียงสวดที่เธอไม่รู้จัก ไม่รู้ว่ามันเป็นภาษาใด มีใจความเช่นไร แต่ที่รู้สึกได้ก็คือมันไม่ใช่บทสวดธรรมดา

    มันเป็นบทสวดที่อัดแน่นไปด้วยคำสาปแช่งและจองล้าง เหมือนคนสวดคิดจะเอาชีวิต ไม่สิ...จะเอากระทั่งจิตวิญญาณของเธอเลยต่างหาก!!

    ‘เกศอาภา......สิ้นเวลาของเจ้าแล้ว ข้าจักเอาคืนในสิ่งที่เจ้าทำไว้ ข้าจักให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าที่ข้าได้รับ’

    “ไม่...ปล่อยฉัน อย่ามายุ่งกับฉัน!!”

    โยสิตาต่อเถียงกับเจ้าของเสียงแหลมเยือกเย็นสั่นสะท้านทุกอณูของความรู้สึก ภาพผู้คนมากมายหนีตายจากเมืองถล่ม สยดสยองและเนืองนองไปด้วยคาวเลือดพุ่งเข้าสู่ประสาทตาของเธอ ผู้คนพากันล้มตายเกลื่อนเมือง ก่อนที่แผ่นดินจะพิโรธกลืนกินทุกสรรพชีวิตจมลงสู่ท้องธรณีจนสิ้น

    หากนี่คือภาพยนตร์ มันก็คือภาพยนตร์ที่เหมือนจริงที่สุดเท่าที่เธอเคยดูมา กระทั่งกลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นเหียนยังติดจมูกอวลอยู่ที่ปลายจมูกนี่เอง

    ความกดดันบีบคั้นเสียดร้าวจิตใจจนต้องกลั่นออกมาทางหยดน้ำตา

    นี่มันอะไรกัน...เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่!

    ใจที่ถูกบีบรัดแน่นอ่อนล้าเหมือนคนกำลังจะสิ้นใจ โยสิตาหายใจไม่ออก อึดอัดทรมาน เจ็บปวดดั่งถูกมือยักษ์ฉีกทึ้ง ความรู้สึกเธอเหลือน้อยเต็มที...จนคิดว่าตัวเองคงกำลังจะตายแล้วแน่ๆ

    “คุณ...เป็นอะไรน่ะ”

    เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา ประดุจแสงสว่างที่สาดเข้ามาในความมืดมน ภาพในจินตนาการของโยสิตาหายวับไป แรงบีบอัดมหาศาลก็ค่อยทุเลาลง

    “คุณ...เข้ามาทำอะไรที่นี่...นี่คุณไหวไหม”

    เจ้าของเสียงทุ้มคนเดิมเอ่ยถามขึ้นเบื้องหน้าเธอนี่เอง เสียงของเขาอยู่ใกล้มาก ฟังแล้วอบอุ่นชวนสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

    โยสิตาค่อยๆเงยหน้า ลดฝ่ามือที่ปิดใบหน้าตัวเองสะอึกสะอื้นขึ้นมองเจ้าของเสียงทุ้มที่ก้มลงมานั่งอยู่ต่อหน้า แวบแรกที่ได้สบตาคมเข้มอ่อนโยนคู่นั้น หญิงสาวก็สะดุดลมหายใจตัวเองไปชั่วขณะ

    ความจริงในห้องที่มืดสลัว แต่โยสิตากลับจับรายละเอียดทุกอย่างบนใบหน้าคมสันเข้มแข็งของเขาได้ชัดเจน หากนั่นก็เป็นชั่วเวลาเพียงเสี้ยวนาที เพราะพริบตาเดียว ภาพคมชัดของชายหนุ่มตรงหน้าก็กลับพล่าเลือน

    ร่างบางอ่อนปวกเปียก ทรุดลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นพรมต่อหน้าชายหนุ่มที่เธอไม่รู้จัก ปิดโลกแห่งการรับรู้ของตนเองไปโดยไม่มีโอกาสได้ตอบคำถามของอีกฝ่ายเลยสักคำ

    “โธ่...อย่าเป็นอะไรนะไอ้โย ขอร้องละ...”

    โยสิตารู้สึกตัวขึ้นมาก็ได้ยินเสียงร้อนอกร้อนใจของเพื่อนรัก นี่แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอก่อนหน้านี้คงเป็นเพียงฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ

    มันผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวสักหน่อยโยสิตา...

    “ไอ้โย ตื่นแล้วเหรอ แกเป็นยังไงบ้าง”

    ปารมีปราดเข้ามาเกาะขอบเตียง จ้องเพื่อนรักตาโต แฝงความห่วงใยระคนโล่งใจ

    “ฉันจะเป็นอะไรได้ยังไง ดูแกทำหน้าสิยายผักบุ้ง ฉันยังไม่ตายง่ายๆหรอกย่ะ”

    โยสิตาลุกขึ้นนั่ง หันไปยิ้มยิงฟันให้เพื่อนรัก แต่อีกฝ่ายยังทำหน้ามุ่ย มองมาตาคว่ำ

    “ยังจะพูดดีอีก ไอ้โย แกทำฉันใจหายแวบๆ ตั้งขนาดไหนรู้บ้างไหม”

    “ใจหายอะไรของแก...เออ แล้วที่นี่ที่ไหนน่ะยายบุ้ง” โยสิตากวาดตามองไปรอบๆห้อง โล่งกว้างฉุนกลิ่นยาแถมยังทาสีขาวอย่างกับโรงพยาบาลด้วยความแปลกใจ

    “ห้องพยาบาลของโรงแรมน่ะ” ปารมีบอกเพื่อน

    “ห้องพยาบาล...ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน” คนเพิ่งรู้สึกตัวหน้าตาตื่น เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้เลาๆ

    ก่อนหน้านี้เธอเข้าไปในห้องจัดนิทรรศการของโรงแรม แล้วก็เห็นภาพหลอน จากนั้นก็...

    “เฮ้ย ยายบุ้ง ฉันเจอใครก็ไม่รู้ในห้องนิทรรศการด้วย...” โยสิตากำลังจะบอกเพื่อนต่อว่าผู้ชายคนนั้น “หล่อมาก” หากประตูด้านหน้าถูกผลักเข้ามาเสียก่อน

    สองสาวหันไปมองผู้เข้ามาใหม่พร้อมๆกัน โดยที่โยสิตานั้นเบิกตาโตตื่นเต้น ต่างกับเพื่อนของเธอที่หน้าเจื่อนไปทันที

    “เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยังคุณโยสิตา”

    ชายหนุ่มหน้าคมสวยอย่างกับลูกผสม ตาคมกริบ คิ้วดกเข้มตัดกับผิวขาวผ่องตรงหน้า ก็คือคนเดียวกับที่เธอเห็นก่อนจะหมดสติไปนั่นเอง โยสิตาก็ไม่มีทางลืมอีกฝ่ายไปได้ แค่สบตาเขาใจเธอก็เต้นโลดอย่างกับจะพลัดหลุดออกมานอกทรวงอกเสียแล้ว

    “เอ่อ...คุณรู้จักชื่อฉัน...”

    “ฉันบอกคุณกฤตเองละ” ปารมีรีบบอกเพื่อนรักเบาๆ

    “คุณกฤต” โยสิตาเลิกคิ้วมองเพื่อน ยิ้มอย่างดีใจได้รู้ชื่อเขา แต่ก็คุ้นชื่อนี้ชอบกล

    “คุณกฤตธร...ลูกชายคนเล็กของคุณกสินทร์ เจ้าของที่นี่ไง...”

    พอปารมีขยายความเท่านั้น รอยยิ้มของโยสิตาก็ค้างเติ่ง และหุบฉับลงในเวลาอันรวดเร็ว

    หญิงสาวหันขวับไปมองเพื่อนรักอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะวกกลับไปจ้องหน้าคมสันของกฤตธรอย่างไม่อยากเชื่อตาตัวเอง

    ความรู้สึกดีๆที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในหัวใจเหมือนถูกดับสนิทด้วยน้ำแข็งเย็นเฉียบ ทันทีที่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

    บ้าที่สุดเลย ทำไมต้องมาเจอลูกชายนายกสินทร์ด้วย ซวยแล้วไอ้โย!!

    กฤตธรจับจ้องมองหญิงสาวหน้ารูปไข่หวานละมุนได้สัดส่วน ทั้งดวงตาคมหวานสีน้ำตาลโตใสแป๋วรับกับคิ้วหนาทอดตัวยาวสวย จมูกโด่งเล็กๆ ริมฝีปากบางสีสดเข้ารูป ลงตัวชวนมองจนเขาแทบไม่อาจละสายตาไปจากเธอ

    เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษสุดยิ่งกว่าสิ่งใดผลิบานสดใสขึ้นในหัวใจ บางอย่างที่กฤตธรเองก็ไม่อาจอธิบายได้ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่

    ในเมื่อผู้หญิงตรงหน้าก็เป็นเพื่อนของปารมีเป็นแค่คนแปลกหน้าสำหรับเขาแท้ๆ

    “เป็นยังไงบ้าง เห็นคุณบุ้งเขาบอกว่า คุณมาหาเขา แล้วก็พลัดหลงเข้าไปในห้องนิทรรศการเหรอ”

    ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงขรึมเป็นงานเป็นการ สมกับมาดนักบริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงของเจ้าตัวในเวลานี้

    “เอ่อ...” โยสิตาหันมองเพื่อนรัก เห็นฝ่ายนั้นจิกตาสั่งให้เออออตามอย่าให้เสียเรื่อง “ค่ะ ใช่ ฉันหลงเข้าไปในห้องนั้น”

    “อันตรายมากนะคุณ ส่วนนั้นยังปิดเอาไว้ ไม่เปิดให้ใครเข้าไปข้างใน ถ้าผมไม่เดินเข้าไปคุณอาจเป็นลมตายอยู่ในนั้นโดยไม่มีใครเห็นอีกหลายวันเลยก็ได้”

    คนตัวโตก้าวเข้ามาทรุดนั่งลงข้างเตียงพยาบาลที่โยสิตาครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่ ใบหน้าคมดุ เคร่งจริงจัง

    “ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ...” โยสิตาหน้าจ๋อย เสียใจกับเรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นเช่นกัน

    นอกจากจะไม่ได้เรื่องที่ตั้งใจจะมาทำแล้ว ยังต้องมานอนแบ็บอยู่ในโรงแรมโยธกาอีก ซวยชะมัด!

    “ต้องขอบพระคุณคุณกฤตธรมากเลยนะคะ ที่ช่วยเหลือ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงแย่แน่ๆเลยค่ะ” หญิงสาวรีบยกมือไหว้ขอบคุณเขาทันทีที่นึกขึ้นได้

    “ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก คุณไม่เป็นไรผมก็สบายใจแล้วละ” ชายหนุ่มยกมือรับไหว้ด้วยกิริยาสุขุมนุ่มนวลอย่างคนที่ฝึกฝนมาดี ทำเอาคนมองเห็นอดชื่นชมไม่ได้

    ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกชายของนายกสินทร์จะสง่างามอย่างกับเจ้าชาย…

    “ไอ้โย ตาลอยไปไหนแล้ว”

    โยสิตาสะดุ้ง รีบกะพริบตาถี่ๆ ตกใจที่เพื่อนเอามือมาโบกไปมาต่อหน้า อดเขินไม่ได้ ก็เธอเองดันเผลอมองกฤตธรนานเกินไป

    ตายละ สายตาเธอคงไม่หยดเยิ้มน่าเกลียดหรอกนะ น่าขายหน้าชะมัด!!

    “เอ่อ...ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอตัวก่อนดีกว่านะคะ...” โยสิตารู้สึกไม่ปลอดภัย รีบหาทางไปให้พ้นจากโรงแรมนี้ให้เร็วที่สุดก่อนดีกว่า

    “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้คุณ พักให้หายดีก่อนก็ได้” กฤตธรบอกอย่างมีน้ำใจ หากอีกฝ่ายหันรีหันขวางมองหากระเป๋าเป้ของตัวเอง พอพบว่าอยู่ข้างๆเตียงก็รีบก้มลงไปหยิบขึ้นมาถือไว้พร้อมยิ้มร่า

    “ไม่ต้องแล้วละค่ะ ฉันหายดีแล้ว...อุ้ย!”

    ตุ้บ!

    กล้องดิจิตอลของหญิงสาวหลุดออกมาจากกระเป๋าเป้ซึ่งปิดซิบไว้ไม่สนิทหล่นปุมาอยู่ต่อหน้ากฤตธร โยสิตาอ้าปากค้าง รีบวางกระเป๋าแล้วเอื้อมมือไปจะคว้ากล้องกลับมา แต่ยังช้ากว่ามือใหญ่ของชายหนุ่ม

    เขาชิงหยิบกล้องของเธอขึ้นมาได้ก่อน พร้อมกับที่เผลอไปแตะถูกสวิตช์ดูภาพที่ถ่ายค้างของเก่าเอาไว้โดยไม่ตั้งใจ

    ภาพที่โยสิตาถ่ายค้างเอาไว้ในเครื่องโชว์ขึ้นมาเป็นรูปเล็กๆเต็มพรืดทั้งหน้าจอ และนั่นทำให้ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ต้องเลื่อนกดดูภาพจอใหญ่อย่างสนใจ

    “คุณกฤตธรคะ ขอกล้องคืนด้วย...” โยสิตาหันมองสบตากับปารมีเลิกลั่กตื่นตระหนก พีอาร์สาวก็ร้อนรนจนนั่งไม่ติด รีบทำปากสั่งเพื่อนไร้เสียง

    แย่งกล้องมา แล้วรีบออกไปเร็วเข้าไอ้โย!!

    “คุณกฤตธรคะ ขอกล้อง โอ๊ย!!”

    มือบางที่ยื่นไปจะคว้ากล้องของตัวเองกลับคืนมากลับเป็นฝ่ายถูกเขาคว้าเอาไว้แน่นเสียเอง โยสิตาตกใจหน้าขาวเผือด เบิกตาโพลง

    “ผมจะคืนกล้องนี่ให้คุณ แต่นั่นต้องหลังจากที่คุณตอบคำถามผมแล้วว่า รูปถ่ายในกล้องพวกนี้มันมาจากไหนและคุณ…เข้ามาในห้องจัดนิทรรศการย้อนยุคของโรงแรมนี้เพราะจุดประสงค์อะไรกันแน่”

    ตาดุของเขาทำเอาหญิงสาวหายใจไม่ออก เธอพยายามดึงมือตัวเองออกจากอุ้งมือหนาของเขา แต่ไม่เป็นผลเลยสักนิด

    “ฉันไม่ได้ทำผิดอะไร รูปพวกนั้นฉันก็ถ่ายมาจากที่อื่น...ไม่เกี่ยวกับคุณสักหน่อย...ช่วยปล่อยมือฉันด้วยค่ะ คุณกฤตธร”

    โยสิตาทำเสียงแข็ง ในขณะที่ปารมีแทบหัวใจวายอยู่แล้ว

    หากกฤตธรจับได้ว่าเพื่อนรักของเธอเข้ามาในห้องจัดนิทรรศการของเขาด้วยจุดประสงค์ใด มีหวังเธอต้องถูกไล่ออกแน่ ซวยแล้วไหมละไอ้บุ้ง!!

    “มานี่เลย ไปที่ห้องทำงานผม เราต้องคุยกันยาวแล้วละคุณโยสิตา”

    คนตัวโตฉุดแขนรั้งให้อีกฝ่ายต้องลุกจากเตียงก้าวตามเขาออกมาจากห้องพยาบาล เดินลัดเลาะไปด้วยกันตามทางเดินที่ล้วนเต็มไปด้วยบริกรและพนักงานโรงแรม

    “คุณกฤตคะ บุ้งว่าอาจจะมีการเข้าใจผิด...คุณกฤตปล่อยยายโยก่อนดีกว่าไหมคะ” แม้จะกลัวเจ้านาย แต่ปารมีก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาเพราะห่วงเพื่อนจับใจ

    “คุณไม่ต้องตามมาหรอกคุณบุ้ง ไปทำงานของคุณเถอะ ส่วนเพื่อนของคุณ ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ เดี๋ยวผมจะปล่อยเขากลับไปเอง”

    กฤตธรหันไปออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด เท่านั้นเองปารมีก็หน้าจ๋อย ไม่กล้าเดินตามเพื่อนและเจ้านายอีก

    หญิงสาวได้แต่ส่งสายตาห่วงใยมองตามเพื่อนรักไป หวังว่าโยสิตาคงเอาตัวรอดได้

    งานนี้ต้องช่วยตัวเอง อตหิอตโนนาโถ แล้วนะไอ้โย!!

    “ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง...บอกมา คุณเข้าไปในห้องจัดนิทรรศการย้อนยุคของเราทำไม”

    ชายหนุ่มคาดคั้นเสียงเข้ม ใบหน้าคมขึงขังดุจนอีกฝ่ายใจฝ่อไปหมด

    โยสิตาพยายามบอกตัวเองไม่ให้กลัวเกรงเขา แต่ไม่รู้เป็นอะไร เธอจ้องแต่จะลืมตัวทุกทีที่มองสบตาคมกล้าเข้มแข็งคู่นั้น

    “ฉัน...ฉันหลงเข้าไป ก็บอกแล้วไงคะ...” หญิงสาวทำปากแข็งทั้งที่ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย

    เธอไม่กล้าโกหกต่อหน้าสายตาของเขา...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้!!

    “หลงเข้าไปงั้น...” เขาทอดเสียงสูง ก้าวเข้ามาใกล้ชูภาพในกล้องถ่ายรูปให้หญิงสาวดูต่อหน้า “แล้วพวกภาพถ่ายของเก่าโบราณทั้งหลายที่อยู่ในกล้องของคุณนี่ คุณก็หลงไปถ่ายในที่ที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปถ่ายด้วยเหมือนกันสิ ใช่ไหม”

    “ไม่ใช่นะคะ รูปพวกนี้ฉันได้รับอนุญาตให้เข้าไปถ่ายได้” โยสิตาเถียงออก เพราะตรงนี้เขาเข้าใจผิด

    แต่กฤตธรมองเธอในแง่ร้ายเสียแล้ว ให้พูดความจริงเขาก็ไม่เชื่ออยู่ดี

    “ใครอนุญาตคุณไม่ทราบ เจ้าที่เจ้าทางหรือไง”

    “นี่คุณ อย่ามาดูถูกกันนะ” คนถูกเหน็บแนมหน้าบึ้งตาคว่ำ “ฉันไม่ใช่โจรขโมยที่ไหนอย่างที่คุณเข้าใจ หัดมองคนอื่นในแง่ดีเสียบ้าง”

    “จะให้มองในแง่ดีได้ยังไง ในเมื่อคุณทำตัวมีพิรุธขนาดนี้...ในกล้องของคุณเนี่ย เต็มไปด้วยรูปถ่ายโบราณวัตถุทั้งนั้น แล้วคุณจะให้ผมเชื่อเหรอว่าคุณบังเอิญหลงเข้าไปในห้องจัดนิทรรศการซึ่งเต็มไปด้วยของโบราณของที่นี่จริงๆน่ะ”

    “ก็แล้วคุณจะต้องกลัวอะไรละ ในเมื่อของที่คุณกสินทร์พ่อของคุณเอามาจัดแสดง มันก็แค่ของเลียนแบบไม่ใช่ของจริง หรือว่าที่คุณเดือดร้อนมากมายอยู่นี่ ก็เพราะว่าของพวกนั้นมันไม่ใช่แค่ของเลียนแบบอย่างที่เที่ยวบอกใครต่อใคร” เธอสวนกลับไป ปล่อยหมัดเด็ดชนิดคนตัวโตกว่ายังเกือบถูกน็อก

    กฤตธรกัดกรามแน่น จ้องมองหญิงสาวหน้าหวานตาไม่กะพริบ เจ้าหล่อนไม่ใช่ธรรมดาเลย ไม่ใช่แน่ๆ

    “ถึงเป็นของเลียนแบบ แต่บางชิ้นก็มีอายุเก่าแก่ไม่แพ้ของจริง...เป็นวัตถุโบราณแล้วก็หลายชิ้น”

    “ถ้าคุณคิดว่าฉันคิดร้ายกับของของคุณ เช็คดูในกล้องก็ได้ ถ้ามีรูปถ่ายของโบราณของคุณสักรูปเดียว ฉันยินดีให้คุณเอาตัวฉันไปส่งตำรวจได้เลย”

    โยสิตาเชิดหน้าท้าทาย แอบดีใจอยู่หน่อยที่เธอยังไม่ได้ลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพวัตถุโบราณใดๆของนายกสินทร์เอาไว้

    ถือว่ายังมีแต้มต่ออยู่บ้างหรอกน่า...

    หญิงสาวลอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ขณะที่กฤตธรก้มลงดูภาพในกล้องถ่ายรูปของเธอไปเรื่อยๆ ทีละภาพๆ

    แน่นอน เขาต้องไม่เจออะไร...ก็ที่เธอถ่ายเอาไว้เป็นภาพของโบราณจากที่อื่น นอกจากนั้นแล้วก็มีภาพที่เธอไปเที่ยวทะเลกับคุณพ่อที่เกาะสมุย...แล้วก็...

    เฮ้ย “เกาะสมุย” ตายแล้ว!!!

    หญิงสาวเบิ่งตาโพลง ตระหนกหน้าซีด รีบปรี่เข้าไปจะแย่งกล้องมาจากมือใหญ่ของอีกฝ่าย แก้มร้อนผ่าววูบวาบ สะบัดร้อนสะบัดหนาว

    ก็ในกล้องมีภาพที่คุณพ่อถ่ายตอนที่เธอใส่ชุดว่ายน้ำทูพีซสีชมพูสดเอาไว้ด้วยนะสิ!!!

    “เอากล้องมาก่อนคุณกฤตธร คุณดูได้แค่อัลบั้มหลังๆเท่านั้นนะ ห้ามดูอัลบั้มแรก!!”

    “เอ๊ะ คุณนี่ มีพิรุธนะ ร้อนตัวหรือไง”

    ความร้อนรนของหญิงสาวยิ่งเพิ่มความเข้าใจผิดให้กับกฤตธร ชายหนุ่มชูกล้องหนีมือสั้นกว่าของอีกฝ่าย สิ่งที่โยสิตาคว้าได้จึงมีเพียงความว่างเปล่า

    หญิงสาวต้องเขย่งปลายเท้ายืดตัวให้สูงยิ่งขึ้น แต่กระโดดก็แล้ว ยังไม่ถึงเป้าหมายเสียที แถมคนตัวโตยังกดดูภาพในกล้องต่อได้หน้าตาเฉย

    กระทั่งถึงภาพในชุดว่ายน้ำของเธอ โยสิตาก็หน้าร้อนวูบ โมโหจนลืมตัว

    “พลั่ก!!”

    “โอ๊ย!!” กฤตธรอุทานตัวงอ เลื่อนมือมากุมหน้าท้อง ใบหน้าบิดเบี้ยว ตาคมตวัดมองอีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง ไม่นึกไม่ฝันว่าจะถูกคนตัวเล็กตรงหน้า “ตุ้ยท้อง” เจ็บจนจุกแอ้ก

    โยสิตาไม่รอดูผลงานตัวเองนานนัก หญิงสาวคว้ากล้องในมือของชายหนุ่มมา ตกใจกับผลงานตัวเองอยู่เหมือนกันแต่มันช่วยไม่ได้ เขาอยากมาล่วงล้ำก้ำเกินเรื่องส่วนตัวของเธอก่อนทำไม

    “ฉันไม่ใช่โจรที่ไหน แล้วคุณก็เห็นแล้วว่านี่มันเป็นรูปส่วนตัวของฉัน เพราะงั้นฉันไม่ผิด”

    พูดจบแล้วหญิงสาวก็สะบัดหน้าพรืด รีบวิ่งหนีออกจากห้องทำงานของเขาไปไม่เหลียวหลัง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่ต้องพบเจอกับกฤตธรอีก แม้จะรู้สึกคุ้นเคยกับเขาชอบกล แต่เธอสรุปแล้วว่านิสัยของเขา “เหลือทน”

    แค่คนแปลกหน้า ถือดีอย่างไรกล้ามาดูรูป “เซ็กซี่” ส่วนตั้วส่วนตัวของเธอหน้าตาเฉย แค่ความผิดนี้ เขาก็สมควรเจ็บตัวแล้วละ!!



    -------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×