คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Jet Pack Blues
Chapter 8
Jet Pack Blues
I got those jet pack blues,
Just like Judy,
The kind that makes June feel like September,
I'm the last one that you'll ever, remember.
And I'm trying to find that peace of mind,
Behind these two white highway lines.
When the city goes silent,
The ringing in my ears gets violent.
“ไม่เคยคิดเลยนะคะว่าอะไรๆ มันจะง่ายกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลย”
ฉันยืนสงบนิ่งอยู่อยู่ในสุสานที่รอบล้อมไปด้วยหลุมศพและแน่นอน.. วิญญาณ
ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันควรจะรู้สึกยังไงดี
ฝนเพิ่งซาลง กลิ่นไอฝนจากต้นไม้ใบหญ้าลอยเข้าจมูก ฉันชอบกลิ่นนี้พอๆ กับที่ไอรีนชอบกลิ่นผงซักฟอก มันทำให้ฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนกลิ่นหอมๆ ของกาแฟ
ซาเวียร์เอามือเท้าหลักศิลาหน้าหลุมศพ จ้องมองตัวอักษรที่สลักไว้อย่างสวยสดงดงามบนนั้นอย่างพินิจพิจารณา “ผมไม่เข้าใจมนุษย์จริงๆ นะ แต่มีอยู่อย่างนึงที่ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจได้ คนบนโลกนี้มักจะถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของตัวเอง ผมไม่ได้หมายถึงคนที่ฆ่าตัวตายนะ แต่ผมหมายถึงความใคร่ของมนุษย์ ความทะเยอทะยาน ความเกลียดชังที่อยู่ภายในจิตใจ สิ่งพวกนี้ฆ่าพวกเขาด้วยตัวพวกเขาเอง”
ฉันกระชับเสื้อแจ็คเก็ตสีดำของตัวเองแน่นโดยไม่รู้ตัว บางทีอาจเป็นเพราะอากาศที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ “ฉันควรจะทำยังไงต่อไปคะ ฉันยังจำเป็นต้องแก้แค้นอยู่หรือเปล่า ยังต้องฆ่าใครอยู่ไหม”
“คุณจะเลือกใครก็ได้นะ พ่อของเธอ นายควอน หรือเจ้าของไนต์คลับนั่น เธอไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น แต่มันก็ไม่ได้ความหมายว่าเธอคือคนผิดเพียงคนเดียว พวกเขาทุกคนควรจะรับผิดชอบเรื่องเธอ รวมถึงการตายของคุณด้วย”
“คนพวกนั้นสกปรก” ฉันพึมพำกับยอดหญ้าที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าตัวเองราวกับกำลังคุยกับมัน
“ที่สำคัญที่สุดคือตัวคุณเองต่างหาก” ซาเวียร์เดินไปตามหลุมศพต่างๆ และอ่านป้ายหน้าหลุมศพที่ละป้าย “คุณไม่ควรอยู่ที่นี่ คุณควรจะอยู่ข้างนอกนั่น มีชีวิตอยู่ในที่ของคุณ ชื่อของคุณยังไม่ถึงคิว”
ฉันขบคิดอีกครั้ง ใครบางคนผุดขึ้นในสมอง “ฉันอยากเจอพ่อกับแม่ค่ะ”
“ตอนนี้เนี่ยนะ?” ซาเวียร์หันมามอง “ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ”
“ค่ะ ตอนนี้แหละ”
เยริกลับหอไปกับซึลกิแล้ว มีเพียงจอยเท่านั้นที่ขออยู่ต่อด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องนั่ง ‘เฝ้า’ ฉัน เผื่อว่าฉันจะลงมือ ‘ทำอะไรโง่ๆ’ อีก
ฉันเพิ่งทำความสะอาดบ้าน เก็บโน่นเก็บนี่เสร็จ หลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันไม่มีอารมณ์จะหยิบจับอะไรเลย พาลคิดไปว่าตัวเองจะตายแล้วก็เน่าเปื่อยไปกับกองขยะพวกนี้ภายในบ้านที่แสนว่างเปล่าหลังนี้แล้วด้วยซ้ำ
“แล้ว... พี่ก็นั่งเฉยๆ รอพี่เวนดี้กลับมาแบบนี้อะหรอ” จอยแกว่งไม้ปัดฝุ่นสายรุ้งมือไปมา ฉันสั่งให้เธอทำความสะอาดห้องทำงานของเวนดี้
“ก็คงงั้น” ฉันมองไปรอบๆ เผื่อจะเจอร่องรอยหรือสัญญาณที่บอกว่าเวนดี้กลับมาแล้วบ้าง “จะโทรหาก็ไม่ได้ จะวิ่งออกไปตามหาตามถนนหนทางหรือถามผีตัวอื่นๆ ก็ไม่ได้ พี่ทำอะไรได้ซะที่ไหนล่ะ”
ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเวนดี้ไม่ใช่ของฉันแล้ว ไม่ใช่คนที่ฉันจะเรียกหาเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันแอบคิดเอาเองคนเดียวว่าเธอใช่ตอนที่เธอบอกว่ารักฉัน แต่เอาเถอะ คนเห็นแก่ตัวอย่างฉัน ฉันเองก็เคยเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ฉันเคยกลัว กลัวความรักของตัวเองที่มีให้เธอ กลัวสายตาของผู้คนที่มองมายังเราสองคน ฉันจึงหักเหความสนใจเรื่องพวกนี้ไปโดยการลองคบใครใหม่
เลวแค่ไหนก็คิดดูเอาแล้วกัน
ความรักทำร้ายเรา บางครั้งก็ทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง และไม่ใช่ทุกคนที่จะมีใครสักคนคอยอยู่ข้างๆ และฉุดเราขึ้น
เวนดี้เคยพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะประคับประคองเรื่องของเรา และตอนนี้เธอก็มีสิทธิ์อย่างเต็มที่ที่จะเขี่ยฉันทิ้งถ้าเธออยากทำ
ฉันทิ้งขว้างเธอ ทำให้เธอเสียใจ สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่ ‘รอ’
รอคำพิพากษาจากเธอ
“ฉันอยากเจอพี่เวนดี้อะ คิดถึงจัง” จอยวางอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือลงและหยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะเวนดี้ขึ้นมาดู
“เธอจะต้องกลับมา” ฉันยืนยัน อย่างน้อยเธอก็สัญญากับฉันเอาไว้แบบนั้น
เด็กๆ ไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉันนอกใจเวนดี้ ถ้าพวกเธอรู้ คงอาจจะไม่มีใครเป็นห่วงและคอยอยู่เคียงข้างฉันแบบนี้ก็ได้
พวกเธอรักฉันและเวนดี้ แต่ลึกๆ แล้ว ฉันรู้ข้อเสียและบาดแผลของตัวเองดี ดีจนรู้สึกได้ว่าฉันไม่ใช่คนที่ใครจะมารักมาชอบได้
ในขณะที่เวนดี้ เวนดี้ที่รักของทุกคน เธอราวกับแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างสดใสอยู่เสมอ
ฉันนั่งลงเงียบๆ บนพื้นพรม นั่งมองพวกท่านที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่
ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะมาเงียบๆ แบบนี้ แต่ฉันจะให้พวกท่านรู้ไม่ได้ และฉันเองก็รู้ว่าจริงๆ แล้วพวกท่านก็ไม่ได้สนใจจะนั่งดูรายการทำอาหารไร้สาระพวกนี้หรอก
จะมีอะไรแย่ไปกว่าที่ลูกสาวคนเดียวถูกรายงานว่าเสียชีวิตแต่หาศพไม่เจอบ้าง
พวกท่านพูดเสมอว่าชีวิตมันลำบากนัก พวกท่านก็ยินดีอ้าแขนต้อนรับฉันกลับบ้านเสมอ พวกท่านเคยระแวงในตัวไอรีน แต่มันก็เป็นอะไรที่ฉันพอจะเข้าใจได้
พ่อแม่ของฉันรักฉันมาก และพวกท่านก็เคารพการตัดสินใจของฉันมากเช่นกัน พวกท่านดีกับฉันมาก มากจนฉันไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ตอนนี้ฉันกลับทำให้พวกท่านเสียใจ
ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นครั้งที่สี่ได้แล้วมั้ง ครั้งแรกคือตอนที่ฉันเลือกเรียนกฎหมาย ครั้งที่สองคือตอนที่ฉันเลือกไปจากที่นี่ และครั้งที่สามคือตอนที่ฉันตัดสินใจคบกับไอรีน ฉันสัญญากับพวกท่านเอาไว้ว่าจะพาไอรีนมาที่นี่ในวันคริสมาสต์ ซึ่งมันก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว
หิมะเริ่มโปรยปราย มันทำให้ฉันนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวัยเด็กที่ฉันเคยเล่นสงครามลูกบอลหิมะกับพ่อแม่ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกได้ว่ามันคือความสุขจริงๆ
ฉันควรจะทำตัวเป็นลูกที่ดีกว่านี้ ถ้ามีโอกาสได้แก้ตัว ฉันจะไม่ทำแบบเดิมแน่ มีหลายๆ อย่างที่ฉันทำพลาดไป ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้เลยก่อนที่ฉันจะตาย สงสัยว่าคนเราจะฉลาดขึ้นหลังจากตายไปแล้วมั้ง ฉันทำผิด ฉันเคย และบางทีก็อาจจะกำลังทำอยู่
ฉันเดินออกมาจากบ้าน ซาเวียร์กำลังส่งยิ้มให้แม็กซ์เวล เจ้า Australian Shepherd ที่ตั้งรกรากอยู๋ในสวนหลังบ้านของเรา มันส่งเสียงเห่าทันทีที่เห็นฉัน
นี่คงเป็นข้อยืนยันที่ว่าสุนัขมักเห็นสิ่งที่คนเราไม่เห็น ฉันเชื่อละ
ด้วยความที่ไม่อยากรบกวนพ่อกับแม่ ฉันเลยส่งสัญญาณบอกให้แม็กซ์เวลเงียบก่อนจะลูบหลังเขาเหมือนที่เคยทำ
“พวกคุณเข้ากันดีนะ” ฉันหัวเรา
“เขานิสัยดีนะ ผมชอบ”
“แววตาเขาเหมือนคุณ”
“แหม ขอบคุณนะ” ซาเวียร์ขำพลางลูบหัวแม็กซ์เวล
“เฮ้เจ้าหนู แล้วเจอกันนะ ดูแลพ่อกับแม่แทนฉันด้วย เข้าใจไหม”
“นายควอนนั่นกลับเนื้อกลับตัวแล้วล่ะ” ซาเวียร์พูดขึ้นในขณะที่เราสองคนกลับมายังฐานประจำการเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าบนดาดฟ้าที่เดิม
“เขาสามารถถูกกักตัวไว้เป็นพยานได้” ฉันถูมือไปมาภายในความหนาว “ฉันส่งของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ ไปให้อัยการของเราแล้ว คุณควอนกับครอบครัวของเขาจะต้องปลอดภัย และพวกเขาจะต้องทำให้เจ้าของไนต์คลับกับท่านนายกฯ จนมุมให้ได้”
“ดีมาก ครั้งก่อนพวกเราแหวกหญ้ากันเสียงดังมาก ป่านนี้งูคงตื่นกันหมดแล้ว เราคงต้องรีบลงมือทำอะไรกับท่านนายกฯ กันได้แล้วแหละ”
“ฉันเห็นด้วยค่ะ แล้วฉันก็มีแผนแล้วด้วย สนใจไหมคะ”
“ด้วยความยินดี”
“ก่อนอื่น ฉันแค่อยากบอกให้คุณรู้ ฉันดีใจนะคะที่ได้เจอคุณ”
“ผมเองก็เหมือนกัน เวนดี้”
I've got those jet pack blues,
Fight off the light tonight and just stay with me,
Honey, don't you leave.
Don't you remember how we used to slip a drink?
It never mattered what it was,
I think our hands were just that close,
The sweetness never lasted, no.
ฉันเดินเตร็ดเตร่ไปตามท้องถนน หวังลึกๆ ในใจว่าอาจจะเจอวิญญาณของลูกสาวท่านนายกเทศมนตรี มีคำถามมากมายในหัวที่อยากจะถามเธอ
เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าความผิดพลาดของเธอทำลายอีกลายชีวิต
เธอรู้ตัวหรือเปล่าว่าพ่อเธอต้องยอมเสี่ยงหน้าที่การงานของตัวเองเพื่อปกปิดความลับอันโสมมเบื้องหลังการตายของเธอ
ฉันเดาว่าเธอคงไม่รู้หรอกว่าการตายของเธอจะทิ้ง ‘อิทธิพล’ มหาศาลขนาดนี้ไว้ให้กับคนอีกหลายคน เช่นเดียวกันกับฉัน ฉันเคยคิดว่าการเริ่มต้นใหม่กับชีวิตหลังความตายคงเป็นอะไรที่ง่ายกว่าตอนมีชีวิตอยู่ ฉันเคยคิดว่าจูฮยอนคงจะทนได้
คงจะจริงที่ว่าเราจะเรียนรู้ความหมายของชีวิตก็ต่อเมื่อเราเดินเข้าใกล้ความตาย ตอนนี้ฉันรู้แล้ว จู่ๆ ฉันก็คิดถึงงานที่เคยทำตอนยังมีชีวิตอยู่ บางทีฉันอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นแค่ศิลปินกระจอกๆ
ผู้คนเริ่มมากขึ้น อาจเป็นเพราะถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว บางทีฉันควรจะกลับไปที่บ้าน
She's in a long black coat tonight,
Waiting for me in the downpour outside.
She's singing "Baby come home" in a melody of tears,
While the rhythm of the rain keeps time.
And I remember "Baby, come home.”
Did you ever love her? Do you know?
Or did you never want to be alone?
And she was singing "Baby, come home”,
I remember "Baby, come home”
ฉันเคยชอบฟังเพลงเวลาทำงาน ตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ เพียงแค่เปลี่ยน ‘สไตล์’ ไปบ้างนิดหน่อย ฉันเคยชอบเพลงบัลลาด แต่ตอนนี้เหมือนจะชอบเพลงแรงๆ มากกว่า พวกซอฟต์ร็อคหรือแม้กระทั่งฮิปฮอปที่มีท่อนแร็พเยอะๆ ฉันชอบการสื่ออารมณ์และความหมายของมัน
ชอบขนาดจินตนาการถึงตอนที่ขับมอเตอร์ไซต์ไป ระเบิดหูตัวเองด้วยการฟังเพลง Fall Out Boy ไปด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้
หรือบางที ฉันก็แค่อาจจะ ‘เปลี่ยนไปแล้ว’
ฉันกลับที่บ้าน บ้านของฉันกับไอรีน เธอนอนหลับอยู่บนโซฟา ในมือยังถือรีโมทไว้แน่น
ถังขยะไม่มีร่องรอยของการทำอาหารหรือซากกล่องข้าวสำเร็จรูปเลยแม้แต่น้อย
ฉันส่งเสียงเรียกพร้อมกับเขย่าไหล่เธอเบาๆ เพื่อปลุกให้เธอตื่น “จูฮยอน ทำไมไม่กินอะไรเลยล่ะ”
เธอฉีกยิ้ม “ฉันเผลอหลับไปตอนกำลังนอนคิดว่าจะกินอะไรดีน่ะ”
“แล้วพวกเด็กๆ ไปไหนแล้ว ทำไมไม่ชวนพวกนั้นมากินข้าวด้วยกันล่ะ เธอจะขังตัวเองไว้แบบนี้ตลอดไปไม่ได้นะ”
“ไม่แน่นอนถ้าเธอกลับมา” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเธอค่อยๆ กว้างขึ้น “แต่ไอ้เรื่องขี้บ่นเหมือนคุณป้าของเธอนี่รู้สึกจะกลับมาแล้วนะ”
ฉันเบ้ปาก ฉกโทรศัพท์มาจากกระเป๋าเสื้อของเธอ “ชิ เดี๋ยวฉันโทรเรียกเด็กพวกนั้นกลับมาเองก็ได้”
“ไม่เอาอะ” เธอพยายามจะคว้ามันกลับ “ฉันอยากอยู่กับเธอสองคน”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กๆ น่า” ฉันพิมพ์ข้อความเสร็จเตรียมกดส่ง เธอจ้องหน้าฉันด้วยแววตาน่าสงสาร
“ฉันอุตส่าห์รอเธอกลับมา...”
“หื้ม”
“เธอจะกลับมาจริงๆ ใช่ไหม ซึงวาน”
“ก็บอกแล้วไงว่าจะกลับมา” ฉันยื่นโทรศัพท์ให้เธอ มองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น
ไอรีนมองสลับไปมาระหว่างฉันกับโต๊ะกาแฟ “ฉันทำความสะอาดห้องให้เธอแล้วก็เจออะไรบางอย่าง”
ฉันนิ่ง เพราะจริงๆ ฉันเองก็ไม่ได้ต้องการจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว ฉันยอมให้เธอดูรูปวาดที่ฉันแอบวาดเธอด้วยซ้ำ “อะไรล่ะ”
“สมุดสเก็ตรูปเล่มเก่าของเธอ ฉันเปิดๆ ดูรูปแล้วก็เจอกลอนที่เธอเขียนไว้” เธอคว้าสมุดสเก็ตที่วางอยู่บนโต๊ะมาแล้วค่อยๆ เปิดไปที่หน้านั้น “จำไม่ได้ใช่ไหมล่ะว่าตัวเองเขียนไว้”
ฉันเขยิบเข้าไปมองใกล้ๆ มันเป็นลายมือฉันจริงๆ แม้ว่าจะเปอะเปรื้อนสีอะไรไปบ้าง มันถูกเขียนด้วยดินสอชาโคลว์
Paper cranes, your gentle folds
Like Jazz, that natural happiness
This moment, clear as water
Those wheat fields from afar, blindly gold
A thousand paper cranes, a story is still warm
Our minds, flow like melodies
My steps, the reed pipe plays so softly
Here is where our love ends, so do our smiles
Time, if reversed
Again, given a chance
Reasons, how to give
‘I don’t love you anymore’
Resolved, so I thought
Empty perfume bottles and dried rose petals
Asked, and you’re too tired to explain
Letting go, loving you in another way
The stairway, carpeted by memories
The wall, soiled by time
We, frozen by peace
Paper cranes, a thousand happy moments
A thousand paper cranes, given by you
Paper cranes, soaring in our own skies
A thousand paper cranes, still stained by my warmth.
“ฉันเคยคิดว่าฉันควรจะเลิกกับเธอดีไหม” ฉันระบายยิ้มหลังจากที่อ่านมันจนจบ “แต่พูดน่ะง่าย ทำจริงนี่สิ... ฉันทำไม่ได้”
“ซึงวาน ฉันขอโทษ” ไอรีนลุกขึ้นนั่ง ประคองหน้าฉันด้วยมือเย็นๆ ทั้งสองข้างของเธอ “ฉันน่าจะเข้าใจความรู้สึกของเธอให้เร็วกว่านี้”
“ฉันจำเรื่องพวกนี้ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรื้อฟื้นขึ้นมาจำด้วย” ฉันคว้าสมุดเล่มนั้นไปวางทิ้งไว้ที่เดิมอย่างไม่ใยดี “ฉันจำได้แค่ตอนที่เรารักกัน ตอนที่เราจูบกัน ตอนที่เธอมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีให้กับฉัน แล้วก็ตอนที่ฉันยกทั้งหมดที่ฉันมีคืนให้เธอ”
“ขอบคุณนะที่ยอมกลับมาหาฉัน” เธอคว้าเอวฉันไปโอบไว้ “ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”
“ยินดีเสมอ” ฉันยิ้มตอบ “อ้อ ฉันอยากเจอเด็กๆ พวกนั้นจัง”
“พวกเราทุกคนก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”
Fall Out Boy - Jet Pack Blues
ตอนลงยังไม่ได้อ่านทวน ถ้ามีคำผิดหรือตกหล่น เดี๋ยวกลับมาแก้นะคะ
ความคิดเห็น