คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : วิกฤติเซียวเบ๊เป้า 4
“กอกอ ท่านเป็นอะไรหรือ?”
ที่แท้มันแอบลอบเดินพลังลมปราณถ่ายเทเข้าไปสู่ภายในร่างของเฮ็กงู้ เพื่อแตะหยั่งตรวจสอบพละกำลังภายในของฝ่ายตรงข้าม ควรทราบไว้ ผู้ฝึกวิชาบู๊ถ้ามีพลังลมปราณของผู้อื่นเข้าสู่ร่าง จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้โดยทันที โดยไม่คำนึงว่าเจ้าตัวจะตั้งใจหรือไม่
เซียวเบ๊ซิ้ง ตรวจสอบไม่พบพลังลมปราณภายในร่างของเฮ็กงู้ ขณะที่มันจะถอดรั้งพลังลมปราณกลับคืน มันกลับพบว่าพลังลมปราณของมัน เฉกเช่นกรวดทรายร่วงหล่นลงในมหาสมุทรสาบสูญหาร่องรอยไม่เจอ สร้างความแปลกใจให้แก่มันจนต้องอุทานออกมา
เซียวหงยี้ เห็นมันอุทานคำหนึ่งก็นิ่งเงียบไป กับคำถามของนาง มันคล้ายกับไม่ได้ยิน
เฮ็กงู้อดฉงนสงสัยใจไม่ได้ ต้องครุ่นคิดว่า
“พี่น้องคู่นี้เป็นอะไรกันไปแล้ว พอแรกพบผู้คนล้วนแต่ทำนิ่งเฉย ใบหน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือไง?”มันลอบก้มหน้าลงลูบคลำใบหน้าเที่ยวหนึ่ง จนแน่ใจว่าไม่มีอะไรติดอยู่ จึงเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่ทราบว่าเป้าจู้มีอะไรจะให้รับใช้? ถ้าไม่มีกิจใด ข้าน้อยจะขอตัวไปทำธุระ”เฮ็กงู้ รู้สึกว่าเรื่องราวออกจะน่ารำคาญเกินไปแล้ว
แต่ไม่ว่าเฮ็กงู้จะกล่าวอย่างไร เซียวเบ๊ซิ้ง เวลานี้ก็ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพราะห้วงสมองมันตอนนี้ บรรจุไว้ด้วยเรื่องราวให้ขบคิดมากมาย
“...นี่ไม่คล้ายวิชาขิบแซไต้ฮวบ(ยอดวิชาดูดดาว)ของพรรคมาร ที่ส่งผลกระทบถาวรต่อตัวผู้ที่ถูกดูดพลังลมปราณไป กลับคล้ายกับ ฮ่วยกงไต้ฮวบ(ยอดวิชาสลายพลัง)ของตระกูลต้วนแห่งตาลีฟูมากกว่า(ตาลีฟูเป็นเมืองแคว้นโบราณ อยู่ในเขตมณฑลฮุ้นหนำ มีหินอ่อนเลื่องชื่อ)...”
แต่มันยิ่งคิดยิ่งไม่สมเหตุผล มันตรวจสอบไม่พบพื้นฐานกำลังภายในจากฝ่ายตรงข้ามชัดๆ และมันจะสลายพลังลมปราณของตนได้อย่างไร
“ไม่มีใด เจ้าไปเถอะ”เซียวหงยี้ เห็นกอกอนางนิ่งเงียบไป จึงตัดสินใจกล่าวขึ้นมาแทน
นางคาดว่าโรคเก่าของเซียวเบ๊ซิ้งกำเริบขึ้นอีกแล้ว เวลามันครุ่นคิดหมกมุ่นกับสิ่งใด กับเรื่องราวรอบกายมัน ล้วนหาแยแสสนใจไม่
“อย่างนั้นข้าน้อยขอตัว”
หลังจากเฮ็กงู้แยกตัวออกไป เซียวหงยี้ต้องลากกอกอ(พี่ชาย)นาง พากลับเรือนที่พัก ใครจะคาดคิดว่าเรื่องราวจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ ขามาเป็นมันลากพานางมา ขากลับต้องเป็นนางที่ช่วยลากพามันกลับ พอคิดได้เช่นนั้น นางก็ต้องถอนหายใจออกมา
ณ ที่นั้น เสี่ยวชุ่ยก็รอคอยพวกมันอยู่นานแล้ว นางปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดภายในห้อง จนสะอาดเอี่ยม จนไม่เหลือเคล้าสภาพเดิมที่รกร้างปราศจากผู้คนอาศัย กาน้ำชาร้อนกรุ่นส่งกลิ่นหอมชื่นใจวางไว้อยู่บนโต๊ะ
นางพอเห็นคนทั้งสองเดินเข้ามา ก็เทน้ำชาในกาลงในถ้วย ยื่นประคองมอบให้กับคนทั้งสอง และเช่นเดียวกัน กับเรื่องราวก่อนหน้านี้ เซียวหงยี้ หลงลืมอีกแล้ว รับน้ำชาขึ้นมาดื่มโดยที่ไม่ได้คิดจะต่อว่านางแต่อย่างใด
ส่วนเซียวเบ๊ซิ้งก็รับถ้วยน้ำชามาถืออย่างเลื่อนลอย ก่อนจะดื่มน้ำชาร้อนลวกเข้าไปในลำคอ ขนาดความเจ็บปวดจากน้ำร้อน ก็หาเรียกสติมันกลับคืนมาไม่
เสี่ยวชุ่ยกับเซียวหงยี้ เห็นแล้วยังอดแสบร้อนแทนมันไม่ได้ นับว่ามันเป็นบุรุษเหล็กผิดกับรูปร่างหน้าตาภายนอกยิ่งนัก
“กอกอ ท่านยังไม่บอกสาเหตุความใน ที่ท่านโดนทำร้ายมาเลย”หลังจากที่พวกมันนั่งพักผ่อนดื่มน้ำชาไปชั่วครู่ เซียวหงยี้ก็ตบโต๊ะดังปัง พูดโพล่งถามปัญหาเก่าที่ติดค้างขึ้นมา นับว่านางยังไม่เลวร้ายจนถึงที่สุด ยังมีหนทางเยียวยารักษาได้
แต่กับเซียงเบ๊ซิ้ง ที่พอได้ยินเสียงตบโต๊ะดังปัง ก็แทบทำถ้วยน้ำชาที่ถือไว้หลุดจากมือ นี่สินับว่าอาการน่าเป็นห่วงกว่า
“อา...เออ... ม่วยม่วย เจ้าว่าอะไรนะ?”ในที่สุดมันก็เรียกสติกลับคืนมาได้
“กอกอ ข้าถามท่านว่า ใครเป็นคนลงมือทำร้ายท่าน”
“นี่ไม่รู้จะกล่าวเริ่มจากที่ใด”เซียวเบ๊ซิ้ง มีทีท่าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องการบอกกล่าวเรื่องราวออกมา
“ท่านก็ค่อยๆว่ากล่าวมาเถอะ”เซียวหงยี้ ที่สังเกตถึงทีท่าของกอกอนาง ก็ยังยืนยันที่จะให้มันบอกกล่าวออกมาให้จงได้
“ได้ ม่วยม่วย เจ้าทราบหรือไม่ ว่าทำไมยุทธภพถึงเงียบสงบไร้เรื่องราวมานานหลายสิบปี”
“เพราะว่าฝ่ายธรรมะเข็มแข็ง อธรรมเสื่อมโทรม ใช่หรือไม่?”
เซียวเบ๊ซิ้ง ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ผิดแล้วต้องกล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเสื่อมโทรมทรุดถอยลงต่างหาก”
“ไฮ้!? ทำไมเรื่องราวถึงกลายเป็นเช่นนั้นไปได้”
“เรื่องนี้สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์สะท้านสะเทือนบู๊ลิ้มเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน”
“บ้อเก๊กม้อจุน(พญามารไร้เทียมทาน)!!”เสี่ยวชุ่ย ที่รับฟังเรื่องราวมาถึงตอนนี้ ต้องอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก
“ถูกแล้ว บ้อเก๊กม้อจุน ผู้ซึ่งกลายเป็นตำนานสะเทือนขวัญของบู๊ลิ้ม ไม่สิ ต้องกล่าวได้ว่าเป็นของปวงประชาได้เช่นกัน...”
จากนั้นมันก็บอกเล่าเรื่องราวออกมาโดยคร่าวๆ ตั้งแต่ บ้อเก๊กม้อจุน เริ่มปรากฏกายในบู๊ลิ้ม เปล่งประกายความสามารถ กวาดล้าง ซาจับซาลั้ง(สามสิบสามสุนัขป่า) โจรร้ายที่แม้แต่สำนักฝ่ายธรรมะยังอับจนปัญญา ทางการยังทำได้แต่เบิกตามองดู
ความคิดเห็น