ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมคนพิฆาตบู๊ลิ้ม

    ลำดับตอนที่ #8 : วิกฤติเซียวเบ๊เป้า 3 (ขี้เกียจคิดชื่อตอนแล้ว)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 52


    จากตัวตึกของเซียวเบ๊เป้าไป หากลดเลี้ยวไปทางซ้าย ท่านจะพบลำธารเขียวน้ำใสตามธรรมชาติสายหนึ่ง ที่รินไหลลงมาจากต้นน้ำบนยอดเขา ที่อยู่ห่างไกลออกไปนับร้อยลี้ พอข้ามผ่านลำธารไป จึงจะเป็นพื้นที่คอกม้าของเซียวเบ๊เป้าแห่งนี้

    คอกม้าตระกูลเซียวแห่งนี้ ประกอบไปด้วยโรงม้า ที่ก่อสร้างมานานกว่าหกสิบปี แต่ก็ยังแข็งแรงทนทาน สามารถเพาะเลี้ยงม้าได้มากกว่านับพันตัว พื้นที่ว่างด้านนอกโรงม้าเป็นที่สำหรับให้ม้าวิ่งเล่นออกกำลังกาย ที่มีรั้วรอบขอบชิดสูงกว่าสิบเชียะ(ฟุตจีน) กินบริเวณกว้างนับร้อยโป่ว(ไร่จีน)

    พอพ้นจากรั้วไม้ที่ใช้เป็นหลักแบ่งอาณาเขตไป เป็นทุ่งหญ้าที่มีพื้นที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา ที่จัดสร้างรั้วเอาไว้ก็เพื่อกันไม่ให้ม้าหลบหนีออกไป เพราะถ้าหากม้าหลุดออกไปได้ ด้วยอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่ปานนี้ การที่จะตามม้ากลับมาได้นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

    แต่มาบัดนี้ประตูรั้วที่สมควรปิดอยู่ กลับถูกเปิดทิ้งเอาไว้ ม้าจำนวนมากก็ถูกปล่อยออกมาจากภายในคอก ออกมาแทะเล็มหญ้าอยู่ภายนอก

    เซียวหงยี้ พอเห็นสภาพเช่นนี้ ไหนเลยจะทานทนได้ ในดวงตาปรากฏเปลวเพลิงร้อนแรงกลุ่มหนึ่ง ที่สามารถเผาพลาญทุกสรรพสิ่งให้มอดมลาญไปได้ เพียงแต่นางต้องหาเป้าหมายให้พบเสียก่อน

    นับว่านางหาพบแล้ว

    เป้าหมายของนางกำลังนอนเอกเขนกอยู่ริมข้างรั้ว มันปูกองฟางไว้ใช้เป็นที่หลับนอน ข้างตัวมันยังก่อกองไฟไว้กองหนึ่งที่ตอนนี้ใกล้มอดดับจนหมดสิ้นแล้ว เสียงกรนเบาๆดังออกมาแสดงแน่ชัดว่ามันปฏิบัติหน้าที่ได้ดียิ่ง

    เซียวหงยี้ พอเดินเข้าไปใกล้ตัวมัน มันก็พลันได้สติลืมตาขึ้น พอเห็นว่าผู้มานั้นเป็นใคร มันก็ลุกขึ้นมาประสานมือทำความเคารพทันที

    ขณะที่เซียวหงยี้ จะอาละวาดอยู่นั้นเอง นางก็พบเห็นเรื่องน่าตื่นตะลึงชนิดหนึ่ง ข้างกองไฟที่มันก่อไว้ กลับพบกองเศษซากกระดูกขนาดเล็กที่คาดว่าจะเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่งกองอยู่

    เซียวหงยี้ครุ่นคิดในใจ

    หรือว่า...ไม่น่า บริเวณนี้ออกจะมีสัตว์ปีกอีกออกเยอะแยะไป ถึงแม่ว่าตั้งแต่เซี่ยวงู้มาอยู่ที่นี้ จะไม่เห็นอีกเลยก็ตาม แต่เรื่องก็คงไม่ประจวบเหมาะปานฉะนี้มั้ง

    นางยิ่งครุ่นคิดก็ยิ่งสับสนวุ่นวายในใจ แต่ถ้านางจะทันสังเกตให้ดี จะพบว่ากองเศษหญ้าฟางที่มันใช้ปูนอนนั้นมีขนนกสีขาวปนอยู่ด้วย

    ไม่ทราบว่า เสียวเจี้ยะ ท่านมีธุระอะไร?มันเห็นนางอยู่ดีๆก็นิ่งเฉยไป สองคิ้วก็ขมวดแน่นเป็นปม ไม่ทราบว่านางมีธุระอะไรกับตน

    ใช่แล้วเจ้า ข้าใช้ให้เจ้าเฝ้าม้าเอาไว้ แต่เจ้ากลับปล่อยปละละเลย จนม้าหลุดออกไปภายนอกได้ เช่นนี้เจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไรนางพอถูกเฮ้กงู้กล่าวถาม พลันนึกถึงเรื่องที่ลืมเลือนไปได้ พอนึกถึงเพลิงโทสะที่เคยดับมอดไปแล้ว กลับปะทุขึ้นอีกครั้ง

    นี่นับเป็นปัญหาด้วยหรือ?

    เจ้ายังมีหน้ามาปฏิเสธอีก เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ามีความสามารถ ตามจับมาได้หมดหรือ?กับคำถามของนาง นางจะได้รับคำตอบในชั่วเวลาพริบตาต่อมา

    เฮ็กงู้ ห่อปากเป่าเป็นเสียงสัญญาณชนิดหนึ่ง เรื่องมหัศจรรย์ก็พลันบังเกิดขึ้น ม้าที่อยู่ภายนอกกว่าสองร้อยกว่าตัว ต่างขานรับเป็นเสียงเดียวกัน ทุกตัวต่างเดินเรียงหน้ากระดาน แถวตอนเรียงหนึ่งมาหยุดยืนต่อหน้ามัน ต่อให้เป็นม้าที่ถูกฝึกในกองทัพ ยังไม่มีระเบียบเรียบร้อยเท่านี้

    แม้แต่ เซาะตังฮ้วย(เปลวในหิมะ) ม้าพยศที่ร้ายกาจไม่ยอมลงให้กับผู้ใด ยังยอมสยบให้แก่มัน เพียงแค่จ้องตากันเท่านั้น เซาะตังฮ้วยที่ร้ายกาจ ก็ร่างกายสั่นเทิ้ม คุกเข่าลงไปกับพื้น กลิ้งตัวล้มลงนอน ท่าทางเชื่องเชื่อไม่ต่างกับสุนัข

    แค่ชั่วเวลาไม่นานมันก็นำพาม้าทั้งหมดเข้าไปในคอก ผลของการตรวจนับพบว่าจำนวนม้าไม่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่ขาดหายแต่อย่างใดกลับพบว่าจำนวนม้าเพิ่มเกินมาอีกสิบสามตัว

    หลังจากตรวจสอบจนแน่ชัด จึงพบว่าม้าเหล่านี้เป็นฝูงม้าป่าที่อาศัยอยู่ในหุบเขา ที่ลงมากินหญ้าในทุ่งกว้าง กลับถูกเสียงห่อปากส่งสัญญาณของเฮ้กงู้กวาดต้อนรวมเข้ามาด้วย

    เซียวหงยี้ ปากอ้าตาค้างแล้ว กับเรื่องราวแปลกพิสดารในยุทธจักรที่นางได้ยินมา ไม่มีเรื่องใดที่แปลกพิสดารเท่าเรื่องนี้มาก่อน ความสามารถควบคุมม้าของตระกูลนาง ก็ยังทำไม่ได้ถึงเพียงนี้

    ท่านยังมีธุระอะไรอีกหรือไม่?

    อา... อือ... ใช่แล้ว!?”เซียวหงยี้ ยืนเป็นบ้าใบ้ ในห้วงสมองล้วนว่างเปล่า ไม่สามารถสรรหาคำมากล่าวตอบมันได้ เวลานั้นที่หางตานางพลันเห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งเข้า

    ทันใดนั้นนางจึงพลันนึกขึ้นมาได้ ว่าเรื่องที่นางหลงลืมนั้นไม่ได้มีเพียงเรื่องเดียว นี่นับเป็นเรื่องที่สำคัญ นับเป็นจุดประสงค์ที่นางมาที่แห่งนี้

     คนผู้นี้คือ เบ๊ซิ้งกุนจื้อ(วิญญูชนเทพเจ้าอาชา) เซียวเบ๊ซิ้ง ผู้เป็น เป้าจู้แห่งเซียวเบ๊เป้าแห่งนี้เซียวหงยี้ กล่าวแนะนำผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายนาง เซียวเบ๊ซิ้ง(เทพเจ้าอาชาแซ่เซียว)  ผู้เป็นพี่ชายให้เฮ็กงู้รู้จัก

    อาจจะมีบางท่านสงสัยว่าอยู่ๆ เซียวเบ๊ซิ้ง ปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร มันไม่ใช่เพิ่งเดินเข้ามา แต่มันยืนอยู่ข้างกายนางด้วยกันแต่แรกแล้ว

     แต่ถูกเรื่องราวต่างๆมากมายที่ประเดประดังเข้ามาดุจระลอกคลื่นสาดซัดหาดทราย จนกลบประกายตัวมันไปจนมิด แม้แต่ตัวมันเองก็ยังหลงลืมว่าตัวมัน ก็ยืนอยู่ที่แห่งนี้ด้วย ถ้าไม่ได้เซียวหงยี้กล่าวขึ้นมา มันก็คงจะหลงลืมต่อไป

    เฮ็กงู้ ที่เพิ่งรู้สึกถึงการมีตัวตนของมัน มองสำรวจชายหนุ่มเบื้องหน้านี้ นับว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ท่วงท่าเข็มแข็งเปี่ยมบารมี เสียแต่ว่าใบหน้าออกจะซีดขาวเกินไปหน่อย

    ผู้น้อยขอคารวะเป้าจู้(ประมุขป้อม)มันประสานมือ ขณะจะก้มลงทำความเคารพ แต่มันกลับถูกมือข้างหนึ่งหยุดเอาไว้ก่อน

    ไม่ต้องมากพิธี เอ๊ะ!?เซียวเบ๊ซิ้ง ที่ยื่นมือไปจับแขนมันไว้ กลับต้องอุทานออกมาคำหนึ่ง

    กอกอ ท่านเป็นอะไรหรือ?

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×