คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : วิกฤติเซียวเบ๊เป้า 2
“กอกอ ท่านได้รับบาดเจ็บ”
สุ่มเสียงนางสั่นเครือปานร้องไห้ ตลอดทั้งร่างสั่นเทา ราวกับลูกนกแรกเกิด ผู้เป็นพี่ชายเห็นแล้วอดที่จะสงสารไม่ได้
“ม่วยม่วยอันประเสริฐ ข้าไม่เป็นอะไร... เอ๊ะ!? เจ้าจะทำอะไรนะ?”ขณะที่ชายหนุ่มคิดจะกล่าววาจาปลอบขวัญหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าสักคำสองคำ แต่มันยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ หญิงสาวที่คิดว่าบอบบางราวลูกนกแรกเกิด กลับเปลี่ยนเป็นพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าตะครุบเหยื่อ ชายหนุ่มไม่ทันระวัง กลับถูกจับกดลงบนพื้น สองมือนางกระชากเสื้อตัวนอกของมันออก
“ม่วยม่วย ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องกันนะ ชายหญิงมีข้อแตกต่าง เจ้าไม่ควร...”
“หุบปาก”
ชายหนุ่มถูกนางตะคอกใส่ จนต้องหยุดปากของตนเอาไว้ แต่เหตุผลที่แท้จริง ที่ชายหนุ่มไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้อีกนั้น ก็เพราะหยาดน้ำตาสองสายที่รินไหลออกมาจากดวงตาของนางดุจดั่งไข่มุกที่หลุดออกจากสาย
ภาพที่นางเห็นคือร่างของชายหนุ่มที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลอย่างหยาบๆหนานับหลายชั้น จนแทบมองไม่ออกถึงรูปร่างที่มีอยู่แต่เดิม แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น คราบเลือดก็ยังไหลซึมออกมาจากบาดแผล ผ่านเศษผ้าที่ถูกพันเอาไว้หลายชั้นนั้นออกมาจนได้
เมื่อแก้เศษผ้าที่พันเอาไว้หยาบๆนั้นออก ก็มองเห็นบาดแผลดาบ ที่พาดผ่านจากตำแหน่งกระดูกไหปลาร้าด้านขวามาจรดที่ชายโครงด้านซ้าย ผิวหนังถูกชำแรกออกกว้าง บาดแผลบางส่วนลึกจนมองเห็นกระดูกขาวๆโผล่ออกมา การที่มันยังยืนหยัดอยู่ได้นี้ นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากยิ่งแล้ว
“ม่วยม่วยเจ้าจะร้องไห้ไปทำไม กอกอผู้นี้ยังไม่ได้ตกตายเสียหน่อย”
“หุบปาก ใครว่าข้าร้องไห้”นางรีบยกมือขึ้นมาปาดเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าทันที แต่นางปาดเช็ดอยู่นานน้ำตาก็พาล ยังไม่ยอมหยุดไหล จนมาถึงตอนท้ายนางก็ไม่อาจจะสะกดกลั้นได้อีกต่อไป เปล่งเสียงร่ำไห้ออกมา ปากพร่ำบ่นแต่เพียงประโยคๆเดียว
“ฮือๆๆ... กอกอ ข้าขอโทษๆ”นางร้องไห้จนหัวหูแดงฉาน เป็นสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก
“ม่วยม่วย ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าก็หยุดร้องไห้เสียทีนะ”
ชายหนุ่มพยายามพูดปลอบใจนางอยู่นาน ให้หยุดร่ำไห้อย่างไรก็ไม่เป็นผล มันเกรงว่านางจะร่ำไห้มากเกินไป จนมีผลกระทบกระเทือนกับสุขภาพร่างกาย มันจึงยกสองมือขึ้นกำเป็นกำปั้น ทุบลงที่บาดแผลของตนทันที
“กอกอ ท่านทำอะไร?”
“เป็นเพราะมันที่ไม่ดีมาทำให้ ม่วยม่วยอันประเสริฐของข้าร่ำไห้ สมควรลงโทษ”มันพอเห็นวิธีการนี้ประสบผล ก็ยิ่งลงมือหนักขึ้นอีก
กำปั้นที่ทุบลงคราวนี้ ยิ่งหนักยิ่งรุนแรงขึ้น เลือดสีแดงสดฉีดพุ่งจากบาดแผลสาดกระจายไปทั่ว นางที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งตื่นตระหนกเป็นการใหญ่ ลืมเรื่องที่เศร้าเสียใจไปจนหมดสิ้น
“พอแล้วๆ หยุดนะ”นางรีบเข้ามากอดแขนทั้งสองข้างของมันไว้
“กอกอ ท่านเป็นบ้าอะไรเนี่ย”
“ม่วยม่วย ขอเพียงเจ้าไม่เป็นไร เราผู้พี่ก็พอใจแล้ว บาดแผลเพียงแค่นี้นับเป็นอย่างใดได้”
“กอกอ”
“ม่วยม่วย ข้าว่าสภาพเช่นนี้ออกจะไม่น่าดูนัก หากว่าใครมาพบเห็นเข้าคงย่ำแย่แล้ว”
สภาพของพวกมันทั้งสองนั้น หนึ่งอยู่บนหนึ่งอยู่ล่าง สองมือโดนรวบกำเอาไว้ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย ถ้าถูกผู้คนพบเห็นในสภาพเช่นนี้ ต่อให้พวกมันมีอีกยี่สิบปากก็ยากจะแก้ต่างได้หมด
เมื่อได้รับคำกล่าวตักเตือนจากกอกอ นางก็เห็นจริงอย่างที่มันว่า ต้องผละลุกขึ้นมาอย่างขัดเขิน
“เป้าจู้(ประมุขป้อม) ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ได้รับการรักษาพยาบาลจนหมดสิ้นแล้วคะ หลงเหลือก็เพียงแต่ท่านเท่านั้น”
เสี่ยวชุ่ยไม่ทราบว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูเหมือนว่านางจะรอคอยจังหวะนี้อยู่นานแล้ว ในมือของนางถือถาดไม้ถาดหนึ่ง บนถาดไม้วางเอาไว้ด้วยขวดหยกเคลือบสีเขียวขุ่น ด้านข้างยังวางไว้ด้วยผ้าขาวอีกสำรับหนึ่ง
“เสี่ยวชุ่ย บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าเจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่า เป้าจู้(ประมุขป้อม) เฉกเช่นเดียวกับผู้อื่นก็ได้”
“ไม่ได้คะ บ้านมีกฎบ้าน เมืองมีกฎเมือง โลกก็มีวัฏจักรของมัน ธรรมเนียมปฏิบัติเป็นเช่นไร ก็สมควรยึดถือพึ่งกระทำไว้”
“เฮ้อ... เจ้านี่ช่างดื้อจริงๆ”
ในอดีตพวกมันทั้งสามสนิทสนมกันเหมือนดั่งพี่น้อง มันยังจำได้ว่าเมื่อสมัยเด็ก นางยังเรียกมันว่า ตั่วกอ(พี่ใหญ่) อยู่เลย
เสี่ยวชุ่ย ปากกล่าววาจาแต่มือไม่ได้อยู่นิ่งเฉย นางก้าวเดินมายืนอยู่เบื้องหน้ามัน หยิบขวดเคลือบหยก เทยาที่อยู่ภายในออกมา มือฟอกทายาลงบนบาดแผลอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะหยิบผ้าขาวขึ้นมาพันแผลให้มันอย่างนุ่นนวลบรรจง หลังจากนางสำรวจผลงานของตนจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงถอยไปยืนสงบสำรวมอยู่ที่ด้านข้าง
แต่ต่อให้เสี่ยวชุ่ยลงมืออย่างแผ่วเบาบรรจงเพียงใด ยังสร้างความเจ็บปวดให้แก่มันจนหลั่งเหงื่อชุ่มโชกใบหน้า
เสี่ยวชุ่ยที่เห็นเช่นนั้น ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาผืนหนึ่ง ค่อยๆบรรจงซับเหงื่อบนใบหน้าให้มันอย่างนุ่มนวลแผ่วเบา ร่างกายที่สูงใหญ่ของมันทำให้เสี่ยวชุ่ยต้องโน้มกายเข้าไปใกล้มันมากยิ่งขึ้น ร่างกายของทั้งคู่จึงแทบแนบชิดสนิทใกล้ สายตาทั้งคู่ประสบประสานกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
จักรวาลและโลกหล้าต่างล้วนหยุดนิ่ง ทั้งคู่ต่างยืนแน่วนิ่งไม่เคลื่อนไหว
“ฮึ ไม่ทราบว่าพวกท่านทั้งสอง ยังเห็นข้ายืนอยู่ตรงนี้หรือไม่?”เซียวหงยี้ แกล้งบ่นกระเง้ากระงอด สะบัดหน้ากลับอย่างแง่งอน
พวกมันทั้งสองพลันได้สติ ผละจากกันอย่างรีบเร่ง เสี่ยวชุ่ยไม่ทันระวัง สะดุดขาตัวเองเสียหลักจะล้มลง แต่โชคดีที่ชายหนุ่มตรงเข้ามาคว้าเอวนางไว้ได้ทัน สภาพของพวกมันทั้งสองตอนนี้ นับว่าแนบสนิทชิดใกล้ยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“อ่า... ข้าผิดไปแล้ว เอาเป็นว่าข้าจะจากไปเองก็แล้วกัน เชิญพวกท่านทั้งคู่ตามสบาย”พูดจบนางก็หมุนตัวหันเดินจากไปที่ประตู ตรงมุมปากปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“คุณหนู!?”เสี่ยวชุ่ยเจอไม้นี้ของนางเข้า ก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่ร้องเรียกหยุดนางเอาไว้ ในใจคิดจะติดตามนางออกไป แต่ติดตรงแขนของชายหนุ่มที่เบื้องหน้านี้ ที่ไม่ยอมปล่อยให้นางจากไป
“ฮา ฮา ฮา ม่วยม่วย เจ้าเปลี่ยนเป็นแง่งอนขี้น้อยใจอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด”ชายหนุ่มเห็นเสี่ยวชุ่ยร้อนลนถึงเพียงนี้ จำต้องคลายมือปล่อยนางไป เอ่ยปากพูดให้แก่นาง
“ไม่รู้ละ พวกท่านทั้งคู่เล่นไม่สนใจข้าเองนี่”เซียวหงยี้ หมุนตัวกลับมาตอบวาจาอย่างแง่งอนใบหน้าบึ้งตึง แต่ดวงตาแฝงแววซุกซนขี้เล่นเอาไว้
เสี่ยวชุ่ยพอเห็นนางไม่ได้ออกไปจริงๆ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ยังระแวงนางอยู่ จึงถอยไปยืนอยู่ด้านหลังของนาง
“กอกอ ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่า ใครกันทำร้ายท่านได้ถึงเพียงนี้”
“เออ...”นางพลันเปลี่ยนเรื่องที่พูดอยู่กะทันหัน ทำให้มันต้องตั้งตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
“เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง ว่าแต่เจ้า ข้าได้ยินว่าเจ้า รับคนเข้ามาใหม่ไม่ใช่เหรอ มา! พาข้าไปดูหน่อย”
“เอ๊ะ!? ทำไมท่านจะต้องไปพบมันด้วยเล่า มันก็แค่คนงานผู้หนึ่งเท่านั้น”
“นั่นก็ยิ่งสมควรไปพบใหญ่ คนงานผู้หนึ่ง กลับทำให้ เสียวเจี้ยะที่ยิ่งใหญ่แห่งเซียวเบ๊เป้า(หมายถึงเซียวหงยี้) ผู้นี้ถึงกลับเป็นลมสิ้นสติไปได้ นับว่าหาไม่ได้จริงๆ”
“กอกอ!! ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างใด ก็ในเมื่อ...”นางพลันฉุกคิดถึงคนผู้หนึ่งได้ นางรีบหันหลังกลับไปมองหาคนผู้นั้น แต่ว่าร่างของเสี่ยวชุ่ยก็ได้หายไปเสียแล้ว
“ทีอย่างนี้กลับไวซะนะ”เซียวหงยี้ ต้องขยี้เท้าอย่างขุ่นเคือง
“มาไปเถอะ ม่วยม่วย”
“ดะ...เดี๋ยวก่อน”เซียวหงยี้ ไม่ทันจะได้ตั้งตัว ก็ถูกลากพาเดินออกไปเสียแล้ว
ความคิดเห็น