ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จอมคนพิฆาตบู๊ลิ้ม

    ลำดับตอนที่ #3 : ออกเดินทาง

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 52


    มันพาร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตหลบหนีต่อผู้คนที่ตามล่ามันไปไกลกว่าพันลี้  สุดท้ายแล้วก็ถูกบีบให้มันต้องกระโดดลงจากหน้าผา สองขามันแม้หักสะบั้น แต่มันก็ยังคืบคลานต่อไป จนพบหุบเขาที่เปลี่ยวร้างปราศจากผู้คนแห่งนี้

    มันเลือกสถานที่นี้เป็นที่รอคอย รอคอยความแค้นของมันได้ชำระล้าง

    สองปีแรกมันเฝ้าครุ่นคิดแต่แก้แค้นผู้คนที่ไล่ล่าสังหารมัน แต่ไม่ทราบว่าสภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้หรือไร สถานที่ที่สวยงามเหมือนดั่งทิพย์วิมานแห่งนี้ ความเงียบสงบของธรรมชาติที่ยากจะสัมผัสมาก่อน วิถีชีวิตที่แต่ละวันล้วนเรียบง่าย ระยะเวลาที่ผ่านพ้นไป กล่อมเกลามันจนมันแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน

    คนผู้หนึ่งภายใต้สถานการณ์หนึ่ง ช่วงระยะเวลาหนึ่งสามารถแปรพลันเปลี่ยนแปลงได้ เช่นเดียวกันมีบ้างบางคนถึงจะผ่านสถานการณ์หนึ่ง ช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ยังล้วนเลอะเลือนงมงายไม่เปลี่ยนแปลง

    เป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้วเป็นไร เป็นผู้ไร้เทียมทานแล้วเป็นไร สุดท้ายแล้วก็เป็นเพียงว่างเปล่า ที่แลกมากับชีวิตและความเกลียดชังของผู้คน ต้องถูกขับไล่แล้วก็ตามล่า

    มันพลันพบว่า มันไม่เคยใช้ชีวิตที่สงบและเป็นสุขเช่นนี้มาก่อน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปเกือบห้าปีมันก็ลืมเลือนความแค้น ลบเลือนทั้งหมดสิ้นออกไปจากใจ แต่อาการบาดเจ็บบอบช้ำจากการต่อสู้ครั้งนั้นสาหัสเหลือเกินนัก

    มันสำนึกว่าชีวิตตนคล้ายกับเปลวเทียนที่ใกล้ดับแสง มันเพียงเสียดายวิชาความรู้สำนักอาจารย์ที่ต้องสิ้นสูญไปปราศจากทายาทรับช่วงต่อ แต่เหมือนสวรรค์ยังปราณีให้แก่มัน

    วันหนึ่งมันพลันพบซากศพสตรีนางหนึ่งที่ริมผนังผา นางแต่งกายเช่นหญิงชาวบ้านทั่วไป สภาพศพนางร่างแหลกเหลว กระดูกหักตลอดทั่วร่าง มันเพียงแค่ชำเลืองมองก็ทราบว่านางต้องพลัดตกลงมาจากยอดเขาเป็นแน่แท้

    ที่ห่างไกลไป ไม่ไกลนัก มันพบเด็กชายอายุสามสี่ปีผู้หนึ่ง ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นับว่ายังมีชีวิตอยู่ แสดงแน่ชัด ว่าตอนตกลงมาสตรีนางนั้นใช้ตัวเองเป็นเบาะรองรับแรงกระแทกให้แก่เด็กชาย

    มันรีบนำเด็กชายกลับกระท่อม รักษาพยาบาลเป็นการด่วน นับว่าเด็กน้อยชะตากล้าแข็ง สามารถรอดชีวิตมาได้

    แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะได้รับความตื่นตระหนกมากเกินไป หรือเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสนัก เด็กน้อยกลับลืมเลือนเรื่องราวในครั้งอดีตไปจนหมด สิ่งของที่หลงเหลือติดตัวกลับมีเพียง จี้หยกรูปวัวเพียงเท่านั้น มันจึงตั้งนามให้เด็กน้อย นั้นว่า เฮ็กงู้(วัวดำ)

    เวลาพอผ่านไป นับว่าเด็กน้อยนี้ เป็นปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ โดยแน่แท้ วิชาความรู้ที่มันสั่งสอนไป เด็กน้อยสามารถซึมซับเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

     แม้แต่เคล็ดวิชาความรู้ที่มันตีความไม่ออก ฝึกไม่ได้ แต่เด็กน้อยสามารถฝึกปรือจนสำเร็จ โดยที่ไม่สะดุดติดขัด แม้แต่สิ่งใด นี่ไม่ใช่ว่าเด็กน้อยมีปัญญาเลิศล้ำตีความเนื้อความออกแต่อย่างใด มันเพียงกระทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น ราวกับว่าสวรรค์ สรรค์สร้างร่างกายมันขึ้นมา เพื่อให้ฝึกวิชาบู๊โดยเฉพาะ สร้างความปลาบปลื้มยิ่งดีแก่บ้อเก็กม้อจุนยิ่งนัก

    แต่เวลาพอผ่านไป มันกลับพบว่าเฮ็กงู้มีจุดบกพร่องอยู่มากหลาย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะว่ามันดุด่าเข้มงวดเกินไปหรือไม่ เฮ็กงู้ กลับติดนิสัย อ่อนแอ ขาดความมั่นใจในตนเอง

    พวกมันอาศัยอยู่ในหุบเขาเปลี่ยวร้างปราศจากผู้คน มนุษย์ที่พูดคุยกับเฮ็กงู้ ก็มีเพียงมันเท่านั้น เพื่อนเล่นของเฮ็กงู้ ก็มีเพียงสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในหุบเขา ทำให้เฮ้กงู้ เพาะเป็นนิสัยที่หยาบกร้าน ปราศจากเหล่เลี่ยม ติดออกจะโง่เขลาเกินไปด้วยซ้ำ กับเรื่องราวทางโลกภายนอก มันน้อยครั้งจะกล่าวถึงเฮ็กงู้ก็ไม่ได้กล่าวถาม กลับกลายเป็นความผิดพลาดที่ยากแก้ไขไปได้

    อาการบาดเจ็บของตัวมัน นับวันจะยิ่งกำเริบหนักขึ้น มันไม่มีเวลาที่จะแก้ไขจุดบกพร่องเหล่านี้ให้แก่เฮ็กงู้ มันต้องรีบตัดสินใจ ส่งเฮ็กงู้ออกไปสู่โลกภายนอก ก่อนที่มันจะ...

    เฮ็กงู้ตลอดเวลาที่ได้รับฟังเรื่องราว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พอรับฟังจนถึงที่มาของตนเอง ต้องหยั่งน้ำตาออกมาเนื่องนองหน้า

    เด็กเอ๋ย เจ้าควบคุมความเศร้าไว้บ้าง เจ้าออกไปโลกภายนอกครั้งนี้ เจ้าอาจมีวาสานาสืบทราบที่มาของตนเองได้บ้าง

    ขอบคุณ ซือแป๋ที่ชี้แนะเฮ็กงู้ ยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าตน

    ซือแป๋ไม่ทราบว่าภายหลัง ตอเทียนซิ้ง(ดาบฟ้าเทพเจ้า) เป็นอย่างไรบ้าง?

    ช่วงเวลานั้นชุลมุนวุ่นวายนัก ตอเทียนซิ้ง ถึงจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ด้วยวรยุทธ์ของมัน คาดว่ามันคงไม่ตายน้ำเสียงเวลาที่มันกล่าวถึง ตอเทียนซิ้ง ปราศจากแววอาฆาตมาตรร้ายแต่อย่างใด ความแค้นในใจมันลบเลือนหายไปจนสิ้นแล้ว

    เด็กเอ๋ย ตอนนี้ก็สายมากแล้ว เจ้าสมควรไปได้แล้ว จดจำไว้อย่าได้กระทำผิดเฉกเช่น ซือแป๋เจ้า อย่าหลงลำพองในฝีมือตัวเองจนมากเกินไป

    น้อบรับคำสั่งสอนของซือแป๋ ข้าขอลาก่อนเฮ็กงู้ คุกเข่าลงกราบกานมันสามครั้ง

    ไปเถอะมันโปกมือเบาๆเป็นสัญญาณ

    เฮ็กงู้ ยืดตัวยืนขึ้น หันหน้าเข้าหาผนังผา เบื้องหน้ามีแต่กำแพงภูเขาหิน หามีหนทางเดินไม่ ทันใดนั้น เฮ็กงู้ก็งอเข่าลงเล็กน้อย ร่างก็พุ่งทะยานขึ้นไปกว่าหกวา เท้าแตะหยั่งบนผนังผา ก็หยิบยืมกำลัง ทะยานพุ่งขึ้นไปอีกหกวา ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนร่างมันลับหายไปจากขอบฟ้าไป

    ขอให้เจ้าโชคดี ลาก่อน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×