คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 2 - 2 : ความลับของความว่างเปล่า
เมื่อตะวันสาดแสงทองส่องลงมาจากฟากฟ้า ก็เป็นสัญญาณบอกทุกคนในบ้านให้เตรียมตัวทำกิจวัตรประจำวันและธุระส่วนตัวของตนเอง
มุนากิจัดแจงอาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดคลุมสีดำประจำตัวเสร็จสรรพ พร้อมเดินทางได้ทุกเมื่อ แต่ก่อนหน้านั้นที่แรกที่เขาต้องไปก็คือห้องอาหาร เพื่อรับประทานอาหารเช้าพร้อมกับทุกคน
และเช้านี้เป็นที่แน่นอนว่ารันยังคงไม่พูดกับเขาเลย เธอตักข้าวใส่ถ้วยแล้วส่งให้โดยไม่มองด้วยซ้ำ แต่ก็เป็นเรื่องที่มุนากิชักจะเริ่มชินเสียแล้ว เชนเองก็ยังร่าเริงเหมือนเดิมและดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะกินเก่งเสียด้วย ต่างกับยูคาริที่ท่าทางของเธองัวเงียเหมือนคนอย่างไม่ค่อยตื่นดีเท่าไร โงนเงนไปมาจนบางครั้งก็เกือบเอาหน้ามุดข้าวเสียแล้ว ยังดีที่มุนากิดึงไว้ทันไม่อย่างนั้นล่ะก็หมดลมแน่นอน
“ก็ตื่นเช้ามาหลายวันแล้วนี่.... นอนพอซะที่ไหนกันล่ะ”
นั่นเป็นเหตุผลที่เธอตอบให้ ทำให้เขาค่อนข้างแปลกใจว่า คำว่า ‘นอนไม่พอ’ ของยูคารินี่ เธอต้องนอนซักเท่าไรถึงจะพอ เพราะเมื่อคืนนี้ยูคาริเป็นคนที่เข้านอนเร็วก่อนใครเพื่อน
แต่เรื่องนั้นก็ต้องพับเก็บไว้ก่อน เพราะวันนี้เป็นวันที่ยูคารินัดเขาเอาไว้ ว่าจะไปที่ ‘ศาลเจ้าฮาคุเรย์’ ตัวเขาเองก็ไม่รู้จักหรอกว่ามันเป็นสถานที่อย่างไร และมีไว้ทำไม แต่ก็คงจะได้รู้กันในวันนี้แหละ
วันนี้ยูคาริอยู่ในชุดกระโปรงบานสีขาวฟูฟ่องผิดกับทุกที ทับด้วยผ้าคลุมคาดปิดเฉพาะหน้าและหลังยาวจนถึงครึ่งเข่าสีม่วง ตรงชายผ้ามีสัญลักษณ์หยินหยางติดเอาไว้ ผนวกกับผมที่ยาวสลวยสีทองงามตาและหมวกผ้าสีขาวใบโปรดแล้ว มุนากิคิดว่าเธอดูเหมือนเจ้าหญิงยังไงยังงั้น
แต่ไม่แน่ว่ามาดอย่างเธออาจจะเป็นราชินีในพระราชวังอันหรูหราเลยก็ได้....
ยูคาริเริ่มบอกกับรันให้เธออยู่ดูแลบ้านและบอกให้เชนเป็นเด็กดี ดังเช่นที่พูดอยู่ทุกวันก่อนจะออกไปข้างนอก
“เอาล่ะ ไปกันรึยัง” ยูคาริเอ่ยขึ้น หันมายิ้มให้มุนากิพลางเปิดประตูมิติออกให้พอเข้าได้พร้อมกันสองคน “ไม่ต้องกลัวนะ เดินฝ่าเข้าไปเลย”
มุนากิทำตามที่บอก ในพริบตาเดียวเขาก็มายืนอยู่ในลานกว้างซึ่งปูด้วยหินเสียแล้ว รอบๆ เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจีที่จับมือช่วยกันบดบังแสงอาทิตย์อันร้องแรงและสร้างเงาดำอันร่มเย็นประกอบกับกลิ่นหญ้าผสมกลิ่นดิน ให้บรรยากาศที่เงียบสงบดีแท้
ตรงหน้าเป็นศาลเจ้าแบบญี่ปุ่น มีระฆังและกล่องบริจาคตามศาลเจ้าทั่วไป แต่ที่แตกต่างนั้นคือบนหลังคาศาลเจ้ามีสัญลักษณ์หยินหยางประดับอยู่ด้วย
“ที่นี่ไงล่ะ ศาลเจ้าฮาคุเรย์” ยูคาริที่ตามออกมาทีหลังพูดขึ้น พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ เหมือนกับหาอะไรบางอย่าง “ไปที่วัดกันเถอะ ท่าทางเจ้าตัวคงจะอยู่ที่นั่น”
ทั้งสองเดินอ้อมศาลเจ้าไปข้างหลัง ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของวัดทำจากไม้ค่อนข้างเก่า ประตูที่ยูคาริเปิดแง้มออกก็เป็นประตูเลื่อนกระดาษแบบญี่ปุ่นโบราณ
โบราณ?
คำๆ นี้ย้ำขึ้นมาในหัวของมุนากิอีกครั้ง นี่เขารู้ด้วยหรือว่ามันเป็นประตูแบบเก่า....
ความสับสนลอยเข้ามาในใจอีกครั้ง บางครั้งการที่คนเราจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลยก็เป็นเรื่องที่ลำบาก แต่บางครั้งการลืมบางสิ่งไปมันก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เช่นว่าจิ้งจอกสาวซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ที่บ้านจะลืมความรู้สึกอันเต็มไปด้วยโทสะไปเสียที
แต่แล้วก็ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นดึงเขาออกมาจากห้วงความคิด เมื่อได้ยินเสียงหวานลอยมาอย่างไม่พอใจเมื่อเจ้าของเสียงเห็นคนทั้งสอง
“เอ้า อะไรกันพวกหล่อนน่ะ เข้าบ้านคนอื่นไม่เคาะประตูได้ไง”
เป็นเด็กสาวผมสีดำขลับมัดรวบสูง หน้าตาบูดบึ้งสวมชุดมิโกะแดงขาวยืนเท้าสะเอวอยู่ตรงหน้าด้วยกิริยาไม่พอใจสุดขีด ถ้าให้เดาล่ะก็ สงสัยเจ้าหล่อนจะเพิ่งตื่นแน่ๆ
“แหม ขอโทษที ถ้าพวกฉันเคาะประตูล่ะก็ บางทีมันอาจจะเป็นรูเลยก็ได้นะ” ยูคาริประชด แสยะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เป็นนัยว่ายั่วประสาทอีกฝ่ายได้สำเร็จ เพราะมิโกะขาวแดงคนนั้นถึงกับถอนหายใจแล้วส่งสายตามาดร้ายมาที่โยวไคสาวทันที
“อ้าว แล้วนั่นใครกัน?” เด็กสาวถาม เมื่อสังเกตเห็นชายสวมชุดคลุมสีดำไม่คุ้นตายืนอยู่ข้างหลังยูคาริ
“อ๋อ จริงสินะ มุนากิ นี่เรย์มุนะ ฮาคุเรย์ เรย์มุ มิโกะของศาลเจ้านี้แหละ” ยูคาริเอ่ยพลางผายมือไปยังเรย์มุ “ส่วนเขาคนนี้ชื่อ เคียวมุเซย์ มุนากิ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ล่ะ”
“อะไรกัน” เรย์มุเลิกคิ้วสูงแสดงความประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าหมอนี่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วก็จำอดีตของตัวเองไม่ได้เพราะความจำเสื่อม เลยอยากจะให้ฉันช่วยปลดความทรงจำน่ะ”
“ปิ๊งป่อง~”
เสียงใสดังขึ้นมาจากโยวไคสาวซึ่งตอนนี้กำลังทำหน้าระรื่น ในขณะที่มิโกะแดงขาวทำหน้าตาหมดอาลัยตายอยาก
“เข้าใจอะไรไวดีนี่นา ก็อะไรทำนองนั้นแหละ”
“แต่เธอก็ทำเองได้นี่ ไม่เห็นต้องมาพึ่งฉันเลย” เรย์มุค้อนอย่างไม่พอใจ
“ลองแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล เลยคิดว่าสองคนน่าจะพอได้อะไรบ้าง นะ?” พูดเสร็จ ยูคาริก็ยิ้มกว้างให้มิโกะสาว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรอยยิ้มปลิดชีพนั้นหรืออย่างไร ที่ทำให้เรย์มุยอมช่วยจนได้
มุนากิไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ารอยยิ้มของยูคาริจะน่ากลัวถึงเพียงนี้... หากเป็นเขาได้ประจันหน้ากับเธอล่ะก็ เพียงแค่เธอฉีกยิ้มกว้างแบบนี้เขาก็คงจะแพ้ในวินาทีแรกไปแล้ว
ด้วยผมสีทองยาวสลวยและดวงหน้าหวานแต่ดูสงบตามแบบของผู้ใหญ่ แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบางๆ จากริมฝีปากสีชมพูอ่อน ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะแอบลอบมองเป็นครั้งคราวไม่ได้
ยิ่งเมื่อร่างของเธอย่างออกสู่แสงแดดสีทองอันเจิดจ้า ยูคาริก็ยิ่งดูเจิดจรัสราวกับเทพธิดากำลังยางสุขุมสู่แดนสวรรค์ก็ไม่ปาน....
“เอาล่ะ ตรงนี้แหละ” เสียงของเรย์มุดังขึ้นขัดความคิดของมุนากิเป็นครั้งที่สองเมื่อทั้งสามมาอยู่ในสนามหญ้าข้างวัด เธอยืนเท้าสะเอวมองไปทางชายหนุ่มแล้วพยักหน้าลงเป็นเชิงบอกให้นั่ง ดังนั้นมุนากิจึงนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหญ้า และรอดูว่าสองสาวจะทำอะไรต่อไป
“หลับตาซะ” เรย์มุกระชากเสียงห้วน มุนากิก็ทำตาม
เมื่อเขาหลับตาลง ก็พบว่าสนามหญ้าค่อยๆ จางลงก่อนห้องสีขาวว่างเปล่าจะเข้ามาแทนที่ ตามมาด้วยชั้นวางหนังสือซึ่งมีหนังสือเรียงรายจนเต็มทุกชั้นวางชิดผนังห้อง โต๊ะไม้ตัวเดิมและกรอบรูปที่เขาเคยเห็นก่อนหน้าน้านี้ถูกวางชิดกับหน้าต่างห้องซึ่งตอนนี้สายลมกำลังพัดผ้าม่านสีขาวบางโบกสะบัด
และ..... เด็กชายผมสีดำนั่งกอดเข่าอยู่ที่ประตูห้อง....
เด็กชายคนนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับกำลังตั้งใจฟังเสียงเอะอะโวยวายสองเสียงที่ได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ จากข้างหลังบานประตู ครั้นมุนากิจะเดินเข้าไปหา ก็พบว่าขาข้างหนึ่งของเขาถูกตรึงไว้กับโซ่ ซึ่งปลายอีกด้านมุดหายเข้าไปในผนังห้อง
แล้วร่างกายของเด็กชายก็ค่อยๆ โตขึ้น เปลี่ยนจากนั่งเป็นยืน... กลายเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง แต่แววตาของตัวเขาอีกคนนั้นช่างเยียบเย็นและมืดมน ไม่เหมาะกับเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวสีขาวที่สวมใส่เอาเสียเลย..... ราวกับว่าจิตวิญญาณได้ถูกกระชากออกจากร่างกายไปแล้ว
ตัวเขาอีกคนเริ่มเดินอยู่กับที่ สิ่งของภายในห้องค่อยๆ เลือนหายไป เหลือเพียงห้องว่างเปล่าสีขาวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงตัวเขาอีกคนอีกแล้ว ณ มุมห้องนั้น ปรากฏร่างของหญิงสาวผมสีทองยาวสลวยยืนอยู่ด้วย ทว่าไม่ว่าจะพยายามเท่าใด มุนากิก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเธอคนนั้นได้ชัดเจน เป็นที่แปลกอีกเมื่อมุนากิเลื่อนสายตาลงมามองด้านล่าง และพบว่าท่อนล่างตั้งแต่เอวลงไปของเธอคนนั้นไม่มีอยู่ เป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่สามารถมองเห็นได้
มือของตัวเขาอีกคนเริ่มยกขึ้นเพื่อคว้าอากาศ.... ไม่ใช่ซะหน่อย.... ตัวเขากำลังทำอะไร? ราวกับว่ากำลังพยายามจะคว้าอะไรบางย่างที่อยู่ตรงหน้า
หญิงสาวคนนั้นงั้นหรือ?
รู้ตัวอีกที มุนากิก็เริ่มที่อยากจะคว้าหญิงสาวคนนั้นมาบ้างแล้ว ไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่าหากคว้ามือของเธอคนนั้นเอาไว้ได้ เขาก็จะได้ในสิ่งที่ปรารถนามาตลอด
เคร้ง!
เสียงโซ่ที่พันธนาการขาของมุนากิเอาไว้ดังขึ้นเมื่อมันถูกดึงตึง โซ่เส้นนี้ไม่ยอมให้เขาไปไกลได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่ไม่มีทาง ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้....
ดาบเล่มหนึ่งตกลงมาจากฟ้าและตัดโซ่เหล็กนั้นขาดสะบั้นในพริบตา ตอนนี้ไม่มีอะไรขวางเขาอีกต่อไป แม้แต่ตัวของเขาอีกคนหนึ่งก็กำลังเลือนหายไปด้วย รวมทั้งร่างของหญิงสาวครึ่งท่อนก็กำลังเลือนหายไปช้าๆ
แต่ไม่เป็นไร... ถ้าเขาวิ่งไปตอนนี้ล่ะก็ต้องทันแน่ เพียงแค่คว้ามือของเธอคนนั้นมากุมไว้ได้
“อย่านะ!!!”
เสียงตะโกนดังลั่นลอยมาจากข้างหลังของมุนากิ ร่างบางในชุดขาวแดงลอดผ่านผนังห้องเข้ามาคว้ามือของมุนากิเอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะไปไกลกว่านี้
และในที่สุดร่างของหญิงสาวผมทองคนนั้นก็หายไป พร้อมกับห้องสีขาวที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวเศษกระจก กลายเป็นสนามหญ้าเมื่อครู่ และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือยูคาริ
“เป็นอะไรรึเปล่า?” ยูคาริเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แม้มุนากิจะรู้ว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนี้มาตลอด แต่ก็รู้สึกยังกับว่าไปวิ่งมาราธอนสองพันเมตรมาก็ไม่ปาน หัวใจเต้นถี่รัวและเม็ดเหงื่อผุดตามใบหน้า
เมื่อกี้เขาเห็นอะไร?
“ให้ตายสิ! ดันตัดโซ่ออกซะได้ นี่ถ้าถลำลึกเข้าไปมากกว่านี้จะเป็นยังไงนะ!” เรย์มุบ่นอุบพลางส่งสายตาไม่พอใจไปยังคนถูกว่า
โซ่เมื่อครู่คือสิ่งที่ดึงรั้งเขาไว้ระหว่างความจริงกับภาพลวงตาเมื่อครู่นี่เอง แม้มันจะเป็นภาพประหลาดที่ไม่มีอยู่จริงแต่แรก แต่มุนากิก็รู้สึกไม่ดีเอามากๆ กับบรรยากาศอันแสนเงียบงันและความหนาวเหน็บจากสุดขั้วหัวใจหลังจากหลุดออกมาจากที่นั่นแล้ว
ต้องขอบคุณความอบอุ่นจากฝ่ามือเล็กๆ ที่กุมมือเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยในตอนนี้.... ทว่าไม่ทันขาดคำเรย์มุก็สะบัดมือเขาออกในบัดดล
“อย่าเพิ่งลุกล่ะ เดี๋ยวหน้ามืด” เธอพูดกระชากเสียงเหมือนอย่างเคย
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่าย ถึงเขาจะไม่รู้อะไรเลยก็เถอะ
“เมื่อกี้นี้พวกเราพยายามดึงความทรงจำของนายกลับมาน่ะ”
จู่ๆ ยูคาริก็พูดขึ้น เรียกความสนใจจากมุนากิได้ทันควัน “แต่ก็ได้ออกมาเท่านั้นแหละ ไม่สามารถทำให้กลับมาทั้งหมดหรือชัดเจนไปกว่านั้นได้อีกแล้ว”
ภาพของห้องสีขาวลอยเข้ามาในหัวเด็กหนุ่มชุดดำทันที พร้อมกับภาพของตัวเขาเองอีกคน เสียงเอะอะโวยวายจากใครที่ไหนก็ไม่รู้ กับหญิงสาวที่มองเห็นหน้าไม่ชัดคนนั้น
นั่นน่ะหรือ? ความทรงจำของเขา
ช่างเป็นสิ่งที่ถึงจะนึกออกหรือนึกไม่ออกก็ไม่มีประโยชน์เอาซะเลย เพราะไม่สามารถประติดประต่อเรื่องราวอะไรได้แม้แต่อย่างเดียว
“แปลกมากเลยนะ” เรย์มุพูดขึ้นบ้าง “ยังกับว่าถูกผนึกที่มีพลังสูงเอามากๆ กดเอาไว้ หรือไม่ก็ไม่มีความทรงจำมาแต่แรก แต่ยังไงซะทั้งสองกรณีนี้ก็แค่อย่างละห้าสิบเปอร์เซ็นต์ พวกฉันไม่รู้สึกถึงกระแสพลังของผนึกที่ว่า แถมยังดึงความทรงจำของนายกลับมาได้นิดหน่อยด้วย”
เธอเว้นช่วงไว้ถอนหายใจ ก่อนจะพูดต่อ “ยังกับว่า..... ตัวนายกำลังเชื่อมต่อกับอะไรบางอย่างอยู่ โดยที่ตัวนายเป็นเพียงแค่ภาชนะที่ว่างเปล่าหรือไม่ก็ประตูที่จะพาไปหาสิ่งนั้น ตอนที่ฉันกับยูคาริช่วยกันดึงความทรงจำของนายกลับมา มันต้องเข้าไปลึกมาก.... เหมือนกับกำลังจะไปอีกที่นึง ซึ่งไม่ใช่จิตใจของนายที่อยู่ตรงนี้”
หลังจากที่ฟังเรย์มุพูดแล้วเขาก็ยังไม่เข้าใจตัวเองอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นตกลงว่าตัวเขามาจากไหน เป็นใครหรือเป็นตัวอะไรกันแน่ล่ะ ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวของเด็กหนุ่มเต็มไปหมด มันเป็นความคิดที่สามารถอันเชิญความว้าวุ่นอันสุดแสนจะทรมานให้เข้ามาเต้นระบำในจิตใจของเขาได้เป็นวรรคเป็นเวร
“ไม่เป็นไรหรอกนะ เดี๋ยวก็ค่อยๆ นึกออกเองแหละ” เสียงนุ่มของยูคาริเอ่ยปลอบพร้อมรอยยิ้ม มือเรียวสวยวางไว้บนบ่าของมุนากิ
รอยยิ้มของเธอคนนี้ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กำจัดความลังเลและว้าวุ่นในใจออกไปได้มากกว่าครึ่งเลยทีเดียว
“จะว่าไป....” ยูคาริพูดขึ้นอีก พลางหันไปทางเรย์มุ “วันนี้เธอดูหงุดหงิดเป็นพิเศษเลยนะ คงไม่ใช่เพราะพวกฉันใช่ไหม?”
คนถูกถามทำหน้าบูด ก่อนจะตอบ
“ก็ประมาณนั้น ท่าทางฤดูกาลจะแปรปรวนอีกแล้ว ดูสิ มีอย่างที่ไหนจะเข้าหน้าหนาวแล้วแดดยังเปรี้ยงอยู่เลย” เธอว่าพลางทำหน้าไม่สบอารมณ์แล้วแหงนขึ้นมองดวงอาทิตย์ ซึ่งยังคงแผดแสงแรงกล้าท้าทายคนพาดพิงข้างล่าง
“มันก็จริง” ยูคาริเห็นด้วย “อากาศไม่เย็นลงเลย ตอนกลางคืนก็ยังร้อนอยู่”
มิโกะขาวแดงถอนหายใจ ก่อนจะนั่งยองๆ ลงข้างมุนากิและเหล่หางตาไปยังยูคาริพลางพูด
“หวังว่าหนนี้คงไม่มีใครที่ไหนขโมยฤดูหนาวไปอีกหรอกนะ”
ประโยคนั้นทำเอาคนฟังสะดุ้ง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ยูคาริเคยแอบสมรู้ร่วมคิดกับเพื่อนสนิทคนหนึ่งในการรวบรวมฤดูใบไม้ผลิเพื่อปลดผนึกต้นซากุระยักษ์ ‘ไซเกียวอายาคาชิ’ ตามคำขอของเพื่อนคนนั้น
แต่หนนี้มันไม่เกี่ยวกับเธอจริงๆ นะ
“เหไม่มีหรอกมั้ง” โยวไคสาวรีบตอบปัดทันที “เอาเถอะ ยังไงก็หมดธุระแล้ว เดี๋ยวพวกฉันกลับเลยละกัน”
ได้ยินยูคาริพูดอย่างนั้น มุนากิจึงรีบลุกพรวดขึ้นทันที มารู้ตัวว่าไม่ควรรีบลุกหลังจากนั่งนานๆ ทีหลังมันก็สายไปเสียแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่พวกเรย์มุเข้าไปดึงความทรงจำของเขาออกมา
ราวกับแสงสว่างและภาพตรงหน้าถูกดึงกระชากออกไปอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน ร่างของเด็กหนุ่มเซถลาล้มลงไปกับพื้นในทันที
โชคดีว่าไม่เป็นอะไรมาก เพราะได้ความนุ่มของเบาะมารองรับแรงกระแทกเอาไว้
เบาะ!? กลางสนามหญ้าแบบนี้มีเบาะตั้งแต่เมื่อไรกัน?
คิดได้ดังนั้นมุนากิก็รีบยันตัวเองขึ้นจากเบาะที่ว่าทันที และก็ต้องตกใจเป็นสองเท่าเมื่อเจอหน้าตาบูดบึ้งของมิโกะขาวแดงผู้ถูกเข้าใจว่าเป็น ‘เบาะ’ เป็นอย่างแรก
“นายล้มทับฉัน” เป็นคำพูดสั้นๆ จากเรย์มุซึ่งกำลังถูกคร่อมอยู่ ใบหน้าของเขาและเธอห่างกันเพียงคืบกว่า กลิ่นหอมจากกายของมิโกะสาวที่โชยเข้าจมูกของเด็กหนุ่มช่างหอมหวนราวกับกลิ่นของบุปผา
เขาเพิ่งจะสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่านัยน์ตาของเรย์มุเป็นสีน้ำตาลเข้ม.... เส้นผมสีดำขลับที่กำลังคลอเคลียบนใบหน้าของเธอทำให้เธอดูเป็นเด็กสาวที่จัดว่าสวยคนหนึ่ง
“จะลุกออกไปได้รึยังยะ?”
“อ่ะ.. ขะ... ขอโทษ”
เสียงของเธอทำให้มุนากิรู้สึกตัวว่าเขาต้องรีบลุกออกไปให้ไวที่สุด แต่ยังไม่ทันจะลุก เสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังลั่นบาดหูมาจากข้างหลัง ทำให้ทั้งสามคนต้องหันไปมอง
“นั่นแกจะทำอะไรเรย์มุน่ะ!!”
เป็นเสียงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งสวมชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนตุ๊กตา ผมสีเงินสั้นหยักศกระต้นคอถูกทับด้วยหมวกผ้าสีเดียวกับชุด
ร่างของเธออยู่ในเงาจากร่มคันสีขาวซึ่งถือโดยหญิงสาวผมสีเงินสั้นระต้นคอในชุดเมดสีน้ำเงินขาว
ดวงตาสีแดงเข้มของเด็กหญิงจ้องเขม็งไปยังมุนากิผู้ซึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว....
ความคิดเห็น