คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : [OS] คนที่รออยู่ [KrisYeol]
[คำเตือน] ฟิคมันติสๆนิดๆนะคะ TT
[คำแนะนำ] เปิดเพลง คนที่รออยู่ - ฟลัว คลอไปด้วยจะได้อรรถรสในการอ่านมากยิ่งขึ้น
ณ ค่ำคืนหนึ่ง ของมหานครที่ไม่เคยหลับใหล
ณ สถานที่หนึ่ง ที่มีผู้คนแวะเวียนเข้ามาไม่เคยขาดสาย
ณ จุดหนึ่ง ที่ความเชื่อเข้ามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อน
ณ ขณะหนึ่ง ที่ผู้คนต่างสวดภาวนาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนปรารถนา
ณ อารมณ์หนึ่ง ที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเกิดเหงาขึ้นมาจับใจ ... และอยากมีใครข้างกายสักคน
“ไง พ่อหนุ่ม มาช่วยทำความสะอาดอีกแล้วเหรอวันนี้” เสียงของลุงแก่ๆคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มที่คุ้นเคยเดินเข้ามาหาอีกครั้ง ชายหนุ่มคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไป ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา จมูกโด่งรั้น สันกรามเรียว คิ้วเข้มๆที่ทำให้ดูเป็นคนดุ ผิดกับดวงตาสีน้ำตาลที่ดูอ่อนโยน และน่ารัก
“เปล่าครับลุง พอดีวันนี้ผมติดธุระ เลยแวะมาหาคุณลุงเฉยๆครับ วันนี้ดอกไม้เยอะมั๊ยครับ” น้ำเสียงแหบใหญ่ฟังดูห้าวๆ แต่ก็เจือไปด้วยความสุภาพ ลุงแก่ๆคนนี้ยิ้มรับรอยยิ้มบางๆบนหน้าเด็กหนุ่ม พลางกวักมือเรียกให้เข้ามานั่งในห้องพักที่ถูกจัดไว้สำหรับผู้ดูแลสถานที่แห่งนี้
“เยอะอยู่นะ ช่วงนี้สิ้นเดือนพอดี คนเลยยิ่งมีตังค์ซื้อดอกไม้มาไหว้น่ะ เมื่อวานมีผู้หญิงคนหนึ่งซื้อดอกไม้มาร้อยเก้าสิบเก้าดอก ช่อเบ้อเร่อเลย ท่าทางจะแพง สงสัยจะอยากได้แฟนมากจริงๆ” ลุงแก่ๆเล่าไปก็ขำไป ชายหนุ่มเองก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้ เขาไม่ได้คิดว่าผู้หญิงคนนั้นงมงายหรอก เพราะเขาก็เคยเป็นแบบนั้น
“ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้เจอกับคนที่รอนะครับ”
“น่านน่ะสิ ก็ต้องขึ้นอยู่ตัวเขาเองด้วยแหล่ะนะ ลุงก็ได้แต่เอาใจช่วย” คุณลุงทอดสายตามองออกไปนอกประตูกระจก ผู้คนนับสิบ บางคนนั่งคุกเข่า บางคนยืน แต่ทุกสิ่งที่ทุกคนมีเหมือนกันนั่นคือ ธูปสีแดงและดอกกุหลาบในมือ ควันธูปลอยตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ ดอกกุหลาบจำนวนมากถูกวางไว้บริเวณริมบ่อน้ำสีดำขนาดใหญ่ อันเป็นที่ตั้งของสถานที่อันเป็นที่เคารพ และสักการบูชาของมนุษย์ผู้มีศรัทธาในความรัก
“เห็นแล้วก็นึกถึงพ่อหนุ่มนะ ...” คุณลุงหันไปมองชายหนุ่ม รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนขึ้นบนใบหน้าเข้มนั้น
“บ่อยจนผมรู้จักกับคุณลุงเลย” ลุงแก่ๆได้แต่ขำกับประโยคนั้น ลุงทำงานเก็บดอกไม้ที่นี่มาหลายปี คอยเช็ดทำความสะอาดด้วย วันๆหนึ่งมีดอกไม้จำนวนมากที่ต้องคอยเก็บเอาไปทิ้ง เอาไปทิ้งแต่ละทีต้องรอให้เวลาผ่านไปเกือบวัน ใช่ว่าจะเก็บไปทิ้งเดี๋ยวนั้นเลยได้ ไม่งั้นคนที่เอาดอกไม้มาบูชาใจเสียแย่
“ลุงสังเกตพ่อหนุ่มมาตั้งนานและ ไม่คิดว่าคนที่ยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้จะมาขอความรักกับเขาเหมือนกัน มาวันเดียวไม่ว่า นี่เล่นมาทุกวัน แล้วทุกวันก็มีดอกกุหลาบมาวันละสองดอก วางไว้ข้างๆศาล แปลกนะ มีแต่คนเค้าวางไว้หน้าศาลกันน่ะ”
“ครับคุณลุง แต่กลับมาทีไรไม่เคยเจอดอกกุหลาบดอกเก่าของตัวเองเลย”
“ก็ลุงเก็บไปทิ้งทุกวัน ไม่ได้หรอก ทิ้งไว้นานๆแล้วมันหนัก ลุงแบกไม่ไหว” คุณลุงส่ายหน้าไปมา ขยับข้อมือและไหล่ซ้ายขวา เมื่อต้องนึกถึงปริมาณดอกไม้ และน้ำหนักที่ต้องเข็นและแบกไปทิ้งอยู่ทุกวัน มันหนักซะจนบางทีก็เอาไปทิ้งไม่ไหว ต้องเรียกให้คนอื่นมาช่วย
“ผมเลยอาสามาช่วยคุณลุงไงครับ” ริมฝีปากสีเข้มฉีกยิ้มออกบางๆ ยังจำภาพวันนั้นได้ดี วันที่เขาเอาดอกไม้มาไหว้ที่ศาลตามปกติ ผิดอยู่ที่วันนั้นเขามาดึกหน่อย แล้วเห็นลุงกำลังขนดอกไม้ไปทิ้งพอดี เลยอาสาเข้าไปช่วย จากนั้นทั้งสองก็รู้จักกัน จากนั้นชายหนุ่มก็คอยมาช่วยคุณลุงขนดอกไม้ไปทิ้งบ้างบางวัน หรือไม่ก็ช่วยเก็บธูป เช็ดทำความสะอาดรอบๆศาล
“ลุงขอบใจมากจริงๆนะพ่อหนุ่ม แหม่ ลุงก็ติดเรียกแต่พ่อหนุ่มนะ ลุงขอบใจคริสมากจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไรครับคุณลุง ผมเองก็อยากช่วยอยู่แล้ว” คริสยิ้มบางๆอีกครั้ง พลางหันหน้าไปมองผู้คนที่อยู่นอก ภาพที่เขากำลังเอาดอกไม้ พร้อมธูปเทียนสีแดงในมือ มาคุกเข่าลงอยู่หน้าศาลแล่นเข้ามาปรากฏขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เขาก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าเขาทำแบบนี้อยู่นานเท่าไหร่ เขาจำได้เพียงแค่ว่า มันนานมากจริงๆ
ยิ่งรู้สึกเหงาๆ เวลาก็เหมือนจะเดินช้าลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลยดูนานขึ้น
.
.
.
“เอาธูปเทียนชุดนึงครับ” มือเรียวยาวหยิบดอกไม้ขึ้นมาดูทีละดอก เมื่อได้ดอกที่ถูกใจก็หยิบขึ้นมา สลัดน้ำที่ติดอยู่ที่ปลายก้านดอกไม้ออกนิดหน่อย หยิบเอาธูปเทียนสีแดงขึ้นมาแล้วยื่นเงินให้คนขายไป ขายาวๆก้าวขึ้นมาตามบันไดหินสีดำ เบื้องหน้านั้นคือลานกว้างๆหน้าห้างสรรพสินค้าที่ผู้คนเดินสวนกันไปมา ด้านซ้ายมือของลานกว้างคือจุดนั่งพักและถ่ายรูปของผู้ที่เดินผ่านมาแถวนี้ ส่วนทางด้านขวา เป็นด้านที่อบอวลไปควัน กลิ่นธูป ดอกไม้ และคนมากมายหลายช่วงอายุ
คริสเดินเข้าไปใกล้ๆตะเกียงขนาดใหญ่ที่คนกำลังรุมล้อมกันอยู่ เมื่อเห็นที่ว่างเขาก็ยื่นมือเอาเทียนสีแดงเข้าไปจุดไฟ มือข้างที่ถือดอกไม้พยายามป้องเปลวเทียนจากลมที่กำลังพัดมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าลมเริ่มสงบก็หยิบเอาธูปสีแดงมาจุดกับเปลวเทียนสีเหลือสว่างในมือ เมื่อเห็นว่าธูปติดแล้วทั้ง 9 ดอก จึงนั่งคุกเข่าลง เริ่มสวดมนต์พร้อมทั้งขอพรอยู่ในใจ
...ผมอยากมีความรัก...
...คนที่ผมเฝ้ารอคนนั้น ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนเหรอครับ...
...ขอผมได้เจอเขาแค่สักนิดก็ยังดี...
...และขอให้ผมได้รู้ว่าเขาคือคนนั้น...
...ขอให้เขาได้ยินผมทีเถอะ...
...นะครับ...
ชายหนุ่มขอพรแบบนี้ทุกวัน ทำแบบนี้จนลืมไปแล้วว่าเวลาได้ผ่านล่วงเลยมานานแค่ไหน หลังจากเรียนจบและเริ่มทำงาน ชีวิตก็เริ่มเข้าสู้ความเหนื่อยล้า การที่ต้องเดินกลับบ้านคนเดียว ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเดินเป็นคู่ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเหนื่อยหนักกว่าเดิม จนบางทีก็เกิดเป็นความเหงา และว้าเหว่ เห็นคนอื่นเดินจูงมือกัน มันคงจะดี ถ้าได้มีความรู้สึกแบบนั้นบ้าง
ความรู้สึกที่ว่าเราไม่ได้เดินอยู่คนเดียว แต่ว่ามีอีกคนที่อยู่ข้างๆ คอยดูแลเวลาที่หัวใจมันเหนื่อย มันท้อ ความรู้สึกที่ว่าจะมีใครสักคนที่เข้าใจเรา ใครสักคนที่จะทำให้หัวใจเราพองโตทุกครั้งที่ได้เจอหน้า ใครสักคนที่จะคอยประคับประคองเราไป
...ใครสักคนที่เขาเองก็อยากได้ความรู้สึกแบบนี้จากเราเหมือนกัน...
ชายหนุ่มรู้สึกสถานที่แห่งนี้จากรายการในทีวี เคยได้ยินจากคนรู้จักมาบ้าง เคยนั่งรถผ่านบ้าง แต่ยังไม่เคยได้เข้ามากราบไหว้แบบจริงๆจังๆซักที ครั้งแรกที่มาก็ยังทำอะไรไม่ค่อยจะถูก ไม่รู้ว่าต้องเริ่มตรงไหน ลงเอยด้วยการไหว้มือเปล่าๆไปก่อน มาครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าจะขอว่ายังไงดี เก้ๆกังๆ ไม่รู้ว่าจะต้องพูดออกมาเป็นเสียง หรือว่าต้องขอในใจ เลยแอบเหล่ซ้ายทีขวาที ดูว่าคนข้างๆเขาทำยังไง สุดท้ายก็ขอได้จนจบ และเริ่มจะพอรู้ว่า พรุ่งนี้ควรจะเตรียมอะไรมาบ้าง
หลังจากนั้นเขาก็มาที่นี่เหมือนเดิม จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้เขาอดทนมาทุกวันจนเวลาผ่านไปนานขนาดนี้ ทั้งๆที่ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีวี่แววของคนๆนั้นเลยสักนิด
คริสมาที่นี่ทุกวัน มาบ่อยจนได้รู้จักกับคุณลุงที่เป็นผู้ดูแลที่นี่ อาสามาช่วยเก็บดอกไม้และทำความสะอาดบริเวณรอบๆศาลบ้างบางวัน
“ไอ้หนุ่ม ทำไมถึงใช้ดอกกุหลาบแค่นั้นล่ะ เขาใช้กัน 9 ดอกนะ” คุณลุงเอ่ยทักชายหนุ่มที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าศาล หลังจากช่วยขนดอกไม้ไปทิ้งแล้วรอบนึง
“ผมมาที่นี่ทุกวันเลยครับ เลยคิดว่าไหว้วันละดอกก็น่าจะพอ”
“แต่นั่นถือไว้สองดอกนี่” คุณลุงชี้นิ้วไปที่ดอกกุหลาบสีแดงที่อยู่ในมือของชายหนุ่ม
“อ๋อ ดอกหนึ่งของผม ส่วนอีกดอก ผมขอให้คนๆนั้นของผมน่ะครับ” เขายิ้ม ลุกขึ้นเอาธูปไปปัก แล้วเดินเอาดอกไม้ไปวางข้างๆศาลเหมือนเดิม
“ถามอะไรอย่างสิพ่อหนุ่ม เคยท้อที่จะเอาดอกไม้มาไหว้บ้างมั๊ย นี่ก็มาที่นี่เป็นปีแล้ว พอจะมีวี่แววบ้างมั๊ยล่ะ” คุณลุงชวนให้คริสเข้ามานั่งข้างๆ ตรงที่นั่งพักติดกับถนนที่เจ้าของสถานที่จัดเอาไว้ให้นักท่องเที่ยว ตอนนี้เวลาก็ปาไปสี่ทุ่มกว่าแล้ว คนตรงนั้นแทบไม่มี
“ไม่มีวี่แววเลยครับ บางทีผมก็คิดนะครับว่าผมควรจะพอมั๊ยกับเรื่องนี้ แล้วก็ทำใจซักที ทำแบบนี้บางทีผมก็ว่ามันออกจะดูงมงาย” ถึงแม้ว่าริมฝีปากจะมีรอยยิ้ม แต่แววตากลับเจือไปด้วยความเศร้าหมอง ... ไม่แน่ บางที คนๆนั้นของเขาอาจจะไม่มีตัวตนอยู่จริง
“เรื่องแบบนี้มันก็พูดกันยากนะ บทจะมาก็มาเองนั่นแหล่ะ มาไม่ทันให้เราตั้งตัวเลยด้วย”
“เอ่อ ขอโทษครับ คุณลุงเป็นคนดูแลที่นี่ใช่มั๊ยครับ” บทสนทนาของชายทั้งสองถูกหยุดลง เพราะชายอีกคนที่เดินเข้ามาถามคำถามด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
“ใช่แล้ว ทำไมเหรอ” คุณลุงหันไปตอบตามเสียงเรียก รอยยิ้มกว้างถูกจุดขึ้นบนในหน้าของชายแปลกหน้าคนนั้น เขากำดอกไม้ในมือไว้แน่นก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“คือว่าไฟในตะเกียงอันใหญ่มันดับแล้วน่ะครับ ผมเองก็ไม่มีไฟแช็คด้วย จะรบกวนคุณลุงไปมั๊ยครับถ้าผมจะขอไฟจุดธูปหน่อยน่ะครับ” ชายแปลกหน้าถามด้วยความสุภาพ ลำตัวบิดไปมานิดหน่อยคงเพาะเขินอาย ริมฝีปากฉีกยิ้มออกกว้าง จนแก้มขาวขึ้นมาเป็นลูก ดวงตากลมโตเป็นกระกาย ดูแล้วออกไปทางน่ารักมากกว่าจะเรียกว่าหล่อเข้ม
“เอ้า ได้สิ แต่รอหน่อยนะ ลุงขอข้าไปเอาน้ำมัน กับไฟในห้องเก็บของก่อน” คุณลุงลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปที่ห้องเก็บของซึ่งอยู่ไกลออกไป ทิ้งให้คริสอยู่กับชายแปลกหน้าลำพังสองคน
“คุณก็ดูแลที่นี่เหมือนกันเหรอครับ” ชายหนุ่มแปลกหน้าทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดลงด้วยการตั้งคำถามกับชายหนุ่มใบหน้าคมเข้มที่นั่งอยู่ พลางหย่อนตูดลงนั่งข้างๆ ด้วยท่าทางที่ดูสบายใจมากขึ้น
“อ้อ ไม่ใช่หรอกครับ” คริสส่ายหน้าปฎิเสธ ยิ้มเก้อๆ “ผมมาเอาดอกไม้มาไหว้ที่ศาลแล้วนั่งคุยกับคุณลุงที่ดูแลสถานที่น่ะ”
“เหรอครับ แสดงว่าคุณก็มาที่นี่บ่อยน่ะสิ” ชายแปลกหน้ายิ้มกว้าง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเจอคนที่มาไหว้ที่นี่บ่อยๆ แสดงว่าต้องรู้วิธีการไหว้ที่ถูกต้องน่ะสิ
“ก็มาทุกวัน ... เอ่อ แหล่ะครับ” คริสยกมือเกาหัวตัวเองแก้เขิน รู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องคุยกับคนแปลกหน้า ก็เพราะแบบนี้แหล่ะ เขาถึงไม่ค่อยกล้าคุยกับคนที่เขาสนใจเท่าไหร่
“ทุกวันเลยเหรอ สุดยอดไปเลย ผมเพิ่งมาวันนี้วันแรกเลย เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง นี่พอจะจุดธูปไฟดันดับอีก” ชายหนุ่มหน้าหวานพูดขึ้นด้วยความร่าเริง ยังไม่ทันที่คริสจะได้ตอบอะไร คุณลุงก็เดินกลับมาพร้อมไม้ขีดไฟพอดี
“เอ้านี่ๆ เอาไม้ขีดไปจุดก่อนนะ ลุงหาน้ำมันตะเกียงไม่เจอ เดี๋ยวลุงขอไปหาอีกรอบก่อน นี่คริส ช่วยพ่อหนุ่มคนนี้จุดธูปหน่อยนะ เออๆ ลุงไปก่อน” พอยัดกล่องไม้ขีดไฟลงในมือคริสเสร็จ คุณลุงก็เดินหายไปอีกรอบ
“มาครับเดี๋ยวผม ... จุดธูปให้” คริสเดินเข้าไปใกล้ๆอีกฝ่าย ก่อนจะหยิบเอาไม้ขีดไฟออกมาจากกล่องแล้วจุดไฟ แต่ไม่ขีดไฟอันแรกกลับไม่ติดจนต้องทิ้งไป
“ผมไม่ชอบไม้ขีดไฟเท่าไหร่ จุดไม่ค่อยจะติดเลย ไม่รู้คนอื่นทำได้ยังไง” ชายหนุ่มหน้าหวานยังคงยิ้มได้ ในขณะที่คนหน้าเข้มที่กำลังพยายามจุดไม้ขีดไฟกลับเหงื่อแตกพลั่ก
“โอ้ๆ ติดแล้ว” คนหน้าหวานยื่นธูปเข้าไปใกล้ๆไฟจากไม้ขีด ใบหน้าเลื่อนเข้าไปใกล้อีกคนมากขึ้น ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทั้งสองคนยืนชิดกันมากเกินไปแล้ว
“ธูปติดหรือยังครับ อุ้ย” ใบหน้าเข้มชะงักไปเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าหน้าของเขาอยู่ติดกับแก้มของอีกฝ่าย จนกลิ่นน้ำหอมจางๆมาลอยมาแตะที่จมูก
“อ้า ติดแล้วๆครับ ขอบคุณมากๆเลยนะครับ” ชายหน้าหวานฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นก็เดินไปนั่งคุกเข่าหน้าศาล คริสรีบเก็บไม้ขีดไฟใส่กระเป๋ากางเกงด้วยความอาย ให้ตายเถอะ เขาไม่เคยลุกลี้ลุกลนแบบนี้ก่อนเลยนะ
“เอ่อ คุณครับ ผมรบกวนอะไรอีกอย่างได้มั๊ยอ่ะ” ชายหน้าหวานที่นั่งคุกเข่าลงแล้วกันไปพูดกับอีกฝ่าย
“เอ่อ ... ได้ครับได้”
“ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่ออ่ะครับ ผมควรพูดขอท่านว่าอะไรบ้างดี” ชายหนุ่มหน้าหวานถามตาแป๋ว ใครเห็นแบบนี้แล้วจะไม่ใจดีช่วยก็คงใจร้ายเกินไปแล้วแหล่ะ
“ก็ท่องตามนั้นเลย แล้วก็อยากได้อะไร อยากขอพรให้สมหวังอะไรก็ขอเลยครับ” คริสชี้ให้อีกฝ่ายดูป้ายขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยตัวอักษร ชายหนุ่มหน้าหวานหันไปมองตามมือแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ขอโทษนะครับ คือผมสายตาสั้น ผมอ่านบนกระดานไม่ค่อยเห็นเลยครับ” หนุ่มหน้าหวานพูดท่าทางน่าสงสาร คริสลอบยิ้มน้อยๆก่อนจะเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างๆ
“ก็ที่จริงแล้วจะจุดธูปไว้แล้วขอพรเลยก็ได้นะครับ ผมว่าท่านคงรับรู้”
“เหรอครับ ผมนะไม่รู้อะไรเลยอ่ะ จะมาไหว้ผมก็ไม่รู้ด้วยว่าใช้ดอกไม้กี่ดอก ผมก็เลยซื้อมากำนึงก็สิบดอกพอดี”
“ถ้าจริงๆแล้วต้องใช้ดอกไม้ 9 ดอกครับ คุณยังดีนะที่ซื้อดอกไม้มา ผมมาครั้งแรก ไม่ได้เอาอะไรติดมือมาเลยด้วยซ้ำไป” คริสเริ่มยิ้มออก เริ่มคุ้นเคยกับชายแปลกหน้าหน้าหวานคนนี้มากขึ้น
“งั้นเหรอครับ โห แล้วใช้ดอกไม้แค่ 9 ดอก งั้นผมก็ต้องเก็บดอกไม้ไว้ดอกนึงสิ” ชายหนุ่มหน้าหวานยื่นปากออกขณะกำลังใช้ความคิด ก่อนจะหยิบดอกไม้ในมือออกมาดอกหนึ่ง
“อ่ะ นี่ครับ ผมให้”
“ให้ทำไมเหรอครับ” คริสมองการกระทำนั้นด้วยความงง จะให้ดอกไม้เขาเพื่ออะไร
“ไงคุณก็เอาดอกนั้นไหว้เลยสิครับ ผมจะได้ทำตามคุณไง ถือเป็นการขอบคุณที่คุณช่วยผมด้วยเลยก็แล้วกันนะ” ชายหนุ่มหน้าหวานยิ้มจนเห็นฟันซี่ขาวๆ จนคริสอดยิ้มตามด้วยไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไหว้ไปแล้วครับ” คริสพยายามส่งดอกไม้คืน ส่วนอีกฝ่ายไม่ยอมรับไป
“ไหว้อีกรอบก็คงไม่เป็นไรหรอกมั๊งครับ ไหว้สองรอบ ท่านจะได้รับรู้ยิ่งกว่าเดิมไงครับ” ชายหนุ่มหน้าหวานหัวเราะคิกคัก ทำเอาใบหน้าเข้มหลุดยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย ยิ่งได้คุยกับคนๆนี้ยิ่งรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ
“โอเคครับ อย่างนั้นก็ได้”
“ฮ้า ผมจะขอแล้วนะ ขอให้เนื้อคู่ของผมปรากฏกายซักที ผมอยากได้แฟนๆที่นิสัยดี ...”
“เอ่อ คือ พูดในใจก็ได้นะครับ ไม่ต้องตะโกนแบบนั้นก็ได้”
“อ้าวเหรอครับ ผมกลัวท่านไม่ได้ยินน่ะ แหะๆ” ชายหน้าหวานยิ้มแห้งๆ รอยยิ้มกว้างเริ่มจางหาย ผิดกับ คนหน้าเข้มที่กำลังยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“แต่จะพูดออกเสียงเลยก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะครับ พูดออกเสียงดังๆชัดๆ เผื่อว่าท่านจะเห็นใจ ส่งคนๆนั้นมาให้ซักที” ดวงตาคมฉายแววเศร้าออกมาเล็กๆ จนชายหน้าหวานอดเศร้าไปด้วยไม่ได้
“อืม แสดงว่าคุณคงมาที่นี่บ่อยแล้วสิเนอะ งั้น อย่าช้าเลยครับ ลองขออีกรอบ คราวนี้พูดเสียงดังๆเลยนะ ท่านต้องส่งคนๆนั้นมาให้คุณแน่ๆเลย” ชายหน้าหวานฉีกยิ้มสดใส น้ำเสียงฟังดูร่าเริงและเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“ครับ ผมจะลองดูอีกครั้ง” ริมฝีปากสีเข้มฉีกยิ้มออกบ้าง ทำไมคนๆนี้ถึงร่าเริงสดใสได้ขนาดนี้นะ สายตาดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่จะทำทุกอย่างให้สำเร็จ ผิดกับเขาที่ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองสักเท่าไหร่
“โอเค งั้นคุณพูดตามผมเลยนะ ท่านครับ ช่วยให้ผมเจอกับคนรักทีนะครับ ผมอยากเจอเขาแล้ว ผมสัญญาว่าถ้าผมเจอเขาแล้วจะรักเขาให้สุดหัวใจ แล้วจะดูแลเขาอย่างดีเลยครับ ช่วยให้ผมได้เจอเขา แล้วก็ช่วยให้เขาได้เจอผมด้วยนะครับ” ชายหน้าหวานพูดรัวจนคริสพูดตามไม่ทัน รู้ตัวอีกที คนที่บอกให้เขาพูดตามก็ลุกขึ้นเอาธูปไปปักซะแล้ว
“อุ้ย ผมขอโทษครับ ผมพูดรัวจนไม่เว้นช่วงให้คุณพูดเลยอ่ะ” ชายหน้าหวานที่ยืนอยู่ตรงกระถางธูปส่งสายตาเศร้ามาทางคริสที่ทำได้แค่หัวเราะเบาๆ ตลกดีนะผู้ชายคนนี้ จะทำอะไรก็น่ารักน่าชังไปซะหมดเลย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“งั้นเดี๋ยวผมพูดอีกรอบนะครับ คราวนี้ผมจะเว้นช่วงให้คุณพูดนะครับ” ชายหน้าหวานเดินมาทำท่าจะคุกเข่าอีกรอบ แต่ก็ถูกอีกฝ่ายร้องห้ามไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมพูดเองเลยดีกว่า ... ท่านครับ ผมขอพรเหมือนกับคนข้างๆผมเนี่ยแหล่ะครับ” พูดเสร็จก็ลุกขึ้นยืนบ้าง
“ไปเถอะครับ เอาดอกไม้ไปวาง”
“แล้วปกติเวลาคุณมาไหว้ คุณวางดอกไม้ไว้ตรงไหนเหรอครับ”
“ผมชอบวางข้างๆศาลครับ” คริสเดินนำชายหนุ่มหน้าหวานไปข้างๆศาล เอาดอกไม้วางไว้ข้างๆดอกไม้เดิมของตัวเอง ส่วนชายหน้าหวานก็รีบเอาดอกไม้มาวางไว้ข้างๆเช่นกัน
“ทำไมคุณถึงวางข้างๆศาลล่ะครับ ทำไมไม่วางหน้าศาลแบบคนอื่นๆล่ะ” ชายหน้าหวานถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ตรงนั้นดอกไม้เยอะครับ ผมชอบมาวางข้างๆศาลมากกว่า ที่มันว่างๆดี อีกอย่างผมขอท่านไว้ว่า ถ้าคนๆนั้นของผมปรากฏตัวขึ้นเมื่อไหร่ ขอให้มีคนเอาดอกไม้มาวางไว้ข้างๆดอกไม้ของผมน่ะครับ” คริสมองดอกไม้สามดอกของตัวเองวันนี้แล้วก็ได้แต่ยิ้ม ปกติมันจะเหงาอยู่เสมอ แต่วันนี้มีดอกไม้กองข้างๆมาวางอยู่ด้วย เลยดูแล้วไม่เหงาซักเท่าไหร่ ต้องขอบคุณชายหน้าหวานที่เพิ่งคุยกันได้สิบนาทีคนนี้สินะ
“โห คุณนี่น่ารักจังเลยอ่ะ ใครได้คุณไปเป็นแฟนที่ต้องโคตรโชคดีมากๆๆๆเลยอ่ะ” ชายหน้าหวานพูดพลางปรบมือแปะๆให้ชายหนุ่มหน้าดุแต่ใจดีคนนี้
“อ้อ ขอบคุณครับ” คริสได้แต่ยิ้มอายๆ พอมีคนมาชมว่าน่ารักแล้วทำไมใจถึงเต้นแรงแบบนี้ก็ไม่รู้
“ดีใจจังเลยที่ได้มาเจอคุณอ่ะ วันนี้ผมโชคดีสุดๆไปเลย”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมเองก็ดีใจที่ได้เจอคุณนะ คุณดูน่ารักดี ...” เสียงแผ่วหายในตอนท้าย อะไรดลจิตดลใจให้พูดออกไปแบบนั้นก็ไม่รู้ ... รู้แค่ว่าอยากพูด
“เหรอ ผมดูน่ารักเหรอ ... เอ่อ คือ” คำชมของอีกฝ่ายเล่นเอาแก้มของชายหน้าหวานขึ้นสีแดงอ่อนๆ มองซ้ายมองขวาลุกลี้ลุกลนคล้ายพยายามหาตัวช่วย
“ผมชื่อชานยอลนะ คุณชื่ออะไรเหรอ .. คือว่า” อยู่ดีๆชายหน้าหวานก็พูดชื่อตัวเองขึ้นมา พอพูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง ... น่าอายจริงๆ
“อ้าว ไง ไหว้กันเสร็จแล้วเหรอสองคนนี้ ลุงเพิ่งหาน้ำมันตะเกียงเจอพอดี” คุณลุงเดินเข้ามาพอดี พร้อมชูน้ำมันตะเกียงที่อยู่ในมือให้ดู
“อ้อ ไม่เป็นไรแล้วครับคุณลุง เราไหว้กันเสร็จแล้วครับ” คำว่าเราที่คริสพูดเล่นเอาชายหน้าหวานสะดุ้งตัวอีกรอบ ... เรางั้นเหรอ
“อืม ดีแล้วๆ วันนี้พ่อหนุ่มมีคนเอาดอกไม้มาวางไว้ข้างๆแล้วนะ” คุณลุงพูดเสร็จก็เดินเอาน้ำมันตะเกียงไปเติม แต่คำพูดที่คุณลุงพูดทิ้งไว้เล่นเอาคริสหน้าชา... วันนี้มีคนเอาดอกไม้มาวางข้างๆเขาแล้วนี่นา
“ว้าววว ดูคุณสนิทกับคุณลุงมากๆเลยนะ ดีใจด้วยนะครับ วันนี้มีคนเอาดอกไม้มาวางไว้ข้างๆแล้ว” ชายหนุ่มหน้าหวานเผลอพูดไปโดยไม่คิดอะไร แต่พอหันไปดูดอกไม้อีกรอบ ถึงกับร้องลั่น
“อ้าว ผมเองนี่นาที่เอาดอกไม้มาวางข้างๆคุณน่ะ” พูดเสียงสั่นพลางเอานิ้วชี้จิ้มที่หน้าอกตัวเอง เฮ้ย หรือว่า …
“เอ่อ คือ คุณ ผม คือ…” ปกติคริสไม่ใช่คนติดอ่าง แต่ทำไมวันนี้ถึงพูดอะไรไม่ออกเลย ใจมันหวิวๆเหมือนคนจะเป็นลม
“เอ้าไง สองคนนี้ อึกอักอะไรกันอยู่ล่ะ ไม่กลับบ้านกันหรือไง ดึกแล้ว กลับบ้านกันเถอะไป” คุณลุงเอ่ยปากไล่ชายหนุ่มทั้งสอง ส่วนทั้งสองหนุ่มก็ได้แต่ยืนบิดตัวไปมาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี
“งั้นผมขอตัวกลับเลยแล้วกันนะครับ ขอบคุณคุณลุงมากๆนะครับ คุณก็ เอ่อ ขอบคุณนะครับ โชคดีนะครับ” ชายหนุ่มหน้าหวานยกมือไหว้คุณลุง กระชับกระเป๋าเป้ตัวเองแล้วก้าวขาเดินออกไป
“เอ่อ ครับ” ทั้งสองประสานสายตากันแว๊บนึงก่อนจะที่ชายหนุ่มหน้าหวานจะเดินจากไปทั้งๆที่ยังไม่รู้จักชื่อกันเลย
“เจอกันนะครับ เฮ้ออ” คริสยืนคอตก มองคนๆนั้นเดินจากไปด้วยสายตาละห้อย ทั้งๆที่เพิ่งเจอกันแต่ทำไมอาลัยอาวรณ์ได้ถึงขนาดนี้ก็ไม่รู้
“ตามเขาไปสิ ไปๆ” คุณลงผลักลำตัวคริสเบาๆ เขาหันหน้าไปมองคุณลุงด้วยความงงปนตกใจ
“ตามเขาคนนั้นไปเหรอครับ”
“ก็เออน่ะสิ ท่านให้ตามที่ขอก็รีบเร็วๆ ไม่งั้นท่านก็ไม่ช่วยแล้วนะ” คุณลุงออกแรงผลักให้แรงขึ้น คราวนี้คริสแทบล้มหัวขมำ แต่ก็ยอมก้าวขาเดินตามคนๆนั้นไปตามที่คุณลุงบอก
“พรุ่งนี้เจอกันนะครับคุณลุง” คริสหันกลับมาไหว้คุณลุงก่อนจะรีบสาวเท้าเดินตามชายหนุ่มหน้าหวานที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสิบห้านาทีคนนั้นไป ...
“เอ่อ ชานยอลครับ”
“เอ่อ คุณ ...” ชานยอลหันมาตามเสียงเรียก แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าคนที่เดินตามมาเป็นใคร
“คือ ผม ... เอ่อ คือ” หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ผู้ชายคนนี้คงจะหาว่าเขาบ้าที่เดินตามมาแบบนี้ ... แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณลุงบอกจริงๆล่ะ ถ้าคนนี้คือคนๆนั้นที่เขารออยู่จริงๆ
“ผมชื่อคริส ... ครับ” คริสพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะโกน ชานยอลที่ยืนมองอยู่ด้วยความลุ้นว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ถึงแม้จะตกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดปากขำ
“อ้อ ครับ คุณคริส” ใบหน้าหวานได้แต่ยิ้มเขินๆ จ้องใบหน้าของคนที่เพิ่งได้รู้จักด้วยความอาย
“เอ่อ คุณชานยอล ... จะ” คริสอยากจะตบปากตัวเองจริงๆ ทำไมพูดอะไรไม่ออกเลยนะ เมื่อไหร่จะเลิกกลัวที่จะพูดในสิ่งที่อยากพูดซักทีนะ
“แล้วนี่คุณคริสจะไปไหนเหรอครับ ถึงได้เดินตามมา”
“ก็คือ ผม ... คือ ผมอ่ะอยาก ... อยากรู้ว่า”
“แถวนี้พอจะมีร้านกาแฟเปิดอยู่นะครับ ดูแล้วเรื่องของคุณท่าจะยาว อิอิ” ชานยอลหัวเราะคิกคักกับกิริยาอึกอักของคนตรงหน้า มัวแต่อ้ำๆอึ้งๆไม่ยอมพูดอะไร
“เอ่อ ก็ได้ครับ งั้นผม ... ผมขอเลี้ยงนะ” คริสเริ่มยิ้มออก ก้าวขาเข้าไปยืนข้างๆชานยอล ทั้งสองยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกดีๆ ท่ามกลางค่ำคืนของมหานครที่ยังคงดำเนินไปไม่มีหยุดยั้ง
.
.
.
“แล้วนี่พ่อหนุ่มกับคนๆนั้นยังคบกันอยู่หรือเปล่า” คุณลุงที่ชวนคริสเดินออกมาดูผู้คนที่นำดอกไม้มาไหว้กันในวันนี้ ถามขึ้น
“ยังคบกันอยู่ครับ ก็ วันนี้ผมนัดเขามาไหว้ท่านด้วยครับ อ้าว นั่นไงมาพอดีเลย”
“ไงพี่คริส สวัสดีครับคุณลุง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” ชานยอลที่เดินมาถึงพอดีกล่าวทักทายคุณลุง
“น่านสิ ไม่ได้เจอกันนานเลย ยังดูสดใสเหมือนเดิม ยังไงก็เดี๋ยวลุงขอไปเก็บกองดอกไม้ก่อนแล้วกันนะ เริ่มเยอะแล้ว เดี๋ยวมันจะหล่นลงมา โชคดีๆ” คุณลุงล่ำลาชายหนุ่มทั้งสองเพื่อไปทำหน้าที่ต่อ ชานยอลพอเห็นว่าคุณลุงเดินไปแล้วก็ยื่นดอกไม้ในมือให้คริส
“ไปไหว้กัน” ชายหนุ่มทั้งสองนั่งคุกเข่าลงหน้าศาล บรรยากาศดูคล้ายๆวันแรกที่พวกเขาเจอกัน เพียงแต่วันนี้ทั้งสองคนขอพรท่านอยู่ในใ และวันนี้ก็ไม่ได้มาเพื่อขอความรัก แต่มาเพื่อขอบคุณท่านที่ทำให้เขาได้เจอคนๆนั้นของกันและกันแล้ว
“เอาไปวางข้างๆศาลเหมือนเดิมมั๊ยพี่คริส ตอนนี้ไม่ต้องรอคนเอาดอกไม้มาวางข้างๆแล้วนะ” ชานยอลพูดติดตลก คริสยกขึ้นบีบแก้มใสนั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว ผ่านไปเป็นปีแล้วก็ยังล้อไม่เลิก
“วางไว้ข้างศาลนั่นแหล่ะ เป็นส่วนตัวดี” ทั้งสองลุกขึ้นเอาดอกไม้ไปวางข้างๆศาล ก่อนจะเดินจากที่ตรงนั้นไป พร้อมรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความรัก
“สำเร็จอีกคู่แล้วนะท่าน จากนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขานั่นแหล่ะ” คุณลุงที่กำลังเก็บดอกไม้อยู่หน้าศาลเงยหน้าขึ้นพูดกับ ‘ท่าน’ ที่กำลังเปล่งแสงสีทองเรืองรองเจิดจ้า ภายในสถานที่ประทับสีขาวสะอาดตา ที่ไม่ว่าจะมองครั้งใดก็ยังคงดูวิจิตรงดงามและน่าเลื่อมใสอยู่เสมอ
“เจอแล้วสินะพ่อหนุ่ม” คุณลุงพูดกับตัวเอง สายตามองตรงไปที่ผู้ชายสองคนที่กำลังเดินจับมือเคียงข้างกันไปจนลับสายตา ...
END
Talk ::: ฟิคเรื่องนี้ได้มันติดอยู่ในหัวมาตั้งนานแล้ว เราเองก็เคยไปกราบไหว้ศาลพระตรีมูรติมา #เขิน ยืนมองๆไป
แล้วก็เกิดคิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้ สุดท้ายเลยเอามาแต่งซะเลย เป็นยังไงบ้างคะ ฮือๆ ติชมได้นะ อยากรู้ Feedback TT
ความคิดเห็น