ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Awake (KyuMin)

    ลำดับตอนที่ #13 : 12. กลัว

    • อัปเดตล่าสุด 11 ธ.ค. 55


    THE★ FARRY






    12. กลัว

     

    ผมรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียง แชะ แชะ ที่ดังอยู่ข้างหู

    ผมปรือตาลืมขึ้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าผมคือกล้องถ่ายรูป และสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกล้องถ่ายรูปก็คือใบหน้าของคยูฮยอน ผู้ชายคนนี้กลายเป็นตากล้องประจำตัวผมไปแล้ว

    “ถ่ายทำไมเนี่ย” ผมครวญครางเสียงอู้อี้ พลางพยายามตะแคงกายหนีชัตเตอร์ของคยูฮยอน แต่คิดหรือว่าคนอย่างคยูฮยอนจะยอมแพ้ง่ายๆ ยิ่งผมหนี เขาก็ยิ่งไล่ตาม

    “นอนเฉยๆสิซองมิน”

    “นี่! ผมไม่ใช่นางในวรรณคดีที่จะดูดีตั้งแต่วินาทีแรกที่ตื่นนอนนะ!” ผมเถียงเขา พลางมุดหน้าเข้ากับหมอนนุ่ม

    คราวนี้สิ่งที่ตามผมมาไม่ใช่เสียงชัตเตอร์ แชะ แชะ แต่เป็น...

     

    ริมฝีปากของคยูฮยอน

     

    เขากดริมฝีปากลงบนแก้มของผม

    เดี๋ยวนี้เอาใหญ่ เมื่อวันก่อนผมยังชมในใจอยู่เลยว่าคยูฮยอนไม่เคย ลวนลาม ผม แล้วสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้คืออะไร

    “เดี๋ยวนี้เป็นคนแบบนี้แล้วเหรอ” ผมบ่น

    “ความจริง...” คยูฮยอนลากริมฝีปากไปที่ใบหูของผม “ผมเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วล่ะ ไม่สิ... ผม อยาก ทำแบบนี้มานานแล้ว แต่ผมกลัวว่าคุณจะไม่ชอบ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่”

    เผยธาตุแท้ออกมาแล้วนี่เอง โจคยูฮยอน

    “ผมเป็นผู้ชายนะซองมิน”

    ผมเงยหน้าขึ้นจากหมอน “พูดอย่างกับว่าผมไม่ใช่ผู้ชาย”

    คยูฮยอนยักคิ้ว “แต่คุณน่ารักกว่าผู้ชายทั่วไป”

    “คุณยังไม่เคยเห็นผมต่อยคนใช่ไหม”

    “ยังไม่เคยเห็น แต่ผมอยากเห็นนะ” ตอนนี้คยูฮยอนกำลังทำหน้าเหมือนไซบีเรียนฮัสกี้เจ้าเล่ห์

    “งั้นผมต่อยหน้าคุณตอนนี้เลยดีไหม” ผมพลิกตัวนอนหงาย แต่แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าผมคิดผิด คยูฮยอนมือไวกว่าที่ผมคิด เขารีบวางกล้องถ่ายรูปไว้บนกองผ้าห่ม แขนทั้งสองข้างยันไว้บนหมอนของผม ผมมาอยู่ในกรงแขนของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

    “เอาเลย ต่อยเลยซองมิน คุณเก่งอยู่แล้ว”

    “......” ผมนอนเม้มปาก ผมจะต่อยยังไงถ้าโจคยูฮยอนจ่อปลายจมูกเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้

    ในที่สุดปลายจมูกโด่งนั่นก็ฝังลงในแก้มผม เขากดปลายจมูกนิ่งนาน ราวกับจะผสานปลายจมูกตัวเองเข้ากับแก้มของผม

    “พอแล้ว” ผมพยายามดันตัวเขาออก ผมยังเป็นคน ผมยังมีความรู้สึก เขามาหอมแก้มผมแต่เช้าแบบนี้ คิดว่าผมจะไม่เขินรึ

    “ไปเที่ยวกับผมนะซองมิน” คยูฮยอนกระซิบข้างๆหู ผมมองหน้าเขาพร้อมเครื่องหมายคำถาม “ผมอยากไปเที่ยวกับคุณ ออกนอกโรมกันเถอะ ไม่ต้องไปไกลก็ได้ แถวๆชานเมืองก็เที่ยวได้นะ”

    “แต่เดี๋ยวคุณก็จะได้ไปเที่ยวกับพี่สาวแล้ว จะได้ไปตั้งเวโรน่าเชียวนะ”

    คยูฮยอนขมวดคิ้วมุ่น “ก็ผมอยากไปกับคุณ”

    “ผมบอกคุณไปแล้วนะว่าผมจะยุ่งๆเรื่องวิทยานิพนธ์”

    “ผมถึงจะพาคุณไปเที่ยวใกล้ๆไง ผมรู้ว่าชีวิตการเรียนคุณวุ่นวาย ผมก็เลยไม่อยากพาคุณไปไหนไกล เพราะรู้ว่าคุณคงไม่ชอบเดินทางนานๆแน่ เจียดเวลาสักนิดไม่ได้เลยเหรอซองมิน”

    “.....” เล่นทำหน้าอ้อนเป็นลูกหมาไซบีเรียนฮัสกี้แบบนี้ ผมก็ไปต่อไม่ถูกเลยน่ะสิ

    “เราจะไม่ได้เจอกันเกือบสองเดือนเชียวนะซองมิน”

    “แค่สองเดือนเอง มันไม่ได้นานขนาดนั้นหรอก”

    “ซองมิน” คยูฮยอนปั้นหน้าขรึม “คุณพูดได้ยังไงว่าสองเดือนมันไม่นานขนาดนั้น ตลอดฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ผมมีคุณแค่คนเดียว ชีวิตผมมีแต่ซองมิน ซองมิน ซองมิน ซองมินทุกวัน มีคุณทั้งวันทั้งคืน มีคุณอยู่ใกล้ๆจนจำกลิ่นคุณได้แล้ว รู้หมดว่าเวลาตื่นนอนคุณหาวกี่ครั้ง เวลากินข้าวคุณเคี้ยวกี่ทีแล้วค่อยกลืน” คยูฮยอนรัวคำพูดออกมาทีเดียว เขาเว้นวรรค และพูดต่อ “ผมเคยชินกับการมีคุณอยู่ แล้วจู่ๆชีวิตผมก็จะขาดคุณไปถึงสองเดือน คุณคิดว่าผมจะทนได้เหรอ เราทำอะไรพิเศษร่วมกันหน่อยไม่ได้เหรอ สักครั้งและสักอย่างก่อนที่เราจะไม่ได้เจอหน้ากันสองเดือน”

    “ย้ำบ่อยจริงนะ สองเดือนเนี่ย” ผมยิ้ม พลางยกมือขึ้นลูบแก้มเขาเบาๆ คยูฮยอนในตอนนี้กำลังโอดครวญเหมือนเด็กน้อย

    “แน่นอน ผมอยากให้คุณรู้ว่าสองเดือนมันนานสำหรับผม ชีวิตที่ไม่มีคุณ มันน่ากลัวนะรู้ไหม เวลาท้อ ผมจะไปเอากำลังใจมาจากใคร”

    “พี่สาวคุณไง อย่าลืมพี่สาวตัวเองสิคยูฮยอน”

    “มันไม่เหมือนกัน...”

    ผมประกบมือทั้งสองข้างไว้ข้างแก้มเขา “ยังไงเธอก็เป็นพี่สาวแท้ๆของคุณ ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับเธอ เพราะคุณอยู่กับผมตลอดเวลา แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณได้อยู่กับเธอ คุณจะได้กำลังใจจากเธอแน่นอน กำลังใจไม่จำเป็นต้องมาจากผมแค่คนเดียวหรอก เข้าใจไหม”

    “......” คราวนี้คยูฮยอนเงียบ

    “คุณต้องรักเธอให้มากๆรู้ไหม”

    คยูฮยอนถอนหายใจ “ผมรู้ ซองมิน ผมรู้ว่าเธอเป็นพี่สาวแท้ๆของผม ถ้าผมได้อยู่กับเธอ ความผูกพันของเราต้องกลับมาแน่นอน แต่มันคนละอย่างกัน พี่สาวก็คือพี่สาว คุณก็คือคุณ กำลังใจจากพี่สาวก็คือกำลังใจจากพี่สาว กำลังใจจากคุณก็คือกำลังใจจากคุณ มันไม่เหมือนกัน ไม่มีใครแทนใครได้ คุณแทนที่พี่สาวผมไม่ได้ พี่สาวผมก็แทนที่คุณไม่ได้เหมือนกัน”

    ดวงตาสีนิลของคยูฮยอนดูล้ำลึก

    “ผมขอร้อง ผมหมดคำพูดสวยหรูแล้วนะซองมิน ผมพูดได้แค่ว่าผมขอร้อง ไปเที่ยวกันนะซองมิน แค่คืนเดียวก็ยังดี สองคืนยิ่งดีใหญ่ ขอให้ผมได้นอน กอด คุณจนอิ่มใจก่อนผมจะไปกับพี่สาวได้ไหม” คยูฮยอนเน้นเสียงหนักที่คำว่า กอด

    “ทุกคืนเราก็นอนกอดกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”

    “มันไม่เหมือนกัน” คยูฮยอนขมวดคิ้ว

    “อย่ายึดติดกับสถานที่สิ กอดผมที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น”

    “ผมไม่ได้ยึดติดกับสถานที่ คุณเข้าใจคำว่าโรแมนติกไหมซองมิน ผมสารภาพก็ได้ ผมอยากไปทำอะไรโรแมนติกร่วมกับคุณก่อนที่เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ผมอยากถ่ายรูปคุณสักห้าพันรูป อยากนั่งกินอาหารอร่อยๆกับคุณ อยากนั่งจิบกาแฟมองพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน อยากหอมแก้มคุณ อยากจูบคุณ อยากให้เรานอนกอดกัน หลับไปพร้อมๆกัน ตื่นมาพร้อมกัน และคุณก็เป็นคนแรกที่ผมได้หอมแก้มหลังตื่นนอน”

    “......” คยูฮยอนรัวจนผมอ้าปากเถียงไม่ทัน

    “เข้าใจผมไหมซองมิน ผมระบายความอัดอั้นออกมาขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่รู้อีกเหรอว่าผมรักคุณขนาดไหน เราอาจจะได้อยู่ด้วยกันแค่เพียงฤดูใบไม้ผลิ แต่มันก็เป็นใบไม้ผลิที่มีความหมายกับผมมาก ผมบอกคุณไปล้านรอบแล้วใช่ไหม ว่าในกรุงโรมแห่งนี้ ผมมีคุณแค่คนเดียว”

    “......” ผมนอนนิ่งมองหน้าคยูฮยอน

    “ผมขอร้อง” คยูฮยอนเกลี่ยปลายนิ้วปาดผมหน้าม้าของผมออก “ผมไม่รู้ว่าก่อนจะสูญเสียความทรงจำ ผมเคยรักใครมาบ้าง แต่ในชีวิตใหม่ของผม คุณถือเป็นรักแรก”

    “......”

    “ผมอยากมีความทรงจำดีๆร่วมกับรักแรกของผม”

    ผมไล้ปลายนิ้วโป้งไปตามโหนกแก้มของคยูฮยอน “เดี๋ยวนี้พูดอะไรหวานๆเป็นแล้วเหรอ ปกติเห็นกวนประสาทผมตลอด” จากนั้นผมก็ตวัดแขนโอบรอบคอคนตรงหน้า และรั้งคยูฮยอนลงมาแตะริมฝีปากกัน ทุกครั้งที่ความอ่อนนุ่มของเขาบดเบียดลงบนริมฝีปากของผม ห้วงอารมณ์ประหลาดจะวิ่งแล่นไปทั่วร่าง ผมดูหนังมาเป็นร้อยๆเรื่อง แต่ตัวเองกลับไม่เคยมีประสบการณ์แบบในหนังเลยสักครั้ง

    เราผละจากกัน แต่ปลายจมูกโด่งของคยูฮยอนยังคงคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ คยูฮยอนทำให้ผมยิ้มได้ตั้งแต่เช้า ผมตัดสินใจถามเขา “แล้วคุณเล็งรีสอร์ทอะไรไว้บ้าง” ถามไปก็ยิ้มไป สองแขนก็ยังคล้องไว้รอบคอคนตัวสูง

    ชายในฝัน ของผมนิ่งอึ้งไปหลายวินาที

    “ผมไม่เคยไปเที่ยวแถวชานเมือง ตรงนั้นมีอะไรดีๆรึเปล่า”

    “ซองมิน...” เขาเรียกชื่อผม แต่ไม่พูดอะไรต่อ ลูกตาสีดำมองหน้าผมนิ่ง ราวกับไม่เชื่อหูตัวเองว่าในที่สุดผมก็ตอบตกลง

    “เราคงต้องรีบหารีสอร์ทกันหน่อยแล้วล่ะ เอาแบบถูกๆนะ ห้องเล็กก็ได้ไม่เป็นไร แต่ต้องมีวิวสวยๆให้คุณถ่ายรูป” ผมทาบนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากของเขา

    วันนั้นทั้งวันเราสองคนจึงง่วนอยู่กับการหารีสอร์ทแถบชานเมือง เรานั่งเบียดกันอยู่หน้าโน้ตบุค ผมลอบมองซีกหน้าของคยูฮยอน มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขามีความสุขขนาดไหน

     

    ·

     

    เราแพ็คกระเป๋าเดินทางกันคนละใบ จากนั้นก็ขึ้นรถบัสออกไปนอกเมือง คยูฮยอนแต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวขนานแท้ เขาสวมหมวก ใส่แว่นกันแดด เสื้อยืดของคยูฮยอนมีข้อความภาษาอิตาเลียนเขียนอยู่ ซึ่งแปลได้ว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” ใต้ข้อความนั้นมีลายสกรีนรูปโคลอสเซียม เขาสวมกางเกงสีกากี และรองเท้าผ้าใบสีดำ

    สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ... กล้องถ่ายรูปคู่ใจของเขา

    “คุณนี่...ทำตัวเหมือนเพิ่งลงจากสนามบินเลยเนอะ” ผมแซวเขา การแต่งตัวของผมดูไม่เหมือนนักท่องเที่ยวเลยเมื่อเทียบกับคยูฮยอน ผมสวมเสื้อยืดสีฟ้าไม่มีลาย กางเกงยีนส์เก่าๆตัวหนึ่ง รองเท้าผ้าใบสีน้ำตาล ไม่มีแว่นกันแดด ไม่มีหมวก มีเพียงเป้ใบยักษ์ที่สะพายอยู่บนหลัง

    ตอนอยู่บนรถบัส คยูฮยอนนั่งถ่ายรูปตลอดทาง เจออะไรน่ารักเข้าหน่อยก็กด แชะ แชะ แชะ พอเบื่อจากวิวข้างทาง เขาก็จะหันเลนส์กล้องมาทางผม และกดชัตเตอร์เก็บรูปผมไป

    แชะ

    แต่ละรูปที่ถ่าย เขาถ่ายผมตอนเผลอทั้งนั้น

    “ถามจริงๆนะคยูฮยอน ถ่ายรูปผมไปเยอะขนาดนี้ จะเอาผมไปรวมอยู่ในโฟโต้บุคของคุณเหรอ”

    คยูฮยอนลดกล้องลงจากระดับสายตา และยิ้มให้ผม “ก็ไม่แน่หรอก ผมอาจจะมีโฟโต้บุคชื่อซองมิน”

    เราเดินทางไปถึงรีสอร์ทตอนเที่ยงวันพอดี เราเช็คอินเข้าห้องพัก ด้วยความที่รีสอร์ทแห่งนี้เป็นรีสอร์ทเล็กๆบนเนินเขา พนักงานมีน้อย เราสองคนจึงต้องลากกระเป๋าไปที่บ้านพักกันเอง ความพิเศษของรีสอร์ทแห่งนี้ไม่ใช่ความหรูหราของบ้านพักหรือบริการที่ดีเยี่ยม แต่ความพิเศษของมันคือที่ตั้ง

    “คุณดูสิ มองจากมุมนี้เห็นไร่องุ่นทั้งไร่เลย โน่นๆ ตรงโน้นมีโรงไวน์ด้วยซองมิน” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องพัก คยูฮยอนก็ตรงดิ่งไปสำรวจวิวที่หน้าต่างเป็นอันดับแรก ผมได้ยินเสียงเขาเปิดม่านดัง ครืดดดด

    “งั้นวันนี้ตอนบ่ายๆ เราไปดูโรงไวน์กันไหม” ผมเสนอ

    คยูฮยอนหันมาเลิกคิ้ว “เราทำได้ด้วยเหรอ”

    ผมพยักหน้า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ผมเลือกพาคุณมารีสอร์ทนี้ก็เพราะโรงไวน์เขาเปิดให้เข้าชมนี่แหล่ะ แต่ต้องเสียค่าเข้าชมนะ คุณโอเครึเปล่า”

    “ก็...” คยูฮยอนไหวไหล่ “อุตส่าห์มาถึงแล้ว จะไม่เข้าชมก็เสียความตั้งใจของคุณหมดสิ”

    ก็จริง... ถ้าคยูฮยอนจะไม่เข้าไปดู ยังไงผมก็คงบังคับเขาให้เข้าไปเยี่ยมชมโรงไวน์ด้วยกันอยู่ดี

     

    ·

     

    เราเดินออกจากรีสอร์ทไปหาบาร์เล็กๆตามข้างทาง ก่อนจะทำกิจกรรมอะไร เราต้องหาอะไรใส่ท้องก่อน เมื่อเข้าไปในร้าน ผมก็สั่งปานิโน่มากินเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้เป็นปานิโน่ไส้ทูน่า ไม่ได้เป็นปานิโน่ไส้มอสซาเรลล่ากับมะเขือเทศแบบที่ผมชอบกินเป็นประจำ คยูฮยอนสั่งปานิโน่แบบเดียวกับผม

    “เมื่อไหร่จะเลิกกินอะไรเลียนแบบผมซะที” ผมถามเขา พลางกัดขนมปังชิ้นโตเข้าปาก

    “จะต้องให้พูดอีกกี่รอบเนี่ย ผมบอกคุณแล้วไง ในกรุงโรมนี่ ผมมีคุณแค่คนเดียว... เลิกถามได้แล้วว่าทำไมผมถึงชอบกินอะไรเลียนแบบคุณ” แล้วคยูฮยอนก็ยักคิ้วหนึ่งที

    “ถ้างั้นขอถามหน่อย ไอ้ที่คุณกินเหมือนๆผมเนี่ย คุณชอบเหมือนผมทุกอย่างเลยเหรอ”

    “ก็ไม่ได้ชอบไปหมดทุกอย่างหรอก แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่ผมชอบกินอะไรเหมือนๆคุณ มันเป็นเพราะผมอยากรู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ การกระทำของคนเราสื่อความคิดได้หมดทุกอย่างนะซองมิน แม้มันจะเป็นแค่เรื่องกินก็ตาม ผมอยากรู้ทุกอย่างที่เป็นคุณ ผมก็เลยทำตามคุณทุกอย่าง”

    “......”

    “หลักการคิดของผมมันง่ายๆแค่นี้แหล่ะ”

    “......”

    “ทุกอย่างเริ่มจาก ผมชอบคุณ... ผมก็เลยอยากเรียนรู้เรื่องคุณ มารู้ตัวอีกทีผมก็เลียนแบบคุณไปหมดทุกอย่างแล้ว”

    “......” คำตอบนี้ทำเอาผมแทบจะสำลักปานิโน่ คยูฮยอนสามารถพูดคำว่า ผมชอบคุณ กับ ผมรักคุณ ออกมาได้ง่ายๆ เหมือนเขาคิดยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ ไม่มีการรักษาภาพพจน์ให้ดูเป็นคนปากแข็ง

    “เขินล่ะสิ ระวังปานิโน่ติดคอนะครับ”

    เมื่อเราท้องอิ่ม เราสองคนก็มุ่งหน้าไปไร่องุ่น คยูฮยอนดูจะหลงใหลไร่องุ่นแห่งนี้มาก ตั้งแต่เข้ามาในอาณาเขตเถาว์องุ่น เขาก็รัวชัตเตอร์ไม่ยอมหยุด

    “พอได้มาเดินดูไร่องุ่นแบบนี้ ผมนึกถึงอะไรรู้ไหมซองมิน”

    “อะไร” ผมหันไปมองเขา

    “ผมอยากเล่นวิ่งไล่จับกับคุณในไร่องุ่น”

    อะไรของเขา วิ่งไล่จับกันในไร่องุ่น? “คุณดูหนังอินเดียมากไปรึเปล่า” ผมถาม

    “นี่ผมซีเรียสนะซองมิน ผมว่ามันต้องโรแมนติกมากเลย คุณลองนึกภาพสิ คุณวิ่งไปตามเนินดิน ส่วนผมก็ถือกล้องไล่ตามคุณ น่ารักดีออก คุณไม่อยากทำเหรอ แล้วพอผมวิ่งตามคุณทันนะ ผมก็จะกอดคุณ แล้วเราก็จะจูบกันท่ามกลางเถาว์องุ่น”

    “......” ผมไม่เคยนึกมาก่อนว่าคยูฮยอนจะเพ้อได้ขนาดนี้ การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นมุมเด็กๆของเขาหลายมุม

    เราเดินชมไร่องุ่นแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ปิดไว้ไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไป ผมกับคยูฮยอนจึงตรงเข้าไปที่โรงไวน์เลย นักท่องเที่ยวที่จะเข้าชมโรงไวน์รอบเดียวกับผมมีอยู่ไม่กี่คน ผมแอบฟังสำเนียงของเขา และคิดว่าคงเป็นนักท่องเที่ยวจากอังกฤษ เพราะสำเนียงมันบริทิชเหลือเกิน

    ตลอดทางที่เดินชมโรงไวน์ กลิ่นแอลกอฮอลล์ลอยคลุ้งเข้าจมูกตลอดเวลา มันไม่ได้ทำให้รู้สึกเมา แต่มันทำให้สมองโปร่งสบาย ผมไม่ได้ยินเสียงชัตเตอร์จากคยูฮยอนแล้ว เพราะภายในโรงไวน์ห้ามถ่ายรูป แต่ถึงเขาจะห้ามถ่ายรูป ผมก็เห็นคยูฮยอนเอามือจับกล้องตลอดเวลา ราวกับว่าถ้าเจ้าหน้าที่เผลอเมื่อไหร่ เขาจะยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ทันที

    เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็ออกจากโรงไวน์ เราสองคนมาโผล่ที่ร้านขายของที่ระลึก คยูฮยอนอยากซื้อไวน์มาก แต่พอเห็นราคาแล้วเขาก็ถอยกรูด “ราคาน่ากลัวมาก...” คยูฮยอนยืนหน้าเจื่อนอยู่ข้างๆผม ลูกตาสีดำจ้องผมราวกับขอความช่วยเหลือ

    “แน่นอน ไวน์ของแท้เลยนะ”

    “รอผมรวยก่อนนะ แล้วเราจะกลับมานั่งจิบไวน์ด้วยกันที่นี่” คยูฮยอนยิ้มกว้าง

    “ครับๆ ขอภาวนาให้คุณขายโฟโต้บุคให้ได้เยอะๆก็แล้วกัน”

     

    ·

     

    เราเดินเตร่อยู่แถวๆไร่องุ่นจนถึงเย็น คยูฮยอนน่าจะถ่ายรูปไปได้เกินร้อยรูปแล้ว เราเข้าไปนั่งพักในบาร์ สั่งเอสเปรสโซ่ถ้วยเล็กจิ๋วมาคนละถ้วย “ดูรูปกันดีกว่า” คยูฮยอนหยิบกล้องขึ้นมา และเรียกผมให้ย้ายไปนั่งฝั่งเดียวกับเขา เรานั่งชิดกันบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว พอชิดกันมากๆเข้า ผมก็เอนหัวซบไหล่คยูฮยอน

    “โห... เดี๋ยวนี้กล้าซบไหล่ในที่สาธารณะแล้วเหรอ” คยูฮยอนหันหน้ามาพูดกับผม

    เขาเริ่มเปิดรูปให้ผมดูทีละรูป ผมเริ่มสังเกตอะไรบางอย่าง คยูฮยอนไม่ค่อยถ่ายรูปวิวมุมกว้าง แต่เขาชอบถ่ายของชิ้นเล็กๆ ถ่ายรายละเอียดเล็กจิ๋วที่คนทั่วไปไม่ค่อยสังเกตเห็น เขาถ่ายรูปใบไม้ที่มีแมลงเต่าทองเกาะอยู่ เขาสายตาดีขนาดนี้เลยหรือ เขาเอาเวลาที่ไหนไปสังเกตแมลงพวกนี้

    รูปพวงองุ่นของคยูฮยอนมีหลายมุมมาก มีทั้งมุมเสย มุมข้างๆ เขาทำให้พวงองุ่นธรรมดาๆกลายเป็นงานศิลปะ

    “คุณน่าจะไปถ่ายรูปให้พวกร้านอาหารนะ คุณถ่ายรูปโฟกัสใกล้ๆแล้วสวยมาก” ผมเอ่ยชมเขา ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว  ตั้งแต่ตอนเขาถ่ายรูปถ้วยกาแฟกับปานิโน่ในบาร์

    “กลับเกาหลีไปคราวนี้ ผมอยากจะถ่ายรูปให้หนังสือรีวิวร้านอาหารเหมือนกัน”

    “เอาสิ” ผมเงยหน้ามองเขา และจู่ๆก็รู้สึกหวิววูบในใจ คยูฮยอนกลับเกาหลีไปคราวนี้ ผมไม่ได้กลับด้วย เขาจะเดินเตร่ไปถ่ายรูปคนเดียวรึเปล่า เขาจะเหงาไหม เวลาไม่มีผมเดินด้วย

    ผมคงเป็นคนเก็บสีหน้าไม่เก่งจริงๆ คยูฮยอนถึงได้ก้มหน้าลงพูดกับผม “กลับไปเกาหลีคราวนี้ ผมคงต้องลุยเดี่ยว ไม่มีคุณไปด้วยแล้วเหงาแย่เลย”

    “นั่นสิ คุณอย่าไปเอาเลนส์จ่อหน้าใครเข้าล่ะ”

    คยูฮยอนหัวเราะ “ผมไม่เอาเลนส์จ่อหน้าใครหรอก ผมเอาเลนส์จ่อหน้าซองมินคนเดียวเท่านั้นแหล่ะ ไม่ต้องห่วง นี่คุณหึงเหรอ”

    “ยังไม่ได้พูดเลยว่าหึง”

    แล้วเราสองคนก็นั่งดูรูปด้วยกันต่อ ในโรงไวน์เขาห้ามถ่ายรูปก็จริง แต่สุดท้ายคยูฮยอนก็อุตส่าห์ถ่ายมาได้หนึ่งรูป แหกกฎจนได้นะโจคยูฮยอน ก่อนออกจากร้านกาแฟ คยูฮยอนก็ถ่ายรูปถ้วยกาแฟเปล่าเอาไว้ด้วยอีกหนึ่งรูป คยูฮยอนยื่นกล้องให้ผมดู จุดโฟกัสของรูปอยู่ที่หยดกาแฟสีน้ำตาลที่ค้างอยู่ตรงขอบแก้ว

     

    ·

     

    เรากินมื้อเย็นด้วยกันในร้านพิซซ่า วันนี้เราสั่งพิซซ่ามาร์เกริต้ามาเหมือนเดิม เป็นหน้าพิซซ่าที่เรียบง่ายแต่อร่อยที่สุดในความคิดของเรา หลังกินพิซซ่ากันจนอิ่มท้อง ผมกับคยูฮยอนก็เดินย่อยกันบนถนนหน้าไร่องุ่น เราเดินกลับเข้ารีสอร์ทตอนสองทุ่มตรง

    “ออกไปนั่งเล่นที่ระเบียงกันไหม” คยูฮยอนเอ่ยชวนเมื่อเราเปิดประตูเข้ามาในห้อง

    “อาบน้ำก่อนดีกว่ามั้ง วันนี้เที่ยวมาทั้งวัน” ผมตอบ

    “เหรอ... เอางั้นก็ได้ครับ เรามาอาบน้ำด้วยกันเถอะ”

    “......” อะไรนะ ผมหูฝาดรึเปล่า

    “เรายังไม่เคยอาบน้ำด้วยกันเลยนะซองมิน คุณเห็นฝักบัวรึเปล่า ฝักบัวที่นี่กว้างมากเลย เราอาจจะต้องยืนเบียดกันเล็กน้อย” คนพูดยิ้มกรุ้มกริ่มไปตลอดการพูด

    แต่สุดท้าย พอผมยืนกรานว่า “ไม่เอา” คยูฮยอนก็ไม่เถียงอะไร การอาบน้ำด้วยกัน หมายถึงต้องยืนเบียดกันในสภาพเปล่าเปลือยไม่ใช่หรือ ผมกับคยูฮยอนยังไม่เคย เกินเลย ถึงขั้นนั้น ผมทำไม่ได้หรอก ถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่มันก็น่าอายเกินไป

    “งั้นคุณอาบก่อนแล้วกัน” คยูฮยอนเสียสละให้ผมอาบก่อน ผมเดินเข้าห้องน้ำพร้อมชุดนอน อาบน้ำเพียงแค่ไม่กี่นาทีผมก็เดินออกมา

    “เสร็จแล้วนะ คุณไปอาบได้เลย น้ำที่นี่แรงดีจัง” ผมพูดพลางขยี้ผมตัวเองด้วยผ้าขนหนู สองเท้าเดินไปใกล้ระเบียง ท้องฟ้าคืนนี้ใสมาก มีดวงจันทร์กลมโตด้วย แสงสีขาวนวลของดวงจันทร์โอบไร่องุ่นตรงหน้าไว้

    ผมได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิด คยูฮยอนคงเข้าห้องน้ำไปแล้ว สักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงฝักบัวดังตามมา จู่ๆเสียงน้ำไหลซ่าก็เริ่มทำให้จินตนาการผมเตลิดเปิดเปิง

    ผมพยายามสะบัดหัวขับไล่ความคิดประหลาดออกไป นี่ผมเป็นบ้าอะไรจู่ๆถึงได้นึกภาพคยูฮยอนตอนยืนอยู่ใต้ฝักบัว ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง และไดร์ผมให้แห้ง จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดเพลงฟัง อย่างน้อยเสียงเพลงก็คงช่วยกลบเสียงฝักบัวได้บ้าง ผมนั่งพิงหัวเตียง สองหูฟังเพลง สองมือเปิดหนังสืออ่านเล่นที่พกติดตัวมาด้วย

    เพียงแป๊บเดียวคยูฮยอนก็เดินออกมาจากห้องน้ำ วินาทีที่ประตูห้องน้ำเปิดออก ผมได้กลิ่นกีวี่ลอยคลุ้ง จริงๆแล้วมันคือกลิ่นสบู่ที่ผมใช้เป็นประจำ แต่กลิ่นกีวี่บนผิวกายของตัวเองกับกลิ่นกีวี่บนผิวกายของคยูฮยอน...มันให้ความรู้สึกคนละอย่างกัน

    เขาเดินไปที่หน้าโต๊ะกระจก และเริ่มเป่าผมด้วยไดร์ ทุกครั้งที่ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา คยูฮยอนจะมองผมผ่านกระจกเงาพอดี และทันทีที่สายตาเราประสานกัน คยูฮยอนจะกระตุกยิ้ม ในขณะที่ผมใจกระตุกวูบ

    คยูฮยอนเดินมานั่งที่เตียง และเปิดกล้องดูรูปที่ถ่ายมาทั้งหมดในวันนี้ ส่วนผมยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อไป ต่างฝ่ายต่างทำกิจกรรมของตัวเอง จนกระทั่งเราเริ่มง่วง ผมจึงลุกไปปิดสวิตช์ไฟ และเราสองคนก็ล้มตัวลงนอนข้างๆกัน

    ลมอุ่นกลางดึกพัดผ่านไร่องุ่น ผมได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีกันเกรียวกราว ผมนอนหันหน้าออกสู่ระเบียง ในขณะที่คยูฮยอนนอนหันหน้าเข้าหากำแพง

    “ซองมิน” ในความเงียบๆ จู่ๆเขาก็เรียกผม “อย่าโกรธผมนะ ถ้าผมจะพูดว่า... ผมอยากให้เรานอนหันหน้าเข้าหากัน”

    ผมนอนนิ่งประมวลผลคำพูดของเขาอยู่สักพัก ก็พลิกกายนอนหงาย จากนั้นจึงตะแคงข้างมาหาคยูฮยอน ร่างของเราสองคนห่างกันเล็กน้อย เหมือนเราจงใจเว้นระยะห่างเอาไว้ ลูกตาสีดำของคยูฮยอนส่องประกายอยู่ในความมืด

    “ซองมิน” เขาเรียกชื่อผมเป็นครั้งที่สอง ผมได้ยินเสียงเขากลืนน้ำลายด้วย “อย่าโกรธผมนะ ถ้าผมจะพูดว่า... ผมอยากนอนกอดคุณ”

    กอด... ทุกครั้งที่คำๆนี้หลุดออกมาจากปากคยูฮยอน ผมจะใจเต้นรัวทุกครั้ง จริงๆแล้วคยูฮยอนไม่จำเป็นต้องขออนุญาตผมเลยด้วยซ้ำ เพราะเราสองคนก็นอนกอดกันอยู่บ่อยๆ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้จู่ๆบรรยากาศมันก็กระอักกระอ่วนขึ้นมา

    ผมค่อยๆขยับกายไปตามฟูกที่นอน เขาเองก็ขยับเข้ามาใกล้ผม แขนยาวอ้าออกกว้าง เพื่อโอบผมเข้าไว้ในอ้อมกอดของเขา คยูฮยอนตัวอุ่น อุ่นมาก สบู่กลิ่นกีวี่ลอยคลุ้งอยู่บนผิวกายของเขา ผมหลับตาลง แต่แล้วคยูฮยอนก็พูดขึ้นอีกว่า

    “ซองมิน คุณอย่าโกรธผมนะ... คือผม... ขอจูบคุณได้ไหม”

    ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา “นี่ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ตอนนี้ยังไม่โกรธ แต่ถ้าพูดว่าจะทำแล้วไม่ทำน่ะโกรธแน่” คำพูดของผมคงทำให้คยูฮยอนไม่คิดยับยั้งชั่งใจอีกต่อไป เขาโน้มใบหน้าเข้ามา ไม่สิ... เขาโน้มทั้งกายเข้ามาหาผม สองแขนโอบรัดผมแน่น ริมฝีปากของเขาบดเบียดลงบนริมฝีปากของผม เราต่างขยับเนิบนาบกันอย่างอ่อนโยน จูบละมุนละไมทำให้สติผมหลุดลอย ผมตวัดแขนขึ้นโอบรอบเนินบ่าของคยูฮยอนตามสัญชาตญาณ

    ผมไล้ปลายนิ้วเข้าไปในลุ่มผมของเขา ผมของคยูฮยอนยังชื้นๆอยู่เลย ท่าทางเมื่อกี๊เขายังไดร์ผมไม่แห้งพอ

    เราผละจากกัน ลมหายใจร้อนของเขาเป่ารดใบหน้าผม ในความมืดเรามองตากัน และเราต่างก็รู้ว่าความโหยหามันล้นปริ่มอยู่ในใจเรามากขนาดไหน มารู้ตัวอีกทีริมฝีปากของผมก็ตกเป็นของเขารอบที่สอง ลิ้นร้อนรุกรานเข้ามากวาดต้อนทุกอย่างไปจากผม ผมเรียนรู้ที่จะจูบตอบเขา คยูฮยอนครางต่ำเมื่อผมตวัดปลายลิ้นไล่เล็มกลีบปากของเขา

    “ซ...ซองมิน...” เขาผละออกไปเพียงเพื่อจะเรียกชื่อผม แต่ไม่ถึงหนึ่งวินาทีหลังจากนั้น เราก็แนบชิดกันอีกครั้ง มืออุ่นของเขาวางทาบอยู่บนแก้มซ้ายของผม แต่มืออีกข้างหนึ่งกำลังเลื้อยลงต่ำ ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อมือใหญ่สอดเข้ามาใต้สาบเสื้อนอน

    สติสว่างวาบขึ้น ผมเอียงหน้าหลบคยูฮยอน อีกฝ่ายเองก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไป เขาถอนมือออกจากเอวของผม และพูดเสียงแหบพร่า “ขอโทษ”

    แต่ถึงอย่างนั้น ปลายจมูกโด่งก็ยังหายใจอยู่บนใบหน้าของผม ลูกตาสีดำไม่ละไปมองสิ่งอื่นเลย

    “ซองมิน คุณจะโกรธผมก็ได้...” คยูฮยอนเว้นวรรค กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ “แต่ผมอยากบอกคุณ... ว่า...”

    “......”

    “ผมอยากได้มากกว่านี้”

    “......”

    “และผมก็อยาก ให้ คุณ”

    “......” วินาทีที่สมองผมตีความคำพูดของเขาได้ ไอร้อนก็ลามเห่อไปทั่วหน้า มันลามขึ้นไปถึงหู ลามลงไปถึงคอ

    “ผมอนุญาตให้คุณโกรธ คุณคงคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่หื่นมากที่กล้ามาขอคุณตรงๆแบบนี้... แต่ผม... แต่ผม...” น้ำเสียงของคยูฮยอนทำให้ผมนึกถึงเด็กน้อยกำลังสารภาพผิด “ผมรักคุณมากนะอีซองมิน ผมไม่รู้ว่าในชีวิตเก่าของผม ผมเคยมีใครบ้าง แต่ตอนนี้ผมอยาก กอด คุณ ในแบบที่ไม่เคยได้กอดใครมาก่อน”

    “......” ผมได้แต่นอนนิ่ง ยี่สิบห้าปีที่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดแบบนี้กับผม เป็นครั้งแรกที่มีคน ขอ ผมแบบนี้ ความตื้นตันและความกลัวตลบคลุ้งในสมอง ผมมีความสุขทุกครั้งที่คยูฮยอนพูดว่าเขารักผม แต่ผมก็กลัว...

    กลัวว่าจะให้เขาไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ กลัวว่าจะให้คยูฮยอนไม่พอ

    เราต่างฝ่ายต่างเงียบ คยูฮยอนจ้องหน้าผม รอคอยคำอนุญาตจากปากผม เมื่อผมไม่ยอมตอบอะไรเขา คยูฮยอนก็หน้าเจื่อนลง “ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอกซองมิน ผมเข้าใจ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่อะไรที่จะมาขอกันง่ายๆ”

    “......” ผมไม่ได้อยากทำให้คยูฮยอนเสียใจ แต่ผม...

     

    กลัว

     

    กลัวการโดน กอด ในแบบที่ไม่เคยมีใครทำกับผมมาก่อน

    กลัวความเจ็บปวดที่พ่วงติดมากับมัน

    กลัวจะมอบความสุขให้คยูฮยอนไม่ได้อย่างที่เขาต้องการ

    “อย่าคิดมากเลยซองมิน ผมขอโทษ...” เขาถอนมือออกจากซีกแก้มของผม “เมื่อตะกี๊นี้ผมคุมสติตัวเองไม่อยู่” คยูฮยอนถอยห่างออกไป สุดท้ายเขาก็ลุกไปจากเตียง

    คยูฮยอนเดินออกไปที่ระเบียง ผมมองตามแผ่นหลังของเขา เขาเดินออกไปตัวเปล่า ไม่มีกล้องถ่ายรูป เขาแค่ยืนจ้องไร่องุ่นนิ่งๆ และเขาก็ไม่หันกลับมาหาผมอีกเลย

    จนกระทั่งผมผล็อยหลับไป

     

    ·













    To be continue      

     

     

     

    ยัง.............ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 5555

    *เต้นสวอนเลคในไร่องุ่น*

     

    ขอบคุณค่ะ :)

     

    -ปราง-

    11.12.2012




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×