ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF) The Breakfast Couple : Chanyeol x Baekhyun

    ลำดับตอนที่ #1 : At The Transition

    • อัปเดตล่าสุด 16 มิ.ย. 55


    .At the transition.










    “หกโมงนะมึง อย่าสายนะ”

    แล้วเจ้าของเสียงนั้นก็วางสาย ผมผละโทรศัพท์ออกจากหู และเก็บมันเข้ากระเป๋ากางเกง

    ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น ผมยังคงเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวชองเกชอน ผมปักหลักอยู่แถวนี้มาตั้งแต่บ่ายโมงแล้ว ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟ พร้อมกับโน้ตบุ๊คและกล้องถ่ายรูปคู่ใจ ผมกำลังเลือกภาพถ่ายของตัวเองเพื่อเอาไปจัดนิทรรศการภาพถ่ายในสัปดาห์หน้า

    ผมเรียนจบมาได้สองเดือนแล้ว ชีวิตผมสุขสบายดี ผมไม่ได้ทำงานประจำ ผมเป็นตากล้องอิสระ ผมรับถ่ายภาพทุกประเภท ตั้งแต่ถ่ายส่วนตัวไปจนถึงถ่ายภาพแต่งงานให้คู่รักระดับผู้บริหาร บางทีผมก็รับถ่ายภาพให้นิตยสาร ทั้งนิตยสารแฟชั่น นิตยสารท่องเที่ยว และหนังสือรีวิวอาหาร

    หกโมงเย็นวันนี้ ผมมีนัดกินข้าวกับกลุ่มเพื่อนสนิทสมัยเรียน คิม จงอิน ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าไปสาย เพราะเขาคงจำได้ ว่าสมัยเรียนผมเป็นเจ้าพ่อแห่งการไปสาย... ผมเข้าเรียนสาย เข้าประชุมสาย ไปสอบสายก็เคยมาแล้ว

    ห้าโมงแล้ว ผมมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงในการไปถึงสถานที่นัดหมาย... ผมเปิดข้อความในมือถือที่จงอินส่งมาให้ เพราะผมจำชื่อร้านอาหารไม่ได้

    “บลูมูน”

    นั่นคือชื่อร้านอาหารที่พวกเรานัดกัน

    จากตรงนี้ไปถึงบลูมูน ใช้เวลาแค่เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าผมขับรถไปตอนนี้ ผมก็ต้องไปถึงที่นั่นประมาณห้าโมงครึ่ง ถ้ารถไม่ติดจนเกินไปก็คงไปถึงประมาณห้าโมงยี่สิบ

    จะให้ผมไปถึงเร็วกว่าเพื่อนงั้นรึ? ไม่ใช่นิสัยผมเลยจริงๆ

    ผมกดโทรศัพท์หาจงอินอีกรอบ เขารับสายภายในไม่กี่วินาที “ว่าไง... มึงหลงทางเหรอ...” เขาถาม

    “เปล่า กูแค่สงสัยว่าจะมีใครมาบ้าง”

    “อ๋อ ก็มีกู มีมึง มีคยองซู เซฮุน แล้วก็แบคฮยอน...”

    “......”

    “เออ พี่จุนมยอนด้วยมั้ง คนนั้นเห็นว่าทำงานที่เดียวกับแบคฮยอน ก็เลยจะแวะมาด้วย”

    “......”

    “มีเท่านี้แหล่ะ แต่กูไม่รู้นะว่าจะมีใครพก คนนอก มาด้วยรึเปล่า”

    “คนนอก?”

    “แฟนไง... กูไม่รับประกันนะว่าจะมีใครเอาแฟนมาด้วยรึเปล่า...”

    “เหอะๆ มากินข้าวกับเพื่อนทั้งที ยังจะลากแฟนมาอีกเหรอ”

    “กูแค่พูดเผื่อไว้ อาจจะไม่มีใครเอาแฟนมาก็ได้...”

    เราคุยสัพเพเหระกันอีกสักพัก เราก็วางสาย... ผมวางโทรศัพท์มือถือลงบนเบาะข้างตัว พลางแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า วันนี้ผมไม่เห็นริ้วสีส้มอมม่วงแต้มอยู่ที่ขอบฟ้า ผมเห็นเพียงหมู่เมฆสีเทาทะมึน ที่กำลังเหยียดกายไปจนสุดเส้นขอบฟ้า

    อีกไม่นานฝนคงตก และรถก็คงจะติดแน่นอน

    ผมผละสายตาจากท้องฟ้า กลับมามองท้องถนนเบื้องหน้า หนุ่มสาวออฟฟิศกรูกันออกมาจากที่ทำงาน บ้างก็มุ่งหน้ากลับบ้าน บ้างก็มุ่งหน้าไปสังสรรค์กับเพื่อนต่อ บ้างก็แค่ลงมาหามื้อเย็นเพื่อลุยงานต่อตอนกลางคืน

    ชีวิตผมห่างไกลจากวงจรเหล่านี้ ผมทำงานไม่เป็นเวลา จนบางครั้งผมก็ลืมไปว่าวันนี้วันอะไร สำหรับผม เช้าวันจันทร์ไม่ค่อยแตกต่างจากเช้าวันเสาร์สักเท่าไหร่ ผมไม่เคยต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาต่อสู้กับกระแสการจราจร ในทางกลับกัน ผมก็ไม่เคยกลับถึงบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดินเลยสักวัน

    ชีวิตผมแตกต่างจากเพื่อนรุ่นเดียวกัน

    ผมตัดสินใจสตาร์ทรถ และเหยียบคันเร่งออกไปเบื้องหน้า ขณะนี้เป็นเวลาห้าโมงสิบนาที ผมมั่นใจว่าผมคงไปถึงร้านอาหารก่อนหกโมงแน่นอน เผลอๆผมจะไปถึงเป็นคนแรกด้วยซ้ำ

    คราวนี้แหล่ะ เพื่อนทุกคนจะต้องอึ้งว่า ปาร์ค ชานยอล ก็มาก่อนเวลาเป็นเหมือนกัน

     

     

    ผมเดินเข้าไปในร้านบลูมูน ที่นี่เป็นร้านอาหารกึ่งผับ ภายในร้านมืดสลัว เสียงดนตรีไม่ดังมากนัก

    ผมเดินไปบอกชื่อจงอินกับพนักงานหน้าร้าน เพราะเขาเป็นคนโทรมาจองโต๊ะไว้ให้

    พนักงานเดินนำผมไปยังโต๊ะดังกล่าว... ไม่น่าเชื่อ ผมมาถึงเป็นคนแรกจริงๆ... โต๊ะที่จงอินจองเอาไว้เป็นโต๊ะริมหน้าต่าง อยู่ห่างจากเวทีพอสมควร ผมกวาดตามองไปรอบร้าน ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงาน โชคดีที่วันนี้ไม่ใช่ ฟรายเดย์ ไนท์ ไม่อย่างนั้นร้านคงแออัดกว่านี้มาก

    ดนตรีในร้านเป็นโฟล์คซองนุ่มหู ผมมองไปที่เวที บนเวทีมีนักดนตรีแค่เพียงสองคนเท่านั้น ผู้ชายเล่นกีตาร์ ส่วนผู้หญิงจับไมค์ร้องเพลง

    พนักงานเดินมาถามผมว่าจะสั่งอาหารเลยหรือเปล่า ผมโบกมือปฏิเสธ และสั่งมาแค่น้ำเปล่า ผมอยากให้จงอินมาสั่งอาหารมากกว่า

    ผมนั่งกระดิกเท้า พลางทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง การจราจรเริ่มไม่อำนวยแล้ว ผมสงสัยจริงๆว่าหกโมงครึ่งจะมาถึงกันครบทุกคนรึเปล่า

    ผมนั่งนิ่งๆอยู่สักพัก ก็มีมือมาแตะไหล่ ผมหันไปมอง

    “มึงมาเร็วเป็นด้วยเหรอชานยอล” เจ้าของฝ่ามือพูดกับผม เสียงแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก คิม จงอิน ตัวตั้งตัวตีในการนัดเพื่อนกินมื้อเย็นครั้งนี้

    เขาลากเก้าอี้ข้างๆผมออก และนั่งลง เขามองผม “มึงผอมลงรึเปล่า”

    “ก็ไม่นี่...”

    “จริงเหรอ กูว่าแก้มมึงตอบลงว่ะ” จงอินทักผมแค่นั้น เขาโบกมือเรียกพนักงานเพื่อขอเมนู เขาสั่งอาหารมาประมาณสามอย่าง ถ้าใครอยากกินอะไรนอกเหนือไปจากนี้ ก็ค่อยมาสั่งเองทีหลัง

    เท่าที่ผมรู้ จงอินทำงานอยู่ในบริษัทขายทัวร์ ผมว่ามันเหมาะกับเขา เพราะจงอินเป็นคนเก็บอารมณ์เก่ง เขาไม่มีทางเหวี่ยงใส่ลูกค้าแน่นอน

    “มึงเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้มึงดังใหญ่?” เขาเริ่มเปิดประเด็น

    “ดัง? ใครดัง?”

    “มึงอ่ะแหล่ะชานยอล เห็นว่ามีลูกรัฐมนตรีมาจ้างมึงไปถ่ายรูปแต่งงานให้นี่...”

    “อ๋อ...”

    จงอินพูดถูก เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ลูกชายของรัฐมนตรีคนหนึ่งว่าจ้างผมไปถ่ายรูปแต่งงานให้เขา ผมถามเขาว่ารู้จักผมได้ยังไง เขาตอบว่าเขาเปิดไปเจอแกลเลอรี่ออนไลน์ของผม เขาถูกใจสไตล์การถ่ายรูปของผม เขาก็เลยเลือกผมไปเป็นตากล้องให้เขา

    “ท่าทางมึงมีความสุขดีนะ” เขาพูด พลางยิ้มให้ผม

    “เรื่อยๆ ไม่ได้สุขขนาดนั้นหรอก แต่ก็ไม่ได้ทุกข์อะไร” ผมตอบ พลางเอนหลังพิงพนัก และยกน้ำเปล่าขึ้นจิบ “มึงล่ะ ทำงานบริษัททัวร์เป็นไงบ้าง”

    “ก็โอเคนะ ลูกค้าเรื่องมากไปบ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาแหล่ะ”

    เราถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกัน ตั้งแต่เรื่องงาน ไปจนถึงเรื่องพ่อแม่ของพวกเรา และจู่ๆบทสนทนาก็ดำเนินมาถึงเรื่อง...

    “ชานยอล มึงรู้ไหม... แบคฮยอนไม่ได้คบกับพี่คนนั้นแล้วนะ”

    “......”

    จู่ๆ ชื่อของ บยอน แบคฮยอน ก็ลอยเข้ามาในบทสนทนา เมื่อตะกี๊ผมกับจงอินยังคุยกันเรื่องคุณพ่อของเขาป่วยอยู่เลย

    “ทำหน้าแบบนั้น...แสดงว่ามึงไม่รู้” จงอินกดยิ้มมุมปาก

    “......”

    “รู้สึกจะเลิกกันได้สองอาทิตย์แล้วมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ”

    “พี่คนนั้น... ที่ชื่อ คริส น่ะเหรอ”

    “เออ ที่เป็นคนจีนแล้วไปโตที่แคนาดาอ่ะ”

    “......” ผมยังคงเงียบ

    “มึงตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “เปล่า...” ปากผมบอกว่า เปล่า แต่ความจริงแล้วผมตกใจ... ตกใจมากเสียด้วย... “ทำไมถึงเลิกกันล่ะ กูเห็นเขาก็รักกันดี”

    “อันนี้กูก็มิอาจทราบได้ มึงต้องถามแบคฮยอนเองแล้วล่ะ กูเองก็ไม่ได้รู้เรื่องส่วนตัวของมันขนาดนั้น...” จงอินตอบ วินาทีนั้น ออเดิร์ฟที่เราสั่งไปมาเสิร์ฟพอดี “กินเลยมึง ไม่ต้องรอคนอื่นหรอก ไอ้พวกนั้นมาช้าชัวร์” จงอินว่าพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา

    “แล้วแบคฮยอนเป็นยังไงบ้าง” ผมถามต่อ ยังไม่ยอมให้ประเด็นนี้ตกไปง่ายๆ

    “กูเจอมันสัปดาห์ก่อน ก็โอเคดีนะ ยังไปทำงานได้ หน้าตาไม่ได้ทรุดโทรมแต่อย่างใด”

    “จริงเหรอ...”

    “มึงจะถามกูทำไม เดี๋ยวมึงก็ได้เจอมันแล้ว มึงถามมันเอาเองแล้วกัน” แล้วจงอินก็ยกยิ้มมุมปากให้ผมอีกรอบ เขาคีบชิ้นไก่ทอดเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ “มึงกังวลเหรอ...”

    ผมไม่ตอบ ผมทิ้งความเงียบไว้เป็นปริศนาให้จงอินคิดเล่น

    “นี่...” เขาพูดกับผมทั้งที่มีไก่อยู่เต็มปาก “แบคฮยอนเข้มแข็งกว่าที่มึงคิดไว้นะ มึงอย่าได้เครียดไป...” แล้วเขาก็ยื่นมือมาตบไหล่ผม

     

    ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ในที่สุดเพื่อนๆในกลุ่มก็เริ่มทยอยกันมา คยองซูกับเซฮุนมาพร้อมกัน ปิดท้ายด้วยแบคฮยอนกับพี่จุนมยอน

    “โห... ชานยอลมันมาตรงเวลาเหรอวะ!” คือคำทักทายประโยคแรกจากเซฮุน

    “เออ มันมาก่อนกูอีก” จงอินตอบ

    ผมมองหน้าเพื่อนแต่ละคน รวมถึงพี่จุนมยอน ผมยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวพวกเขาเท่าไหร่ น่าแปลกที่ไม่มีใครคิดเปลี่ยนทรงผมเลย ไม่มีใครที่ทำงานหนักจนทรุดโทรม แต่ก็ไม่มีใครดูดีกว่าเดิมมากนัก

    แน่นอน... เวลาเพิ่งผ่านไปแค่สองเดือนหลังเราเรียนจบ ผมคาดหวังให้เพื่อน เปลี่ยน มากไม่ได้หรอก

    ทุกคนนั่งประจำที่ จงอินนั่งข้างๆผมอยู่แล้ว ถัดจากจงอินไปเป็นเซฮุน ฝั่งตรงข้ามจงอินกับเซฮุนคือพี่จุนมยอนกับคยองซู ส่วนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมยังว่างอยู่ ดูเหมือนทุกคนจะเกี่ยงกันไม่นั่งตรงนั้น ราวกับว่าพวกเขารังเกียจผม

    “เฮ้ย แบคฮยอนนั่งเร็ว นั่งๆ” เป็นเสียงจงอินที่พูดขึ้น ผมตวัดตามองเขา เขาตวัดหางตากลับมา และยิ้มกรุ้มกริ่มให้ผม จงอินกำลังสั่งให้แบคฮยอนนั่งลงตรงหน้าผม

    ผมไม่รู้จะขอบคุณเขาดีหรือเปล่า เสี้ยวหนึ่งผมดีใจที่แบคฮยอนนั่งตรงนั้น แต่ลึกๆแล้วผมกลัว... ผมกลัวการต้องนั่งเผชิญหน้ากับเขา

    ต่างคนต่างสั่งอาหารเพิ่ม คยองซูดูท่าทางหิวโซ ผมได้ยินเขาบ่นว่างานเยอะจนไม่ได้กินมื้อกลางวัน เมื่อสั่งอาหารเสร็จ ทุกคนก็ยื่นเมนูส่งคืนพนักงาน จากนั้นการสนทนาก็เริ่มขึ้น แน่นอนว่าเรื่องแรกที่เราคุยกันคือ หน้าที่การงานของแต่ละคน

    เซฮุนได้ทำงานในบริษัทนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากเยอรมัน คยองซูทำงานในบริษัทคอมพิวเตอร์ พี่จุนมยอนกับแบคฮยอนทำงานที่เดียวกัน พวกเขาทำงานในสนามบินอินชอน พี่จุนมยอนทำมาได้หนึ่งปีแล้ว แบคฮยอนเพิ่งจะเริ่มงาน ความจริงตอนนี้เขาอยู่ในช่วงเทรนนิ่งคอร์สอยู่

    ผมไม่แน่ใจว่าตำแหน่งที่แบคฮยอนทำมันเรียกว่าอะไร หน่วยงานของเขาชื่อยาวจนผมจำไม่ได้ ผมรู้แค่ว่าเขาทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมน่านฟ้า เขาเล่าให้ทุกคนฟังว่า เขาต้องเรียนขับเครื่องบินด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ทะยานขึ้นฟ้าจริงๆหรอก เขาแค่เรียนเพื่อเป็นความรู้พื้นฐานเท่านั้น

    ผมตั้งใจฟังคำพูดของแบคฮยอน... ผมรู้ดีว่าผมตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากปากเขามากกว่าใครๆ...

    ไม่มีใครถามเรื่องความรักของแบคฮยอน จงอินที่รู้เรื่องนี้เป็นคนแรกก็ไม่กล้าถาม ผมอยากรู้ก็จริง แต่จะให้ผมเริ่มยังไงล่ะ

    แบคฮยอน เลิกกับพี่คริสแล้วเหรอ...

    แบคฮยอน ทำไมถึงได้เลิกกับพี่เขาล่ะ...

    ถ้าผมถามอย่างนี้กลางวงสนทนา ทุกคนคงเงียบกริบแน่ๆ

    ผมปล่อยให้ความสงสัยของตัวเองลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ผมฟังบทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ผมกลายเป็นคนที่เงียบที่สุดบนโต๊ะอาหาร

     

     

    สิ่งหนึ่งที่ผมปฏิบัติต่อแบคฮยอนพิเศษกว่าคนอื่น คือ ผมไม่เคยพูดจาหยาบคายกับเขา

    บยอน แบคฮยอน มีอะไรบางอย่างที่น่ายำเกรง เราเกิดปีเดียวกัน เขาเกิดต้นปี ผมเกิดปลายปี เขาแก่กว่าผมประมาณเจ็ดแปดเดือน แต่บางครั้ง ผมรู้สึกเหมือนเขาแก่กว่าผมประมาณเจ็ดแปดปี

    หลังมื้อเย็นสิ้นสุดลง คยองซูขอตัวกลับเป็นคนแรก เพราะเขาอดนอนมาแล้วหลายคืน ก็เลยรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย อยากจะรีบกลับไปพัก คนต่อมาที่ขอตัวกลับคือเซฮุน จากนั้นก็เป็นพี่จุนมยอน

    โต๊ะอาหารเหลือเพียงสามคนเท่านั้น คือ จงอิน แบคฮยอน และผม

    ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มครึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าพวกเรากินมื้อเย็นกันนานขนาดนี้

    “เช็คบิลล์เลยแล้วกัน” จงอินเอ่ย เขายกมือขึ้นเรียกพนักงาน เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อย เราสามคนก็เดินออกจากร้าน “สองคนนี้จะกลับกันเลยรึเปล่า” จงอินที่เดินนำอยู่ หันมาถามผมกับแบคฮยอน

    แต่แล้ว... เราสองคนกลับไม่มีใครตอบคำถามของจงอิน

    “เฮ้ย! ถามอ่ะตอบดิ! จะกลับกันเลยไหมวะ!” จงอินขมวดคิ้วมุ่น

    “ยัง... ว่าจะไปเดินเล่นต่อน่ะ” เป็นแบคฮยอนที่ตอบคำถามนั้นเป็นคนแรก

    “แล้วมึงอ่ะชานยอล มึงจะกลับเลยป่ะ”

    “เอ่อ... ก็...”

    “หรือมึงจะไปเดินเล่นกับหมอนี่?” จู่ๆจงอินก็โพล่งขึ้น เขาพยักเพยิดหน้าไปทางแบคฮยอน แต่สายตาของเขายังคงมองผม

    “ก็...”

    ขณะที่ผมมัวแต่อ้ำอึ้ง จงอินก็สรุปความให้ “พอๆ ชานยอล ไหนๆมึงก็มีรถ ฝากมึงขับรถไปส่งแบคฮยอนหน่อยแล้วกัน... อ้อ จะไปเดินเล่นเป็นเพื่อนมันก็ได้นะ เห็นพวกมึงไม่ได้เจอกันนาน น่าจะคิดถึงกัน”

    คำพูดของจงอินทำให้ริมฝีปากผมหนักอึ้ง ผมไปต่อไม่ถูกเลยจริงๆ ผมมองหน้าเขา ตาของจงอินเป็นประกายวิบวับ เขามองหน้าผม จากนั้นก็เบนสายตาไปหาแบคฮยอน “แบคฮยอน มึงให้มันขับรถไปให้แล้วกันนะ วันนี้กูเพลียๆว่ะ”

    เพลีย... จงอินบอกว่าเพลีย... เพลียแล้วเป็นตัวตั้งตัวตีในการนัดเพื่อนออกมากินข้าวเนี่ยนะ

    “พวกมึงโชคดีนะ กูขอลา” แล้วเขาก็โบกมือลาผมสองคน ผมมองตามแผ่นหลังของจงอิน ไปจนกระทั่งร่างนั้นเลี้ยวเข้าไปในที่จอดรถหลังร้าน

    ระลอกความเงียบโถมทับเราทั้งคู่

    ผมค่อยๆหันหน้าไปมองเพื่อนตัวเล็ก แบคฮยอนเคยตัวเล็กยังไง ตอนนี้เขาก็ยังตัวเล็กอยู่อย่างนั้น

    “อยากไปเดินเล่นที่ไหนเหรอ” ผมเริ่มเปิดบทสนทนา เวลาคุยกับแบคฮยอน ผมต้องปรับน้ำเสียงให้สุภาพขึ้น นอกจากแบคฮยอนจะมีความน่าเกรงขามแล้ว เขายังมีความ เปราะบาง อะไรบางอย่าง ที่ทำให้ผมไม่กล้าพูดจากระโชกโฮกฮากกับเขา

    “วันนี้ แถวๆฮงแดมีคอนเสิร์ต เพื่อนกูเล่นน่ะ ว่าจะไปดูเพื่อนซักหน่อย”

    “อ้อ...”

    “มึงไม่ต้องขับรถไปส่งหรอก ลำบากเปล่าๆ” คนตัวเล็กคลี่ยิ้ม “ไม่รู้รถยังติดอยู่รึเปล่า กูไม่อยากผลาญน้ำมันรถมึงเล่นน่ะ”

    ริมฝีปากเขากำลังยิ้ม แต่นัยน์ตามันตรงกันข้าม แบคฮยอนเป็นคนตาตี่ เวลาเขายิ้มที ตาเขาจะเหลือเพียงขีดเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังเห็นความว้าเหว่ซุกซ่อนอยู่หลังเปลือกตาของเขา

    “ไม่ผลาญน้ำมันหรอก กูอยากไปเหมือนกัน ไม่ได้ไปแถวนั้นนานแล้ว”

    แบคฮยอนทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มให้ผม ผมเดินนำเขาไปยังรถตัวเอง ผมจอดเลยจากร้านอาหารไปเล็กน้อย

     

    วินาทีแรกที่ผมเหยียบคันเร่งออกรถไปเบื้องหน้า แบคฮยอนก็ยื่นมือไปเปิดวิทยุ เสียงดีเจกำลังพูดคุยกับผู้ฟังทางบ้านพอดี

    “เอ่อ... ขอโทษ กูถือวิสาสะเปิดวิทยุมึงเฉยเลย” เขายิ้มแห้งๆเมื่อเงยหน้าขึ้นเจอสายตาของผม ผมว่าผมก็ไม่ได้ทำหน้าดุใส่เขานะ ทำไมแบคฮยอนต้องทำหน้ารู้สึกผิดแบบนั้น

    เมื่อผู้ฟังทางบ้านวางสาย ดีเจก็เริ่มเปิดเพลง

     

    "I wanna know you more

    When you call me an angel

    When you closely look into my eyes"

     

    ขับรถไปได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร แบคฮยอนก็นั่งเงียบเสียแล้ว

    จะบอกว่ามันกระอักกระอ่วนก็ไม่ใช่ อึดอัดก็ไม่เชิง เราแค่นั่งข้างๆกัน แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน มันเป็นความเงียบที่ผมไม่คิดจะทำลาย เพราะความเงียบระหว่างผมกับแบคฮยอนมักมาพร้อมความอบอุ่น เสียงเพลงดังคลอหูเราสองคน เสียงหวานของยุนฮาดังกลบเสียงความวุ่นวายนอกรถ ไม่ว่าใครจะบีบแตรดังแค่ไหน หรือใครจะตะโกนเรียกกันข้ามฟากถนน ผมก็ได้ยินแต่เสียงเพลง

    “กูเลิกกับพี่คริสแล้วนะ”

    ในความเงียบ จู่ๆแบคฮยอนก็เปิดประเด็นนี้ ตาผมยังคงมองตรง สองมือยังคงกำพวงมาลัยแน่น “จงอินบอกกูแล้ว...”

    “อือ จงอินรู้เป็นคนแรกน่ะ”

    ผมรู้สึกว่าแบคฮยอนกำลังมองเสี้ยวหน้าผม แต่ผมกลับไม่กล้าหันไปมองเขา ผมกลัวว่าหันไปแล้วจะไม่เห็นรอยยิ้มของเขา

    “แล้วตอนนี้...พี่เขากลับแคนาดาไปแล้วเหรอ”

    “ใช่ เขาไปเรียนต่อ อีกอย่างนะ ครอบครัวเขาก็อยู่ที่นั่นด้วย” เสียงของแบคฮยอนเบาหวิว

    “เขาไปเรียนต่อด้านอะไร”

    “เรียนด้านธรณีวิทยาน่ะ”

    “อ้อ...” ผมมักจะส่งเสียง อ้อ เมื่อไม่รู้จะแสดงความเห็นอะไร

    แบคฮยอนเงียบไปอีกครั้ง ผมตวัดหางตามองเขา ผมเห็นเขากำลังทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เขานั่งกอดกระเป๋าตัวเองไว้

    “ไม่สงสัยเลยเหรอว่าเลิกกันทำไม” เสียงของแบคฮยอนดังแทรกความเงียบ ขณะนั้นผมขับมาถึงสี่แยกไฟแดงพอดี ผมเหยียบเบรก และหันไปมองแบคฮยอน เขาคลี่ยิ้มบางๆประดับใบหน้า

    “สงสัย... แต่กลัวถามแล้วมึงจะนั่งดราม่า”

    แบคฮยอนหลุดเสียงหัวเราะ “กูดูเศร้าขนาดนั้นเลยเหรอ”

    “ก็ไม่ได้เศร้าขนาดนั้นหรอก... มึงดู...”

    “......”

    “...ดูเหงามากกว่า”

    “......”

    “กูไม่ได้บังคับให้มึงเล่าหรอกนะ ถึงแม้ความจริงกูจะอยากรู้ก็ตาม” ผมหันไปยิ้มให้เขา สัญญาณไฟจราจรเป็นสีเขียวพอดี ผมเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนไปเบื้องหน้า แล้วจู่ๆฝนก็ลงเม็ด...

    ผมเกือบลืมไปแล้ว ว่าเมื่อตอนเย็นผมเห็นเมฆฝนนอนแผ่อยู่เต็มผืนฟ้า

    “อ้าว...” แบคฮยอนร้องขึ้นเบาๆ เขาจิ๊ปากเหมือนเด็กถูกขัดใจ “ไปดูคอนเสิร์ตไม่ได้แล้วอ่ะดิ!

    ผมหันมองซีกหน้าเขา แบคฮยอนกำลังพยายามแหงนหน้ามองฟ้า แต่ผมรู้ว่าเขาคงเห็นอะไรได้ไม่มากเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ ฝนเม็ดหนานับร้อยเม็ดกำลังร่วงกระทบกระจกหน้าของผม แถมที่ปัดน้ำฝนยังส่ายไปส่ายมาอีกต่างหาก... คิดว่าแบคฮยอนจะเห็นอะไรได้บ้างล่ะ

    “ว้า... งี้เราจะไปทำอะไรกันดีล่ะ” เขาเริ่มหากิจกรรมอย่างอื่นทำแทนการไปดูคอนเสิร์ตของเพื่อนเขา “ชานยอล มึงช่วยคิดหน่อยสิ”

    สุดท้าย... แบคฮยอนก็ไม่ยอมบอกสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเลิกกับพี่คนนั้น

    “พรุ่งนี้กูไม่มีเทรนนิ่งคอร์ส กูยังไม่อยากกลับบ้าน กลับไปก็อยู่คนเดียว ทุกคนที่บ้านกูไปต่างประเทศกันหมด” เขาบอกผม

    แบคฮยอนพูดกับผมด้วยโทนเสียงปกติ แต่ผมรู้สึกว่าเขา...กำลังเคว้งคว้าง ไร้ที่พึ่ง เขาจึงพยายามเกาะผมไว้ เขาพยายามประวิงเวลาที่จะได้อยู่กับใครซักคนให้ได้นานที่สุด

    “ไปนั่งเล่นที่คอนโดกูไหม” ผมเสนอ... ทันทีที่พูดจบประโยค ผมก็แทบไม่อยากเชื่อว่านั่นคือเสียงตัวเอง ผมกำลังชวนแบคฮยอนกลับคอนโดด้วยกัน

    แบคฮยอนนิ่งไปหลายวินาที “...ไปได้เหรอ”

    “ถ้าไปไม่ได้ แล้วกูจะชวนไหมล่ะ” ผมยิ้ม “ก็มึงบอกว่ายังไม่อยากรีบกลับบ้านไม่ใช่เหรอ กลับไปก็เหงา... งั้นมึงไปช่วยกูเลือกรูปหน่อยสิ สัปดาห์หน้ากูต้องเอาผลงานตัวเองไปจัดนิทรรศการ กูยังเลือกได้ไม่กี่รูปเอง”

    “นิทรรศการอะไร...” แบคฮยอนถาม

    “นิทรรศการภาพถ่าย”

    “รูปถ่ายมึงได้จัดนิทรรศการเลยเหรอ” เขาทำตาโต ไม่บ่อยนักที่ผมจะได้เห็นแบคฮยอนพยายามทำตาโต

    ผมพยักหน้า “มึงเป็นคนมีรสนิยมไม่ใช่เหรอ มาช่วยกูเลือกก็ดีนะ กูจะเชื่อสายตามึง”

    คนตัวเล็กค่อยๆคลี่ยิ้ม “เอาสิ งั้นไปคอนโดมึงดีกว่า”

     

     

    จนแล้วจนรอด ผมก็ยังไม่รู้สาเหตุว่าทำไมแบคฮยอนกับพี่คนนั้นถึงเลิกกัน...

     

    “มึงคิดว่า... พี่เขาจะรักกูจริงรึเปล่า ถ้ากูต้องคบกับเขา กูจะดูแลเขาได้รึเปล่า”

     

    นั่นคือประโยคที่แบคฮยอนถามผม ในวันแรกที่เขาตกลงปลงใจคบกับพี่คนนั้น

    ผมกำลังจะอ้าปากตอบคำถามของเขา แต่ก่อนที่ผมจะได้เปล่งเสียง รถเก๋งสีบรอนซ์คันหนึ่งก็จอดเทียบฟุตบาท แบคฮยอนรีบหันไปมอง จากนั้น เพื่อนตัวเล็กก็คว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย เขาบอกลาผม พร้อมโบกมือไหวๆ “ไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้นะชานยอล” แบคฮยอนบอกผมแบบนั้น ก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กไปยังรถเก๋งสีบรอนซ์

    ผมรู้ว่ารถคนนั้นเป็นของใคร โดยไม่ต้องเห็นหน้าบุคคลผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัย

     

    ผมเปิดประตูเข้าไปในคอนโด เปิดไฟ เปิดเครื่องปรับอากาศ “เข้ามาเลย จะนั่งเล่น นอนเล่นตรงไหนก็เชิญ...” ผมหลีกทางให้แบคฮยอนเดินเข้ามา

    “ห้องกว้างกว่าที่คิดแฮะ” แบคฮยอนพูดพลางเดินลึกเข้าไปในห้อง เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาริมหน้าต่าง ตาคู่เรียวผันมองออกไปข้างนอก ห้องของผมอยู่บนชั้นยี่สิบ ทิวทัศน์เบื้องล่างพร่ามัวไปด้วยม่านน้ำฝน แต่แสงไฟตามท้องถนนและทางด่วนก็ยังสุกสว่างอยู่ “ห้องมึงอยู่สูงเหมือนกันนะเนี่ย” เขานั่งลงได้ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็ลุกขึ้นยืนอีกรอบ แบคฮยอนเดินไปเกาะหน้าต่างกระจก “...เห็นแม่น้ำชัดแจ๋วเลย สวยอ่ะ”

    “มึงอยากดื่มอะไรไหม” ผมถาม

    แบคฮยอนหันมามองผม เขาขมวดคิ้วหลวมๆ “นี่...มึงถามอย่างกับว่ากูเป็นแขกแปลกหน้างั้นแหล่ะ”

    “อ้าว นี่กูหวังดีนะเนี่ย เผื่อมึงจะหิวน้ำไง... กาแฟกูก็มีนะ มึงอยากกินกาแฟรึเปล่า”

    ผมจำได้... สมัยเรียน แบคฮยอนชอบชงกาแฟกินตอนดึกๆ ผมเคยไปค้างบ้านเขาครั้งหนึ่ง ตอนเราติวหนังสือสอบด้วยกัน ขณะที่ผมกำลังนั่งเนิร์ดอยู่ แบคฮยอนก็ลุกไปชงกาแฟตอนห้าทุ่ม

    ผมเคยถามเขา “กินกาแฟเวลานี้ เดี๋ยวมึงก็ตาค้างหรอก”

    แบคฮยอนส่ายหน้า และตอบผม “ไม่ค้างหรอก  คาเฟอีนทำอะไรกูไม่ได้ กูกินกาแฟเยอะแค่ไหนก็หลับสนิท ไม่ต้องห่วง...”

    ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่แบคฮยอนพูดจริงๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่แบคฮยอนซดกาแฟถ้วยนั้นจนหมด เขาก็ฟุบหลับไปกับโต๊ะ ผมเห็นเขาน้ำลายยืดใส่หนังสือเรียนด้วย

    “งั้นกูเอากาแฟแล้วกัน” แบคฮยอนตอบ

    “ได้... แต่กูไม่รู้ว่ากาแฟของกูจะถูกปากมึงรึเปล่านะ”

    “ชงมาเถอะ กูกินได้หมดน่ะแหล่ะ”

     

    ผมเดินเข้าไปในครัว ห้องครัวของผมเล็กนิดเดียว ผมเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อน หยิบถ้วยออกมาสองใบ ถ้วยใบหนึ่งสีขาว อีกใบหนึ่งสีดำ บนถ้วยสีดำมีประโยคภาษาอังกฤษเขียนว่า

     

    "A friend knows the song in my heart and sings it to me when my memory fails." (Donna Roberts)

    (เพื่อนแท้รู้จักเพลงโปรดของเรา และร้องให้เราฟังได้เมื่อเราลืมเพลงนั้น)

     

    ผมยกถ้วยสีดำขึ้นมา อ่านประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา ผมยิ้มกับตัวเอง และวางถ้วยสีดำลง ผมฉีกกาแฟกึ่งสำเร็จรูปสองซองลงในถ้วยทั้งสองใบ ผมยืนรอจนกระทั่งน้ำเดือด ผมก็กดน้ำร้อนลงไป ของเหลวสีน้ำตาลอ่อนส่งกลิ่นหอมคลุ้งเข้าจมูกผม

    ผมถอดปลั๊กกระติกน้ำร้อน และเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมถ้วยทั้งสอง ถ้วยสีดำสำหรับผม ถ้วยสีขาวสำหรับแบคฮยอน

    “กาแฟได้แล้ว” ผมบอกเขา

    ตอนที่ผมถือถ้วยกาแฟเข้าไป แบคฮยอนกำลังก้มมองอะไรบางอย่างบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ของผม ผมขยับเท้าเข้าไปใกล้เขา และวางถ้วยกาแฟทั้งสองลงข้างๆจอมอนิเตอร์

    ผมแอบมองว่าเขากำลังดูอะไรอยู่...

    แบคฮยอนเงยหน้าขึ้น เขายิ้มให้ผม “โพสท์อิทเนี่ย ยังใช้ไม่หมดอีกเหรอ” เขาพูดพลางหยิบกล่องโพสท์อิทขึ้นมา

    โพสท์อิทกล่องนั้น...คือสิ่งที่แบคฮยอนซื้อให้ผมเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว มันคือโพสท์อิทสีครีม รูปทรงเหมือนหัวสุนัข ตอนผมเห็นมันครั้งแรก ผมถามเขาว่าทำไมถึงซื้อสิ่งนี้ให้ผม เขาตอบผมว่า...

    “ก็มึงขี้ลืมอ่ะ... เวลามึงมีนัดกับใคร มึงรีบเขียนใส่โพสท์อิทเลยนะ แล้วมึงก็แปะบนเลนส์กล้องถ่ายรูปมึงซะ มึงจะได้ไม่ลืม”

    แน่นอนว่าผมไม่ได้แปะโพสท์อิทลงบนเลนส์กล้องถ่ายรูปจริง มันเป็นแค่มุขที่แบคฮยอนชอบใช้กับผมบ่อยๆ เพราะบางที ผมก็ติดกล้องถ่ายรูปยิ่งกว่าติดเพื่อนเสียอีก

    เขาวางกล่องโพสท์อิทลง ผมยื่นถ้วยกาแฟสีขาวให้เขา และยกถ้วยกาแฟสีดำของตัวเองขึ้นจิบ

    “ชานยอล...”

    ผมจิบกาแฟไปได้แค่อึกเดียว แบคฮยอนก็เรียกผม

    “ถ้วยกาแฟ...” ตาเรียวเล็กของแบคฮยอนจับจ้องถ้วยกาแฟในมือผม ผมผละขอบถ้วยสีดำออกจากปาก ผมมองถ้วยกาแฟสลับกับใบหน้าของเพื่อนรัก ริมฝีปากของแบคฮยอนกำลังยิ้ม “ดีใจนะเนี่ย...นึกว่าจะไม่ใช้ซะแล้ว”

    “......”

    ความจริงแล้วถ้วยกาแฟสีดำถ้วยนี้ ก็เป็นของขวัญจากแบคฮยอนเหมือนกัน เขาซื้อให้ผมเป็นของขวัญปีใหม่เมื่อปีที่แล้ว

    “เอ๊ะ แล้วนี่...” แบคฮยอนยกถ้วยกาแฟสีขาวในมือตัวเองขึ้นมาดูบ้าง บนถ้วยกาแฟสีขาว ก็มีข้อความภาษาอังกฤษเขียนอยู่เหมือนกัน

     

    "The language of friendship is not words but meanings." (Henry David Thoreau)

    (ภาษาของมิตรภาพไม่ใช่การใช้ถ้อยคำ หากแต่เป็นความหมายของมัน)

     

    รูปแบบตัวอักษรบนถ้วยสีขาว เป็นแบบเดียวกับตัวอักษรบนถ้วยสีดำเป๊ะ... สำหรับถ้วยนี้ แบคฮยอนไม่ได้ซื้อให้ผม แต่ผมไปซื้อมาเพิ่มเองหลังจากที่เขาซื้อถ้วยสีดำให้ ผมสืบรู้มาว่าแบคฮยอนซื้อถ้วยนี้มาจากร้านแถวฮงแด ผมก็เลยตามไปซื้อบ้าง ผมชอบ คำพูด ว่าด้วยเรื่องมิตรภาพที่เขียนอยู่บนถ้วย

    ตัวอักษรเป็นสีขาวบนถ้วยสีดำ... และตัวอักษรเป็นสีดำบนถ้วยสีขาว...

    “ชอบมากเลยรึไง ถึงขั้นต้องไปซื้อมาเพิ่ม?”

    ผมยิ้ม “มันน่ารักดีออก...”

    แบคฮยอนไม่พูดอะไรต่อ เขาเอาแต่อ่านข้อความบนถ้วยสีขาวซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเขาก็เดินไปจับจองที่นั่งบนโซฟาริมหน้าต่าง เขาวางถ้วยกาแฟลงบนตัก “...อยากกลับไปเรียนหนังสือจัง” แบคฮยอนพูดขึ้นลอยๆ

    “อารมณ์ไหนอีกเนี่ย ตอนเรียนมึงก็บ่นว่าอยากเรียนจบ...”

    คนตัวเล็กยู่หน้า “มึงลองมาทำงานแบบกูสิ งานมึงมันสบายนี่”

    “งานหนักเหรอ”

    “ก็ไม่ได้หนักขนาดนั้น แต่กูไม่ชอบสังคมในนั้นเท่าไหร่”

    “เห็นพูดแบบนี้เหมือนกันหมดทุกคนเลย” ผมนั่งลงข้างๆเขา ฟูกโซฟาส่งเสียงยวบยาบ ผมวางถ้วยกาแฟสีดำลงบนตัก แบบเดียวกับที่แบคฮยอนวางถ้วยสีขาว

    “มึงโชคดีนะที่เป็นคนมีความสามารถ” แบคฮยอนหันมามองหน้าผมตรงๆ “กูอิจฉาชีวิตมึงมากเลยรู้ไหม จงอินเล่าให้กูฟังหลายเรื่อง”

    “หึ... จงอินนี่รู้เรื่องทุกคนเลยนะ”

    “แหงล่ะ ก็เพราะเป็นคนอย่างจงอินไง เจ้าพ่อโซเชียลเน็ตเวิร์คแบบนั้น ไม่มีพลาดหรอก” แล้วแบคฮยอนก็ยกกาแฟขึ้นจิบ “มึงไม่สงสัยแล้วเหรอว่าทำไมกูเลิกกับพี่เขา...”

    แบคฮยอนเปลี่ยนประเด็นเร็วเสียจนผมแทบจะสำลักกาแฟ

    “ยังสงสัยอยู่ แต่เมื่อกี๊มึงไม่ยอมตอบ กูก็เลยไม่อยากซักมาก” ผมพูด

    แบคฮยอนนิ่งไปพักหนึ่ง เขาแหงนหน้ามองเพดานห้อง ตำแหน่งที่เขานั่งตรงกับตำแหน่งของไฟดิมไลท์ดวงหนึ่งพอดี “...รู้ไหม ใครเป็นฝ่ายบอกเลิก?”

    “ใคร? พี่เขาน่ะสิ...”

    “ผิด... กูเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาเอง”

    “......”

    “กูเป็นคนเริ่มเอง...”

    “......” ผมรู้สึกว่าเสียงของแบคฮยอนช่างเบาหวิว คำตอบของเขาอยู่เหนือความคาดหมายของผม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยอมรับว่า...ผมแอบดีใจนิดๆ ที่รู้ว่าคนบอกเลิกคือแบคฮยอน ไม่ใช่พี่คริส

    แบคฮยอนยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง แล้วเขาก็วางถ้วยลงบนตักดังเดิม “ไม่ถามหน่อยเหรอ...ว่าทำไมกูถึงตัดสินใจแบบนั้น”

    “ทำไมมึงถึงตัดสินใจแบบนั้นล่ะ” ผมถามตามที่แบคฮยอนอยากให้ถาม เสียงทุ้มต่ำของผมเรียบนิ่ง เขาหัวเราะเบาๆ

    แบคฮยอนมองหน้าผมตรงๆ “กูรู้สึกว่า...กูไม่ได้รักเขาจริงๆหรอก”

    “......”

    “กูอาจจะไม่ได้รักเขามาตั้งแต่แรก กูแค่รู้สึกดีเวลาอยู่กับเขา รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญ... แต่เอาจริงๆแล้ว กูคงไม่ได้รักเขาหรอก”

    “แล้วมึงเอาอะไรมาตัดสินว่ามึงไม่ได้รักเขา” คำถามของผมฟังดูเหมือนผมพยายามจะทำให้เขาทั้งสองกลับไปคบหากัน

    “อารมณ์... กูเอาอารมณ์กูตัดสินนี่แหล่ะ”

    “อารมณ์เนี่ยนะ...”

    “ใช่ เพราะตอนกูตัดสินใจคบกับเขา กูใช้สมองตัดสินใจ และกูก็เพิ่งรู้ตัวว่ากูคิดผิด กูก็เลยไม่เชื่อสมองตัวเองอีก”

    “......”

    “เอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งเนี่ยแหล่ะ ถูกที่สุดแล้ว”

    “......”

    แล้วบทสนทนาก็ขาดตอนไป ผมไม่ถามอะไรต่อ ทั้งๆที่มีอีกหลายเรื่องที่ผมสงสัย แค่คำอธิบายเรื่อง สมอง กับ ความรู้สึก ของแบคฮยอน...ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

    “นี่ แบคฮยอน มึงมาช่วยกูเลือกรูปดีกว่า...” ผมผุดลุกขึ้น พร้อมคว้าแขนของแบคฮยอนไว้ด้วย ผมพาเขาไปนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ด้วยกัน

    ตลอดเวลาที่แบคฮยอนช่วยผมเลือกรูป เขาไม่พูดเรื่องอดีตของตัวเองอีกเลย

     

     

    แบคฮยอนช่วยผมเลือกรูปจนถึงห้าทุ่ม เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เราสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่ปวดเมื่อยเลย

    “ห้าทุ่มแล้วเหรอ...” แบคฮยอนเหลือบมองนาฬิกาที่มุมหน้าจอ แปลกดี เราสองคนนั่งอยู่ตรงหน้าจอตลอด แต่ไม่มีใครสังเกตเวลาซักคน

    “มึงกลับได้แล้วมั้ง ช่วยกูเลือกไปได้ตั้งหลายรูปแหน่ะ” ผมหันไปบอกเขา

    “จะให้กูช่วยเลือกต่อก็ได้นะ กูไม่รีบกลับหรอก”

    “อย่าเลย กลับไปพักเถอะ เดี๋ยวกูไปส่ง”

    “ก็กูยังไม่อยากกลับนี่ หรือมึงง่วงแล้ว? แค่ห้าทุ่มเอง มึงคงไม่ง่วงเร็วขนาดนี้หรอกมั้ง...”

    “......” ผมพรูลมหายใจยาว มันก็จริงอย่างที่แบคฮยอนว่า ห้าทุ่มถือว่า หัวค่ำ มากสำหรับผม ผมนอนตีสามทุกคืนจนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

    ถ้าถามผมว่าผมอยากให้แบคฮยอนกลับหรือยัง... ผมก็คงต้องตอบจากใจจริงว่า ยัง

    “กูยังไม่ง่วงหรอก กูเป็นห่วงมึงนะแหล่ะแบคฮยอน”

    “ห่วงเรื่องอะไร ห่วงเรื่องกูกลับบ้านดึกเหรอ ถ้าจะห่วงเรื่องนั้นล่ะก็ เลิกคิดไปได้เลย กูเป็นผู้ชายนะ กูกลับบ้านดึกแล้วมันผิดตรงไหน” เขาเลิกคิ้วมองหน้าผม “ไม่ต้องห่วงกูหรอกน่า ให้กูเลือกรูปให้มึงต่อเถอะ” พูดจบแบคฮยอนก็คว้าเมาส์ไปจากมือผม แล้วเขาก็เลื่อนดูรูปถ่ายของผมต่อ

    “ขอบใจนะ...” ผมบอกเขา

    “ขอบใจเรื่องไร”

    “ที่มาช่วยเลือกรูป...”

    “ไม่ต้องขอบใจหรอกน่ะ กูต่างหากที่ต้องขอบใจมึงอ่ะ มึงอุตส่าห์พากูมาคอนโดมึง หาอะไรให้กูทำ ชงกาแฟให้กูกินอีก... อีกอย่างนะ การมาเลือกรูปให้มึงนี่สนุกมาก มึงก็รู้ว่ากูชอบรูปถ่ายมึงขนาดไหน”

    “......”

     

    “มึงก็รู้ว่ากูชอบรูปถ่ายมึงขนาดไหน...ชานยอล”

     

    นานมาแล้ว... นานมากๆ... นานจนผมจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ แบคฮยอนเคยพูดประโยคนี้กับผม

     

    “กูชอบนั่งดูรูปมึงนะ มึงไม่ได้ฝีมือดีที่สุดก็จริง แต่กูดูรูปมึงแล้วมันสบายใจอ่ะ... มึงทำให้ของธรรมดาๆกลายเป็นงานศิลปะได้ มึงเก่งอ่ะ กูเอาใจช่วยให้มึงได้เป็นตากล้องชื่อดังเร็วๆนะ”

     

    ผมจำได้ว่าตอนนั้น คำพูดของแบคฮยอนทำให้ผมยิ้มจนแก้มปริ ผมจดคำพูดของเขาลงในไดอารี่ตัวเอง คำพูดของเขาในวันนั้น ยังคงเป็นกำลังใจให้ผมจนถึงวันนี้

     

    เวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าทุ่มครึ่ง ในที่สุดแบคฮยอนก็เริ่มหาววอดๆ เขาตาแดงเหมือนเด็กง่วงนอน

    “พอแล้วแบคฮยอน มึงกลับบ้านเหอะ ตาแดงแล้วน่ะ” ผมพูดพลางคว้าเมาส์มาจากมือเพื่อนตัวเล็ก คราวนี้แบคฮยอนยอมปล่อยเมาส์ออกจากมือแต่โดยดี

    “ต้องกลับบ้านจริงๆเหรอเนี่ย”

    “จริง...”

    “อื้อ~” แบคฮยอนส่งเสียงครางงัวเงียเหมือนเด็ก เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นขยี้ตา และหาววอดๆอีกรอบ

    “หรือว่าอยากจะนอนค้างที่นี่?” จู่ๆผมก็เอ่ยชวนเขา ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดอย่างนั้นออกไป

    แบคฮยอนหยุดขยี้ตาทันที เขามองผมพลางกระพริบตาปริบๆ

    “อีกครึ่งชั่วโมงเที่ยงคืน นอนที่นี่เลยไหม” ผมย้ำอีกรอบ หลากหลายความรู้สึกตีตื้นอยู่ในอก ความกล้าเอ่อล้นขึ้นในคอจนคำพูดนั้นหลุดออกมาจากปากผม ผมไม่นึกว่าตัวเองจะกล้าพูด

    “ให้กูนอนที่นี่?” แบคฮยอนถาม เขายกมือขึ้นชี้หน้าตัวเอง และเลิกคิ้ว

    ผมพยักหน้า “แล้วแต่มึงนะ กูแค่เสนอทางเลือกให้เฉยๆ จากที่นี่ไปบ้านมึง น่าจะใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที ไม่ก็ครึ่งชั่วโมง แต่ตอนนี้รถไม่ติดแล้วล่ะ เพราะฉะนั้น กูคิดว่าคงจะใช้เวลาแค่ยี่สิบนาที ถ้ามึงอยากกลับบ้าน กูจะขับรถไปส่ง แต่ถ้ามึงยังยืนกรานว่าจะไม่ให้กูขับไปส่งเพราะเปลืองน้ำมัน กูก็ขอบังคับให้มึงนอนที่นี่ เพราะนี่มันก็ดึกมากแล้ว”

    “......”

    “กูไม่ยอมให้มึงเดินทางดึกๆคนเดียวหรอก...”

    “แต่กูเป็นผู้ชายนะ”

    “เป็นผู้ชายแล้วไง เวลาโจรมันจะปล้น มันไม่ดูหรอกว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ยิ่งมึงตัวบางๆแบบนี้ โดนผลักทีเดียวก็ล้มหน้าขมำแล้ว”

    แบคฮยอนขมวดคิ้ว “ดูถูกกันนี่นา...”

    “เปล่า ไม่ได้ดูถูก กูพูดจริงๆ ที่พูดเนี่ยก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ... มึงเลือกมาแล้วกัน ถ้ามึงจะกลับบ้าน มึงต้องให้กูขับรถไปส่ง แต่ถ้ามึงไม่ยอมให้กูขับรถ มึงต้องนอนที่นี่”

    “กูอยากกลับบ้าน แต่กูไม่อยากให้มึงต้องขับรถกลับมาที่นี่คนเดียว มันเปลี่ยวนะ...”

    “การที่มึงเดินออกไปจากคอนโดคนเดียวก็เปลี่ยวพอกันน่ะแหล่ะ”

    “......” แบคฮยอนเถียงผมไม่ได้ ในใจผมเฝ้าภาวนาให้เขายอมเร็วๆ

    ผมหยิบถ้วยกาแฟทั้งสองไปล้างในครัว ขณะที่ผมกำลังล้างอยู่ แบคฮยอนเดินตามผมเข้ามาในครัว “ชานยอล...มึงเป็นห่วงกูเหรอ”

    ผมแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆเขาก็ถามผมแบบนั้น แต่ผมก็ตอบไปอย่างไม่คิดอะไร “ใช่ กูเป็นห่วงมึง มึงเป็นเพื่อนกู กูก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้ว...”

    “ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่กู แต่เป็นจงอิน หรือเป็นเซฮุน... มึงจะห่วงพวกนั้นเหมือนที่มึงห่วงกูรึเปล่า...”

    ผมชะงักมือที่กำลังล้างถ้วยอยู่ ผมไม่เข้าใจคำถามของแบคฮยอน

    “กูก็เป็นผู้ชายเหมือนพวกนั้นนะ...”

    ผมล้างน้ำยาล้างจานออกจากถ้วยกาแฟทั้งสองใบ และคว่ำมันลงในตะแกรง ผมปิดก๊อกน้ำ เสียงน้ำไหลซ่าหายไป เหลือเพียงความเงียบในห้องครัว

    ผมหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับแบคฮยอน

    “ถามอะไรแปลกๆ...” ผมพูดกับเขา พร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก “มึงเป็นเพื่อนกู กูก็ต้องเป็นห่วงมึงอยู่แล้ว...”

    “......”

    “ไม่ว่าจะเป็นมึง เป็นจงอิน เป็นเซฮุน หรือจะเป็นใครก็ตาม... กูเป็นห่วงทั้งนั้นแหล่ะ กูไม่ชอบให้เพื่อนกลับบ้านคนเดียวดึกๆ ถึงแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แค่ไหนแล้วก็ตาม...”

    ชั่ววูบนั้น ผมสาบานได้ว่าผมเห็นแววความผิดหวังฉายวาบขึ้นในตาของแบคฮยอน แต่เพียงครู่เดียวมันก็หายไป แบคฮยอนคลี่ยิ้มให้ผมอีกครั้ง “มึงเนี่ย...ช่างเป็นห่วงเนอะ”

    แล้วแบคฮยอนก็เดินออกไปจากห้องครัว

    ผมไม่ได้เดินตามเขาออกไป ผมยังคงยืนพิงอ่างล้างจานอยู่เหมือนเดิม ห้องครัวเงียบงันเสียจนผมได้ยินเสียงหยดน้ำร่วงลงกระทบอ่างสเตนเลส

     

    “มึงจะห่วงพวกนั้นเหมือนที่มึงห่วงกูรึเปล่า...”

     

    ผมอ่านแบคฮยอนไม่ออก ผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามผมแบบนั้น... ไม่สิ ความจริง ผมคิดว่าผมอ่านเขาออก แต่ผมไม่กล้าตีความ เพราะผมกลัวว่าการตีความของผมจะผิดพลาด

    จะผิดมากไหม หากผมจะบอกว่าผม ดีใจ ที่เขาถามผมแบบนั้น... บางอย่างในใจผมกำลังเบ่งบาน ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้

    ผมเดินออกจากห้องครัว ผมเห็นแบคฮยอนกำลังยืนหันหลังให้ผม ท่าทางเขากำลังมองบางอย่างบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ของผมอีกแล้ว “แบคฮยอน...” ผมเรียกชื่อเขา พลางขยับเท้าเข้าไปใกล้เขา

    แต่แบคฮยอนก็หันหน้ามาหาผมเสียก่อน “มึงยังเก็บไว้เหรอ...” เขาพูด พร้อมชูของบางอย่างขึ้นกลางอากาศเป็นรอบที่สอง

    “......”

     

    สมุดโน้ตปกสีน้ำตาล ที่แบคฮยอนเป็นคนวาดรูปกล้องถ่ายรูปลงไปบนปกด้วยปากกาเมจิคสีดำ

     

    “มึง...รักษาของดีจัง” เขาลากปลายนิ้วชี้ไปตามลายเส้นสีดำที่ตัวเขาเองเป็นคนวาด

    สมุดโน้ตเล่มนั้น คือของขวัญวันวาเลนไทน์ที่แบคฮยอนให้ผมเมื่อปีที่แล้ว

    “มีรอยยับแค่นิดเดียวเอง”

    “......”

    แล้วแบคฮยอนก็หันหลังให้ผมอีกรอบ เขาวางสมุดลงบนโต๊ะ และก้มหน้ามองมัน

    ผมค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้เขา ผมเดินเบาจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าตัวเองเลย “แบคฮยอน...” เมื่อเดินไปถึงตัวเขา ผมก็วางมือลงบนลาดไหล่เล็ก “สรุป...จะนอนค้างที่นี่ หรือจะให้กูขับรถไปส่ง”

    “......” แบคฮยอนไม่ตอบผม เขายังคงก้มหน้ามองสมุดเล่มนั้น

    “แบคฮยอน...”

    “กูกลับบ้านแล้วกัน แต่มึงไม่ต้องไปส่งหรอก ไม่เป็นไร...” เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้ผม รอยยิ้มของเขามีบางอย่างเปลี่ยนไป

    “ไม่ได้... กูไม่ให้มึงเดินออกไปคนเดียวเด็ดขาด”

    “ก็บอกแล้วไงว่ากูเป็นผู้ชาย ไม่มีใครทำอะไรกูหรอกน่า...”

    “ทำไมพูดแล้วไม่เข้าใจเนี่ย โจรสมัยนี้มันเลือกเพศซะที่ไหน”

    “กูกลับเองได้จริงๆ” แบคฮยอนยืนกราน

    “แต่กูปล่อยมึงกลับไม่ได้จริงๆเหมือนกัน”

    แบคฮยอนเงียบไปอีกรอบ เราต่างฝ่ายต่างยืนนิ่ง จ้องหน้ากัน ไม่มีใครยิ้ม ไม่มีใครขยับปากพูดอะไร จนกระทั่งแบคฮยอนเป็นผู้ทำลายความเงียบ “ถ้ากูเป็นจงอิน หรือเป็นคนอื่น... มึงจะเป็นห่วงแบบนี้รึเปล่า มึงจะดื้อด้านห้ามกูแบบนี้รึเปล่า ชานยอล”

    “......” คำถามนั้นทำให้ผมต้องย้อนคิด สมมติว่าคนตรงหน้าผมคือจงอิน ผมจะห้ามไม่ให้เขากลับบ้านเอง เหมือนกับที่ผมกำลังทำกับแบคฮยอนรึเปล่า

    คำตอบคือ ไม่ ผมคงไม่ห้ามจงอินขนาดนี้... ถ้าจงอินยืนกรานจะกลับบ้านเอง และสัญญาว่าดูแลตัวเองได้ ผมก็จะปล่อยเขาไป

    แต่กับคนที่ชื่อ บยอน แบคฮยอน คนนี้ ผมทำไมได้ นี่คงเป็นความลำเอียงที่หาที่มาที่ไปไม่ได้

    “กูกลับก่อนนะ” หลังจากเงียบไปพักใหญ่ แบคฮยอนก็ขอตัวกลับ เขาเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเอง ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินไปใกล้ประตูห้อง ได้ยินเสียงเขาสวมรองเท้า และได้ยินเสียงเขาหมุนลูกบิดประตู

    ร่างกายขยับไปไวกว่าความคิด ผมเดินดุ่มๆไปยังประตูห้อง ที่ที่แบคฮยอนกำลังจะจากผมไป ผมรีบคว้าข้อมือของเขาไว้ก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องกว้างไปกว่านี้

    “ชานยอล...?”

    ผมรั้งร่างเขาเข้ามาใกล้ แขนข้างหนึ่งตวัดโอบรอบเอวของแบคฮยอน แววตาของเขาฉายแววตื่นตระหนก

    ผมกอดเขาไว้ ระยะห่างระหว่างเราสองคนเหลือศูนย์...เมื่อผมประกบริมฝีปากตัวเองลงไปบนริมฝีปากของแบคฮยอน

     

    “...!...”

     

    แบคฮยอนตัวเกร็งไปทั้งตัว เขาทำท่าเหมือนจะดิ้น แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ดิ้นไปไหน เขายืนนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของผม ริมฝีปากของเขาเป็นรสกาแฟ

    ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที เพราะเสียงเล็กๆในใจมันร้องเรียกให้ผมหยุดเขาไว้ ร้องเรียกให้ผมกอดเขา มันร้องบอกผมว่านี่อาจเป็น โอกาส สุดท้าย

    เราผละจากกัน แบคฮยอนรีบถอยหลังไปสองสามก้าว นัยน์ตาของเขาดูลุกลี้ลุกลน แต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้กลัวผม ถ้าเขากลัวจริง สายตาของเขาจะไม่ใช่แบบนี้ ผมรู้จักสายตาของแบคฮยอนดี

    ปากผมอยากจะพูดว่า ขอโทษ แต่จิตใต้สำนึกของผมมันร้องบอกผมว่า ผมไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่มีความจำเป็นใดๆที่ผมจะต้องขอโทษแบคฮยอน

    รสกาแฟยังติดอยู่ที่ริมฝีปากผม ผมไม่แน่ใจว่ามันติดมาจากริมฝีปากของแบคฮยอน หรือมันเป็นรสที่ค้างอยู่บนริมฝีปากของผมอยู่แล้ว

    แบคฮยอนยืนนิ่ง เขาไม่ขยับเขยื้อน

    “อย่ากลับเลยนะ...” ผมพูด

    “......”

    “อยู่ที่นี่เถอะ”

    “......” นัยน์ตาของเขากำลังไหวระริก สายตาที่เขาใช้มองผม มันไม่ใช่ความหวาดระแวง ไม่ใช่ความรู้สึกรังเกียจ หากแต่มันเป็นความสับสน และว้าเหว่

    สุดท้าย แบคฮยอนตัดสินใจค้างคืนที่นี่ เขาตอบตกลงด้วยการถอดรองเท้าออก และเดินกลับไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาริมหน้าต่างเหมือนเดิม

     

     

    ตีสองแล้ว แต่ผมกลับข่มตาไม่ลง ผมไม่สามารถลบสัมผัสของแบคฮยอนออกไปจากริมฝีปากได้

    กลีบปากอ่อนนุ่มของเขาเป็นรสกาแฟ ผมไม่รู้มาก่อนว่ากาแฟยี่ห้อโปรดของผม มันจะหวานจับใจขนาดนี้

     

    ผมกับแบคฮยอนเป็นเพื่อนกันมาสามปีกว่าแล้ว ตอนเราเจอกันครั้งแรก ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงเราเข้าหากัน เราสนิทกันเพราะต้องเดินไปเรียนวิชาต่างคณะด้วยกัน การเดินด้วยกันทุกวันทำให้เราต้องคุยกันทุกวัน เขามักจะชวนผมไปซื้อไอศกรีมกินก่อนเข้าห้องเรียน

    หกเดือนหลังจากที่เราเริ่มทำความรู้จักกัน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าแบคฮยอนแอบชอบผม...

    ตอนแรกผมก็ไม่แน่ใจนัก ผมแค่ตั้งข้อสันนิษฐาน ผมไม่อยากเป็นคน หลงตัวเอง เพราะผมไม่คิดว่าตัวเองจะดูดีถึงขั้นมีคนมาแอบชอบ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ข้อสันนิษฐานของผมก็เริ่มกอปรร่างเป็นความจริง เมื่อแบคฮยอนเริ่มหลบหน้าผม

    เขาหลบหน้าผม... เพราะช่วงนั้น ผมกำลังมีปัญหากับ แบ ซูจี ผู้หญิงต่างคณะที่ผมคุยด้วยมาหนึ่งปี เวลาผมมีปัญหาอะไร ผมมักจะคุยกับแบคฮยอน เขาไม่ใช่คนให้คำปรึกษาเก่ง แต่เขาเป็นผู้ฟังที่ดี

    สุดท้ายระหว่างผมกับซูจี...ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    ปลายปีนั้นผมทำบางอย่างให้แบคฮยอนต้องจดจำไปตลอดชีวิต ผมให้ดอกกุหลาบเขา ตอนเขาขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีในการประกวดร้องเพลงของคณะ ผมไม่ได้เป็นคนให้กับมือ ผมฝากจงอินไปให้เขา เพราะตอนนั้นผมต้องเดินทางไปสิงคโปร์กับครอบครัว

    เซฮุนที่ดูอยู่ข้างเวที เล่าให้ผมฟังว่า...

    “มึงรู้ไหมจงอินมันพูดใส่ไมค์ว่าอะไร มันบอกแบคฮยอนว่า มีคนฝากมาให้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวเขาไม่อยู่ ยังไงก็ไปคุยกับเจ้าตัวเอาเองแล้วกันนะ... มึงต้องเห็นหน้าแบคฮยอน แก้มนี่แทบปริ”

    แต่หลังจากที่ผมกลับมาจากสิงคโปร์ ผมก็นึกเสียใจที่ให้ดอกกุหลาบเขา กุหลาบดอกนั้นเป็นตัวแทนของความหวัง ผมให้ความหวังเขาไปแล้ว แต่ผมกลับไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราไปไกลเกินกว่าคำว่าเพื่อน ผมสบายใจที่จะเป็นเพื่อนกับเขา

    ผมค่อยๆทำลายความหวังของเขา ด้วยการปรึกษาเขาเรื่องซูจี... แบคฮยอนยิ้มสู้เสมอ เขาไม่เคยแสดงอาการหงุดหงิดให้ผมเห็น แต่ทุกครั้งที่ชื่อ ซูจี ลอยออกจากปากผม นัยน์ตาของเขาจะหมองลง ริมฝีปากที่เคยยิ้มร่าต้องฝืนยิ้ม เขาพยักหน้ารับทุกคำที่ผมพูด ไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะพาลใส่ผม อารมณ์เสียใส่ผม

    ผมรู้สึกผิด แต่นั่นเป็นวิธีเดียวที่ผมนึกออก เพราะผมอยากให้เราเป็นเพื่อนกัน ด้วยคำว่า เพื่อน เราจะได้อยู่ด้วยกันยาวนานยิ่งกว่าคำว่า คนรัก

    นั่นคือการตัดสินใจของผมในตอนนั้น ลึกๆแล้วผมรู้... ผมไม่อยากเสียแบคฮยอนไป ผมจึงพยายามรั้งเขาไว้ข้างกายด้วยคำว่า เพื่อน

    ผมเพิ่งตระหนักว่าผมคิดผิด ก็ต่อเมื่อ คริส ชายหนุ่มเชื้อชาติจีนผู้ไปเติบโตที่แคนาดาก้าวเข้ามาในชีวิตของแบคฮยอน ผมไม่แน่ใจว่าสองคนนั้นไปรู้จักกันได้ยังไง มารู้ตัวอีกที ผู้ชายคนนั้นก็เริ่มมารับแบคฮยอนที่คณะทุกวันเสียแล้ว

    แบคฮยอนเองก็ดูจะมีความสุขที่มีผู้ใหญ่ใจดีมารับทุกวัน

    ผมรู้สึกเหมือนมีหลุมกลวงอยู่ในใจ มันวูบโหวงทุกครั้งที่ผมเห็นรถเก๋งสีบรอนซ์ของเขาจอดเลียบฟุตบาท และแบคฮยอนก็จะวิ่งลงจากตึกเรียนด้วยความกระตือรือร้น คนที่ได้อยู่ข้างแบคฮยอนกลายเป็นเขา ทั้งๆที่ตำแหน่งนั้นมันเคยเป็นของผม

     

    ผมตัดสินใจลุกจากเตียง เพราะรู้ดีว่าผมไม่มีทางนอนหลับในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้าแน่ ผมเปิดประตูเดินออกจากห้องนอน สิ่งแรกที่ผมเห็นคือร่างของแบคฮยอน ที่กำลังทอดกายยาวอยู่บนโซฟาริมหน้าต่าง

    ผมชวนเขาเข้ามานอนในห้องด้วยกัน แต่เขาปฏิเสธ ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เขาปฏิเสธ แบคฮยอนสวมเสื้อยืดของผม กางเกงนอนของผม เสื้อของผมดูหลวมโพรกบนร่างเล็กของเขา คอเสื้อตกลงมาอยู่ที่ไหล่ เผยเนินเนื้อขาวบนบ่าของเขา

    เขาห่มผ้าลายสก๊อตสีแดงที่ผมเก็บสำรองไว้ในตู้เสื้อผ้า หมอนที่เขาหนุนอยู่คือหมอนที่ผมหยิบออกมาจากห้องนอน แบคฮยอนนอนนิ่ง เขาไม่ยอมปิดโคมไฟบนโต๊ะคอมพิวเตอร์

    ผมลอบยิ้ม และเดินเข้าไปใกล้เขา ผมย่อตัวลงนั่งบนพื้นข้างโซฟา

    แบคฮยอนน่าจะหลับไปตั้งแต่ตีหนึ่ง เพราะตอนเที่ยงคืนครึ่ง ผมยังเห็นเขานั่งเล่นมือถืออยู่เลย

    ผมเท้าคางบนขอบเบาะ พลางไล่สายตามองหน้าเขา แบคฮยอนแทบไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกัน เขาเป็นคนตาชั้นเดียว ปากนิดจมูกหน่อย คล้ายเด็กผู้หญิง แต่เขาจะโกรธทุกครั้งที่ผมบอกเขาแบบนี้

    ราวกับว่าจังหวะลมหายใจเนิบช้าของเขามีแรงดึงดูด ผมยื่นมือเข้าไปใกล้เขา และทาบฝ่ามือลงบนแก้มอุ่นๆของแบคฮยอน เขายังคงหลับสนิท เขาไม่รู้ตัวจริงๆว่าผมกำลังนั่งจ้องเขาอยู่

    “แบคฮยอน...” ผมลองหยั่งเสียงเรียกชื่อเขา ไม่มีเสียงตอบรับจากบยอน แบคฮยอน

    แบคฮยอนเป็นคนหลับลึกแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถ้าเขาได้หลับเมื่อไหร่ ต่อให้เสียงรอบกายดังแค่ไหนเขาก็ไม่ตื่น

    ผมยืดตัวขึ้นนั่งคุกเข่า และทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าทำ ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขา และประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากอุ่นของแบคฮยอน ผมกดสัมผัสค้างเนิ่นนาน ...นานเสียจนผมไม่รู้ตัวเลยว่าแบคฮยอนลืมตาตั้งแต่เมื่อไหร่

    ผมผละริมฝีปากออกมา และเห็นเขากำลังจ้องผมอยู่ คิ้วเรียวขมวดเป็นปมหลวมๆ แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธ... ลึกๆแล้วผมรู้ว่าแบคฮยอนไม่เคยโกรธผม นี่อาจเป็นวิธีการคิดที่เห็นแก่ตัว แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แบคฮยอนทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น

    “......”

    ผมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ถูกจับได้ว่าเล่นซนกลางดึก ตาคู่เรียวของแบคฮยอนตรึงเท้าของผมไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ปลายจมูกของเราสองคนยังคงห่างกันเพียงคืบเดียวเท่านั้น

    เขากำขอบผ้าห่มแน่น เขาเม้มปาก ดูเหมือนเขากำลังกลั้นหายใจ

    ก่อนที่เขาจะได้เปิดปากพูดอะไร ผมก็โถมกายเข้าไปจูบเขาอีกรอบ ผมยืดตัวขึ้น และพาตัวเองขึ้นมาบนโซฟา ผมล็อคร่างเขาไว้ด้วยกรงแขนทั้งสองข้างของผม

    แบคฮยอนพยายามดันตัวผมออก “ชานยอล... อย่า...” เสียงของเขาแหบพร่า แต่ผมไม่ฟังเขา ผมประกบริมฝีปากสกัดกลั้นเสียงร้องห้ามของแบคฮยอนไว้ ยิ่งเขาพยายามร้องห้าม เขาก็ยิ่งเสียเปรียบ ผมสอดลิ้นเข้าตักตวงความหวานจากอุ้งปากร้อนฉ่า เขาพยายามหนีผม แต่สุดท้ายก็ไปไหนไม่รอด ปลายลิ้นเล็กของแบคฮยอนกำลังดุนดันกลับมา เขากำลังตอบสนองสัมผัสของผม มือที่เคยพยายามผลักผมออกตวัดขึ้นคล้องคอผม เราเบียดกายเข้าหากัน ริมฝีปากดูดดึงกันและกันจนต้องเผลอคราง

     

     









      

     

     

     






     

    เช้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นนอนก่อนแบคฮยอน ผมลุกจากเตียงไปเตรียมอาหารเช้าในครัว

    ผมปิ้งขนมปัง หยิบเนยและแยมออกมาจากตู้เย็น อาหารเช้าของผมมีเท่านี้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าแบคฮยอนจะอิ่มหรือเปล่า เพราะปกติแบคฮยอนเป็นคนกินมื้อเช้าหนัก ผิดกับผมที่กินมื้อเช้าแค่เพียงขนมปังปิ้งเท่านั้น

    ผมปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ขณะรอขนมปังในเครื่องปิ้ง ผมก็บิดเอวไปมา พอให้คลายจากความเมื่อยล้า

    ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงฉายชัดอยู่ในห้วงความคิดของผม ผมใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงสีหน้าและสายตาของเขา เมื่อคืน...ผมได้เห็นอีกด้านหนึ่งของแบคฮยอน ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

    ผมเคยคิดว่าแบคฮยอนเป็นคนไม่ประสีประสากับเรื่องบนเตียง แต่เหตุการณ์เมื่อคืนพิสูจน์ให้ผมเห็นแล้วว่า ผมคิดผิดมาตลอด เขาหยอกเย้าผม จนผมหมดความอดทนครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าบทรักจะปิดฉากลง ก็ปาเข้าไปตีสี่กว่า

    เป็นเวลาสองชั่วโมงที่เราร่วมเสพย์สุข เราปรนเปรอกันและกันอย่างไม่รู้จักเบื่อ จนวูบหนึ่งผมถามตัวเองว่า...คนๆนี้ใช่แบคฮยอนจริงๆหรือ

    ขนมปังปิ้งเด้งออกมาจากเครื่อง ผมหยิบมันออกมา และนั่งทาเนยทาแยมกินอยู่คนเดียว

    แบคฮยอนเดินเข้ามาในห้องครัวตอนที่ผมกำลังจะหยิบแผ่นที่สองเข้าปาก...

    “......”

    ผมเงยหน้ามองเขาวูบหนึ่ง จากนั้น เราต่างฝ่ายต่างก็ก้มหน้า แบคฮยอนยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงประตู

    “จะกินเลยไหม จะได้ปิ้งให้...” ผมถาม พลางลุกขึ้นยืน

    “เอ่อ... ก็ได้... ขอบใจนะ...”

    “มานั่งสิ” ผมเอ่ยชวนเขา ผมพยายามปั้นหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆที่ความจริง ใจผมมันรัวถี่จนผมเสียดหน้าอกไปหมด

    แบคฮยอนเดินมานั่งอย่างว่าง่าย เขาสวมเสื้อยืดของผม ท่าทางจะหยิบสุ่มออกมาจากตู้เสื้อผ้า

    เมื่อขนมปังเด้งขึ้นจากเครื่องปิ้ง ผมก็หยิบมันใส่จานให้เขา และวางมันลงตรงหน้าเขา “ปกติอาหารเช้ากูก็มีแค่นี้แหล่ะ ไม่รู้มึงจะอิ่มรึเปล่า”

    “ขอบใจนะ...” เขาตอบผมเพียงแค่นั้น แล้วเขาก็ยื่นมือมาหยิบเนยกับแยม เขาปาดเนยลงไปก่อน ตามด้วยแยมเปลือกส้ม เขากัดขนมปังเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆเหมือนเด็ก

    เราเอาแต่นั่งเงียบ ต่างฝ่ายต่างกินอาหารเช้าของตัวเอง ไม่มีใครคิดจะถามไถ่สารทุกข์สุขดิบใคร

     

    แบคฮยอนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตอนเที่ยงตรงพอดี เขาสวมชุดเดิมที่เขาใส่ไปกินมื้อเย็นเมื่อวาน

    “ให้กูไปส่งนะ...” ผมพูด ตอนเห็นเขาเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งองค์ทรงเครื่องเรียบร้อย

    “ไม่ต้องหรอก กลางวันแสกๆ กูไม่โดนปล้นหรอกน่า” เขาพูดโดยไม่หันมามองผม

    ผมเดินไปส่งเขาที่ประตูห้อง แบคฮยอนก้มลงสวมรองเท้า เขายืดตัวขึ้น มือขวาวางลงบนลูกบิดประตู บานประตูค่อยๆแง้มเปิดออก

    “แบคฮยอน...” ก่อนที่แบคฮยอนจะก้าวเท้าออกไป ผมก็คว้าข้อศอกเขาไว้เบาๆ ร่างเล็กหยุดชะงัก แต่เขาก็ยังไม่หันมามองผมอยู่ดี “...เมื่อคืนน่ะ กูมีสติดี กูรู้ตัวว่าทำอะไร”

    “......” เขายังคงเงียบ

    ผมหันตัวเขากลับมาเผชิญหน้ากับผม แบคฮยอนเอาแต่ก้มหน้า ตาเรียวเล็กหลุบต่ำ พวงแก้มของเขาเป็นสีแดงเรื่อ ผมแตะปลายนิ้วเข้าที่ปลายคางของเขา และบังคับให้เขาเงยหน้าขึ้นมองผม

    สายตาเราประสานกัน นัยน์ตาของเขาไหวระริก

    เรายืนมองกันและกัน ไม่มีใครขยับเขยื้อน จนกระทั่งผม...ตวัดแขนโอบเอวเล็ก และรั้งตัวแบคฮยอนเข้ามากอด ผมรู้สึกได้ว่าเขาเกร็งไปหมดทั้งตัว

    เพียงไม่กี่วินาทีผมก็ผละออกจากอ้อมกอด ผมประคองใบหน้าเขาไว้ และกดริมฝีปากลงบนหน้าผากมน แบคฮยอนยืนนิ่งเป็นตอไม้ แต่ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กลัวผม

    “กลับดีๆล่ะ เดินระวังด้วยนะ” ผมยื่นมือไปหมุนลูกบิดประตูให้เขา แบคฮยอนก้าวเดินออกจากห้อง “อ้อ แบคฮยอน วันเสาร์หน้า...อย่าลืมไปดูนิทรรศการของกูนะ” ผมเตือน เผื่อว่าเขาจะลืม

    คนตัวเล็กหันมามองผมวูบเดียวก็รีบหลบตา “อือ” เขาตอบเพียงเท่านั้น และเดินจากไป

     

     

    การตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้าไม่ใช่นิสัยของผมเท่าไหร่ แต่ผมก็ตื่นมาแล้ว

    ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงตรง เปลือกตาผมหนักจนแทบจะปิดอยู่รอมร่อ ผมไม่อยากกินมื้อกลางวัน เพราะผมรู้ดีว่าถ้าหนังท้องตึงเมื่อไหร่ ผมคงได้หลับทั้งยืนแน่ๆ ผมตัดสินใจเดินไปซื้อเอสเปรสโซ่มาหนึ่งแก้ว คาเฟอีนคงช่วยให้ผมกลับมามีชีวิตชีวาอีกรอบ

    ในขณะที่คนอื่นๆแห่กันไปหามื้อกลางวันกิน ผมตัดสินใจหยุดตัวเองอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งนี้ เมื่อได้เอสเปรสโซ่ที่สั่งไว้ ผมก็เดินไปนั่งริมหน้าต่าง

    หลังจากวันนั้น ผมกับแบคฮยอนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย ซึ่งผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะผมก็ไม่ได้โทรหาเขา ไม่ได้โทรไปย้ำกับเขาว่าวันนี้มีนิทรรศการภาพถ่ายของผม

    นิทรรศการครั้งนี้ไม่ได้มีแค่ผลงานของผมเพียงคนเดียว มีผลงานของตากล้องคนอื่นๆด้วย ผลงานของบางคนได้โชว์เยอะกว่าผมด้วยซ้ำ

    ผมแหงนหน้ามองฟ้า ท้องฟ้าวันนี้ไม่ถึงกับแจ่มใสไร้เมฆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นขมุกขมัวจนน่าหดหู่ ผมไม่รู้จะจำกัดความท้องฟ้าในวันนี้ด้วยคำว่าอะไร เพราะมันขาวโพลนไปหมด เหมือนท้องฟ้ากำลังใส่หน้ากาก ไร้ความรู้สึก

    ผมหยิบกล้องถ่ายรูปคู่ใจขึ้นมากดชัตเตอร์ ภาพอยากถ่ายท้องฟ้าไร้ความรู้สึกแบบนี้เก็บเอาไว้ ที่ผ่านมาผมถ่ายรูปท้องฟ้าสีครามและท้องฟ้าฉ่ำฝนมาเยอะแล้ว

    วันนี้เป็นวันเสาร์ เป็นวันหยุดของแบคฮยอน แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขามีเทรนนิ่งคอร์สอะไรอีกหรือเปล่า

    ถ้าผมอยากรู้คำตอบมากนัก ผมก็แค่โทรไปหาเขา เท่านี้ก็จบเรื่อง แต่ผมก็ไม่ทำ อาจเป็นเพราะผมเกรงใจเขา หรืออาจเป็นเพราะผมอยากลอง เชื่อใจ เขาดู

    ผม เชื่อ ว่าเขาจะมาตามที่เราสัญญากันไว้ ลึกๆแล้วผมปรารถนาอยากให้มันเป็นสัญญาใจ หากมันเป็นสัญญาใจระหว่างเราจริง การโทรศัพท์ไปเตือนย่อมไม่มีความจำเป็น

    ผมลุกออกจากร้านกาแฟ และเดินกลับเข้าไปในนิทรรศการ

    ช่วงบ่าย คนหลั่งไหลเข้ามาในงานมากขึ้น แน่นอนว่าผมไม่ได้มายืนประจำที่ แต่ผมสัญญากับรุ่นพี่คนหนึ่งว่าจะมาช่วยดูแลความเรียบร้อยโดยภาพรวมของงาน ผมก็เลยได้แต่เดินว่อนไปว่อนมา ผมถือโอกาสนี้แวะเวียนไปดูภาพถ่ายของตากล้องคนอื่นๆ

     

     

    ใกล้สามทุ่มแล้ว จวนจะถึงเวลาปิดนิทรรศการสำหรับวันนี้แล้ว ผู้คนเริ่มบางตาลง

    ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ ขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มห้าสิบ ยังเหลือเวลาอีกสิบนาทีก่อนจะสามทุ่ม ผมพรูลมหายใจยาว ใจหนึ่งโล่งอกที่วันนี้ผ่านไปได้ด้วยดี แต่อีกใจหนึ่ง ผมรู้สึกเสียใจ...

    สุดท้ายแบคฮยอนก็ไม่มา

    ผมใช้เวลาสิบนาทีสุดท้ายเดินไปดูภาพถ่ายของตัวเองอีกรอบ กว่า 70% ของภาพเหล่านี้ แบคฮยอนเป็นคนเลือกให้ผม เขานั่งเลือกอยู่ในห้องของผม ในคืนนั้น คืนที่เขาเข้ามาเยือนคอนโดของผมเป็นครั้งแรก และเป็นคืนที่ผมตีตราแสดงความเป็นเจ้าของในตัวแบคฮยอน

    ตีตราแสดงความเป็นเจ้าของงั้นหรือ... ผมขำตัวเองในใจ ตลกสิ้นดีปาร์ค ชานยอล การที่ผมกับเขาได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ได้หมายความว่าผมจะมีสิทธิ์ในการเป็น เจ้าของ บยอน แบคฮยอนเสียหน่อย

    ไร้สาระ...

    การได้มายืนดูภาพถ่ายของตัวเอง ทำให้ผมได้รู้ว่า ภาพที่แบคฮยอนชอบส่วนใหญ่จะเป็นรูปเมฆฝน รถยนต์ และถ้วยกาแฟ

    “มึงนี่น่าจะไปเขียนหนังสือทัวร์ร้านกาแฟในกรุงโซลเนอะ ดูแต่ละรูปที่มึงถ่ายดิ กูมองแล้วน้ำลายหกเลย...”

    ครั้งหนึ่ง แบคฮยอนเคยพูดกับผมอย่างนั้น ผมคิดถึงน้ำเสียงของเขา สำเนียงของเขา ทุกอย่างยังคงสดใหม่อยู่ในหัวผม ราวกับว่าแบคฮยอนเพิ่งพูดประโยคนี้กับผมเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

    ผมมองภาพที่เขาเลือก แล้วผมก็คิดถึงเขา ผมอยากให้เขามาอยู่กับผมที่นี่ ตอนนี้ ผมอยากกอดเขา อยากขอโทษเขา

    ขอโทษที่ผมพยายามมองข้ามความรู้สึกของเขาตลอดมา... ขอโทษที่ผมทำร้ายเขาด้วยการพูดถึงคนอื่นให้เขาฟัง... ขอโทษที่ผมพยายามจะรั้งเขาไว้ด้วยคำว่า เพื่อน... และขอโทษที่ผมมอบดอกกุหลาบให้เขาวันนั้น วันที่เขาขึ้นเวทีร้องเพลงเป็นครั้งแรก วันที่ผมทำให้หัวใจเขาพองโต แต่สุดท้ายผมก็เจาะหัวใจนั้นให้เหี่ยวฟีบด้วยมือของผมเอง

     

    “ยืนจ้องรูปกูทำไม...”

     

    “......”

    ในความเงียบ จู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นข้างๆผม

    ยืนจ้องรูปกูทำไม... รูปที่ผมกำลังจ้องอยู่ คือรูปที่มีแบคฮยอนเป็นตัวละครเอก ผมแอบถ่ายรูปนี้ตั้งแต่เมื่อหกเดือนที่แล้ว แบคฮยอนนั่งเท้าคาง ตรงหน้าเขาคือหนังสือเรียน กับคาปูชิโน่ร้อนถ้วยหนึ่ง แต่เปลือกตาเขากลับปิดสนิท แบคฮยอนผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังนั่งเท้าคางอยู่อย่างนั้น หนังสือเรียนก็กางอ้าไว้ และกาแฟคาปูชิโน่ก็ยังเต็มถ้วยอยู่ แดดยามเย็นส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่างพอดี แสงสีทองฉาบซีกหน้าของแบคฮยอนไว้ เขาดูเหมือนประติมากรรม แบคฮยอนงดงามจนผมอดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์เก็บไว้

    เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังกังวานในความเงียบ

    ใจผมเต้นรัว ขณะหันหลังไปมอง

     

    บยอน แบคฮยอน...

     

    “นี่ถ้ากูไม่มาดูกับตาตัวเอง กูคงไม่มีวันรู้หรอก...ว่าตอนนั้นมึงแอบถ่ายรูปกู” เขาทำหน้าทะเล้น พลางก้าวเท้ามายืนข้างๆผม ตาคู่เรียวกำลังจ้องมองตัวเองในภาพถ่ายของผม “มึงนี่มือไวจริงๆ ถ่ายตอนไหน กูไม่ได้ยินเสียงชัตเตอร์เลย”

    “ก็มึงหลับอยู่... คงได้ยินหรอก” ผมตอบ ถ้าผมทาบมือลงบนอกซ้ายตอนนี้ ผมมั่นใจว่าฝ่ามือของผมต้องสั่นตามแรงเต้นของหัวใจแน่ๆ

    “มึงแอบถ่ายรูปกูไปกี่รูปแล้วเนี่ย...”

    “ไม่รู้สิ ต้องกลับไปนับก่อน”

    “โห... เป็นร้อยรูปแหงเลย” แบคฮยอนเอาศอกทุ้งแขนผมเบาๆ

    ผมหันกลับไปมองรูปถ่ายตรงหน้า แบคฮยอนเป็นคนขนตายาว ถ้าไม่เพ่งก็อาจจะไม่สังเกต

    “นึกว่าจะมาไม่ทันซะแล้วรู้ไหม” เขาพูด พลางขยับเท้าเดินดูรูปถ่ายของผมทีละรูป ทั้งๆที่ความจริง รูปถ่ายเหล่านี้แบคฮยอนเป็นคนเลือกให้ผมทั้งนั้น

    “มาซะหวุดหวิดเชียวนะ อีกสิบนาที ที่นี่ก็จะปิดแล้ว”

    “อือ ขอโทษนะ” แบคฮยอนตอบผมเพียงเท่านั้น เขาหันมาคลี่ยิ้มให้ผม แล้วก็หันไปมองรูปต่อ เขาชี้นิ้วไปที่รูปๆหนึ่ง “นี่... ดูนี่สิ จำนี่ได้ใช่ไหม”

    ผมมองตามปลายนิ้วของแบคฮยอน เขาชี้ให้ผมดูรูปกระถางดอกกุหลาบที่มีหยดน้ำฝนร่วงหล่นใส่ “วันที่ถ่ายรูปนี้... กล้องถ่ายรูปมึงเกือบจะพัง เพราะมึงลื่นหกล้มอยู่หน้าร้าน จำได้รึเปล่า”

    “......” จำได้สิ ทำไมผมจะจำไม่ได้

    วันนั้นเป็นวันฝนตก ฝนไม่ได้ตกหนักเป็นพายุ แต่ฝนตกพรำๆตลอดทั้งวัน ตอนเดินผ่านหน้าร้านขายดอกไม้ ผมลื่นไถลเกือบจะหน้าคว่ำ ด้วยความที่กลัวว่ากล้องถ่ายรูปคู่ใจจะได้รับบาดเจ็บ ผมจึงกอดกล้องไว้เต็มอ้อมแขน และเลือกที่ล้มลงกับพื้นแบบนอนตะแคง ผมจำได้ว่าผมปวดแขนซ้ายอยู่หลายวัน เพราะผมเอียงเอาด้านนั้นลงกระแทกกับพื้น

    โชคดีที่กล้องของผมไม่เป็นไร

    “มึงทำให้กูรู้ว่า...ถ้ากล้องถ่ายรูปมึงมีชีวิต มึงคงแต่งงานกับกล้องมึงไปแล้ว”

    แบคฮยอนยืนมองรูปถ่ายของผมจนกระทั่งนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มเป๊ะ เราสองคนก็ออกไปหามื้อดึกกินด้วยกัน

     

     

    นานแล้วที่เราไม่ได้หาอะไรกินด้วยกันสองคนแบบนี้...

    “กินอาหารญี่ปุ่นแล้วกันนะ วันนี้กูอยากใช้เงิน” แบคฮยอนไม่รอคำตอบจากผม เขาเดินดุ่มๆเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่น เขาเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง

    ตอนเราเดินเข้าไปในร้าน ฝนเริ่มลงเม็ดพอดี แบคฮยอนเลือกนั่งริมหน้าต่างเพราะเขาอยากนั่งมองสายฝน เขาเคยบอกผมว่า เขาชอบมองหยดน้ำฝนสาดกระทบบานหน้าต่าง ชอบมองที่ปัดน้ำฝนส่ายดุ๊กดิ๊กอยู่หน้ารถ และชอบมองร่มหลากสีลอยผ่านหน้าต่างไป เขาบอกว่ามองแล้วเพลินดี

    เขาสั่งอาหารกับพนักงาน อาหารที่เขาชอบยังคงเป็นโซบะเย็นไม่เคยเปลี่ยน

    “ปกติ...มึงเป็นคนไม่กินข้าวดึกไม่ใช่เหรอ” ผมถามเขา

    “อือ แต่วันนี้ยกเว้นซักวันก็แล้วกัน”

    “......”

    “เพื่อมึงคนเดียวเลยนะ...” เขานั่งเท้าคาง ช้อนตามองผม นานแล้ว... นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้... ที่เขาช้อนตามองผมแบบนั้น ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมคิดถึงเราสองคนในวันเก่าๆมากเพียงไหน

    “แบคฮยอน”

    “หือ?”

    “ไม่โกรธกูใช่ไหม...” ผมรวบรวมความกล้าถามเขา

    “เรื่องอะไร”

    “เรื่องคืนนั้น... ไม่โกรธใช่ไหม...”

    คืนนั้น... ผมรู้ว่าแบคฮยอนรู้ ว่าผมกำลังพูดถึงคืนไหน มันก็น่าจะมีอยู่แค่คืนเดียวเท่านั้น รอยยิ้มเลือนไปจากริมฝีปากของเขาเล็กน้อย แต่ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เขาก็คลี่ยิ้มให้ผมใหม่

    “มึงคิดว่าไงล่ะ คิดว่ากูโกรธรึเปล่า”

    “......”

    “กูมาดูนิทรรศการของมึง แถมยังชวนมึงมานั่งกินข้าวแบบนี้... มึงคิดว่ากูโกรธมึงรึเปล่าชานยอล”

    “......”

    แบคฮยอนตอบผมด้วยการย้อนถาม ผมจึงไม่ถามอะไรเขาอีก

    เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ เราก็นั่งกินอาหารญี่ปุ่นกันเงียบๆ อาจดูเหมือนอึดอัด แต่ความจริงแล้วไม่เลย ผมคิดถึงการนั่งเงียบๆกับเขา

     

     

    หลังกินอาหารญี่ปุ่นเสร็จกันตอนสี่ทุ่ม แบคฮยอนก็ชวนผมออกไปเดินเล่นด้วยกัน

    “พรุ่งนี้ต้องมาอีกรึเปล่า...” เขาถามผม ว่าพรุ่งนี้ผมต้องมาทำงานที่นิทรรศการอีกไหม

    ผมส่ายหน้า “มาแค่วันแรกน่ะ นิทรรศการยังมีอีกหลายวันนะ ถ้ายังดูไม่หนำใจ ก็มาดูอีกได้”

    “อือ พรุ่งนี้อาจจะมาเดินวนดูอีกรอบ”

    “แบคฮยอน...”

    “หือ?”

    ผมกลืนน้ำลาย ผมกำลังจะถามเขาในสิ่งที่ผมสงสัยมานาน “เมื่อสามปีที่แล้ว มึงชอบกูเพราะอะไร”

    “......” เป็นไปตามที่ผมคาด แบคฮยอนเงียบไป

    “กูมีอะไรดีขนาดนั้นเลยเหรอ มึงถึงชอบกู” ผมถามโดยไม่มองหน้าเขา เราก้าวเท้าไปพร้อมๆกัน จังหวะฝีเท้าของเราแทบจะคลอเป็นเสียงเดียวกัน

    “ทำไมจู่ๆถึงสงสัยขึ้นมาล่ะ” เขาถามกลับ

    “ไม่ใช่จู่ๆก็สงสัยขึ้นมาหรอก ความจริงกูสงสัยมานานแล้ว”

    “......”

    “กูสงสัยมาตั้งแต่สามปีที่แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่กูรู้ตัวว่ามึงคิดอะไรกับกู...” คราวนี้ ผมหันไปมองซีกหน้าเขา ทว่าแบคฮยอนยังคงมองตรงไปข้างหน้า เขาไม่หันมามองผม ใบหน้าของเขาเรียบเฉย ไร้รอยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ดูขุ่นเคืองแต่อย่างใด ที่จู่ๆผมก็ถามเขาแบบนี้

    “กูชอบมึงเพราะหน้ามึงมันมีอะไรบางอย่าง...” แบคฮยอนเริ่มอธิบาย

    หน้าผมมันมีอะไรบางอย่าง... ฟังดูเหมือนผมไม่ใช่คนยังไงชอบกล “อะไรบางอย่างของมึงเนี่ย ต้องขยายความนะ” ผมบอก

    เขายิ้มและพูดต่อ “มึงไม่เหมือนใคร ไม่ได้หมายความว่ามึงหน้าตาประหลาดหรอกนะ แต่มึงอ่ะ...ไม่เหมือนใครจริงๆ”

    “......” แต่ละอย่างที่อธิบายมา ไม่มีอะไรชัดเจนเลยซักอย่าง แต่ผมก็ยังนิ่งฟังต่อไป

    “กูรู้สึกว่ามึงเป็นคนที่กูคุยด้วยได้ จำไม่ได้เหรอเราสนิทกันเร็วขนาดไหน”

    “......” ทำไมผมจะจำไม่ได้ล่ะ ผมจำได้ดีเลยล่ะ ว่าทุกครั้งที่เราเดินไปเรียนด้วยกัน เรามักจะแวะซื้อไอศกรีมระหว่างทาง

    “มึงทำให้กูเชื่อใจ ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน มึงทำให้กูอยากเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟัง...”

    “มิน่าล่ะ เจอหน้ากูทีไรมึงจ้อไม่หยุดเลย...”

    แบคฮยอนหันมาค้อน เขาต่อยผมเบาๆที่ต้นแขน

    “แค่นั้นเองเหรอ... มึงชอบกูแค่เพราะกูดูน่าเชื่อใจเนี่ยนะ...”

    “ความจริงมีเหตุผลมากกว่านี้ แต่กูลืมไปหมดแล้วล่ะ...”

    “อ้าว”

    “กูเคยนั่งทำลิสท์เหตุผลร้อยข้อที่กูชอบมึง แต่...กูเก็บไว้ที่บ้าน กูจำไม่ได้หมดทั้งร้อยข้อหรอก”

    “......”

     

    ร้อยข้อ... ผมมีดีถึงร้อยข้อเชียวหรือ

     

    เราเดินทอดน่องไปจนถึงสนามเด็กเล่น แบคฮยอนวิ่งไปเล่นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก เขาไถลตัวลงมาตามสไลเดอร์ รองเท้าผ้าของเขาคลุกทรายจนเลอะเทอะไปหมด ขากางเกงก็เช่นกัน

    “เดี๋ยวมันก็พังหรอกแบคฮยอน” ผมเตือนเขา ขณะยืนกอดอกมองเขาเล่นสไลเดอร์

    แบคฮยอนหันมาขมวดคิ้วใส่ผม “กูไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นซะหน่อย เด็กที่อ้วนกว่ากูก็มีตั้งเยอะแยะ” พอพูดจบ เขาก็วิ่งวนไปด้านหลัง เพื่อไต่บันไดสไลเดอร์อีกรอบ ผมมองเขาเล่นซนเหมือนเด็กอนุบาล แล้วก็ได้แต่ยืนอมยิ้มอยู่อย่างนั้น

    เวลาแบคฮยอนอารมณ์ดี เขาจะทำตัวเหมือนเด็กห้าขวบ

    จบจากสไลเดอร์ แบคฮยอนชวนผมไปนั่งชิงช้าด้วยกัน เรานั่งกันคนละตัว เขานั่งฝั่งซ้าย ผมนั่งฝั่งขวา

    “จำได้ไหมเราเคยมานั่งที่นี่ด้วยกัน... ตอนที่มึงจิตตกเรื่องซูจี” จู่ๆ แบคฮยอนก็หยิบยกประเด็นของผู้หญิงที่ชื่อซูจีขึ้นมาพูด

    “อือ จำได้...” ไม่มีทางที่ผมจะจำไม่ได้

    “ตอนนั้นมึงดูจริงจังกับเขามาก พอมึงรู้ว่าเขามีแฟน มึงก็จิตตกจนโดดเรียนไปหลายวัน”

    “แล้วมึงก็โทรมาฟ้องแม่กู...ว่ากูโดดเรียน”

    แบคฮยอนหัวเราะ “เออ มึงนี่ความจำดีแฮะ” เขาหันมายิ้มร่า “ก็กูไม่มีทางเลือกนี่นา กูโทรไปหามึง มึงก็ไม่ยอมรับสาย พอโทรไปมากๆ มึงก็ปิดเครื่องหนี กูเลยต้องโทรไปหาแม่มึงอ่ะ ตอนนั้นแม่เป็นห่วงมึงมากเลยนะ”

    “......”

    “กูก็เป็นห่วงมึงเหมือนกัน... ทุกคนเป็นห่วงมึงจะตายห่า”

    “......” พอมาย้อนคิดตอนนี้แล้วผมก็รู้สึกผิด นี่เป็นหนึ่งในหลายๆเรื่องที่ผมทำให้แบคฮยอนต้องเป็นกังวล

    “แล้วตอนนี้ซูจีเป็นไงบ้าง มึงยังติดต่อเขาอยู่รึเปล่า” แบคฮยอนถามต่อ

    ผมส่ายหน้า “เลิกติดต่อไปชาตินึงแล้ว พอกูรู้ว่าเขามีแฟน กูก็ไม่คุยกับเขาอีกเลย แฟนเขาขี้หึง กูไม่อยากมีเรื่องชกต่อยกับใคร”

    แบคฮยอนพยักหน้ารับรู้ ผมอยากจะถามเขาเหมือนกัน ว่าตอนนี้ แบคฮยอนยังติดต่อกับพี่คริสอยู่หรือเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ถามออกไป ผมกลัวว่ามันจะไปจี้อะไรบางอย่างในใจแบคฮยอนเข้า

    “มึงทำงานเป็นตากล้อง มึงไม่เจอนางแบบน่ารักๆบ้างเหรอ”

    “เจอสิ” ผมตอบสั้นๆ

    “เจอ?... แล้วไง... ไม่ถูกใจมึงซักคนเลยเหรอ”

    ผมส่ายหน้า “มึงเห็นกูเป็นคนเจ้าชู้รึไง ถ้ากูไม่รู้สึกว่าใช่จริงๆ กูก็ไม่ยุ่ง”

    “......”

    จากนั้นบทสนทนาก็ขาดตอนไป แบคฮยอนแหงนหน้ามองฟ้า ฝนขาดสายไปแล้ว เหลือเพียงความชื้นแฉะลอยกรุ่นอยู่ในอากาศ ผืนฟ้าในคืนนี้ไร้ดาว ผมมองเห็นเพียงแผ่นเมฆหนาที่สะท้อนแสงไฟจากในเมือง

    “มึงรู้ไหมทำไมกูถึงเลิกกับพี่คริส”

    แบคฮยอนถามผมแบบนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ และผมก็จะตอบเขาเหมือนเดิม “เพราะมึงรู้สึกว่ามึงไม่ได้รักเขาขนาดนั้น...”

    “แล้วมึงรู้ไหมทำไมกูถึงไม่ได้รักเขาขนาดนั้น”

    “......” นี่เป็นคำถามใหม่ แบคฮยอนไม่เคยถามผมแบบนี้มาก่อน

    เขาหันมามองผม ชั่ววูบเดียวเขาก็หันหน้ากลับไปทางเดิม เสียงของแบคฮยอนเบาหวิว “...กูรอมึงอยู่”

    “......”

    “สามปีที่กูอยู่กับมึง มึงทำให้กูรู้สึกว่า...กูรักใครนอกไปจากมึงไม่ได้อีกแล้ว” แบคฮยอนกำโซ่ชิงช้าแน่น เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ปลายเท้าของเขากำลังเตะทรายบนพื้น ในขณะที่ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ รู้สึกเหมือนตัวแข็งเป็นท่อนไม้ไปแล้ว

    แบคฮยอนไม่เคยเปลี่ยนไป แม้ผมจะคิดว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม... แต่ไม่เลย... นี่คือแบคฮยอนคนเดิม

    “เมื่อปีที่แล้ว กูไปดูไพ่ทาโร่มาด้วยนะ... กูถามหมอดูเรื่องมึงด้วย ชานยอล”

    “......”

    “หมอดูบอกกูว่า...มึงเป็นเนื้อคู่ของกู” แล้วแบคฮยอนก็หัวเราะ “แต่หกเดือนต่อมา กูไปดูไพ่มาอีกรอบ เขากลับบอกกูว่า มึงกับกูจะไม่ได้เจอกันอีก”

    “......”

    “กูก็เลยไม่รู้จะเชื่ออันไหนดี...” คราวนี้แบคฮยอนก้มหน้าต่ำ เขาเตะเม็ดทรายจนมันลอยคลุ้งขึ้นกลางอากาศ รองเท้าของเขาเละเทะไปหมด “สุดท้ายกูก็เลยไม่เชื่ออันไหนซักอัน”

    “......” ริมฝีปากผมหนักอึ้ง เมื่อผมเห็นน้ำใสหยดหนึ่งร่วงเผาะลงบนตักของแบคฮยอน เขายังคงไกวชิงช้าเป็นจังหวะเนิบนาบ เขาเลิกเตะทรายแล้ว แต่แบคฮยอนกำลังฝังปลายเท้าตัวเองลงใต้กองทราย

    “กูตัดสินใจเชื่อตัวเอง วันที่จงอินนัดเพื่อนมากินข้าว กูก็เลยตัดสินใจมาด้วย...”

    “......”

    “เพราะกูเหนื่อย กูแค่อยากเห็นหน้ามึงให้หายเหนื่อย กูอยากชาร์จแบตฯให้ตัวเอง ก่อนจะต้องกลับไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริงตามลำพัง”

    “......”

    “ขอบใจนะ วันนั้นกูมีความสุขมากเลย” แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเขาแดงก่ำ “กูมีความสุขที่ได้นั่งดูรูปถ่ายของมึง และกูก็ดีใจ ที่มึงยังเก็บของทุกชิ้นที่กูให้ ทั้งถ้วยกาแฟ โพสท์อิท แล้วก็สมุดเล่มนั้น”

    “......” ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้เห็นน้ำตาของเขา ผมเพิ่งรู้ว่าการนั่งมองคนที่ตัวเอง รัก ร้องไห้...มันทำให้ผมจุกในอกมากขนาดนี้

    “สี่ทุ่มครึ่งแล้ว กลับกันดีกว่า ขอบตามึงคล้ำแล้วน่ะ อดนอนล่ะสิท่า...” แบคฮยอนยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง เขาลุกขึ้นจากชิงช้า และเดินลิ่วๆห่างผมไปเรื่อยๆ

    สามปีที่เขารอผม ผมทำให้เขาเหนื่อย ทำให้เขาร้องไห้ นับจากนี้ไป ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว

    ผมก้าวดุ่มๆไปถึงตัวแบคฮยอน และตวัดแขนโอบร่างเล็กไว้จากด้านหลัง

    “......”

    เราต่างฝ่ายต่างนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร ผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองรัวถี่อยู่ในอก และได้ยินเสียงลมหายใจของเขา กลิ่นหอมที่คลุ้งอยู่รอบตัวเขาไม่เคยเปลี่ยนไป ผมสงสัยมาตลอดว่ามันคือกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ กลิ่นเสื้อผ้าที่เขาใส่ หรือกลิ่นสบู่ที่ยังคงค้างอยู่บนผิวเขากันแน่

    น้ำอุ่นหยดแล้วหยดเล่าร่วงเผาะลงบนแขนผม แบคฮยอนร้องไห้โดยปราศจากเสียง ไม่มีการสั่นสะอื้นเลยด้วยซ้ำ

    ผมคลายอ้อมแขนออกเล็กน้อย พลางพลิกตัวแบคฮยอนให้หันมาเผชิญหน้ากับผม ผมรั้งเอวเล็กเข้ามาชิดกาย พร้อมทาบหน้าผากลงไปชิดหน้าผากของเขา

    “ขอโทษนะ...”

    “......” คนตัวเล็กเม้มริมฝีปากแน่น เขายังคงช้อนตามองผม

    “เหนื่อยมากเลยใช่ไหม” ผมประคองซีกหน้าของเขาไว้ด้วยอุ้งมือ พลางไล้ปลายนิ้วโป้งไปตามโหนกแก้มชื้นน้ำตาเบาๆ “...ขอคบตอนนี้ คงไม่ช้าไปหรอกใช่ไหม”

    “......” เขื่อนน้ำตายังคงทะลักออกมาไม่หยุด

    ผมขยับริมฝีปากเข้าไปใกล้เขา และปิดระยะห่างระหว่างเราด้วยจุมพิต ผมแตะเขาเบาๆ ริมฝีปากของเขาสั่นระริก แต่ผมรู้ดีว่ามันไม่ได้สั่นเพราะความกลัว

    ผมผละออกมาชั่วอึดใจหนึ่ง จากนั้นก็บดเบียดเข้าไปอีกรอบ เขาตอบรับสัมผัสจากผม ทั้งๆที่น้ำตายังไหลอาบแก้ม ผมปาดน้ำตาของเขาออกด้วยปลายนิ้วโป้ง

    ลมหายใจอุ่นหยาดรดซีกหน้ากันและกัน กลีบปากอ่อนนุ่มเผยอหายใจ ผมอาศัยจังหวะนี้สอดลิ้นชื้นเข้าไปกวาดต้อนความหวาน ซึ่งแบคฮยอนก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ปลายลิ้นเล็กหยอกล้อผมกลับมา เรากอดกันแน่นขึ้นไม่รู้ตัว

    “อยู่ด้วยกันนะ...” คือประโยคแรกที่เขากระซิบบอกผม หลังจากเราผละจากกัน

     

     

    ผมพาเขากลับคอนโดของผม นี่เป็นครั้งที่สองที่แบคฮยอนมาค้างคืนที่นี่

    เราร่วมรักกัน... บทรักผ่านไปรอบแล้วรอบเล่า แต่เราก็เสพย์สุขกันได้อย่างไม่รู้จักเบื่อ

    สายลมยามดึกปัดเป่าเมฆฝนออกไป ในที่สุดฟ้าโปร่งก็กลับมา คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง แสงสีเงินสาดเข้ามาในห้องนอนของผม มันอาบไล้เรือนร่างที่นอนบิดเร้าอยู่ใต้ร่างผม จนผมไม่กล้ากระพริบตาแม้เพียงวินาทีเดียว

    ผมไล้มือไปตามผิวกายของเขาอย่างหลงใหล ก่อนจะรวมเป็นหนึ่งกับเขาอีกครั้ง

     

    รุ่งเช้าวันอาทิตย์... ผมมั่นใจว่าผมเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก

    ภาพแรกที่ผมเห็นหลังลืมตาตื่น คือใบหน้าสุขสงบของเพื่อนตัวเล็ก ที่นอนซุกอยู่ในอ้อมแขนของผม แบคฮยอนนอนหลับตาพริ้ม ริมฝีปากของเขาเผยอหายใจเข้าออก

    ผมชะเง้อมองนาฬิกาข้างเตียง สิบโมงแล้ว ผมควรจะลุกจากเตียงได้แล้ว แต่ผมก็ยังนอนอ้อยอิ่งต่อไป

    ผมนอนมองหน้าเขาไปเรื่อยๆ เวลาเลยผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า แต่ผมก็ยังไม่อยากขยับตัว แบคฮยอนดูหลับสบายเหลือเกิน

    “แอบมองเหรอ...”

    “......” จู่ๆริมฝีปากของแบคฮยอนก็ขยับได้ เขาหลับอยู่ไม่ใช่หรือ

    แบคฮยอนลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง เขาหรี่ตามองผม พลางยกยิ้มมุมปาก “กูตื่นตั้งนานแล้ว”

    “......”

    “รอมึงตื่นอยู่น่ะแหล่ะ กอดกูซะแน่น กูลุกจากเตียงไม่ได้เลยเนี่ย”

    “......”

    แบคฮยอนยกมือขึ้นบีบจมูกผมเบาๆ แป๊บเดียวเขาก็คลายนิ้วออก “วันนี้ต้องทำอะไรรึเปล่า” เขาถามผม

    “ความจริง...ตั้งใจจะออกไปถ่ายรูป”

    “แล้ว...?”

    “แต่...เปลี่ยนใจแล้วล่ะ ไม่อยากออกไปถ่ายรูปแล้ว”

    “......”

    ผมกระชับอ้อมแขน รั้งตัวแบคฮยอนเข้ามาใกล้อีกครั้ง ผมโน้มปลายจมูกเข้าไปคลอเคลียแก้มนิ่มของเขา

    “ช...ชานยอล...”

    “กูได้นายแบบแล้ว... ไม่จำเป็นต้องออกไปถ่ายรูปข้างนอกหรอก กูไม่ได้ถ่ายรูปในห้องนอนมานานแล้วด้วย”

    “อะไรของมึงเนี่ย...” มือเล็กพยายามผลักอกผมออก “ชานยอล! เดี๋ยว...”

    “แต่กูเป็นศิลปิน ก่อนกูจะถ่ายรูป กูต้องบิลด์อารมณ์อีกสักรอบ...”

    ทันทีที่ผมพูดประโยคนั้นจบ แบคฮยอนก็หน้าแดงเถือกไปทั้งหน้า “บิลด์อารมณ์อะไรของมึง”

    “กลัวเหรอ... ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ทีเมื่อคืนยังไม่เห็นกลัวเลย...” แล้วผมก็ฉีกยิ้มให้เขา อย่างที่ผมไม่เคยยิ้มให้ใครมาก่อน

     

    วันนี้เป็นวันแรก ที่ผมได้เรียนรู้ว่า... บยอน แบคฮยอน เป็นนายแบบที่ทั้งน่ารัก ทั้งเย้ายวน ทั้งรู้หน้าที่

    เขา เก่ง ยิ่งกว่านางแบบคนไหนๆที่ผมเคยร่วมงานด้วยซะอีก

     

    ผมอยากทำให้เขามีความสุข ให้สมกับสามปีที่เขารอคอย

    ตลอดสามปีที่ผ่านมา เราเดินสวนกัน เดินเลี้ยวลัดกันไปคนละทาง เส้นทางของผมกับเขาไม่มีจุดตัด ไม่ว่าเขาจะพยายามไล่ตามผมยังไง เขาก็ไม่เคยไล่ตามผมทัน เพราะผมเอาแต่เดินหนีเขา เดินหนีความรู้สึกที่แบคฮยอนพร้อมจะมอบให้เสมอ

    ในที่สุด วันนี้เราก็มาพบกันที่ทางแยก มันคงเป็นทางแยกที่แบคฮยอนเฝ้าฝันหามาเนิ่นนาน... เพราะ ณ ทางแยกนั้น ผมยืนรอเขาอยู่ ผมยื่นมือไปหาเขา เราจับมือกัน นับแต่นี้ต่อไปเราจะเดินไปด้วยกัน

     

    ผมจะไม่ปล่อยมือแบคฮยอนอีก...

     

























    ฟิคชานแบค และฟิคเอ็กโซเรื่องแรก ฝากด้วยนะคะ >.<

     

    ปล. เพลงที่เปิดในรถ คือเพลง “My song and…” ของยุนฮาค่ะ

     

     

     

    -ปราง-

    16 JUNE 2012

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×