ตอนที่ 46 : ครั้งที่ 41 ซื้อของ
ครั้งที่ 41 ซื้อของ
[ธันวา]
ง่วง...
เมื่อคืนกว่าจะนอนได้ก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน เวลาส่วนใหญ่เสียไปเพราะไอ้หยางไม่ยอมให้ผมหลับ มันสะกิดให้ตื่นมาฟังคำขอโทษทุกๆ สิบวิ บอกว่าไม่โกรธแม่งก็ไม่ฟังเลย ถ้าสถานที่เอื้ออำนวยกว่านี้มันคงยกบายศรีมาขอขมาผมแล้ว
“อ่าว ไอ้พวกนี้มันตื่นเช้าว่ะเฮ้ย เมื่อคืนหลับสบายไหม”
“ครับ”
“ปู่ก็ตื่นเช้าเหมือนกัน แล้วนี่จะไปไหน” ร่างสูงเอ่ยถามเจ้าของบ้าน สภาพปู่พร้อมไปด้วยหมวก เสื้อกั๊ก รองเท้าบูท ไหนจะถุงมือกันความหนาวกับแว่นดำอีก มองเลยไปอีกหน่อยคุณจะเห็นรถเวฟแดงประจำตำแหน่ง เฮ้ยเท่ว่ะ ชายชราคิ้วบอย
“ไปซื้อของให้ย่ามึงทำลูกชุบ”
“โหย ขาก็ไม่ค่อยดียังจะขี่รถอีก ตกห้วยตกภูที่ไหนขึ้นมาใครจะไปรู้กับปู่เนี่ย มา ผมกับไอ้ธันไปซื้อให้” ผมชอบตอนสองคนนี้คุยกัน ถ้าไอ้หยางไม่ใช่คำว่าผม - ปู่ ผมคงคิดว่าสองคนนี้เป็นเพื่อนที่ก๊งเหล้ากันมาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ปู่ก็ห้าว หลานก็ห้วน เป็นความสัมพันธ์แมนๆ ที่รับรู้ได้ด้วยใจว่าทั้งคู่รักกันดี
“ไม่ต้อง กูยังฟิตโว้ย”
“ผมฟิตกว่า”
“ฟิตกว่ายังไง มึงทำเมียท้องลูก 5 คนเหมือนกูได้รึเปล่าล่ะ”
“...”
อู้ย
ผมนี่ยืนตัวตรงไม่รู้จะวางตาไว้ตรงไหนเลยครับ ส่วนไอ้คนข้างๆ ก็น็อคกลางอากาศตามเคย เป็นอีกครั้งที่คุณหัสดินไม่สามารถชนะฝีปากบรรพบุรุษตัวเองได้ เพลงพี่ป้างลอยเข้ามาในหัวผมเลย ฉันแพ้ทางคนอย่างเธอ…
“พวกมึงอยู่เฝ้าบ้านนี่แหละ กูไปละ”
“เดี๋ยวดิปู่ ให้ผมไปเหอะ ว่าจะพาไอ้ธันไปถ่ายรูปด้วย” พูดพลางชี้ให้ดูกล้องที่คอผม เราคุยกันไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปถ่ายรูปแถวนี้เอาไว้ให้ผมวาดรูปเล่น แต่มันก็แค่ข้ออ้างความจริงคือมันห่วงปู่เฉยเฉ๊ย
“อ้าว เป็นตากล้องเหรอ”
“เป็น”
“เป็นอะไร?”
“เป็นเมียผมนี่แหละ”
ปั่ก!
“เดี๋ยวเถอะมึง” เหมือนปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ พอได้ยินประโยคกวนตีนฝ่ามือก็ฟาดลงบนไหล่กว้างดังป้าบ เสียงดังกังวานยิ่งกว่าระฆังวัดพระแก้ว แต่คนโดนกระทำกลับยิ้มรับหน้าชื่นมื่น ไอ้หนังหนา มึงกล้าพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนในครอบครัวได้ไงวะ
“ฮะๆ”
“เอ็งว่าไงนะ เมื่อกี้ปู่หันไปคุยกับย่าเลยไม่ทันฟัง?”
“ผมบอกว่ามันเป็นเม-”
“เปล่าครับ มันไม่ได้พูดอะไรเลย” ผมยิ้มกลบเกลื่อน ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อนสนิทก่อนที่มันจะพูดจบ ไม่ลืมที่จะส่งสายตาพิฆาต ขยับปากพูดไม่มีเสียงว่า ‘เงียบปากของมึงไปซะหัสดิน...’ ให้มันเข้าใจด้วย “มึงไม่ได้พูดอะไรเลยเนอะ ฮะๆ”
“อ่าฮะ ไม่ได้พูดอะไรเลย”
“งั้นเหรอวะ แต่เหมือนกู-”
“ตกลงว่าพวกผมจะไปซื้อให้เอง ปู่ไปช่วยเมียตัวเองทำกับข้าวไป๊ อยู่คนเดียวนานๆ เดี๋ยวเขาก็เหงาหรอก” นักเรียนม.ปลายใช้จังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ เข้าไปแย่งรายการของที่ต้องซื้อในมือปู่มาถือไว้เองและไม่รีรอให้โดนด่าก็รีบคว้าแขนผมให้วิ่งไปด้วยกัน
“อ้าวเฮ้ย บักห่า! = _ =”
“จะรีบกลับมา ไม่ต้องห่วง!”
“หมอกมันหนานะโว้ย! ทางก็ไม่คุ้นเดี๋ยวรถก็ล้มหรอก”
“ไม่ล้มหรอกปู่ ผมจำทางได้!”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิไอ้พวกนี้ กลับมาก่อน!!”
เสียงตะโกนตอบโต้กันของปู่หลานสนั่นทั่วป่าฟังคล้ายทะเลาะกันมากกว่าคุย ไอ้ไปป์ที่อยู่ข้างบ้านถึงกับต้องออกมาดูว่าสองคนนี้ตีกันตายแล้วรึเปล่า แต่คุณหัสดินเขาก็ยังไม่สะทกสะท้าน โบกมือบ๊ายบาย ส่งจูบให้คนข้างหลังปรอยๆ
เฮ้ย นี่มันรถมึงไม่ใช่เหรอ
“กูจะเอารถไป” ผมตบแผ่นหลังกว้างหวังให้แม่งปล่อยผมลงไปขึ้นรถตัวเองแต่ไม่ทันแล้วเพราะพอตีปุ๊บ มันก็บิดปั๊บ ไอ้เชี่ยยยยย นี่มึงจงใจใช่ไหม แล้วทำไมกูความรู้สึกช้าแบบนี้! มานั่งบนเบาะแล้วเพิ่งจะตรัสรู้ว่าตัวเองซ้อนมันอยู่
“ไม่ได้”
“ทำไม”
“อันตราย หมอกหนามองไม่เห็นทาง ถนนก็ลื่น ร้านอยู่ไหนมึงก็ไม่รู้ ขืนให้ขี่เองมีหวังต้องไปโรงบาลแทนร้านค้า” ถ้าไม่ติดว่าเป็นความจริงทุกประการผมคงเถียงไปแล้ว ครั้งนี้ยกผลประโยชน์ให้จำเลยก็ได้วะ กูจะทำเมินรอยยิ้มน่าหมั่นไส้กับหน้าแป้นแล้นของมึงสักครั้ง…
คิดถูกแล้วที่ยอมซ้อน
นอกจากระยะหนึ่งเมตรรอบตัวผมมองไม่เห็นอะไรเลย ทุกอย่างขาวโพลนไปหมดเหมือนอยู่ในเมฆก้อนใหญ่ ละอองความชื้นที่ลอยอยู่กลางอากาศเองก็เยอะไม่แพ้กัน ทั้งชื้น ทั้งหนาว บรื๋อ คนที่นี่ต้องถึกขนาดไหนถึงใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
“ปู่กูโคตรดื้อ”
“มึงก็เหมือนกัน ไม่บอกปู่ไปล่ะว่าเป็นห่วง”
“ไม่เอาอ่ะ” คู่สนทนาเบ้ปาก วันนี้มันเสยผมขึ้นเซอร์ๆ ใส่เสื้อแขนยาวสีดำเข้าคู่กับกางเกงสีซีด ต่างกับผมที่ใส่เสื้อฮู๊ดสีขาวกางเกงขาจั๊มโดยสิ้นเชิง จะมีสักวันไหมที่มันหล่อน้อยกว่าผม ผมว่าเสื้อผ้าไม่ได้มีผลเท่าไหร่หรอก ประเด็นหลักอยู่ที่เบ้าหน้าแบดบอยกระชากใจของมัน ด้วยหน้าแบบนี้ถึงจะใส่แค่เสื้อกล้ามกางเกงบอลยังดูหล่อเล๊ย
“โถ พ่อหนุ่มปากหนัก”
“แต่รักจริงนะ”
“...”
“รักมากด้วย”
นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ กระแสเสียงเองก็เจือความรู้สึกรักใคร่ ไม่บ่อยนักที่มันจะแสดงออกตรงๆ อย่างนี้ และเพราะไม่บ่อยนี่แหละผมก็เลยไม่ชิน ตัดสินใจเงียบสงบสยบทุกการเคลื่อนไหว
“ไม่ตอบอะไรหน่อยเหรอ”
“...”
“กูจะรอนะ”
ตลอดทางเราไม่ได้คุยกันสักประโยค ถ้าไม่มีอุณหภูมิอุ่นๆ จากตัวเจ้าของรถผมคงคิดว่าอยู่คนเดียว ถามว่ารู้สึกยังไงกับประโยคเมื่อกี้… ก็จั๊กจี้ดี หึๆ
ร้านค้าขนาดกลางติดถนนภายในมีของเยอะพอตัว ที่นี่อารมณ์คล้ายๆ ซุปเปอร์มาเก็ตแต่เก่ากว่า ใยแมลงมุมเต็มเพดาน ข้างฝามีรอยร้าว ป้ายร้านเป็นแบบแกะสลักด้วยมือดูวินเทจพิลึก เห็นแล้วต้องยกกล้องขึ้นมาถ่ายไว้สองสามรูป แนวสัส ลุงเจ้าของร้านต้องเป็นฮิปสเตอร์แน่เลยถึงได้ใส่รองเท้าแตะแค่ข้างเดียว
อ่าว ไม่ใช่ว่ะ
“ไหนดูดิว่าต้องซื้ออะไรบ้าง… ถั่วเขียวเลาะเปลือก ผงวุ้น สีผสมอาหาร”
“แยกกันหาไหม”
“เอางั้นก็ได้ มึงไปหาถั่วเขียวนะเดี๋ยวกูหาที่เหลือเอง มันน่าจะอยู่ใกล้ๆ กันมั้ง”
“อือ แล้วเอาสีอะไรบ้าง”
“เอาสีที่ผักผลไม้มีอ่ะ ส้ม แดง อะไรพวกนั้น”
“เค งั้นเดี๋ยวถ้าเจอแล้วจะไลน์ไป” ตะโกนเรียกคงไม่ได้ ลุงหน้าตาเคร่งสุดตีน นี่ถ้าผมทำของร่วงเขาจะกระโดดกัดคอผมไหม...
ผมเดินหาของที่ต้องการอยู่นานสองนานแต่ก็ไม่เจอสักที ของจะเยอะไปไหนวะ เยอะไม่ว่าหรอกแต่ดันไม่เป็นระเบียบไม่แยกหมวดหมู่ด้วยนี่สิ ถ้ารีบร้านนี้คงไม่อยู่ในตัวเลือกของผมอ่ะบอกเลย
“อะ นี่ไง”
ในที่สุดความพยายามก็เป็นผล ขวดสีผสมอาหารที่เรียงรายอยู่นับสิบเปรียบเสมือนโล่รางวัลแห่งชัยชนะที่โคตรน่าภูมิใจ ยืนสรรเสริญความเก่งของตัวเองสักพักผมก็เริ่มเลือกสีตามที่ไอ้หยางบอก อืม… ต้องมีสีใบไม้ สีผลไม้ สีผัก อืม… สีม่วง สีเหลืองด้วยละกัน
พอน่าจะครบแล้วผมก็ถ่ายไปให้เพื่อนสนิทดู เผื่อว่าขาดเหลืออะไรอีกจะได้เอาไปเลยเพราะถ้าให้กลับมาที่นี่อีกผมคงมาไม่ถูก ทางคดเคี้ยวอยู่ในหลืบเกิ๊น
Thanwa : เท่านี้พอไหมมึง *ส่งรูปสีผสมอาหารในตะกร้า*
Yang : พอๆ แล้วมึงเจอผงวุ้นป่ะ
Thanwa : ยังเลย ขอหาแป๊บ
Yang : เค กูก็กำลังหาถั่วเขียวอยู่ แม่งมีแต่ถั่วแดง กูงงเลยสัส
Thanwa : 555555
ผมตอบกลับไปเท่านั้นก็เริ่มเดินหาอีกหนึ่งอย่าง ครั้งนี้ไม่ได้หายากเหมือนครั้งที่แล้ว มันอยู่ใกล้กันอย่างที่ไอ้หยางบอกจริงๆ แต่… ไอ้เชี่ย อยู่โคตรลึก ผมเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำยังไงเมื่อซองผงวุ้นอยู่ข้างหลังสุดของชั้นสาม นอกจากจะอยู่ลึกแล้วยังมีแต่หยากไย่
นี่มันยังไม่หมดอายุใช่ไหม = _ =
ไม่มั้ง ถึงจะเก่าไปบ้างแต่ร้านก็ได้มาตรฐาน ลุงคงมีจรรยาบรรณพ่อค้าบ้างแหละ ผมพิจารณาอยู่นานกว่าจะได้ข้อสรุปว่าจะลองดูก่อน ถ้ามันหมดอายุค่อยไปหาซื้อที่อื่น คิดได้ดังนั้นก็จัดการเอื้อมมือไปหาซองสีขาวแต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนปลายนิ้วก็แตะไม่ถึงสักที
โว้ยยยยยย ยากเย็นนักนะมึง จะเอาใช่ไหม
ความอดทนของผมขาดผึง เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ทุกอย่างบีบบังคับให้ผมยัดหัวเข้าไปในชั้น ขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นจนในที่สุดก็ได้ผงวุ้นมา เยส! ให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ พุทโธ่ แค่นี้ไม่คณามือกูหรอกบอกเลย คราวหน้าเอาไปวางไว้บนหลังคานะลุง
วุ้ว เยี่ยมเลยไม่หมดอายุด้วย
“ไอ้เชี่ย มึงรู้ป่ะว่าถั่วเขียวไปอยู่ตรงไหน” หนุ่มหล่อยังหัวเสียไม่เลิกแม้เราจะออกมาจากร้านแล้ว กูเข้าใจๆ เมื่อกี้กูก็หงุดหงิด ผมว่าลุงควรเปลี่ยนชื่อร้านเป็นเขาวงกตหรือไม่ก็กระเป๋าผู้หญิง หาของยากเกิ๊น กูไม่สงสัยเลยทำไมถึงไม่ค่อยมีลูกค้าทั้งๆ ที่เป็นร้านเดียวในละแวกนี้
“ตรงไหน”
“ชั้นล่างสุด อยู่รวมกับซอสมะเขือเทศ ...แบบนี้ก็ได้เหรอวะไอ้เหี้ย = _ =”
“ผงวุ้นเหมือนกัน อยู่โคตรลึก กูนี่โคตรหงุดหงิดกว่าจะได้มาลำบากฉิบหาย” แต่กูก็ได้มาแล้ว อิอิ
“เออ กูเชื่อ”
“หน้ากูดูเหนื่อยมากเหรอ”
“เปล่า หัวมึงอ่ะหยากไย่ตรึมเลย กูนึกว่ารังนก”
“เฮ้ย จริงดิ”
“เออ เดี๋ยวเอาออกให้” จบประโยคอีกฝ่ายเขยิบเข้ามาใกล้ ผมก็พยักหน้าตกลงเพราะห่วงเรื่องความสกปรกบนหัว ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเลย ถ้าย้อนเวลากลับไปได้อยากจะตะโกนกลับไปว่า ‘ไม่ต้องโว้ย’
แต่ทำไม่ได้ไง
นิ้วเรียวบรรจงดึงเส้นใยสีขาวออกจากกลุ่มผม ด้วยระยะห่างที่น้อยนิดหากมีคนหนึ่งหายใจอีกคนก็รับรู้ได้ทันที มันจะรู้ไหมว่าทุกครั้งที่ตัวเองสบถ ลมร้อนก็จะเป่ารดหูผมโดยไม่ตั้งใจ ผมกำเสื้อแน่นทุกครั้งที่เป็นอย่างนั้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการก้มหน้าปล่อยให้ร่างสูงหยิบหยากไย่ออกจนหมด
“อ่ะ หมดแล้ว”
“อือ แต๊ง...”
“เป็นอะไร”
“อะไร”
“ก็หน้าแดงๆ”
“อ่อ… สงสัยแพ้หยากไย่” ผมเอามือไพล่หลังตอบรับเสียงในลำคอ เสหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่สนใจทั้งๆ ที่ไม่ใช่ อาการตื่นเต้นเลือดสูบฉีดทั่วร่างกายยังคงอยู่ กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวอีกฝ่ายยังติดจมูกไม่หาย จดจำได้แม้กระทั่งสัมผัสอ่อนโยนที่ลูบเส้นผม ผมไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร
แต่ให้ตายสิ ผมไม่อยากยอมรับเลยว่าตัวเองกำลังเขินผู้ชาย
มันไม่ใช่การอายเหมือนที่แล้วๆ มา ครั้งนี้คือเขินจริงๆ เขินที่มีสาเหตุมาจากไอ้หยาง เขินเพราะการกระทำของมันล้วนๆ ไม่มีตัวละครอื่นมาเป็นตัวแปร ไม่มีเพื่อนล้อ ไม่มีเสียงโห่แซว ...เอาไงดีวะผมประหม่าสัสๆ ระหว่างเท้าซ้ายกับเท้าขวาจะก้าวเท้าไหนก่อนดี
“กลับบ้านกัน”
“...”
“เร็ว ย่ารอ” ห้ะ...
“อ่อ เออ”
อะไรของมัน
ผมได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจขณะวิ่งไปขึ้นรถ อยู่ๆ ใบหน้าหล่อก็ขรึมกะทันหัน คิ้วเข้มทั้งสองขมวดเป็นปม มุมปากตก ท่าทางอารมณ์ไม่ดีทำเอาความรู้สึกก่อนหน้านี้ปลิวหายไปในพริบตา สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือความฉงน จะบอกว่าหงุดหงิดเรื่องหาถั่วก็ดูจะดีเลย์ไปหน่อย อากาศก็ไม่ร้อน
หรือหิวข้าว?
[หยาง]
ผมกำลังโดนทรมาน
ซึ่งไอ้ต้นเหตุไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำเรื่องโหดร้ายลงไปแล้ว ...ผมรู้มาตลอดว่าไอ้ธันน่ารักแต่เมื่อกี้น่ารักเป็นพิเศษ น่ารักมาก มากๆ ...แก้มใสซับสีเลือดรามไปถึงใบหู ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน่าทะนุถนอม ไหนจะเสียงแผ่วเบาที่เกือบจะกลายเป็นเสียงกระซิบนั่นอีก
ไม่โอเคเลย
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ มีหวังผมได้ตายเพราะหมดความอดทนแน่ สารภาพเลยว่าผมอยากกระโดดเข้าไปฟัดแก้ม จูบปากแล้วก็กัดคอให้ช้ำแต่ผมทำไม่ได้ ได้แต่ตีหน้าเข้มแสร้งทำเป็นปกติเพื่อปกปิดความต้องการเอาไว้ โว้ย!
“ย่าครับ ผมซื้อของมาให้แล้ว ให้เอาวางไว้ตรงไหน”
“วางไว้บนโต๊ะเลยเดี๋ยวย่าขอไปเอาหม้อก่อน”
“ย่าจะทำวันนี้เลยเหรอ”
“ใช่ลูก งานมีพรุ่งนี้แล้วเดี๋ยวไม่ทัน”
“อ่อ โอเค”
“หยางพาธันไปนั่งรอก่อนถ้ากวนถั่วเสร็จแล้วย่าจะเอาไปให้ปั้น”
“ครับ” ผมรับคำ พาแขกของบ้านไปนั่งรอที่โต๊ะทานข้าว ไม่ลืมที่จะตีเนียนนั่งคนละฝั่ง หย่อนก้นลงแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง ผมขอเวลาปรับสภาพสักครู่ ไอ้หน้าเจ้าปัญหายังติดตาผมอยู่เลย ไม่ดีแน่ถ้าเราสบตากันตอนนี้ เชี่ยเอ๊ย… รู้งี้ลาก 2T มาด้วยก็ดี อย่างน้อยไอ้เทรนด์ก็น่าจะรู้วิธีรับมือสถานการณ์
“ครอบครัวมึงทำลูกชุบแจกทุกปีเหรอ”
“อือ”
“กูถึงว่าล่ะทำไมมึงดูแต้มบุญเยอะฉิบ”
“เหรอ”
“เออดิ เวลาทำอะไรมึงก็จะโชคดีกว่าคนอื่นตลอด กูยังอิจฉาเลย” ร่างโปร่งทำหน้าหมั่นไส้ ขยับมือเข้ามาหมายจะฟาดไหล่แต่ผมเบี่ยงหลบทัน อย่าหวังจะได้แตะ ...วินาทีนี้กูได้ทำการเบิกประสาทสัมผัสทั้งห้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แมลงวันที่ว่าเร็วก็ตบตายคามือได้สบายๆ
“ไม่หรอก ฮะๆ”
“อ่า… เหรอ”
บทสนทนายังคงดำเนินต่ออย่างน่าอึดอัด ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่าว่าไอ้ธันพยายามแตะตัวผม จากที่นั่งตรงข้ามกันแม่งก็ย้ายมานั่งข้างๆ มือซนปัดป่ายเข้าใกล้ทุกครั้งที่ได้โอกาส ขอเถอะไอ้เหี้ยคิดซะว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราคือพระกับสีกา อย่าโดนอาตมาเดี๋ยวอาบัติ!
“ขยับไปนั่งที่เดิม”
“ทำไม?”
“เวลาปั้นลูกชุบศอกจะได้ไม่ชนกันไง”
“ทำไมต้องคนละฝั่ง นั่งตรงนั้นไม่ได้เหรอ” เจ้าของริมฝีปากน่าจูบชี้ไปที่เก้าอี้ตัวถัดไป แม่งเอ๊ย เผลอสบตากับมันจนได้...
“ไม่ได้ ตรงนั้นแดดส่อง”
“อ่อ… เหรอ”
มันยอมกลับไปที่เดิม เราห่างกันแล้ว แต่ยังอึดอัดอยู่เลยว่ะ สายตาที่คู่สนทนาใช้มองช่างทิ่มแทง หากเป็นมีดตัวผมคงพรุนเป็นฟองน้ำ ไหนจะวาจาเชือดเฉือนที่จงใจขยี้ถามเรื่องนี้อีก ปล่อยวางบ้างเถ้อ คนเราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องหรอก มึงไม่ใช่ไบเบิ้ล...
“ที่มึงนั่งก็มีแดดนี่ มานั่งหัวโต๊ะไม่ดีกว่าเหรอ”
“ไม่เป็นไร ไม่ร้อน” ถึงแดดร้อนกูก็ไม่ไปหรอก ก็หัวโต๊ะที่ว่ามันข้างมึงนี่ไอ้สัส
“...อือ”
“เล่น rov กันไหม”
“เล่นไม่เป็น”
“งั้นกูเล่นแป๊บ”
ขออนุญาตหนีนะครับ...
นับว่าการเล่นเกมเป็นทางออกที่ดีจริงๆ จากที่ว้าวุ่นเรื่องไอ้ธันก็เปลี่ยนมาหัวร้อนแทน ไอ้เหี้ย กำลังได้เปรียบมึงเสือกฟาร์ม บางทีก็เยอะไปป่ะ ฟาร์มเยอะขนาดนี้มึงไปเล่นเกมปลูกผักเถอะ เอ้า ไอ้เหี้ยนี่ก็ปล่อยให้แทงค์เปิดแต่เสือกไม่ตาม ไอ้นั่นก็ไม่ดูป้อมเลย ค_ยเอ๊ย!
“หยาง”
“อะไร!” อย่าเพิ่งชวนคุยตอนกูอารมณ์ไม่ดีดิวะ กูต้องใช้สมาธิ
“หยาง”
“เออ!”
“หยาง”
“ครับ...”
สิ่งที่ทำให้หัวผมเย็นลงได้คือปลายเท้าที่ค่อยๆ ลากตามท่อนขาของผม ยอมรับว่าตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้นมาสบตา หัวใจเต้นระรัว มือไม้อ่อนไปหมดตอนเห็นมันเท้าคางยิ้มให้ เมื่อกี้มันถูขาผมเหรอ… แถมยังยิ้มให้ด้วย ถึงจะเป็นยิ้มโหดๆ ก็เถอะ
“เลิกเล่นเกมซะไอ้ควาย ย่าเรียกแล้ว”
“อ่อ”
สรุปว่าย่าตะโกนเรียกหลายครั้งแล้วผมก็ไม่ได้ยินสักที คุณคีรินทร์ก็เลยใจดีจัดการเรียกให้ ...อย่างไรก็ตามการที่มันเรียกสติผมด้วยวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องดีเลย ไม่ดีต่อผมนี่แหละ ผมว่าอยู่กับมันสองคนไม่น่าจะไหวแล้วว่ะ ผมขอใช้กฎอัยการศึก เรียกหน่วยช่วยเหลือด่วน
Yang : ไอ้ไปป์ มึงอยู่ไหน
Pipe : บ้านไงพี่ มีไร
Yang : มาบ้านย่าด่วน เขากำลังจะปั้นลูกชุบกันแล้ว
Pipe : จริงดิ เคๆ เดี๋ยวรีบไปเลย
ถั่วเขียวกวนหม้อใหญ่ถูกวางลงกลางโต๊ะ อย่างอื่นก็พร้อมเช่นกัน มีทั้งวุ้น สีผสมอาหาร ใบไม้ ดูท่าแล้วต้องใช้เวลาปั้นยันเย็น… เพราะงี้ไงผมถึงดีใจที่มีไอ้ลูกพี่ลูกน้องอยู่ด้วย บรรยากาศรอบข้างพลันหายใจสะดวกขึ้นทันตาหลังมันเดินเข้ามาร่วมวง ดีๆ ช่วยพี่ได้มากเลยไอ้น้องรัก
“งั้นก็ปั้นไปนะ เดี๋ยวปู่กับย่าจะไปสอยลูกมะพร้าว”
“เอามาทำอะไรครับ”
“เอามาทำต้นบุญจ้ะ” ต้นบุญคือหยวกกล้วยหรือฟางที่เอามามัดเป็นรูปทรง ใช้เป็นฐานเสียบเงินบริจาคในงานทำบุญต่างๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมที่นี่ถึงใช้มะพร้าว ถามใครก็ไม่ได้คำตอบที่น่าจะใช่สักที พวกเขารู้แค่ว่าใช้แบบนี้มาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ
“ผมช่วยไหม” ผมรีบเสนอตัวเผื่อฟลุคได้ไปจริงๆ วินาทีนี้หนีได้เป็นหนีครับ ถ่านรีโมตมีขีดจำกัดฉันใด ตบะคนก็มีขีดจำกัดฉันนั้น
“แหนะ จะอู้เหรอพี่หยางไม่แมนเลยว่ะ”
“กูเป็นหลานที่ดีต่างหากไม่ได้อยากอู้เลย”
“โกหกชัดๆ พี่ขี้เกียจก็บอกมาเถอะ - _ -”
“พอๆ เลิกทะเลาะกันได้แล้วไอ้พี่น้องคู่นี้ พวกกูจะไปกันแค่สองคนผัวเมียไม่หิ้วกาฝากไปให้เป็นก้างหรอก” ผู้เป็นใหญ่ในใต้ล้าจัดการเคาะหัวหลานปิดจ็อบการโต้วาทีขนาดย่อม ไม่รอนานกว่านั้นก็ลากภรรยาสุดที่รักไปที่สวนอย่างมีความสุข เหอ วันวานยังหวานอยู่จริงๆ ด้วย
“เราก็มาเริ่มปั้นสักทีเถอะ ผมว่าอีกนานเลยกว่าจะทำเสร็จ”
“อือ”
“เมื่อวานผมไปเห็นคนทำลูกชุบปลาทูทอดมา โคตรน่ากิน”
“มึงจะทำเหรอ ยากนะไอ้ไปป์”
“ไม่เอาอ่ะขี้เกียจ หาว”
เอ้า แล้วพูดเพื่ออะไรวะ ...ช่างแม่ง มาสนใจขนมตรงหน้าดีกว่า รู้ไหมของที่เอาไว้แจกโรงทานต้องทำด้วยใจนะครับ คนรับจะได้มีความสุข คนให้เองก็ได้บุญ
“มา”
หืม...
“มาอะไรของมึงไอ้ธัน?”
“สอนกูสิ เมื่อวานมึงบอกเองว่าจะสอน”
“อะ… อ่อ ให้ไอ้ไปป์สอนดีกว่ามั้ง กูปั้นไม่เก่ง เมื่อวานก็โม้ไปงั้นแหละ” ผมอยากสอนใจจะขาดแต่ต้องไม่ใช่วันนี้ วันนี้ใจผมบางจริงๆ
“ในที่สุดพี่ก็ยอมรับความจริงสักที”
“เออ” ฝากไว้ก่อนเถอะมึง...
“มา งั้นผมสอนเองรับรองสามวินาทีรู้เรื่อง”
“ขอบคุณมากไปป์แต่พี่อยากให้มันสอน”
อือ ดีใจว่ะถึงจะรู้ว่าที่พูดแบบนั้นเพราะอะไรก็เถอะ รู้เลยว่าไอ้อุ๋งๆ เริ่มโกรธแล้ว กลิ่นไอมาคุที่ค่อยๆ แผ่ออกมาจากตัวมันเป็นหลักฐานอย่างดี หวังว่าผมจะหายตื่นเต้นไวๆ ไม่งั้นคงโดนแมวน้ำเชือด...
“มึงเก่งศิลปะน่าจะเคยลองปั้นแล้วดิ มึงต่างหากที่ควรจะสอนกู”
“กูชอบวาด ไม่ถนัดงานขึ้นรูป”
“อ่อ… โอเค”
[ธันวา]
“เดี๋ยวกูไปบ้านไอ้ไปป์นะ จะกลับมาดึกๆ”
อีกละ…
โคตรน่าหงุดหงิด ตลอดทั้งวันไอ้หยางเอาแต่ทำหน้านิ่ง ถามคำตอบคำ เผลอเป็นหนี มีโอกาสก็ตีตัวออกห่าง ผมพยายามนึกแล้วว่าตัวเองไปทำอะไรให้มันโกรธรึเปล่าแต่ก็ไม่มี เพราะไม่มีนี่แหละถึงได้น่าหงุดหงิด เป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปีมันไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย
“แล้วกูล่ะ”
“ก็นอนเล่นในห้องไง”
“มึงเป็นอะไรรึเปล่า”
“เปล่า...”
“อย่ามาตอแหล ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าหลบหน้ากู เป็นอะไรก็บอกมาดีๆ” ผมเดินไปดักหน้าคู่สนทนา เป็นการปิดทางหนีไปในตัวแต่เชื่อไหมว่าทำขนาดนี้มันยังไม่สบตาผมเลย ไม่ชอบเลยว่ะ
“ไม่ได้เป็นอะไร”
“...เออ”
เรื่องของมึง
ในเมื่อมันไม่อยากคุยผมก็เลิกเซ้าซี้ กระโดดลงบนเตียงนุ่นราวกับอยากระบายอารมณ์ ไว้อารมณ์ดีเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ฝืนไปก็มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลง ยอมรับว่าโมโหมากขืนคุยต่อผมเองนี่แหละที่จะฟิวขาด คิดได้ดังนั้นก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นให้ใจเย็นลง
คลิปตลกใน IG พอจะช่วยได้บ้างแต่ไม่ถึงขั้นทำให้หัวเราะออก ปัญหาอยู่ที่ตัวผมนี่แหละคลิปไม่ได้ผิดหรอก ถ้ากลับมาดูใหม่ตอนปกติผมคงขำจนน้ำตาไหล
ว่าแต่...
“ทำไมยังไม่ไป”
“ไม่ไปแล้ว”
“...”
ผมไม่ได้สนใจว่ามันจะมีเหตุผลอะไร ยังคงนอนตะแคงเล่นโทรศัพท์ต่อทั้งที่รู้ว่ามีคนยืนมอง เดี๋ยวไปเดี๋ยวไม่ไปตกลงเอาไงแน่ ถ้ามึงเป็นผู้หญิงมีเมนส์กูจะไม่ว่าสักคำแต่นี่เป็นผู้ชายมีไข่
ฟึ่บ
“โกรธเหรอ”
เตียงยุบฮวบด้วยน้ำหนักอีกคน มาถึงตรงนี้ผมก็พอจะรู้แล้วว่าที่ไม่ยอมไปเพราะมาง้อ ก็สมเป็นไอ้หยางดี แต่จะมาง้อทำไมวะในเมื่อผมไม่ใช่ฝ่ายโกรธ
“มึงต่างหากที่โกรธกู”
“เปล่าสักหน่อย”
“แล้วทำไมต้องหลบ” ผมเพิ่มแรงกดโทรศัพท์โดยไม่รู้ตัว หูยังรอฟังคำตอบ
“...”
“ทำไมต้องหนี ทำไมไม่กล้าสบตากู”
“กู...”
“ขอความจริงอย่าโกหก ถ้าไม่อยากพูดก็เงียบซะ กูไม่ได้โกรธ” การต้องทนฟังคำโกหกน่าหงุดหงิดกว่าการถูกเงียบใส่ร้อยเท่า ส่วนตัวผมไม่ได้โกรธจริงๆ ที่โดนมันนิ่งใส่ทั้งวัน ที่ถามอยู่นี่ก็เพราะเป็นห่วงล้วนๆ ผมแค่อยากรู้ว่ามันเป็นอะไร ผมไปทำอะไรให้โกรธรึเปล่า ถ้าทำก็จะได้ปรับความเข้าใจกัน ไม่ชอบให้เรื่องค้างคาแบบนี้
“กูไม่กล้าบอกว่ะ”
“...”
“มึงดูเอาเองก็แล้วกัน”
ร่างผมโดนจับให้หันหลังไปหาอีกฝ่าย เขาดึงมือผมไปแนบลงกับใบหน้าตัวเอง วินาทีนั้นเองที่ได้รับรู้ถึงอุณหภูมิของมัน ...นี่มันป่วยเหรอ ถึงว่าล่ะทำไมขรึมๆ ไอ้ห่าแล้วก็ไม่บอกกันดีๆ กูนักเรียนโว้ยไม่ใช่สัตวแพทย์ แค่ดูสารรูปจะไปรู้ไหมว่าควายป่วย
“มึงตัวร้อน ไปหาหมอเถอะ”
“ไม่ต้องหรอก”
“ไม่ได้ ถ้าช็อคขึ้นมาจะทำยังไง” เวร ผมไม่คุ้นทางคงขี่รถพามันไปโรงพยาบาลไม่ได้ ถ้าโทรเรียก 1669 มาก็ไม่รู้เขาจะมาถูกไหมเพราะทางคดเคี้ยวเชี่ยๆ
“ไม่ช็อคหรอก ไม่ได้ป่วยด้วย”
“พ่อมึงสิ ตัวร้อนขนาดนี้แถวบ้านกูเรียกไข้หวัดใหญ่”
“มึงเห็นหน้ากูรึยัง”
“หน้ามึงเกี่ยว-”
ประโยคที่ตั้งใจจะพูดถูกกลืนลงลำคอเมื่อลองทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง แดง… แดงไปหมด ไม่มีส่วนไหนไม่ซับสีเลือดเลย แต่แดงในที่นี่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากพิษไข้ บางสิ่งที่สะท้อนในนัยน์ตาคมเป็นตัวบอกผม
“รู้รึยังว่ากูเป็นอะไร”
“...”
“ขอโทษที่ทำให้เครียด กูไม่ได้โกรธมึงหรอก กูแค่… เออนั่นแหละ มึงเข้าใจป่ะว่ามันเป็นกลไกร่างกายมนุษย์เวลาอยู่ใกล้คนที่ชอบเราก็อยากกอด อยากหอม อยากจูบแต่กูกับมึงยังไม่ได้เป็นแฟนกันกูก็ต้องทนไว้ ปกติกูทนได้นะแต่วันนี้มึงทำเกินไปจริงๆ”
“กูทำอะไร”
“ไม่อยากพูด เดี๋ยวหาว่าหลงอีก”
“อะไรของมึง...”
“เนี่ย มึงทำอีกแล้ว ไปไกลๆ ส้นตีนกูเลยไอ้ธัน ห้ามเข้าใกล้กูภายใต้รัศมีห้าเมตร” ร่างสูงขมวดคิ้วยุ่ง ม้วนตัวเข้าผ้าห่มกลายเป็นดักแด้ตัวใหญ่ พอทุกอย่างกระจ่างผมก็โล่งใจ ถึงเรื่องนี้จะเหนือความคาดหมายไปบ้างก็เถอะ
แต่ก็ดีแล้วที่มันไม่ได้โกรธ
คุณคงสงสัยว่าผมทำยังไงกับเด็กที่กำลังเจริญพันธ์ ง่ายมากครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพยายามรักษาระยะห่างไว้มันจะได้ไม่ทรมาน สงสารแต่ก็อดขำไม่ได้จริงๆ
เรือ #หยางธัน มันออโต้ไม่ต้องการคนพาย พอดีกัปตันค่อนข้างเก่งเรื่องเดินเรือ

นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รู้นะว่ามีเล่มแต่ไม่รู้ว่าค้องซื้อที่ไหน
เพิ่งรู้ว่ามีเล่มมมม
คิดถึงอะ ดีใจที่กลับมานะไรท์
*ดีใจที่ไรท์กลับมาค่ะ*
น้องจะเก็บตุนเงินรอนะคะะะ
งืออออออ~~~ ???? ปลื้มปลิ่ม~????????
กรี้ดดดดดดดด ขอเวลาปลูกไตใหม่ก๊อนนนน กำลังเสียทรัพจากงานหนังสือเจ้าค่ะ????????