ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องผีๆวิญญาณและไสยศาสตร์

    ลำดับตอนที่ #112 : กำแพงอาถรรพณ์ เมืองวานร เจอ กำแพงเก่า ๆ ให้ระวังไว้ด้วย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 478
      1
      10 ธ.ค. 49

    กำแพงอาถรรพณ์ เมืองวานร เจอ กำแพงเก่า ๆ ให้ระวังไว้ด้วย
    เมื่อเด็กๆ ผมเป็นชาวลพบุรี หรือเมืองละโว้ เพราะในอดีตเคยเป็นบ้านเมืองของคนเผ่าละว้ามาก่อน พวกผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนลพบุรีอยู่ใกล้ทะเลแถวๆ ปากอ่าวไทย ตรงข้ามนครปฐม

    ทะเลจะลดลงไป หรือแผ่นดินค่อยๆ งอกขึ้นก็ไม่ทราบนะครับ ทำให้บ้านผมอยู่ห่างทะเลตั้งร้อยกว่ากิโลเมตรในปัจจุบันนี้

    มีคนเรียกลพบุรีว่าเป็นเมืองวานร หรือพูดตรงๆ คือเมืองลิง เพราะมีสมุนพระรามใหญ่น้อยเยอะแยะจริงๆ โดยเฉพาะที่ศาลพระกาฬก็ยั้วเยี้ยเกือบร้อยตัวได้มั้ง คนไปกราบไหว้หรือแก้บนที่นั่นก็คือนิยมซื้อกล้วยให้ลิงกินด้วย บางทีมีเสียงผู้หญิงร้องวี้ดว้ายเพราะโดนมันมาจับแขนจับขา กลอกตาลอกแลกตามนิสัยซุกซน

    บางตัวแก่นๆ ถึงขนาดโดดเกาะหลัง ร้องกันลั่นศาล บางตัวก็กระชากกระเป๋าวิ่งหนีดื้อๆ ต้องอ้อนวอนหรือเอากล้วยล่ออยู่นานกว่าจะได้คืน ส่วนมากโดนรื้อค้นป่นปี้ไปแล้ว

    คนเก่าๆ เล่าว่าสมัยก่อนมีลิงเยอะกว่านี้ อาหารไม่พอกินจนมันต้องพากันโดดขึ้นหลังคารถไฟไปทางปากน้ำโพ เข้าป่าเข้าดงหากินจนอิ่มหนำ แล้วนิสัยแสนรู้เหลือเชื่อก็ทำให้มันโดดเกาะรถไฟกลับมาลพบุรีได้ตามเดิม

    บ้านผมมีเรื่องแปลกๆ หลายอย่างครับ ทั้งหินหลักเมืองที่เชื่อว่าเป็นลูกศรพระรามที่ยิงเสี่ยงทายให้หนุมานเลือกเมือง ลูกศรตกลงมาจนแผ่นดินสุก กลายเป็นสีขาวที่เราเรียกว่าดินสอพอง ทะเลสาบที่เชื่อกันมานานว่าศักดิ์สิทธิ์มากก็เรียกว่าทะเลชุบศร เป็นต้น

    เพราะเหตุนี้มั้งครับ ลพบุรีถึงได้ชื่อว่าเมืองวานร ลูกหลานหนุมาน บุตรพระพายนี่เอง

    แปลกหรือไม่แปลกก็ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ลพบุรีเป็นจังหวัดเดียวในเมืองไทยและในโลก ที่มีการเลี้ยงโต๊ะจีนลิงเป็นประจำทุกปี จนสำนักข่าวต่างประเทศต้องนำไปแพร่หลายก็แล้วกัน!

    วันนี้ผมมีเรื่องแปลกประหลาดที่เจอกับตัวเองมาเล่าให้ท่านฟัง

    ตอนนั้นผมอายุเกือบสิบขวบ เรียนอยู่ราว ป.2 หรือ ป.3 นี่แหละ บ้านอยู่ใกล้กับพระปรางค์สามยอด ตอนเย็นๆ ก็วิ่งไล่กับเพื่อนๆ กลับบ้านเป็นประจำ

    สมัยก่อนมีร้านค้าอยู่ด้านหน้า บ้านช่องอยู่ด้านหลัง ส่วนมากไม่มีรั้วหรอกครับ แค่เลี้ยงหมาเอาไว้เห่าคนแปลกหน้าหรือเดินผ่านใกล้ๆ บ้านก็พอแล้ว พวกเด็กๆ กลับจากโรงเรียนมาหาอะไรกินรองท้องแล้วก็ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนใกล้ๆ บ้าน

    แถวนั้นมีกำแพงเก่าแก่ผุพังอยู่ด้วย อิฐสีแดงแตกกระเทาะลงมาเกลื่อนพื้นหญ้า บางวันมีเจ้าจ๋อสอง-สามตัวมานั่งเอียงคอมองพวกเราเล่นกัน คล้ายๆ กับอยากโดดลงมาเล่นซ่อนหาหรือเตะฟุตบอลกับเรามั่ง

    บางทีเราก็เอาก้อนดินขว้างมันบ้าง ไปยืนแลบลิ้นหลอกมันบ้าง มันร้องขู่เราก็ทำเสียงเจี๊ยกคร่อกๆ ใส่มัน สมุนพระรามแยกเขี้ยวกระโดดหนี เราก็หัวเราะกันสนุก

    บางวันเราเล่นกันเพลินจนใกล้ค่ำ พ่อแม่ต้องออกมาตะโกนเรียกให้ไปอาบน้ำกินข้าว แต่พวกเรามักจะไม่ยอมเชื่อง่ายๆ จนกว่าจะมีพ่อแม่ใครถือไม้เรียวมาเรียกด้วยนั่นแหละ ถึงจะยอมแยกย้ายกันกลับ

    วันนั้นเราเล่นกันเพลินจนเย็นอยู่ใต้ต้นก้ามปูริมกำแพงเก่า ได้ยินเสียงเรียกเจี๊ยกๆ อยู่เหนือหัว ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นไอ้จ๋อเจ้าประจำนั่นเอง

    พวกผมคว้าก้อนอิฐก้อนหินหันไปขวางใส่ตามเคย แต่คราวนี้เรายืนตะลึงไปตามๆ กัน เมื่อเห็นลิงตัวใหญ่เกือบเท่าคน ผิวกายสีดำสนิท รูปร่างน่ากลัวเหมือนคิงคองที่เคยเห็นในหนัง...ยอดไม้ไหวซ่า อากาศเย็นวูบ เจ้าลิงยักษ์แยกเขี้ยวขาวโง้งคำรามกระหึ่ม จนบางคนร้องลั่น บางคนถึงกับหงายหลังก้นกระแทกพื้น ลุกขึ้นได้ก็วิ่งอ้าวกลับบ้านทันที

    หันไปมองบนกำแพงโบราณสูงท่วมหัว...แต่ลิงยักษ์หายไปแล้ว

    "มันหายไปไหนเร็วจังวะ?" ผมบ่นกับตัวเอง เหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นเพื่อนยืนอยู่ใกล้ๆ กำแพงคนเดียว

    "อย่าไปรังแกมันเลย นึกว่าสงสารมันเถอะ ลิงมันก็รู้จักเจ็บปวดเหมือนกัน ว่าก่อนยังโดนขว้างจนตกกำแพงไปฝั่งโน้น เลือดอาบหัวเลย"

    "เอ็งรู้ได้ไง?" ก็เราอยู่ฝั่งนี้ด้วยกันแท้ๆ"

    "ทำไมจะไม่รู้ ข้าเห็นคาตา.." เสียงตอบเบาๆ แทบจะไม่ได้ยิน เพราะมีลมพัดวูบใหญ่จนยอดไม้ไหวซ่า..เสียงพูดแปลกหูชอบกลผมเลยจ้องมองเพื่อนคนนั้น

    เพิ่งสังเกตว่าเหลืออยู่คนเดียว..แสงแดดจางหายไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเหลือแสงสว่างให้เห็นหน้าได้ชัดเจน..อ้าว? เด็กที่ไหนก็ไม่รู้นุ่งโจงกระเบนสีแดงตัวเดียวเหมือนคนแก่ แถมไว้ผมจุกอีกต่างหาก

    นัยน์ตาดำขลับกลมโตจ้องเขม็ง เล่นเอาผมขนลุกซู่ ปากลิ้นแข็งไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก..หูแว่วเสียงระฆังดังเหง่งหง่างมาจากที่ไกลๆ หมาหอนโหยหวนเยือกเย็นจนปากคอแห้งผาก เหลียวซ้ายแลขวาอย่างงุนงง นึกไม่ออกว่าเด็กแปลกหน้าคนนี้มาจากไหนกัน?

    หันไปอีกทีก็เห็นร่างผอมๆ นั่นเดินเข้าหากำแพง รูปกายดูโปร่งใสคล้ายจนกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก่อนจะจางหายเหมือนถูกกำแพงโบราณกลืนกิน

    ตั้งแต่นั้นมา ผมกับเพื่อนๆ ก็ไม่กล้าไปเล่นที่กำแพงเก่าแก่นั่นอีกเลย มันรู้สึกหนาวต้นคอยังไงก็ไม่รู้ครับ

    "สกนต์"

    ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
    ใบหนาด
    - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม 2547

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×