ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องผีๆวิญญาณและไสยศาสตร์

    ลำดับตอนที่ #106 : แรงปีศาจ เรื่องเล่า ขนหัวลุก จาก บางบาล อยุธยา เมืองเก่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 591
      1
      10 ธ.ค. 49

    แรงปีศาจ เรื่องเล่า ขนหัวลุก จาก บางบาล อยุธยา เมืองเก่า
    "คนกรุงเก่า" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบางบาล อยุธยา

    สมัยเด็กผมอยู่คลองบ้านกุ่ม อ.บางบาล จ.อยุธยา ได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องเสียกรุงด้วยความโกรธแค้น หลายๆ คนถึงกับขบเขี้ยวเคี้ยวเหงือก บอกว่าอยากจะสู้กับพม่านักว่าจะเก่งแค่ไหน ตายเป็นตาย!

    พวกหนุ่มๆ ได้ฟังก็เลยฮึดฮัดไปด้วย ทำเสียงดุเดือดว่าถ้าเกิดทันจะขอรบกับข้าศึกผู้รุกรานให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลย ผมฟังแล้วยังนึกว่าเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ที่ไหนได้ล่ะ ครูบอกว่ากรุงแตกมาตั้งเกือบ 200 ปีแล้ว (ขณะนั้นราว พ.ศ. 2510 เห็นจะได้)

    เด็กๆ พวกผมไปเรียนหนังสือที่บ้านครูประสิทธิ์ ที่ชั้นบนเป็นห้องโล่งกว้าง ตั้งโต๊ะเรียนหนังสือมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่แล้วครับ ตอนเช้าๆ เย็นๆ ต้องเดินผ่านวัดโบสถ์ใกล้ๆ ปากคลอง มันเสียวสันหลัง หนาวหัวใจชอบกลแฮะ

    วัดโบสถ์อยู่ทางซ้ายใกล้คลองเล็กๆ แต่ป่าช้ากลับอยู่ทางขวาของทางเดินแคบๆ ค่อนข้างเปลี่ยว พิลึกไหมล่ะ?

    ผมจะเล่าให้ฟังถึงความน่ากลัวของสมัยก่อน บ้านเรือนอยู่ทางขวาแบบวัดแต่ปลูกห่างๆ กัน ข้ามคลองไปก็เป็นสวนกล้วย ดงข้าวโพด ส่วนทางขวามีบ้านคนไม่กี่หลัง เปล่าเปลี่ยวไปถึงป่าช้าแน่ะ ริมทางมีต้นสะแกดกหนาคล้ายจะเป็นรั้วงั้นแหละ มีคนตัดไปทำฟืนบ่อยๆ ทิ้งปลายแหลมเสี้ยมน่าเสียวไส้จนกว่าจะงอกงามขึ้นมาใหม่

    ถัดไปก็คือทุ่งนาโล่งๆ มีต้นตาลสูงลิ่วขึ้นเป็นกลุ่มๆ เวลาลมพัดฮือใหญ่ยอดตาลก็จะส่งเสียงคล้ายคนคำรามขู่เข็ญ บางครั้งก็ฟังเหมือนเสียงใครกำลังครวญครางด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส

    เย็นไหนฟ้าครึ้ม ลมพัดแรง พวกเด็กๆ ออกจากบ้าน (หรือโรงเรียน) ครูประสิทธิ์ ล้วนแต่วิ่งอ้าวกระจายกันไปเหมือนผึ้งแตกรังไม่มีผิด

    ชาวบ้านส่วนมากทำไร่ทำนากันทั้งนั้น ใครขยันก็ปีนพะองขึ้นไปปาดตาลได้น้ำตาลมากินมาขาย ทำน้ำตาลเมานิดหน่อย พวกบ้านผมชอบซดกะแช่มากกว่า

    ตอนมีงานบวช กับออกพรรษา ทำกะแช่ใส่โอ่งเรียงกันเป็นตับ ผู้ใหญ่เขาซดกันเป็นว่าเล่น บางคนถึงกับหิ้วไปซดกันในท้องนาโล่ง หลับสนิทจนรุ่งเช้าก็มีหลายราย

    วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้าย น้าซ้อนคนปากคลองบ้านใกล้ๆ ผม เกิดพลาดพลั้งตกตาลลงมาคอหักตายคาที่ ไม่ใช่แค่เจ็บอกเหมือนตกตาลอย่างสุนทรภู่ท่านเขียนไว้ว่า

    "เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น

    ระวังตนตีนมือระมัดมั่น

    เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน

    ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล"

    ชาวบ้านเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องกลัวโดนผีหลอกน่ะซีครับ บ้านนอกสมัยนั้นไม่ต้องพูดละครับว่าเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า? ว่ากันว่าใครโดนถามจะบอกว่ามาชกปากกันดีกว่าถามบ้าๆ แบบนี้...เชื่อกันทุกบ้านทุกคนแหละ!

    ยิ่งพวกเด็กๆ ด้วยแล้ว โอ้โฮ! ตอนบ่ายๆ เย็นๆ เคยยิ่งเล่นกันเกรียวกราว กลับหายจ้อย ขนาดผ่านป่าช้าเปล่าเปลี่ยวต้องวิ่งก็แล้วกันครับ

    แหม! ผีธรรมดายังกลัวกันนี่นา แล้วน้าซ้อนแกมาตายพิสดาร อย่างที่เขาเรียกว่าตายโหงด้วยแล้ว พวกเราเคยฟังมาจนหูอื้อว่าผีตายโหงน่ะแสนจะเฮี้ยน ดุร้ายสะเด็ดสะเด่านัก ใครล่ะจะไม่กล้ว? บรื๋อ...

    ทั้งรู้ทั้งเห็นสวดศพแกที่นั่น หามโลงมีพระนำหน้าข้ามทางมาเผาศพแกที่ป่าช้าเงียบเชียบ ร่มครึ้ม มีแต่ป่าละเมาะและต้นไม้ใหญ่ๆ ขึ้นดกหนา แวดล้อมโลกของคนตายโดยเฉพาะ

    เริ่มตั้งแต่คืนแรกที่สวดศพ น้าซ้อนก็แผลงฤทธิ์ทันที!

    นอกจากญาติๆ ที่มานั่งดวดเหล้าเป็นเพื่อนศพ ยังมีคนแก่มานั่งโขกหมากรุกแก้ง่วงกันด้วย รวมแล้วราวสิบกว่าคน จู่ๆ เสียงหมาเจ้ากรรมก็หอนโจ๋วขึ้นมา...ตอนแรกดังมาจากหมู่บ้านข้างใน แล้วหอนรับกันเป็นทอดๆ จนพวกหมาในวัดก็พากันโก่งคอหอนรับเสียงโหยหวน เหมือนพวกมันมองเห็นอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือประมาณ

    เอาละซี! พวกเฝ้าศพมองหน้ากันโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำตาลอกแลกอย่างหวั่นระแวง...พอดีเสียงเคาะโลงดังกุกๆ กักๆ มาจากข้างใน

    เสียงร้องเฮ้ย! ฮ้าย! ดังระงม ผงะหน้าแทบหงายหลังไปตามๆ กัน เดชะบุญที่เสียงเขย่าขวัญเงียบหายไปก่อนจะวงแตก เผ่นกันกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทาง

    เผาหน้าซ้อนได้ไม่กี่วัน ตาเติบกับลุงพรำเดินจูงควายมาตอนเย็น เห็นใครอุตริขึ้นไปยืนอยู่ยอดตาลกลางทุ่งก็ป้องตามอง...ทันใด ร่างนั้นก็ลอยละลิ่วลงมาช้าๆ จนถึงพื้นดิน ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา

    "ไอ้ซ้อน!!" คนทั้งสองตะโกนลั่นขึ้นพร้อมๆ กัน อาเติบมาเล่าทีหลังว่า ลุงพรำแก่คราวพ่อยังวิ่งเร็วกว่าแกด้วยซ้ำไป

    รายสุดท้ายที่เจอดีเข้าคือน้าเมฆ แกไปเยี่ยมญาติในเมืองเสียหลายวัน ขึ้นรถสายอยุธยา-อ่างทอง มาลงแล้วข้ามเรือจ้างมาตอนพลบค่ำ เห็นน้าซ้อนนั่งอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ ชวนไปกินเหล้าที่บ้าน น้าเมฆไม่รู้ข่าวมาก่อนก็เดินตามไป...จู่ๆ น้าซ้อนก็หายไปในดงสะแก

    โมโหว่าเล่นตลกจึงแล่นไปตะโกนเรียกที่หน้าบ้าน ผู้คนหัวหดไปตามๆ กัน น้าเมฆเองรู้แน่ว่าเพื่อนเกลอตายจนเผาไปแล้ว ถึงกับเข่าอ่อนแทบจะคลานกลับบ้าน...รุ่งขึ้นไปถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลไปให้ ปีศาจน้าซ้อนก็หายไปแต่นั้นมา

    ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
    ใบหนาด
    - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 9 กันยายน 2547

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×