ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องผีๆวิญญาณและไสยศาสตร์

    ลำดับตอนที่ #102 : สาวนิรนาม เรื่องเล่า ขนหัวลุก เมื่อ.. คนร้าย นำศพ มาทิ้งในซอย ผมยัง ขนลุก เกรียว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 574
      1
      10 ธ.ค. 49

    สาวนิรนาม เรื่องเล่า ขนหัวลุก เมื่อ.. คนร้าย นำศพ มาทิ้งในซอย ผมยัง ขนลุก เกรียว อยู่เลยครับ
    "ภาวิต" เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกเมื่อมีคนร้ายนำศพมาทิ้งในซอย

    ตอนที่เขียนอยู่นี่ผมยังขนลุกเกรียวอยู่เลยครับ เพราะนั่งเขียนอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ ผมอยู่คนเดียวเสียด้วย แล้วหมามันก็เริ่มหอนกันอีกแล้วละซิ พอได้เวลาตีหนึ่งครึ่งทีไรมันก็เป็นต้องโก่งคอหอน บรรเลงเสียงโหยหวนรับกันเป็นทอดๆ ทุกคืนเลย

    เมื่อก่อนไม่มีหรอกนะครับ ไอ้เสียงอุบาทว์นี่น่ะ

    มันเริ่มตั้งแต่เมื่อ 4-5 เดือนก่อน หลังวันที่มีผู้ร้ายใจชั่วมันเอาศพผู้หญิงคนหนึ่งมาทิ้งในพงหญ้ากลางซอย ห่างบ้านที่ผมอาศัยไปแค่ 50 เมตรเท่านั้นเองครับ...คิดแล้วสยองจริงๆ

    ซอยนี้อยู่ที่พุทธมณฑลสาย 4 ดูไปก็ไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก มีบ้านปลูกติดๆ กันไป ตอนหัวค่ำก็สว่างดี ตรงที่มันเอาศพมาทิ้งเป็นทางโค้ง และที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีต้นโพธิ์ใหญ่ ที่ชาวบ้านชอบนำศาลเจ้าหรือศาลพระภูมิที่เขารื้อถอนแล้วมากองสุมไว้เต็ม หลังต้นโพธิ์มีพงหญ้าขึ้นสูงเกือบท่วมหัว

    ที่ตรงนี้เป็นผืนเดียวแหละครับที่รกร้าง ยังไม่มีเจ้าของมาถากถางเพื่อสร้างบ้าน บริเวณโดยรอบน่ะมีบ้านเรือนขึ้นหมดแล้ว

    น่าแปลกที่คืนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเอาศพมาทิ้ง!

    มีแต่พวกวัยรุ่นประจำซอยเห็นว่า เวลาราวตีหนึ่งครึ่งมีรถเก๋งคันหนึ่งมาจอด แล้วผู้ชายสองคนช่วยกันยกอะไรไปโยนในป่าหญ้าก็ไม่รู้ ประสาวัยรุ่นก็ไม่ได้สนใจอะไร ไฟถนนตรงนั้นก็ดับ มันเลยมืดมากด้วย

    คืนถัดมา พวกเราคือ ผม เมียผมและลูกชายที่โตเป็นหนุ่มกำลังจะเข้านอน เรานอนดึกทุกคืนครับ ลูกชายเรียนภาคค่ำที่ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า แต่พอจวนๆ ตีสองเราก็ง่วงหงุบหงับแล้วล่ะ

    ทันใดนั้น มีเสียงเสียดอากาศยามวิกาลมาเข้าหูพวกเรา

    มันคล้ายเสียงผู้หญิงร้องหวีดโหยหวน ลากยาว ผมตาเหลือกเลย แต่อึดใจต่อมาก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงหมาหอน เมียผมยังบ่นว่าใครทำอะไรหมาน่ะ มันถึงแผดเสียงน่ากลัวอย่างนั้น

    พักใหญ่ต่อมามันก็ร้องอีก คราวนี้ตัวอื่นผสมโรงด้วย เป็นสิบๆ ตัวเลย

    จากนั้นมาก็เป็นแบบนี้ทุกคืน เวลาเดิม เตรียมอุดหูได้

    เล่าย้อนกลับไป 4 เดือนก่อนนะครับ คืนแรกๆ ที่หมาหอนเราไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องของหมามัน! แต่กลิ่นนี่ซิครับ...หลังจากที่เด็กวัยรุ่นเห็นรถเก๋งเอาของมาทิ้งได้ 3-4 วัน เราก็ได้กลิ่นตลบอบอวล ถึงได้เจอศพที่น่าสงสาร

    ศพนั้นเป็นผู้หญิงเปล่าเปลือย รูปร่างสูงโปร่ง ก่อนอืดเธอคงสวยน่าดู ผิวขาวเป็นหยวก ผมสีออกน้ำตาลหยาบๆ ยาวถึงเอว

    น่าสยองที่สุดคือใบหน้าถูกทุบจนเละ จำไม่ได้ นิ้วมือนิ้วเท้าก็ถูกทุบเละจนเลือดเปรอะกรัง ตำรวจบอกว่าท่าจะถูกทรมานอะไรสักอย่าง ตามหน้าแข้งและท้องน่องมีรอยเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทง

    สรุปว่า จนป่านนี้เราก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร? ถูกฆ่าเพราะอะไร? แต่เข้าใจว่าเธอไม่ใช่คนไทย ลักษณะเหมือนพวกจีนฮ่อ สาเหตุที่โดนฆาตกรรมอาจเพราะชู้สาว หรือไปขัดผลประโยชน์ใครเขาเข้า

    ชาวบ้านบอกว่าเสียงโหยหวนทุกคืนตอนตีหนึ่ง อาจเป็นเสียงร้องของผีผู้หญิงคนนี้ก็ได้ ฟังแล้วอดเชื่อไม่ได้...อยากให้ได้ยินกันจริงๆ

    น่าสงสารเธอเหลือเกิน แต่ซอยเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี...การไฟฟ้ามาติดไฟให้แทนดวงที่ดับ พวกวัยรุ่นเคยกร่างกวนประสาทชาวบ้านก็หายซ่ากันหมด รีบกลับเข้าบ้านไปหาแม่แต่หัวค่ำ ลูกชายผมก็กลับเร็วกว่าปกติ เลิกเรียนสามทุ่ม พอสี่ทุ่มก็มานั่งหน้าแหลมดูทีวีอยู่กับพ่อกับแม่แล้วครับ

    เขาลือกันว่ามีคนเห็นผู้หญิงผมยาวมาก ยืนขาวโพลนอยู่ในพงหญ้า เป็นผีไม่มีหน้า ร้องโหยหวนอย่างที่เราได้ยินกันประจำนั่นแหละ!

    คนที่เห็นน่ะย้ายบ้านหนีไปแล้ว ผมเลยไม่มีโอกาสถามว่าเห็นจริงๆ หรือเปล่าๆ หรือแค่ตาฝาดไปเอง

    นี่ก็เลยตีหนึ่งไปแล้ว...

    หมามันบรรเลงเพลงสยองราว 5 นาทีก็เงียบกริบ เหลือแต่เสียงจิ้งหรีด...แมลงกลางคืนมันกรีดปีกกันระงม เงียบไปราวกับกลางดึกในป่าช้า แล้วกลับเซ็งแซ่ขึ้นมาใหม่จนน่าสะดุ้งผวา บรรยากาศมันชวนให้เสียวสันหลังจริงๆ ครับ

    ลูกกับเมียผมไปพัทยา พรุ่งนี้กลับ ผมอยู่คนเดียว ตอนแรกก็ว่าจะไม่กลัวหรอก ตอนนี้เริ่มหนาวๆ พิกล ฝนก็ตกพรำๆ ทั้งเศร้ากับชวนให้เยือกเย็นหัวใจบอกไม่ถูก

    เป็นบรรยากาศของความตาย ของป่าช้า ของผู้ที่หมดลมหายใจ ถูกฝังให้ทอดร่างรอการเน่าเปื่อย หรือตกเป็นเหยื่อของสัตว์เลื้อยคลาน ที่จะรุมกันกัดกินจนเหลือแต่กระดูกผุพังในบั้นปลาย

    แต่ผู้ที่อยู่ในหลุมศพก็อาจจะพลิกฟื้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าราวกับมีชีวิตอีกครั้ง

    ผมปิดหน้าต่างที่เปิดไปทางถนนในซอยเสียสนิท ไม่กล้ามองออกไปทางนั้น กลัวเห็นร่างขาวๆ มาเดินหรือลอยผ่านไปช้าๆ ต่อหน้าต่อตาจนอาจช็อกตายได้ง่ายๆ

    โอ๊ย! ไม่เอาละครับ หลอกตัวเองอยู่ได้! ผมจบแค่นี้ดีกว่า...ขอลาไปคลุมโปงก่อนละครับ

    ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
    ใบหนาด
    - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2547

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×