ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC CAN'T FORGET YOU [CHANNUNEO&KHUNWOO]

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ค. 56


    Story: Can’t forget you

    Chapter: 1/?

    Status: Long fiction

    Author: Popcorn

    Pairing: ChanNuneo (ChansungXJunho)/KhunWoo(NichkhunXWooyoung)

    Rate: PG13

     

     

     

     

     

     

    Chapter 1

     

     

     

     

     

    รถยนต์สีควันบุหรี่ขับเคลื่อนด้วยความเร็วปกติไปตามท้องถนน สองข้างทางที่ผ่านไปเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้ที่บ่งบอกว่าฤดูใบไม้ผลิใกล้เข้ามาเต็มที่ เขาลดกระจกข้างรถลงเพื่อสูดอากาศที่แสนบริสุทธิ์บนหุบเขาหลังจากขับรถมานานแทบทั้งวัน มือเล็กเอื้อมไปกดเปิดวิทยุ เสียงเพลงสไตล์ที่เขาชอบดังคลอไปพร้อมๆกับสายลมที่พัดเข้ามาในตัวรถ เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อจะมาคุยเกี่ยวกับการกว้านซื้อที่ดินบนหุบเขาเพื่อลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากเขาเคยส่งมือดีมาเจรจาแล้วไม่เป็นผลเขาจึงต้องมาด้วยตนเอง แน่ล่ะเขารู้ดีว่าทำไมเจ้าของที่ไม่ยอมขายคงเพราะต้องการจะโก่งราคาที่ดิน เป็นธรรมดาถ้าหากตัวเองมีที่ดินผืนงามเป็นที่ต้องการของพวกเศรษฐีแล้วล่ะก็ย่อมต้องการได้ราคาที่สูงลิบลิ่วซึ่งเขาเองก็จะสู้ไม่ถอยเพื่อให้ได้ที่ดินไร่ฮวาง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มือเล็กเอื้อมไปกดปิดวิทยุก่อนจะกดรับโทรศัพท์ของคู่หมั้นหนุ่ม

     

     

     

    “ว่าไงครับคุณฮยอง” เอ่ยอย่างร่าเริง ไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมาทางน้ำเสียงเลยสักนิดแม้ว่าเขาจะเหนื่อยล้ามากแค่ไหนก็ตาม

     

     

     

    “ใกล้ถึงแล้วครับ ฮยองไม่ต้องเป็นห่วง” ยิ้มบางๆเมื่อคู่หมั้นหนุ่มสั่งให้ดูแลตัวเองด้วยความความเป็นห่วง

     

     

    “ครับๆ ผมจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย ฮัลโหล...ฮัลโหล...ฮยองได้ยินผมไหม” สัญญาณโทรศัพท์ที่หายไปทำให้ร่างเล็กอดจะหงุดหงิดใจไม่ได้ เขาค้นพบข้อเสียของแถวนี้แล้วคือสัญญาณโทรศัพท์ห่วยแตกเหลือทนและเขาจะใช้มันเป็นเหตุเพื่อต่อรองราคาที่ดินจะต่อให้ลดราคาไปเยอะๆเลย โยนโทรศัพท์ลงเบาะที่นั่งด้วยความหงุดหงิด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกวางป่าตัวใหญ่กระโจนเข้ามาขวางหน้ารถ ทำให้ร่างเล็กหักหลบเข้าข้างซ้ายกระทันหันจนลืมมองไปว่าข้างซ้ายเป็นหน้าผาสูงชันแต่กว่าจะคิดได้รถยนต์สีควันบุหรี่ก็พุ่งลงไปในเหวลึกเสียแล้ว นับว่าโชคดีอยู่ไม่น้อยที่ด้านล่างนั้นมีน้ำคอยรองรับแรงกระแทกอยู่ ทันทีที่รถยนต์ตกลงไป เขาพยายามตะเกียดตะกายพาร่างของตัวเองออกมาจากรถได้สำเร็จก่อนที่รถยนต์จะค่อยๆจมลงในแม่น้ำ แต่สายน้ำที่เชี่ยวกราดนั้นทำให้เขาไม่อาจพาตัวเองกลับเข้าฝั่งได้ เขาพยายามตะเกียดตะกายหากแต่ก็ไร้ผล สายน้ำเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะพาร่างเขาไปกระทบกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่กลางน้ำ ศรีษะกระแทกเข้าอย่างแรง จนทุกอย่างเริ่มพร่าเบลอ เขามองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว มีเพียงความมืดมิดและสายน้ำที่ค่อยๆพัดพาร่างของเขาไปอย่างไร้จุดหมาย

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     ม้าสีขาวดุจหิมะถูกควบไปอย่างรวดเร็วเข้าไปในป่า เขาหงุดหงิดที่คนรอบข้างพยายามกดดันให้เขาขายที่ดินของเขาด้วยเหตุที่ว่าเม็ดเงินที่เขาจะได้รับทำให้เขาสบายไปได้ทั้งชีวิตโดยไม่ต้องทำอะไร เขาไม่เคยต้องการความร่ำรวยหรือเงินที่ใช้ไม่มีวันหมด เขามีความสุขดีที่มีชีวิตอยู่ที่นี่อยู่บนที่ดินที่เขาสร้างขึ้น เขาจะไม่มีวันจากที่นี่ไป แม้ว่าความทรงจำเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นจะคอยตามทำร้ายเขาอยู่ทุกวัน แต่เขาก็ยังจะอยู่ที่นี่รอให้เธอกลับมา

     

     

     

     

    “ย่าส์!!!” เพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งจนมาหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำ ร่างสูงลงมาจากม้าก่อนจะเดินมานั่งที่โขดหิน หยิบฮาร์โมนิก้าคู่ใจออกมาเป่า เสียงดนตรีดังก้องไปทั้งป่า บทเพลงอันแสนเศร้า เขานึกถึงช่วงเวลาที่เธอคนนั้นนั่งอยู่เคียงข้างเขาที่นี่ ฟังบทเพลงที่เขาเล่นเป็นเพียงแค่เพลงเดียวและปรบมือทุกครั้งเมื่อเพลงจบ มันเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียวอยู่ดีๆเธอก็จากเขาไป หายออกไปจากชีวิตเขา ราวกับว่าเพียงแค่เขากระพริบตาเธอก็สลายหายไป เขาไม่คิดจะออกตามหาเธอ เขาไม่เคยไปจากที่ตรงนี้ เพราะเขารู้ว่าไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องกลับมา

     

     

     

     

    “ชะ...ช่วยด้วย” เสียงแหบแห้งดังขึ้นที่ข้างๆโขดหิน ร่างสูงชะโงกหน้าไปมอง ก่อนจะตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นคนนอนอยู่เลือดอาบไปทั้งหน้า ร่างสูงกระโดดข้ามโขดหินก่อนจะนั่งลงข้างๆพยายามเขย่าตัวให้อีกฝ่ายได้สติ

     

     

     

    “นี่เธอ” ประคองหัวเล็กขึ้นมา ก่อนจะรู้ว่าอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว “เธอทำใจดีๆไว้นะ” เขาพยายามอุ้มร่างอีกฝ่ายขึ้นมา เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำและเลือด บาดแผลเต็มร่างกายไปหมดคาดว่าน่าจะถูกหินคมๆในแม่น้ำบาดเอา วางร่างเล็กลงบนหลังม้าก่อนเจ้าตัวจะกระโดดขึ้นบ้าง ประคองร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนก่อนจะควบม้ากลับไปที่ไร่

     

     

     

     

     

     

    นายแพทย์หนุ่มถูกตามตัวมาที่ไร่ฮวางอย่างกระทันหัน  กระเป๋าใส่อุปกรณ์การแพทย์ถูกเด็กในบ้านยกไปไว้ที่ห้องนอนเจ้าของไร่ เขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมชานซองถึงทำเสียงตกอกตกใจเสียยกใหญ่ แต่ทันที่ได้เห็นร่างของผู้บาดเจ็บเขาก็ถึงบางอ้อทันทีและเข้าใจว่าทำไมเพื่อนรักของเขาถึงตกใจขนาดนั้น  บาดแผลฉกรรก์ที่ศรีษะเกิดจากการกระแทกอย่างรุนแรง รอยเขียวๆม่วงตามตัว รอยขูดขีดที่คาดว่าน่าจะเกิดจากหินในแม่น้ำ จะว่าไปที่คนๆนี้รอดตายมาได้นี่นับว่าบุญอยู่โข แม่น้ำที่พัดพาร่างเขามานั้นในช่วงเวลาเช่นนี้ไหลเชี่ยวมากแม้แต่นักกีฬาว่ายน้ำทีมชาติตกลงไปยังอาจตายได้ ท่าทางคนๆนี้คงจะดวงแข็งน่าดู มือหนาอังดูลมหายใจของร่างที่นอนไร้สติ ลมหายใจเข้าออกก็ปกติ ลองฟังหัวใจดู หัวใจก็เต้นปกติ นี่มันคนเหล็กหรือเปล่าเนี่ย?

     

     

     

    “รักษาได้ไหมว่ะไอ้แทค” เอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ เมื่อเห็นว่าเพื่อนของของเขานิ่งเงียบไป

     

     

     

    “ตามตัวน่ะไม่น่าจะมีปัญหา แต่..หัวแตกเลือดอาบขนาดนี้ไม่รู้ยังไงเหมือนกันว่ะ เอาเป็นว่าฉันจะเย็บไอ้ส่วนที่เป็นแผลให้ก่อน ส่วนอาการทางศรีษะ ถ้าเขาฟื้นขึ้นมานายก็ค่อยพาไปที่คลินิกของฉัน ฉันจะตรวจให้ละเอียดอีกที”

     

     

     

    “ขอบใจมากเว้ย” แทคยอนตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ ก่อนจะลงมือเย็บแผลที่ศรีษะ ทำความสะอาดคราบเลือดที่ใบหน้าให้เรียบร้อย ก่อนจะพันแผลให้อย่างปราณีต

     

     

     

    “เอาล่ะเสร็จแล้ว ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของนายแล้ว เพราะร่างกายของเขาอ่อนเพลียมากอาจจะมีไข้สักเล็กน้อย ฉันอยากให้นายคอยหมั่นเช็ดตัวและก็ดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย พอพ้นคืนนี้ไปคาดว่าน่าจะไม่มีปัญหาถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน ฉันฉีดยาแก้ปวดให้แล้ว ถ้ายังไงฉันกลับก่อนล่ะกัน”

     

     

     

    “ขอบใจมากนะไอ้แทค” ทันทีที่นายแพทย์หนุ่มเดินออกจากห้องไป ความเงียบก็โรยตัวเข้าปกคลุมอีกครั้ง ร่างสูงเดินไปหยิบกะละมังใส่น้ำและผ้าสะอาดมาหนึ่งผืนก่อนจะลงมือเช็ดตัวให้คนป่วย มือหนาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เปียกชุ่มถอดเสื้อออก ก่อนจะค่อยๆเช็ดทำความสะอาดคราบดินคราบทรายที่ติดบนผิวหนัง พลันก็สะดุดตาเข้ากับสร้อยคอสีเงินที่มีจี้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ ‘JUNHO’ “จุนโฮ...ชื่อจุนโฮงั้นเหรอ” มือหนาเอื้อมมือไปปัดปอยผมที่ปรกหน้าร่างเล็กออก ใบหน้าหวานใสหากแต่ก็ซีดเซียวอยู่ในที จมูกกับปากเล็กๆที่เป็นกระจับทำให้เด็กหนุ่มคนนี้ดูเหมือนผู้หญิง เจ้าของไร่หนุ่มนำผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดใบหน้าเด็กหนุ่มเบาๆ มือหนาลูบไล้พวงแก้มใสอย่างลืมตัว ผิวกายที่เย็นเฉียบ ไม่ช้าเด็กคนนี้ต้องไข้ขึ้นแน่ๆ เมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ ห่มผ้าให้อย่างแผ่วเบา ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้โซฟาข้างหน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ฤดูใบไม้ผลิวนเวียนมาอีกครั้ง สีเขียวชะอุ่มของใบไม้ น้ำค้างที่เกาะอยู่บนยอดหญ้า เหมือนกับวันนั้นเลย วันที่เธอคนนั้นจากเขาไป เขายังจำได้ดี ตู้เสื้อผ้าของเธอที่ว่างเปล่า ห้องนอนที่ว่างเปล่า แหวนที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่หัวเตียง เขาต้องนอนกอดน้ำตาและความเหงา ความเสียใจกัดกินหัวใจของเขาจนเว้าแหว่ง คำสัญญาที่จะอยู่เคียงค้างกันตลอดไปเป็นเพียงลมปาก เมื่อเธอหมดรักในตัวเขาแล้วเธอก็แค่จากไป ก็แค่จากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย

     

     

     

    “นายใหญ่เรียกหาหนูเหรอคะ?” เสียงเรียกของเด็กสาวดึงสติที่หลุดลอยไปไกลของเขาให้กลับมา “ใช่ ฉันอยากจะขอแรงเธอสักหน่อย ทำข้าวต้มร้อนๆให้ฉันทีและก็ไปหาเสื้อผ้าให้เด็กคนนี้ใส่ เพราะเสื้อผ้าของฉันดูจะใหญ่เกินไป”

     

     

     

    “ได้ค่ะ” เธอตอบรับอย่างสุภาพ ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปที่ประตู มือเล็กกำลังจะเปิดประตูแต่ก็ต้องชะงัก

     

     

     

     “ซูจี” ชานซองเอ่ยเรียกเด็กสาว “คะ?นายใหญ่”

     

     

     

    “บอกคนสวนให้ไปดายหญ้าตรงต้นซากุระด้วย หญ้าขึ้นรกแล้ว” ซูจียิ้มน้อยๆให้ผู้เป็นนาย ทุกปีนายใหญ่จะให้คนเข้าไปตัดหญ้าและทำความสะอาดที่ต้นซากุระเพื่อต้อนรับฤดูใบไม้ผลิเสมอ ต้นซากุระสองต้นที่นายใหญ่แสนจะหวงแหน  ต้นไม้ของนายใหญ่และนายหญิงผู้เป็นที่รัก

     

     

     

    “มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหมคะนายใหญ่”

     

     

     

    “ไม่มีแล้ว ไม่ทำงานของเธอเถอะ”

     

     

     

    “ค่ะ” รับคำก่อนจะเดินออกจากห้องไป ชานซองลุกจากที่นั่งเดินไปนั่งข้างเตียงเฝ้ามองเด็กหนุ่มที่นอนหลับไหลไม่ได้สติ คอยเอามืออังหน้าผากเพื่อตรวจดูว่าอีกฝ่ายมีไข้หรือไม่ มือหนาลูบไล้ใบหน้าร่างเล็ก ผิวแก้มเนียนละเอียด ขนตาเรียงกันเป็นแพ ถ้าบอกว่าคนตรงหน้านี้เป็นผุ้หญิงนี่เขาก็เชื่อนะ “ตัวไม่ค่อยเย็นแล้วนี่ คงจะไม่เป็นอะไร” ส่งยิ้มเล็กๆให้กับคนตรงหน้าที่ไม่ได้สติ แม้จะแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีไข้แต่มือหนาก็ยังคงวางทาบไว้ที่แก้มเช่นเคย

     

     

     

    “อะ...อะ...” ร่างเล็กส่งเสียงออกมาจนชานซองตกใจรีบชักมือตัวเองกลับ ดวงตารีค่อยๆลืมขึ้นก่อนจะจ้องหน้าชานซอง ชานซองเองก็จ้องตาอีกฝ่ายกลับ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจดจ้องกันไปมาอย่างไม่ลดละ จนชานซองต้องเอ่ยปากทำลายความเงียบเสียหมดสิ้น

     

     

     

    “เป็นไงบ้าง” ร่างเล็กไม่ตอบอะไร เอาแต่จดจ้องชานซองอยู่อย่างนั้น “เธอ...ปวดหัวไหมหรือเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

     

     

     

    “ปวด...หัว?” เสียงเล็กเอ่ยลอดผ่านริมฝีปากบางเพียงแผ่วเบา “คุณเป็นใคร?”

     

     

     

    “ฉันชื่อฮวังชานซองเป็นเจ้าของไร่แห่งนี้”

     

     

     

    “ฮะ....วาง ชานซอง...” พยายามเอ่ยทวนชื่อที่ตนเองได้ยินซ้ำอีกครั้ง คิ้วเล็กขมวดเข้าหากัน

     

     

     

    “ใช่ฉันชื่อฮวังชานซอง”

     

     

     

    “แล้ว...ผมชื่ออะไร” ชานซองตกใจจนหน้าซีด อย่าบอกนะว่า...เด็กคนนี้ความจำเสื่อม

     

     

     

    “เธอจำไม่ได้เหรอว่าเธอชื่ออะไร?” ถามซ้ำอีกครั้งเผื่อว่าจะยังมึนๆงงๆอยู่ แต่ดวงตาที่ใสซื่อนั้นกลับให้คำตอบชานซองได้เป็นอย่างดี ว่าอีกฝ่ายนั้นทิ้งความทรงจำของตัวเองไปกับสายน้ำเสียแล้ว ใบหน้าหวานส่ายหัวไปมาเพื่อบอกให้ชานซองรู้ว่าตนนั้นจำอะไรไม่ได้เลย

     

     

     

    “เอาเป็นว่าฉันจะบอกให้แล้วกัน เธอน่ะชื่อจุนโฮ” มือหนาเอื้อมไปลูบหัวร่างเล็กแผ่วเบา จุนโฮส่งยิ้มให้ชานซองราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา รอยยิ้มแสนบริสุทธิ์ที่ทำให้ชานซองอดยิ้มตามไม่ได้

     

     

     

    “ผมชื่อ..จุนโฮ... “ ริมฝีปากเล็กพยายามเอ่ยทวนชื่อของตนเอง รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง “แล้วคุณก็ชื่อ ฮวังชานซอง แล้วเรา...รู้จักกันใช่ไหม? ผมกับคุณเราเป็นอะไรกัน?” ชานซองไม่รู้จะตอบอย่างไรดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเจอจุนโฮ แต่ถ้าเขาตอบไปว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วจุนโฮจะว่าอย่างไร จะกลัวเขาหรือไม่

     

     

     

    “ผมเป็นอะไรกับคุณเหรอ เป็นเพื่อน? เป็นน้อง? เป็นพี่? หรือว่าเป็น...คนรัก?” ดวงตารีจ้องมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ชานซองเองก็หนักใจที่จะพูดปดคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาจะทำอย่างไรดีจะบอกไปว่าอย่างไร

     

     

     

    “เอาเป็นว่าเรารู้จักกัน แต่ในฐานะอะไรนั้นฉันไม่ขอตอบ” ตอบเสียงเรียบ จุนโฮฟังประโยคนั้นอย่างตั้งใจ ก่อนจะพยักหน้ารับรู้

     

     

     

    “เธอนอนพักต่อเถอะ ฉันให้เด็กไปทำข้าวต้มร้อนๆให้เธอแล้ว เธอปวดหัวหรือเปล่า” มือหนาอังที่หน้าผากของร่างเล็กอีกครั้ง พวงแก้มใสขึ้นสีแดงระเรื่อ

     

     

     

    “ผม...ไม่ปวดหัว...เดี๋ยวผมจะนอนต่อแล้ว” หลับตาปี๋พยายามไม่มองหน้าเจ้าของไร่หนุ่มที่แสนใจดี ฝ่ายชานซองก็แอบหลุดหัวเราะไปกับความใสซื่อของจุนโฮไม่ได้

     

     

     

    “นี่...ถ้าเธอไม่ง่วงก็ไม่ต้องหลับ ไอ้คำว่านอนพักต่อเถอะของฉันหมายความว่าให้เธอนอนเอนหลังแค่เท่านั้น” ดวงตาเล็กค่อยๆลืมขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มให้เจ้าของไร่หนุ่มอย่างร่าเริง

     

     

     

    “งั้นผมแค่นอนเฉยๆก็ได้ใช่ไหม”

     

     

     

    “ได้สิแค่นอนเฉยๆก็ได้” ชานซองเอื้อมมือไปกระชับผ้าห่มผืนหนาให้ร่างเล็ก มือหนาลูบหัวอย่างแผ่วเบาหวังจะให้บรรเทาความเจ็บปวดของคนตัวเล็กได้บ้าง ไม่นานจุนโฮก็ค่อยๆผลอยหลับไปเพราะฤทธิ์ยา เอาไว้ซูจียกข้าวต้มขึ้นมาค่อยปลุกอีกทีล่ะกัน เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขานั่งลูบหัวและจดจ้องใบหน้าอีกฝ่าย หากแต่ชานซองกลับไม่ใส่ใจมัน มีเพียงจุนโฮที่ยังตรึงสายตาของเขาให้หยุดมองและมีเพียงจุนโฮที่ทำให้เข็มนาฬิกาของชานซองเคลื่อนไปช้าลง ดูท่าว่าฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ความเจ็บปวดกำลังค่อยๆสลายหายไป

     

     

     

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

     

     

     

    ทันทีที่เสร็จงานนิชคุณขับรถมุ่งหน้าไปยังตึกสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมือง จุนโฮขาดการติดต่อไปทั้งวันแล้วโทรไปที่ไร่ฮวางคนที่ไร่ก็บอกว่าจุนโฮยังไปไม่ถึง ไอ้ครั้นเขาจะไปแจ้งความก็ยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาเป็นห่วงจุนโฮมากจนไม่เป็นอันทำอะไร พยายามโทรหาเท่าไหร่โทรศัพท์ก็ยังคงปิดเครื่องอยู่อย่างนั้น เขาใจไม่ดีจุนโฮไม่ใช่คนเหลวไหลที่จะไปไหนโดยไม่รายงานคู่หมั้นอย่างเขา นิชคุณหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะกดโทรไปหาพี่ชายฝาแฝดของจุนโฮ หากแต่อีกฝ่ายก็ไม่รับโทรศัพท์ของเขา ร่างสูงเคาะนิ้วเป็นจังหวะบนพวงมาลัย รอคอยอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ

     

     

     

    “งี่เง่า” คำนิยามสั้นๆที่เขามักจะมอบให้จางอูยองพี่ชายฝาแฝดของจุนโฮ อูยองมักจะเป็นอย่างนี้เสมอไม่รับโทรศัพท์ของเขาไม่ว่าจะมีเรื่องด่วนหรือไม่มีก็ตาม เขาเลยตัดสินใจขับรถมาดักรอคนงี่เง่าที่บริษัท ไม่นานอูยองในชุดสูทสีดำก็เดินมายังลานจอดรถ นิชคุณเปิดประตูลงจากรถของตัวเองก่อนจะเดินไปดักหน้าอูยอง

     

     

     

    “มีอะไร” คำทักทายสั้นๆห้วนๆจากอูยองทำให้คิ้วของนิชคุณกระตุก

     

     

     

    “โทรไปทำไมไม่รับ”

     

     

     

    “ฉันไม่จำเป็นต้องรับโทรศัพท์นาย”

     

     

     

    “งี่เง่า นายไม่รู้หรือไงว่าฉันมีเรื่องด่วน”

     

     

     

    “ถ้าเป็นเรื่องจุนโฮ ฉันโทรไปหาพี่มินจุนแล้ว เขาจะจัดการให้” พูดจบก็เดินอ้อมไปยังประตูรถของตนเอง แต่ก็ถูกนิชคุณกระชากข้อมือไว้

     

     

     

    “น้องชายหายไปทั้งคนดูไม่ทุกข์ร้อนเลยนะ” นิชคุณพยายามจ้องหน้าอีกฝ่าย อูยองสะบัดมือให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนจะมองกลับด้วยแววตาที่ขึงโกรธ

     

     

     

    “นายจะมารู้ใจฉันได้ยังไงว่าฉันทุกข์ร้อนหรือไม่ทุกข์ร้อน จุนโฮเป็นน้องชายของฉันคิดว่าฉันจะไม่ร้อนใจบ้างหรือไง”

     

     

     

    “ก็ท่าทางของนาย...”

     

     

     

    “ท่าทางของฉันมันทำไม นายตัดสินคนจากท่าทางของเขางั้นเหรอ ความคิดของคนที่เป็นดาราดังมันเป็นอย่างนี้นี่เอง” อูยองหันหลังกลับไปปลดล็อกประตูรถ ประตูรถยนต์หรูถูกเปิดออก อูยองแทรกกายเข้าไปนั่งบนรถ

     

     

     

    “เมื่อไหร่...เราจะคุยกันดีๆเหมือนคนอื่นเขา” คำถามของนิชคุณทำให้อูยองหยุดชะงัก คำถามที่ถูกถามทุกครั้งที่เจอกัน คำถามที่อูยองไม่มีวันตอบให้นิชคุณได้รู้

     

     

     

    “ไม่มีวันนั้นหรอก....” มือเล็กกำขอบประตูรถไว้แน่น ฝืนตอบไป

     

     

     

    “ทำไมล่ะ? เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรออูยอง”

     

     

     

    “ฉันไม่ใช่เพื่อนของนาย ” ปิดประตูรถอย่างแรง สตาร์ตเครื่องก่อนจะขับออกไปอย่างเร็ว นิชคุณมองตามรถยนต์คันนั้นไป เมื่อสิบปีก่อนเขากับอูยองเป็นเพื่อนรักกัน  มันก็แค่เพราะวันหนึ่งนิชคุณบอกอูยองว่าเขากำลังคบกับจุนโฮ หลังจากนั้นอูยองก็ปฏิบัติตัวเช่นนี้กับเขามาตลอด เฉยชา และเพิกเฉยต่อเขาราวกับเขาเป็นอากาศ เขาทำอะไรผิดไปหรือ? แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้และไม่มีคำตอบใดจากอูยอง เขาจึงสรุปเอาเองว่าเพราะเขาไม่ดีพอที่จะรักจุนโฮอูยองเลยตั้งแง่กับเขาเช่นนั้น เขาจึงพยายามหาโอกาสที่จะเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง แสวงหาชื่อเสียงและความร่ำรวยเพื่อที่จะมายืนเคียงข้างจุนโฮและเพื่อให้อูยองพึงพอใจในตัวเขาและกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะแววตาที่อูยองมองมาที่เขายังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แววตาที่ว่างเปล่าไร้ประกาย ไม่เหมือนจางอูยองเมื่อสิบปีก่อนเลยสักนิด

     

     

     

     

    อูยองขับรถออกมาไม่ไกลจากบริษัทเท่าไหร่นักก็ต้องมาติดแหงกเพราะสภาพการจราจรในเมืองหลวง ในรถยนต์มีเพียงความเงียบสงัด เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน นึกถึงคำถามที่นิชคุณถามเขาซ้ำไปซ้ำมา เมื่อสิบปีก่อนอูยองไปเรียนมัธยมปลายที่อเมริกาและได้เจอกับนิชคุณ เขาเป็นนักเรียนทุน เป็นคนไทย เขาทั้งสุภาพ ใจดี  อูยองดูแลนิชคุณเป็นอย่างดี แลกกับการที่เขาคอยติวหนังสือให้ในช่วงที่ใกล้สอบ เขาและนิชคุณนับได้ว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันแทบทุกอย่าง ไปเรียนด้วยกัน กินนอนด้วยกัน สนิทกันมาก มากเสียจนเขาเผลอใจตกหลุมรักนิชคุณโดยไม่รู้ตัว แต่เขาก็ไม่เคยพูด เพราะเขารู้ว่ามิตรภาพกับความรักมีเพียงเส้นด้ายบางๆกั้นขวาง หากคิดจะก้าวข้ามผ่านแล้วเส้นด้ายนั้นขาดสะบั้นลง มิตรภาพอาจจะพังทลายไม่มีชิ้นดี อูยองไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น จนเมื่อวันนึงนิชคุณได้เจอกับจุนโฮน้องชายของเขา มันเป็นเวลาเพียงสั้นๆที่สองคนนั้นรู้จักและสนิทกัน แต่ความรักที่ทั้งคู่มีให้กันนั้นมากมาย จุนโฮรักนิชคุณและนิชคุณก็รักจุนโฮ ทั้งสองรักกันและอูยองเองก็ยินดีที่จะให้ทั้งคู่คบกัน แต่ปัญหาคือความเจ็บปวดที่เขาได้รับมันมากจนเกินจะรับไหว เขาไม่อาจทนมองหน้านิชคุณได้นานๆโดยไม่ร้องไห้ออกมา ไม่อาจทนพูดคุยได้เช่นเดิม เขาจึงเลือกที่จะเพิกเฉยและเย็นชาต่อนิชคุณ เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่ตัวเขาอาจจะเจ็บปวดน้อยลง มือเล็กพยายามกดโทรศัพท์หาน้องชายฝาแฝดแต่ก็มีเพียงเสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติดังมาตามสาย ใบหน้าซบลงตรงพวงมาลัยอย่างอ่อนแรง ไม่รู้ป่านนี้จุนโฮจะเป็นอย่างไร จะไปอยู่ที่ไหน จะปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า ถ้าจุนโฮเป็นอะไรไปเขาจะอยู่ได้ยังไงจุนโฮเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของเขา เสียงโทรศัพท์ของอูยองดังขึ้น ปรากฏชื่อโทรเข้าเป็นนายตำรวจรุ่นพี่ อูยองกดรับโดยไม่รีรอเลยแม้แต่น้อย

     

     

     

    “เป็นไงบ้างครับมินจุนฮยอง” เอ่ยถามอย่างร้อนใจ

     

     

     

    พี่เจอรถของจุนโฮแล้ว.....เอ่อ...รถของจุนโฮจมอยู่ก้นแม้น้ำน่ะอูยองรู้สึกว่าเลือดในกายของตัวเองเย็นเฉียบ

     

     

     

    “แล้ว...จุนโฮล่ะครับ จุนโฮปลอดภัยใช่ไหม” เสียงของอูยองเริ่มสั่นเครือ เขาเริ่มใจไม่ดี

     

     

     

    พี่...เอ่อ...ยังไม่เจอจุนโฮเลย

     

     

     

    “.....”

     

     

     

    แต่ไม่ได้หมายความว่าจุนโฮจะเป็นอะไรนะ อย่าเพิ่งคิดไปก่อน เขาอาจจะขึ้นฝั่งไปแล้วไปขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ พี่สัญญาว่าพี่จะตามหาจุนโฮให้เจอให้ได้ แล้วพี่จะติดต่อกลับมาอีกที”

     

     

     

    อูยองค่อยๆลดโทรศัพท์ในมือของตัวเองลงช้าๆ ไม่สนใจฟังประโยคที่มินจุนจะพูดต่อไป ในหัวมันอื้ออึงไปหมด อูยองร้องไห้ เขารู้ว่าน้องของเขาต้องไม่เป็นอะไร แต่ในใจมันก็อดห่วงไม่ได้ จุนโฮไม่ใช่คนที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันเก่ง เด็กคนนั้นถ้าอยู่คนเดียวแล้วจะลนลานทำอะไรไม่ถูก ถ้าไม่มีใครสักคนคอยเป็นที่พึ่งแล้วจุนโฮจะอยู่อย่างไร คงจะกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วตอนนี้จะอยู่กับใคร จะกินข้าวหรือยัง สารพันคำถามที่อูยองคิดได้วนเวียนอยู่ในหัว อาการหอบหืดเริ่มกำเริบอีกครั้ง ทันทีที่รถเริ่มเคลื่อนตัว อูยองเปิดไฟเลี้ยวและจอดเข้าข้างทาง พยายามควานหายาเพื่อมาช่วยชีวิตตน ทันทีที่ยาถูกพ่นเข้าไปในลำคอเขาก็หายใจเป็นปกติอีกครั้ง แต่ก็ยังคงไม่หยุดร้องไห้ เสียงสะอื้นดังก้องไปทั้งรถ

     

     

     

    ก็อก ก็อก ก็อก

     

     

     

    เสียงเคาะกระจกดังขึ้น นิชคุณยืนหายใจกระหืดกระหอบอยู่ที่ข้างรถ อูยองยกสองมือขึ้นมาปาดน้ำตาลวกๆก่อนจะปลดล็อกประตู นิชคุณแทรกกายเข้ามานั่งด้านในรถ ดวงตาคมจ้องมองอูยอง คราบน้ำตาที่ข้างแก้ม ตาที่แดงช้ำ ทำให้นิชคุณรู้ได้เลยว่าอูยองต้องรู้เรื่องจากพี่มินจุนแล้วแน่ๆ พออูยองขับรถออกไปพี่มินจุนก็โทรมาหาเขาบอกข่าวเรื่องจุนโฮให้รู้ ถามไถ่ว่าเขาอยู่กับอูยองหรือไม่ พอเขาตอบว่าไม่พี่มินจุนก็บอกว่าจะติดต่ออูยองเอง และเขาก็นึกได้ว่าอูยองเป็นโรคหอบหืด ถ้าอูยองมีเรื่องเครียดหรือกระทบกระเทือนจิตใจมากๆอาการก็จะกำเริบ จนเขาอดห่วงไม่ได้ จึงรีบวิ่งตามออกมา และก็มาเห็นอูยองในสภาพนี้

     

     

     

    “นายเป็นไงบ้าง?”เอ่ยถามอูยองอย่างระมัดระวัง อูยองไม่ตอบอะไร เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกตัวรถ ไม่แม้แต่จะหันมามองผู้พูดเลยสักนิด

     

     

     

    “จุนโฮต้องไม่เป็นอะไร ฉันเชื่ออย่างนั้น”

     

     

     

    “....”

     

     

     

    “อย่ากังวลใจไปเลย เดี๋ยวอาการหอบมันจะกำเริบเปล่าๆ”

     

     

     

    “....”

     

     

     

    “อูยองอ่า...นายโอเคใช่ไหม?” อูยองไม่ตอบคำถามนิชคุณเลย เอาแต่นั่งร้องไห้เงียบๆ จนนิชคุณทนไม่ได้ต้องดึงอูยองเข้ามากอดไว้แน่น ใบหน้าเล็กซุกเข้าหาอกแกร่ง มือเล็กกำชายเสื้อร่างสูงจนแน่นแทบจะขาดติดมือ พยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ดังเล็ดรอดออกมา

     

     

     

    “ฉัน...ทำอะไรไม่ถูกแล้วนิชคุณ ฉัน...เป็นห่วงน้องเหลือเกิน” มือหนาลูบแผ่นหลังคนตัวเล็กเบาๆ อูยองร้องไห้จนตัวสั่นไปทั้งตัว ยิ่งอูยองร้องไห้เขาก็ยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้น

     

     

     

    “จุนโฮต้องไม่เป็นอะไร”

     

     

     

    “จุนโฮจะอยู่ยังไง จะอยู่กับใคร ทำไมไม่ติดต่อมา ฉัน...ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว”

     

     

     

    “ชู่ว...อย่าร้องไห้ นายต้องเข้มแข็งสิอูยอง”

     

     

     

    อูยองไม่ตอบอะไรนิชคุณอีก ซุกหน้าลงกับแผ่นอกแกร่งปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ขอแค่เท่านี้ ขอแค่อ้อมกอดใครสักคนคอยปลอบประโลมในยามที่อ่อนแอ แค่อ้อมกอดของนิชคุณ เขาไม่ต้องการอะไรจากคนๆนี้อีกแล้ว มือเล็กกอดตอบนิชคุณอย่างแน่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป ขอแค่ตอนนี้ ขอเพียงแค่นาทีนี้ ที่เขาจะได้รู้สึกว่าโลกใบนี้มีเพียงเขากับนิชคุณ พอวันนี้ผ่านไปเขาจะปล่อยมือนิชคุณไปอีกครั้ง ปล่อยเขากลับไปหาคนที่เขารัก แต่ขอเขาเห็นแก่ตัวเองแค่ตอนนี้ แค่ตอนนี้เท่านั้น...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    TBC

    สวัสดีค่ะ กลับมาพร้อมกับฟิคเรื่องใหม่ ที่ยังคงสติลความดราม่าเช่นเคย จะพูดว่าไงดีล่ะ ฟิคเรื่องนี้เราได้แรงบรรดาลใจหลักๆมาจากเพลง Suddenly ของปู้จายเรานี่ล่ะ ชอบในความหมายและดนตรีที่เศร้า เรื่องนี้มีคู่หลักแค่สองคู่ ส่วนพี่แทคกะพี่มินจุนเป็นตัวละครที่จะมีบทบาทอย่างมากเช่นกันในเรื่อง แต่จะมีบทบาทอย่างไรนั้นต้องติดตามต่อไป ตอนหน้าคู่ชานนูนอจะหวานหยดเลยล่ะ อยากให้ติดตามกันว่า ความเจ็บปวดของเจ้าของไร่สุดหล่อของเราจะหายไปหรือไม่ อยากให้ทุกคนติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณที่ยังตามอ่านและเม้นให้กันเสมอมา

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×