คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ตอน 17
สุชนาแต่งตัวสวยตั้งแต่เช้าทั้งที่ภาษิตบอกว่าจะมาตอนบ่าย เพราะช่วงเช้าเขามีธุระต้องคุยกับพี่ชาย
แม้จะไม่บอกว่าเป็นเรื่องอะไรแต่หญิงสาวก็พอจะเดาได้ไม่ยาก และแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทุกอย่างจะรวดเร็วถึงเพียงนี้
หล่อนต้องยอมทนให้น้องสาวล้ออยู่ถึงสามวันเต็มๆ กว่านภาสิริจะยอมเลิกราเพราะมีเรื่องอื่นให้สนใจมากกว่า
ตอนแรกหล่อนใจหายไม่น้อยที่เผลอหลุดปากบอกความในใจกับเขาไป มิหนำซ้ำเขายังไม่มีทีท่าจะตอบรับมันเลยแม้แต่น้อย ทว่าในทีสุดเขากลับให้คำตอบหล่อนด้วยการขอแต่งงาน
และหล่อนก็ตอบตกลงง่ายดาย...
นึกถึงตรงนี้แล้วสุชนาก็ได้ยิ้มกว้างกับตัวเองราวคนบ้า เพียงแค่นึกถึงเขาความสุขก็หลั่งไหลท่วมหัวใจ
นี่สินะ... ความรัก
“อะไรนะ เขาขอพี่ชนาแต่งงาน” นภาสิริร้องลั่นบ้าน ไม่เกรงใครจะได้ยินทันทีที่ได้ฟังจากปากพี่สาว
เสียงน้องดังซะจนคงจะได้ยินกันทั้งบ้าน แต่โชคยังดีที่เช้านี้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสามกำลังง่วนกันอยู่ในครัว เพราะกลางวันนี้จะมีแขกถึงสองราย
สองพี่น้องอยู่ในห้องนอนของนภาสิริ แต่ถ้าน้องยังเสียงดังอย่างนี้เห็นทีอีกไม่นานทุกคนคงได้รู้กันทั่ว
“บ้าจริง เขาขอพี่เมื่อไหร่ แล้วทำไมเพิ่งมาเล่า” น้องต่อว่าเสียงงอนๆ ยกมือขึ้นตีแขนพี่สาวแถมให้อีกที “ร้ายกาจนักนะพี่ชนา”
คนร้ายกาจมองน้องยิ้มๆ อดไม่ได้ที่ต้องเอ่ยปาก
“พี่ก็ไม่ได้คิดจะเก็บเป็นความลับอะไร”
“แล้วทำไมเพิ่งเล่า”
“ก็... ไม่รู้จะบอกยังไงนี่” หล่อนยอมรับตามตรง เพียงแค่พูดถึงเท่านี้สองแก้มก็เหมือนจะขึ้นสีง่ายดาย “อีกอย่างนะ วันเสาร์นี้ก็คงจะได้รู้กันแน่ เพราะคุณภาษิตเขาจะพาญาติผู้ใหญ่มาพูดจาให้เป็นเรื่องเป็นราว”
นภาสิรียิ้มกว้าง คว้ามือพี่สาวมาจับไว้ด้วยสองมือตัวเองเขย่าแรงๆ ไปด้วย
“สิรีดีใจด้วยนะพี่ชนา ในที่สุดสิรีก็จะได้แต่งงานซะที” เสียงน้องว่าขำๆ แต่ทั้งสองพี่น้องต่างก็หน้าบานไม่แพ้กัน
“ยัยบ๋อง” พี่สาวว่าพลางยกมือขึ้นตีแขนน้องแต่ช้าไปหน่อย น้องตัวดีหลบไวเหลือเกิน
“ดีใจจัง สิรีเพิ่งคุยกับพี่พุทธเองว่าจะไปหาฤกษ์หมั้นกัน แบบนี้คงต้องหาเผื่อพี่ชนาด้วยใช่ไหม” น้องสาวถามเสียงใส
หล่อนไม่ได้ตอบอะไรไป แต่นภาสิรีก็หาฤกษ์มาเผื่อให้สองคู่ได้ในเวลาอันรวดเร็วจนแม้แต่คนจะแต่งงานเองยังอดแปลกใจไม่ได้
“เธอรู้ได้ยังไงว่าคุณภาษิตเขาเกิดวันไหนยังไง”
“จะไปยากอะไร สิรีก็โทรถามเขาสิ” น้องตอบด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก “นี่อย่าบอกนะว่าพี่ชนาไม่เคยโทรหาเขา”
สุชนาไม่มีคำตอบให้น้องสาวอีกตามเคย หล่อนเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนี้เองว่าไม่มีทางติดต่อเขาได้เลย หากว่าเกิดอยู่ๆ เขาจะหายหน้าไป หล่อนก็คงได้แต่คิดสงสัยเท่านั้น ไม่มีทางตามตัวเขาได้เลย เพราะทุกครั้งเขาเป็นฝ่ายมาหาเธอทั้งนั้น
วินาทีหนึ่งหล่อนเริ่มหวาดหวั่น คำพูดสุดท้ายที่พูดกับเขาคือเงินหนึ่งร้อยล้านที่หล่อนเขียนเล่นบนสมุด และที่พูดถึงก็เพียงเพื่อจะล้อเขาเล่นเท่านั้น ให้เขาเห็นว่าหล่อนไม่ได้จริงจังอะไรกับคุณสมบัติเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะ... จริงจังกับมัน
เพราะหลังจากวันนั้นเขาก็หายหน้าไปเลยสี่วันรวด ทั้งที่ก่อนหน้านี้หากวันไหนไม่ได้มาก็ยังอุตส่าห์โทรศัพท์มากวนประสาทหล่อนพอให้ได้โมโหบ้าง แต่นี่เขาเงียบหายไปเลย
แล้วความชั่วแล่นก็มลายหายไปเพราะคำมั่นสัญญาที่เขาจะพาญาติผู้ใหญ่มาพบกับคุณยายน้อย ซึ่งหล่อนเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ผิดคำพูด
ยิ่งนึกสุชนาก็ได้แต่ตลกตัวเอง นี่หล่อนกลายเป็นคนขี้ระแวงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพียงเรื่องเล็กน้อยของเขากลับทำให้หล่อนร้อนรนได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ...
แล้วถ้ามันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยล่ะ...
หล่อนบอกรักเขา แต่ขอบตอบกลับมาเป็นคำขอแต่งงาน ไม่มีคำรักแม้สักคำ...
สายไปไหมถ้าจะเปิดอกคุยกัน...
บ้านวราทักษ์ตั้งแต่ติดถนนใหญ่ เนื้อที่ประเมินด้วยตาคร่าวๆ น่าจะราวครึ่งไร่ พื้นที่ส่วนหน้าเป็นสนามหญ้าเตี้ยๆ กับโรงจอดรถขนาดห้าคัน ตัวบ้านชั้นล่างเป็นตึก ชั้นบนเป็นไม้ รอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่ปลูกเรียงกันหลายต้นเลาะริมรั้ว
สุชนาลงจากรถแท็กซี่ยืนชั่งใจเพียงชั่วครู่ก็ตัดสินใจกดกริ่งเรียกคนในบ้าน ถึงอย่างไรก็มาจนถึงที่แล้ว หล่อนจะไม่ถอยเป็นอันขาด
หล่อนได้ที่อยู่ของเขามาจากน้องสาว ที่จริงมีครบหมดทั้งที่อยู่เบอร์โทรศัพท์บ้านและมือถือ แต่เลือกที่จะเดินทางมาด้วยตัวเองมากกว่า
เพียงครู่เดียวหล่อนก็มานั่งรอที่ห้องรับแขกโดยมีพี่สะใภ้ของภาษิตหรือแม่ของเด็กชายเทพไทต้อนรับด้วยดี
นารีจัดหาน้ำผลไม้พร้อมของว่างมารับแขก ก่อนจะเอ่ยปากขอตัวไปตามภาษิตให้ แต่พอลับหลังนารีหล่อนก็ได้เจอแม้กระทั่งคนที่ไม่คาดว่าจะเจอที่นี่
“คุณวรุณมาทำอะไรที่นี่คะ” หล่อนร้องทักขึ้นก่อนทั้งที่เห็นกับตาว่าเขาเดินลงมาจากชั้นบนของตัวบ้าน
เขายังคงดูดีไม่ต่างจากในคืนนั้น แม้จะเคยพบหน้าเขาหนเดียวเมื่อหลายเดือนก่อน แต่หล่อนกลับยังจดจำเขาได้เสมอ หรือจะเป็นเพราะเสื้อสูทเรียบแต่ดูหรูของเขายังคงมีมาดน่าเชื่อถือเหมือนกับวันนั้นเสียก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ คือหล่อนดีใจไม่น้อยที่ได้พบเขา
วรุณมองหน้าแขกอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะร้องอ๋อ อย่างคนจำได้
“คุณนี่เอง ไม่ได้เจอกันนานสบายดีนะครับ” เขาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพตามมารยาท แต่รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าบ่งชัดว่าเขายินดีที่ได้พบหน้าเหลือเกิน
“ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ” หล่อนถามกลับงงๆ ชายหนุ่มเลยหัวเราะเสียงดัง
“ไม่ทราบว่ามาหาผมถึงที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ ขอโทษนะครับที่ต้องถามตรงๆ แต่ถ้าวัดจากที่คุณยังโกรธผมอยู่เรื่องเบี้ยวนัดคืนนั้น ดูแล้วคุณก็ไม่น่าจะมาหาผมที่นี่”
สุชนางงไม่น้อยกับคำพูดของเขา แต่พอเรียบเรียงดีๆ ถึงได้รู้ว่าเขาเข้าใจผิดไม่น้อย
“ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณเลยนะคะ เพียงแค่หลังจากคืนนั้นคุณก็หายหน้าไปเลย”
“ก็คุณไม่รับสายผมเลย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะน้อยใจหญิงสาวถึงได้นึกได้ว่าหล่อนไม่ได้รับสายเขาจริงๆ
จะให้รับสายได้อย่างไรในเมื่อภาษิตบอกอยู่โต้งๆ ว่าเขามีเจ้าของแล้ว
“คือฉันคิดว่า...”
“อะไรเหรอครับ”
“เรื่องเก่าช่างมันเถอะค่ะ ว่าแต่คุณอยู่ที่นี่เหรอคะ”
เขามองหล่อนด้วยสีหน้างงจัด หญิงสาวเลยพูดเลย
“ฉันไม่ได้มาหาคุณหรอกค่ะ ฉันมาหาคุณภาษิต”
“อ๋อ” คราวนี้เขาลากเสียงยาวเหยียด “ไอ้พี่ทรยศนี่เอง มิน่าคุณถึงไม่รับสายผมเลย”
วรุณพูดด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจปนกับแค้นเคืองกรุ่นอยู่แต่คนฟังกลับจับต้นชนปลายไม่ถูก
“คะ?” หล่อนร้องถามด้วยความงงหนักไปกว่าเก่า “ตกลงคุณเป็นพี่น้องกันเหรอคะ”
“ถ้าภาษิตที่คุณพูดถึง คือผู้ชายหลักลอยงานการไม่ทำ วันๆ เอาแต่ซิ่งรถไปรับสาวเช้าเย็นแล้วก็มาไถเงินจากกองมรดกคุณแม่ละก็... ใช่ครับ พี่ชายผมเอง”
สุชนานิ่งงันไปทีเดียว หล่อนไม่รู้หรอกว่าจะใช่คนเดียวกับที่วรุณพูดถึงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ภาษิตที่หล่อนรู้จักไม่ใช่คนหลักลอย จีบสาว ยิ่งเรื่องกองมรดกเขายิ่งไม่เคยพูดถึง
แต่ผู้ชายชื่อภาษิตจะมีสักกี่คนกันเชียว...
หญิงสาวรู้สึกเหมือนลมจะจับ หล่อนเซไปเล็กน้อยราวกับเพิ่งถูกน๊อกด้วยหมัดที่มองไม่เห็น ใจหนึ่งไม่อยากจะเชื่อคำพูดใครง่ายๆ แต่วรุณก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องโกหก
เขาปราดเข้ามายืนใกล้พร้อมกับใช้สองมือประคองหล่อนไว้โดยไม่จำเป็นต้องร้องขอ เขาคงคิดว่าหล่อนจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ แต่หญิงสาวเข้มเข็งกว่านั้นมากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่ยังมีเรื่องค้างคาใจเช่นนี้
“ไหวไหมครับ อากาศร้อน คงจะหน้ามืด เดี๋ยวผมเปิดแอร์ให้ดีไหม” เขาเสนอแนะพลางช่วยให้หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้รับแขกตัวโตก่อนจะเดินไปเปิดเครื่องปรับอากาศให้ทันที
“ขอโทษนะคะที่ไม่ได้รับสายของคุณ แต่คุณภาษิตบอกว่าคุณมีแฟนแล้วฉันก็เลยไม่กล้ารับ” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ แต่สองตาเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาของเขาแน่วแน่
น่าแปลกที่วรุณดูจะตกใจในตอนแรก แต่วินาทีต่อมาเขาก็ยังคงยิ้มออก
“ผมเข้าใจครับ พี่กลางชอบอำเล่นแรงๆ บ่อยไป”
“พี่กลางเหรอคะ”
เขาเดินกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับหญิงสาว ทิ้งระยะห่างพอให้ไม่น่าเกลียด แต่สายตามองหญิงสาวแทบไม่วางตา
“นี่เขาไม่ได้บอกคุณเลยเหรอครับ เรามีกันสามคนพี่น้อง พี่คนโตก็พี่ใหญ่ พี่กลางก็ภาษิตส่วนผมเป็นน้องเล็กบ้านนี้”
ข้อมูลใหญ่เหนือความคาดหมายของหญิงสาวไปมากเหลือเกิน ภาษิตจะโกหกหรือไม่ยังตอบไม่ได้แต่ที่แน่ๆ เขาไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับตัวเองให้หล่อนฟังเลย
คนรักกันควรจะไว้ใจกันไม่ใช่หรือ...
“ช่วยเล่าเรื่องพี่กลางของคุณให้ฉันฟังบ้างจะได้ไหมคะ”
วรุณยังไม่ทันตอบเจ้าของชื่อก็เดินเข้ามาในห้องรับแขกพอดีพร้อมกับนารีซึ่งยังคงยิ้มสดใสไม่มีเปลี่ยน ทั้งที่ภาษิตเริ่มหน้าบึ้งบอกบุญไม่รับ
ภาษิตสบตาหญิงสาวเพียงครู่เดียวเขาก็หันไปทำหน้าบึ้งใส่น้องชายซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างจากหญิงสาวเท่าใดนัก
แทบที่วรุณจะรับรู้ถึงความไม่พอใจครั้งนี้ เขากลับหันมายิ้มให้แขกพร้อมกับล่วงนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อส่งให้
“ถ้าเผื่อมีอะไรก็โทรหาผมได้นะครับ”
สุชนารับนามบัตรที่ถูกยัดใส่มือมาไว้อย่างงงๆ แต่คนให้พูดเท่านั้นก็ลุกหนีไปเลยเหมือนจะรับรู้รังสีอมหิตของพี่ชาย จะมีก็แต่นารีเท่านั้นที่ยังคงอารมณ์ดีไม่แปรเปลี่ยน
“จะรีบไปไหนละเล็ก ไม่อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนหรอ จะได้คุยกัน”
‘เล็ก’ ส่ายหน้าตอบพี่สะใภ้เล็กน้อยพร้อมกับบอกสั้นๆ
“ผมมีประชุมตอนบ่าย ไปก่อนนะครับ”
ไม่มีใครคัดค้านวรุณไว้อีก นารีเดินมานั่งกับแขกตรงที่วรุณเพิ่งลุกไปเมื่อครู่ ส่วนภาษิตยังคงยืนพิงตู้หนังสือใช้สองมือกอดอกมองหล่อนไม่วางตา
“เมื่อกี้คุยอะไรกัน ทำไมต้องแจกนามบัตร” เขาถามเสียงเครียดทีเดียว แต่นารีกลับผสมโรงด้วยโดยไม่รู้ตัว
“คุณกลางก็ถามแปลก ก็คุยกันตามประสา คนกำลังจะเป็นดองกันจริงไหมคะ” ท้ายประโยคนารีหันมาถามแขก
รอยยิ้มเปี่ยมไปด้วยมิตรภาพของนารีทำให้สุชนาทำอะไรไม่ได้นอกจากตอบรับเท่านั้น
“ค่ะ ทักทายกันนิดหน่อย”
นารีแทบไม่สนใจด้วยซ้ำว่าสุชนาตอบอะไร หล่อนดึงมือแขกไปกุมไว้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พี่ดีใจจัง ขอเรียกแทนตัวเองว่าพี่เถอะนะคะ” นารีพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นและไม่รอคำตอบก็พูดต่อทันที “พี่ดีใจจริงๆ ในที่สุดก็จะได้จัดงานแต่งให้คุณกลางซะที คิดว่าชาตินี้คุณกลางจะไม่ยอมแต่งงานซะแล้ว”
“ทำไมละคะ” หล่อนถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ แต่ ‘คุณกลาง’ กลับทำท่าเหมือนจะกระแอมใส่มือตัวเอง
นารีมองน้องสามีเหมือนจะค้อนใส่ก่อนจะหันกลับมามองแขกอีกครั้ง
“ก็เมื่อก่อนคุณกลางเคยประกาศเองเลยค่ะว่าชาตินี้จะไม่แต่งงาน ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น อยากจะครองตัวเป็นโสด”
ว่าแล้วสองสาวก็หันไปมองหน้าคนอยากเป็นโสดไปตลอดพร้อมกัน เจ้าตัวเลยมีหน้าปั้นยากเต็มที เขาน่าจะรู้นะว่าถ้าลองสาวๆ พบกัน คงไม่แคล้วกลายเป็นเป้าหมายของหัวข้อสนทนา
“ว่าแต่ตัดสินใจรึยังคะว่าแต่งงานแล้วจะไปอยู่ที่ไหนกันเอ๋ย อยู่ที่นี่รึว่าอยุธยาดีคะ”
“อยุธยาเหรอคะ” สุชนาถามด้วยสีหน้าแปลกใจ เพราะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน และไม่คิดอีกเช่นกันว่าจะได้ยินชื่อจังหวัดนี้ขึ้นมา
“ผมว่าพี่นารีรีบไปรับเทพไทดีไหมครับ เดี๋ยวรอนานเกเรอีก” เขาเสนอแนะด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด ให้ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่มีหรือสองสาวจะไม่รู้
นารียิ้มร่าใส่น้องสามี แต่ก็ยอมล่าถอยแต่โดยดี
“เออนั่นสิ พี่ลืมไปเลย เดี๋ยวได้เกเรกันทั้งพ่อทั้งลูก งั้นพี่ไปก่อนนะคะ เอาไว้วันไหนว่างๆ มาทานข้าวกันนะคะ เราจะได้คุยกัน” คราวนี้นารีหันมาบอกสุชนาด้วยน้ำเสียงยินดี
“ได้ค่ะ”
นารีบีบมือแขกราวกับเป็นการทำสัญญากันระหว่างสองสาว ก่อนจะยอมผละไปง่ายดาย ทิ้งให้หนุ่มสาวอยู่กันตามลำพัง
สุชนามองหน้าชายหนุ่มที่ตั้งใจมาหาแล้วกลับเป็นฝ่ายพูดไม่ออกเสียเอง
ก่อนหน้านี้เพียงไม่ถึงสิบนาทีดี หล่อนยังฮึดฮัดอยากจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับเสียงหายขึ้นมาเสียอย่างนั้น...
“บ้านคุณน่าอยู่ดีนะคะ”
“ทำไมคุณไม่ถามมาเลยล่ะ”
“ถามอะไรคะ”
“อะไรที่อยู่ในใจคุณ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ เช่นเดียวกับสองตาที่สบตาหล่อนนิ่งงัน “คุณมาหาผมเพราะจะมาจับผิดผมไม่ใช่รึไง”
“ฉันไม่ได้จะ...” หล่อนเถียงไม่เต็มเสียง
ที่เขาพูดมามันก็ใช่ แต่จะให้หล่อนยอมรับออกมาตามตรงได้อย่างไรกันเล่า
“หึงผมก็ยอมรับมาตามตรงน่า” เขาว่าด้วยน้ำเสียงโอ่หน่อยๆ “จะแอบมาดูใช่ไหมว่าผมหายหน้าไปนี่แอบไปนัดผู้หญิงที่ไหนรึเปล่า”
“แหม ฉันไม่ใช่คนไร้เหตุผลขนาดนั้นหรอกค่ะ”
หล่อนตอบเสียงใสและสบตาเขาโดยไม่คิดจะหลบตาเหมือนเมื่อก่อน
“ฉันอยากรู้ว่าช่วงนี้คุณไม่ทำงานหรอคะ รึว่าลาพักยาว”
ภาษิตเม้มปากเป็นเส้นตรงราวกับเกรงว่าจะหลุดปากพูดอะไรออกมา แต่หล่อนก็พูดต่อไม่คิดจะรอฟังคำตอบของเขา
“เล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างสิคะ”
“ทำไมถึงอยากรู้ขึ้นมา” เขาถามงงๆ
“ฉันก็เพิ่งนึกได้ เราจะแต่งงานกันอยู่แล้ว แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนยังไม่รู้จักคุณเลย”
เขาคลี่ยิ้มดูอบอุ่นไม่น้อยพลางเดินเข้ามาหาและนั่งข้างหล่อน
“คุณรู้จักผมตั้งมากแล้ว ผ่านนี่ไง”
เขาหันไปเปิดลิ้นชักตู้หนังสือที่อยู่ใกล้ๆ หยิบมันออกมาส่งให้หญิงสาว
‘นี่’ ของเขาคือสมุดเล่มบางที่สุชนาเคยเขียนประชดน้องไปหลายหน้ากระดาษ วันนี้สมุดยังคงใหม่เอี่ยมเหมือนเดิม แต่พอเปิดดูด้านในถึงได้เห็นว่าหลายข้อในนั้นมีรอยดินสอขีดฆ่า หรือไม่ก็เขียนหมายเหตุกำกับไว้ให้เลอะเทอะเต็มไปหมด
หล่อนปรายตามองเขาอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลงดูหน้ากระดาษอย่างตั้งใจ
น่าแปลกนักที่เรื่องไร้สาระหลายสิบข้อในนั้นมีเครื่องหมายถูกขีดกำกับไว้หน้าข้อ บางข้อมีคำเขียนเพิ่มเติมเหมือนพวกหลงตัวเองแถมให้อีก
“หล่อตั้งแต่เกิด” หล่อนอ่านออกเสียงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนเขียนเติมด้วยรอยยิ้มขัน “ไม่ค่อยเข้าข้างตัวเองเลยนะคะ”
คนหล่อหัวเราะเสียงใส แต่พอสุชนายิ่งได้กลับไปอ่านมากขึ้นเท่าไหร่ หล่อนก็ยิ่งใจคอไม่ดีมากเท่านั้น
“นี่คุณจริงจังกับมันมากถึงขนาดนี้เชียวหรอคะ” หล่อนถามเสียงเบา พยายามบังคับไม่ให้น้ำเสียงสั่นแต่ก็ยากเหลือเกิน
ว่ากันว่าคนเรามักจะทำอะไรไร้สาระเพื่อความรักได้เสมอ แต่หล่อนก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับตัวเอง
เขารักเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูดเพียงลมปากเหมือนที่เธอเคยเข้าใจและคาดหวังว่าเขาจะพูดออกมา
นี่เขาไม่เคยพูดแต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความรักของเขา...
“ฉันขอโทษ” หล่อนพึมพำเสียงเบา “ฉันเขียนอะไรไร้สาระ ฉันไม่คิดเลยว่าจะพลอยทำให้คุณต้องลำบากไปด้วย”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้น เหลวไหลน่า” เขาดุอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะอดใจไม่ไหว ดึงร่างบางเข้ามากอด
สุชนาซุกหน้าลงกับช่วงไหล่กว้างของเขาอย่างไม่คิดจะอิดออด ราวกับนี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่หล่อนต้องทุ่มเทจนหมดใจ
ความสุขไหลอาบหัวใจจนหญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเบาล่องลอยอยู่ในความฝัน
ชีวิตคนเราจะต้องการอะไรมากไปกว่านี้ แค่มีคนที่เรารักและรักเราก็พอแล้วไม่ใช่หรือ...
เขารักเธอและเธอไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“เรื่องสินสอดร้อยล้าน คุณคงไม่คิดจะจริงจังกับมันใช่ไหมคะ” หล่อนกระซิบถามทั้งที่ยังแนบศีรษะอยู่กับอกกว้างของเขา
“แต่ผม...”
“ไม่ค่ะ คุณไม่ต้องทำอะไรเพื่อฉันอีกแล้ว” หล่อนค้านทันทีพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อแตะปลายนิ้วชี้ลงกับริมฝีปากของเขาเป็นเชิงปราม “เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้ววาคุณเป็นพ่อเทพบุตรตัวจริงของฉัน”
สุชนาพูดจบก็ยิ้มเขินเสียเองเพราะไม่คิดว่าชีวิตนี้จะพูดอะไรเลี่ยนๆ แบบนั้นออกไปได้ แต่หล่อนกลับไม่เสียใจสักนิดที่บอกเขา
“ขอแค่คุณรักฉันคนเดียวก็พอ” หล่อนพึมพำเสียงเบาในอ้อมกอดของเขา
และไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลบมาอีกตามเคย...
ความคิดเห็น